คำสอนหลวงพ่อจรัญ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 10 ธันวาคม 2008.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​






    [​IMG]




    กฎแห่งกรรม หลวงพ่อจรัญ



    ที่มา - หนังสือกฎแห่งกรรมหลวงพ่อจรัญ ,






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2008
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=10 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white width="68%" bgColor=#ffff33 height=342>วิธีแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลที่ถูกต้อง

    1. ตั้งสติหายใจยาว ๆ ตอนที่กรวดน้ำเสร็จแล้วอธิษฐานจิตไว้ก่อน อธิษฐานจิตหมายความว่า ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ที่ลิ้นปี่ สำรวมกาย วาจา จิต ได้ตั้งมั่นแล้ว จึงขอแผ่เมตตาไว้ในใจสักครู่หนึ่ง แล้วก็ขออุทิศให้บิดามารดาของเราว่าเราได้บำเพ็ญกุศล
    ท่านจะได้บุญได้ผลแน่ ๆ เดี๋ยวนี้ด้วย ผมเรียนถวายนะ มิฉะนั้นผมจะอุทิศไปยุโรปได้อย่างไร
    หายใจยาว ๆ ตั้งสติก่อน หายใจลึก ๆ ยาว ๆ แล้วก็แผ่เมตตาก่อน มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้ว เขาก็อุทิศเลย อโหสิกรรม ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่พยาบาทใครอีกต่อไป และเราจะขออุทิศให้ใคร ญาติบุพเพสันนิวาสจะได้ก่อน ญาติเมื่อชาติก่อนจะได้มารับ เราก็มิทราบว่าใครเป็นพ่อแม่ในชาติอดีตใครเป็นพี่น้องของเรา เราก็ไม่ทราบ แต่แล้วเราจะได้ทราบตอนอุทิศส่วนกุศลนี้ไปให้ เหมือนโทรศัพท์ไป เขาจะได้รับหรือไม่ เราจะรู้ได้ทันที
    ขณะที่ท่านสวดมนต์อุทิศให้ว่า ยาเทวตา...., อิมินา.... เป็นต้น ท่านจะรู้นะว่าย้อนกลับมา เหมือนเราโทรศัพท์ไป อ๋อ มีคนรับ เขาจะย้อนตอบเราว่าฮัลโหล เป็นต้น นี่ก็เช่นเดียวกัน เราจะปลื้มปีติทันทีนะ เราจะตื้นตันขึ้นมาเลย ถ้าท่านมีสมาธิ น้ำตาท่านจะร่วงนะ ขนพองสยองเกล้าเป็นปีติเบื้องต้น ถ้าท่านมาสวดมนต์กันส่งเดช ไม่เอาเหนือเอาใต้ ท่านไม่อุทิศ ท่านจะไม่รู้เลยนะ ขอฝากท่านนวกะไว้ด้วย วันนี้ท่านทำบุญอะไร สร้างความดีอะไรบ้าง ดูหนังสือ ท่องจำบทอะไรได้บ้าง ก็อุทิศได้


    </TD></TR><TR><TD class=white width="68%" bgColor=#ffcc66 height=126>2. การแผ่เมตตาจะต้องมีสมาธิก่อนมีพลังส่ง มีเมตตาในตัวเองก่อน แล้วค่อยแผ่อุทิศให้เขาจะได้ผล ถ้าโยมปราศจากเมตตาอย่าอุทิศ ไม่มีได้ผล ไม่ได้ผลจริง ๆ อาตมาทำมาแล้ว แผ่ได้ผลต้องมีเมตตาครบอย่างต่ำ ๘๐% ไม่อย่างนั้น แผ่ไม่ออกหรอก เหมือนยิงปืนตกปากกระบอกไม่มีแรงส่ง ขาดสมาธิ ขาดสติปัญญา ขาดความสามารถ ขาดความเชี่ยวชาญในการฝึก



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ฝรั่งไม่มีทอดกฐิน ถวายสังฆทาน แต่ทำไมเขาเป็นเศรษฐี

    เมืองฝรั่งเขาไม่มีการทำบุญ เราไปทอดกฐิน ผ้าป่า ถวายสังฆทาน เขาทำไม่เป็น แต่ทำไมเขาเป็นเศรษฐี ทำไมเขามีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ทำไมถึงเจริญด้วยอารยธรรมของเขา เพราะเขามีบุญวาสนา เขาตั้งใจทำ มีกิจกรรมในชีวิตของเขา จะยกตัวอย่าง
    วันนี้เขาค้าขายได้เป็นพันเป็นหมื่นด้วยสุจริตธรรม เขาก็เอาอันนั้นแหละอุทิศไป วันนี้เขาปลูกต้นไม้ได้มากมาย เขาก็เอาสิ่งนี้อุทิศไปว่าได้สร้างความดีในวันนี้ ไม่ได้อยู่ว่างแต่ประการใด เขาก็ได้บุญ ไม่จำเป็นต้องเอาสตางค์มาถวายพระเหมือนเมืองไทย ถวายสังฆทานกันไม่พัก ถวายโน่นถวายนี่แต่ใจเป็นบาป อุทิศไม่ออก บอกไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น จะไม่ได้อะไรเลยนะ
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    คนที่มีบุญถึงจะมาทำกรรมฐานได

    ท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติกรรมฐาน นับว่าเป็นโชคดีของท่าน ท่านมาสร้างกำไรชีวิต ท่านมาสร้างข้อคิดให้กับตัวเอง ท่านทั้งหลายเสียสละมาเถิด จะประเสริฐในวันข้างหน้า ไม่ต้องเสียเงินเสียทองมากมาย อาตมาไม่เก็บเงิน ที่อยู่ก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ อาตมาเลี้ยงเอง ไม่จำเป็นต้องมาออกค่าไฟฟ้าให้กับอาตมาหรอก อาตมาทำบุญกับโยม อาตมาเสียสละ ขาดเหลืออาตมาออกให้
    อุตส่าห์ปวารณาโยมให้มาสร้างความดีถึงเช่นนี้แล้ว โยมยังไม่สนใจก็เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเป็นบาปกรรมของโยมเอง บุญมีแต่กรรมมาบัง ทำให้มาสร้างความดีไม่ได้ มีมากรายด้วยกัน เชิญชวนเท่าไรก็ไม่มา นี่แหละ กรรมมันบัง เหมือนกับคนจะถูกรถชนตาย กรรมมันบังทำให้ไม่เห็นรถ ทำให้รถชนตัวเองตาย เราขับรถชนคนตาย กรรมมาบังทำให้ไม่เห็นหรือตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด เราก็ชนเขาตายเพราะเวรกรรมตามสนอง จะต้องชนตรงนี้ด้วย แล้วเขาก็ต้องตายตรงนี้ด้วย แล้วเราก็ต้องตายตรงนี้ด้วย นี่เหตุการณ์ตายตัวแล้ว เป็นกฎแห่งกรรม ถ้าท่านเจริญกรรมฐานท่านจะรู้ได้ว่าเราสร้างเวรกรรมอะไรมา
    ท่านสาธุชนทั้งหลายเอ๋ย คนที่มีบุญถึงจะมาทำกรรมฐานได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่ายอดสูงสุดที่เป็นมรดกโบว์แดงของเสด็จพ่อของเราคือ กรรมฐาน แต่สาธุชนทั่วโลกจะทำเหมือนกันไม่ได้เพราะนานาจิตตัง ต่างเวรต่างกรรมกันมา บางคนมาจากนรกมาเกิดในโลกมนุษย์ไม่สามารถเจริญกรรมฐานได้ เข้าวัดก็เดินผ่านไปผ่านมาเพราะกรรมมันบังจิตใจ คือทรพีทรพาอกตัญญูต่อพ่อแม่ตลอดมา คนประเภทนี้จะเจริญกรรมฐานไม่ได้ ถ้าเจริญกรรมฐาน ต้องอกแตกตาย เพราะคิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    หากเคยคิดไม่ดีกับพ่อแม่ หรือเคยด่าท่านผู้มีพระคุณ
    อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อน คือ ถอนคำพูด ไม่ขอสมาลาโทษพ่อแม่เสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ถ้ายังด่าพ่อด่าแม่ทิ้งไว้ แล้วมาเจริญกรรมฐาน อาตมาขอเจริญพรว่า เจริญไปอีกร้อยปีก็ไม่ได้ผล เพราะเวรกรรมตามสนอง
    หากท่านทั้งหลายเคยด่าท่านผู้มีพระคุณ ถอนคำพูดแล้วขอสมาลาโทษเสีย ท่านจะได้ผลจากการเจริญกรรมฐานทันที เหมือนพระภิกษุต้องแสดงอาบัติให้บริสุทธิ์เสียก่อน แล้วมาเจริญกรรมฐานจึงจะได้ผล
    อีกบ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน มีลูกเมียหลวงติดตามพ่อไป แล้วมาบอกแม่ แม่ก็บอกพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็กลับไปด่าพ่อหาว่าพ่อไม่สงสารแม่ของตัว แล้วก็มาบวชที่วัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ ปวดหัวไม่พัก เป็นโรคจะกลายเป็นคนวิกลจริต อาตมาดูกฎแห่งกรรมแล้ว ถามว่านี่พ่ออยู่ที่ไหน บอกพ่ออยู่กับเมียโน้นเมียนี้ แล้วก็เคยด่าพ่อไหม บอกเคย พ่อทำแม่ผมเจ็บใจ ผมก็ด่าเอา นี่แหละไปบวชก็ไม่ได้ผล ไปถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษกับพ่อเจ้าเสียแล้วเจ้าจะมาเรียนมานั่งกรรมฐานได้ผลแน่ ๆ คนที่ไม่ได้ผลเพราะกฎแห่งกรรมตามสนอง
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตัวอย่างคนฆ่าพ่อตัวเอง
    เมื่อเร็ว ๆ นี้ฆ่าพ่อตาย บอกให้มาเจริญกรรมฐานมันร้อนหมด พอเข้าวัดทนไม่ได้ต้องเอารถออกไป นี่เรื่องจริงที่วัดนี้ ฆ่าพ่อตายแล้วแม่เขาสงสารลูกเขา อุตส่าห์พาลูกมาจะเจริญกรรมฐาน นี่โยมเห็นไหมกรรมมันบังร้อน พอรถมาถึงวัดอัมพวันเข้าวัดไม่ได้ ร้อนหมดเลย ปวดหัวเข้าไม่ได้ แม่นึกว่าผีพ่อสิงเลยเข้ามาบอกอาตมาว่า หลวงพ่อช่วยดูลูกชายสิผีพ่อเข้าสิงไหม เปล่าเลยเวรกรรมมันตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน นี่ฆ่าพ่อขอฝากไว้ทำกรรมฐานไม่ได้แน่ เลยก็ต้องหันรถกลับนี่เรื่องจริงที่วัดนี้ ผ่านมาสิบกว่าวันมานี่เอง คนประเภทนี้ไปสวรรค์ไปนิพพานไม่ได้
    ดังเช่นอหิงสกะ ลูกของปุโรหิตาจารย์ จะไปฆ่าแม่คือ พราหมณี จะเอานิ้วมาบูชาครู พระพุทธเจ้าจึงสกัดกั้น ว่าอหิงสกะเป็นคนมีบุญวาสนาจะสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันตขีณาสพ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปบิณฑบาตขอว่า อย่าไปฆ่าเขาเลยอหิสกะเอ๋ย สมณะหัวโล้น หยุด ข้าจะฆ่าเจ้าเอานิ้วไปบูชา เหลืออีกนิ้วเดียวครบพันนิ้ว หยุดนะสมณะโล้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หันมาบอก อหิงสกะเอ๋ย เราหยุดมานานแล้ว เจ้าสิยังไม่หยุด คนผู้มีปัญญาได้ทราบทิ้งดาบทันที
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตัวอย่างคนที่เจริญกรรมฐานไม่ได้เพราะด่าสามี
    แม่แต้มอยู่ที่บ้านเตาปูนใต้วัดสว่าง เจริญกรรมฐานมาตั้ง ๗-๘ ปีไม่ได้ผลเพราะเรื่องอะไร อ๋อ! แกด่าสามีแกที่เป็นปลัดอำเภอชื่อ ปลัดเขียว แม่แต้มด่าผัวเก่ง มาปฏิบัติคราวรุ่นแม่ใหญ่ บอกแม่แต้มเอ๊ย ขออโหสิกรรมเสีย บอกดวงวิญญาณให้อนุโมทนาต่อพระสงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็ขออโหสิกรรมให้ดวงวิญญาณรับทราบว่า พ่อเอ๋ย ฉันขอสมาลาโทษกายกรรม วจีกรรมต่อดวงวิญญาณ ขอพระสงฆ์รับทราบ อนุโมทนาแล้วยะถาสัพพีให้ ตั้งแต่นั้นมาแม่แต้มเข้าผลสมาบัติได้ เจริญกรรมฐานได้ผลวันนั้นเลย
    นี่อย่างแม่แต้มไม่มีเจตนาด่าสามีให้เสียหาย เป็นเพราะปากมันเคย เคยถามแม่แต้มด่าสามีจริงไหม จริงเจ้าค่ะ ฉันนี่ปากไม่ดี ชอบด่าเขา แล้วเขาก็ไม่เถียงฉันด้วย เขาเป็นลูกไล่ฉัน เท่านี้ทำกรรมฐานไม่ขึ้นมา ๗-๘ ปี เลยขออโหสิกรรมแล้วก็หายไป แล้วแม่แต้มก็เข้าผลสมาบัติได้ นั่งได้ตั้ง ๘ ชั่วโมง แม่ใหญ่ทราบดีนะ แม่แต้มได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ก่อนตายแกบอกอาตมาต้องไปนำศพ ทั้งที่อาตมาป่วยหนักก็ต้องไปนำศพแกไปเมรุ แล้วแกตายอย่างไร แก่ตั้ง ๘๐ กว่าร่วม ๙๐ แล้วตายแบบไหน เราก็รู้ว่าแกต้องตกบันไดตาย เพราะเมื่อก่อนแกผลักผัวแกตกบันได นี่ชัดเจนไหม ผลักผัวตกบันไดผัวเลยหัวทิ่มลงไป เท่านี้แหละทำให้แม่แต้มต้องตกบันไดตาย ขอฝากไว้อย่าสร้างเวรสร้างกรรมเลย
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตัวอย่างภรรยาที่ด่าสามีทุกวัน
    อาตมาเคยแก้สองสามีภรรยาที่วัดนี้นะ ภรรยาก็บอกว่า ไปด่าสามีว่า
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=15 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle bgColor=#ffff99 height=200>
    เหตุใดถึงเดินจงกรมให้ช้าที่สุด
    การเดินจงกรมนี้ ขอให้ญาติโยมเดินให้ช้าที่สุด ก้าวขวาย่างหนอ ย่างไปแล้วหยุดหายใจ แล้วก็จะยกเท้าซ้าย มันจะมีน้ำหนักยกขึ้น ซ้ายมันจะกดทางขวา
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=15 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle bgColor=#ffff99 height=200>
    ยืนหนอ...ยืนอย่างไร
    ยืนหนอ ยืนอย่างไร สำรวมปักจิตไว้ที่ปลายผมลงไปนั้น ก็มีการหายใจเข้าออกให้ได้จังหวะ เช่นสำรวมเท้าขึ้นมา หายใจอย่างไร
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ภวังค์คืออะไร

    ความเข้าใจของคนส่วนมากนั้นเข้าใจว่า ภวังค์ หมายถึงจิตมีความสงบ คือนั่งอยู่เฉย ๆ หรือนั่งใจลอย แต่ตามหลักของปรมัตถธรรมนั้นตรงกันข้าม คำว่า ภวังค์ หมายถึง องค์แห่งภพหมายถึง จิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติคือ ตาย ขณะใดที่จิตมิได้ยกขึ้นสู่อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และขณะนั้นจิตก็เป็นภวังค์
    ภวังคจิตที่เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือคนกำลังหลับสนิท ขณะหลับสนิทจะไม่มีความรู้สึกตัวเลย ขณะใดจิตมีความรู้สึกขึ้นในอารมณ์จากทวารทั้ง
    ๖ แล้ว ขณะนั้นจิตก็พ้นไปจากเป็นภวังค์ ความจริงขณะที่เราเห็นหรือได้ยินหรือคิดนั้น จิตก็ขึ้นวิถีรับอารมณ์ แล้วก็มีภวังคจิตขึ้นสลับอยู่ตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปโดยรวดเร็วมาก ดังนั้นเราจึงไม่รู้สึก

     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=15 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle width="88%" bgColor=#ffff99 height=61 rowSpan=5>หญิงสาวชายหนุ่มพรากจากกัน กำลังกรรม ปัจจัยอารมณ์เสียใจ

    เมื่อหญิงสาวและชายหนุ่มผูกสมัครรักใคร่กัน ยิ่งนานวันก็จะยิ่งเพิ่มพูนความรักมากยิ่งขึ้น เพราะเห็นใจกัน เอาอกเอาใจกันทุกอย่าง ความรักของชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้เป็นไปอย่างดูดดื่มมั่นคงอยู่หลายปี เมื่อจะต้องพรากจากกันไปโดยเด็ดขาดเมื่อใด ทั้งสองฝ่ายก็จะตกอยู่ในความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เจ้าเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงกันอยู่มิรู้วาย วันละหลายสิบหรือหลายครั้ง ทั้งนี้เพราะอะไร เรื่องความรักใคร่เห็นอกเห็นใจกันก็เป็นอดีตไปแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่ดับไปแล้ว เหตุใดกรรมที่ทำไว้ในอดีตจึงได้ก่อให้เกิดความทุกข์หรือเศร้าเสียใจอยู่มิได้หยุดหย่อน
    อาตมาได้กล่าวมาแล้วว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้นั้น จะต้องมีเหตุ จะเกิดขึ้นลอย ๆ หาได้ไมเช่น การที่จะเห็นได้ก็ต้องมีคลื่นแสงมากระทบตา จะได้ยินก็ต้องมีคลื่นเสียงมากระทบหู และจะคิดได้ก็จะต้องมีเรื่องที่คิดนั้นมากระทบใจ เหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ในกรณีของหนุ่มสาว เกิดความเศร้าเสียใจคู่นี้ ก็จะต้องมีเรื่องมากระทบใจเป็นแน่นอน มิฉะนั้นความเศร้าเสียใจจะเกิดขึ้นมาหาได้ไม่ แต่อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอารมณ์เสียใจเหล่านั้นขึ้น
    ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธได้เลยว่าอารมณ์เหล่านั้น มิได้เกิดขึ้นมา แต่อารมณ์เก่า ๆ คือ เจตนาหรือความปรารถนาที่จะเป็นของซึ่งกันและกัน รักกัน เอาใจกัน และจะแต่งงานอยู่กินด้วยกันนั่นเองเป็นเหตุเป็นปัจจัย จิตจึงได้สร้างให้เห็นหน้า เห็นกิริยาท่าทาง เห็นความดีของแต่ละฝ่าย อารมณ์เก่า ๆ เหล่านั้น คือ กรรมแต่อดีตที่ดับไปแล้วนั่นเอง แต่มิได้สูญหายไปไหน อารมณ์เก่าหรือกรรมเก่า หรือความปรารถนาเก่านั้นเองได้เกิดกำลังอำนาจขึ้น กำลังอำนาจนี้ได้มากระทบจิตอยู่เสมอมิได้หยุดหย่อน ซึ่งกระทำให้กรรมที่ทำไว้แล้ว ๆ นั้น กลับยกขึ้นมาสู่อารมณ์ใหม่อีก ภาพเก่า ๆ ก็ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำให้มองเห็นหน้าคู่รักที่กลังยิ้มอย่างหวาน เห็นความน่ารักเอ็นดู เห็นความเอาอกเอาใจหรือความเสียสละของแต่ละฝ่าย ภาพประทับใจทั้งหลายแหล่ก็ได้ถูกยกขึ้นมาปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เหมือนกำลังดูภาพยนตร์ หรือมีเสียงกระซิบมากระซิบอยู่ที่ข้างหูว่ารัก รัก มิได้หยุดหย่อนเลย
    </TD></TR><TR></TR><TR></TR><TR></TR><TR></TR><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle width="88%" bgColor=#ffff99 height=62>
    การที่อาตมานำตัวอย่างนี้ขึ้นมาแสดง ก็เพื่อจะให้ท่านได้เห็นกำลังของกรรม กำลังของความปรารถนา หรือตัณหาว่าแม้มันไม่มีตัวตนก็ดี แม้มันจะเกิดขึ้นในอดีตและดับไปแล้วก็ดี มันก็ยังมีความสามารถที่จะแสดงออก ซึ่งการกระทบกับจิตอันก่อให้เกิดอารมณ์ขึ้นได้มิได้หยุดหย่อน ทั้งนี้เพื่อให้ท่านได้เห็นหน้าตาไว้เพียงนิดเดียวก่อน กำลังของกรรมหรือตัณหานี้ยังมีกว่านั้นมากมายนัก สามารถสร้างภพสร้างชาติก็ยังได้อีก และคนที่ตายแล้วไปเกิดก็ด้วยต้องอาศัยกำลังของกรรมนี่เองผลักดัน ทั้งมิได้สืบต่อไปแต่จิตอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ด้วยอำนาจของกรรมหรือตัณหานี้ยังมีอานุภาพสร้างรูปขึ้นในภพใหม่ได้ด้วย


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ร่างกายตามทฤษฏีไอน์สไตน์ และพระพุทธเจ้า

    ร่างกายของเรานี้ คือ รูปหรือวัตถุ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ย่อยให้เล็กลง ส่วนที่เล็กที่สุดได้แก่ปรมาณู ปรมาณูประกอบด้วยนิวเคลียร์อยู่ตรงศูนย์กลาง มีอนุภาคโปรตอน คือ ประจุไฟฟ้าบวก และมีอิเล็กตรอนประจุไฟฟ้าลบวิ่งวนอยู่รอบแกนกลาง แล้วยังมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งที่ไม่มีประจุไฟฟ้าเลย เรียกชื่อว่า นิวตรอน
    เมื่อว่าโดยรูปหรือวัตถุแล้ว ร่างกายของเรานี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากประจุไฟฟ้าหรือพลังงาน ตรงตามทฤษฎีของ ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์และนักคำนวณผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในขณะนี้ ซึ่งได้กล่าวว่า พลังงานก็คือสสารและสสารก็คือพลังงาน มันเป็นการน่าประหลาดมหัศจรรย์เพียงใดหรือไม่ที่ร่างกายโต ๆ ที่มองเห็นและสัมผัสได้ของคนเรานี้มาจากพลังงานที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ชั่งตวงก็ไม่ได้

    อาตมาได้กล่าวถึงรูปและวัตถุจากวิชาการทางโลกมาเล็กน้อยแล้ว อาตมาจะขอกล่าวถึงรูปหรือเรื่องวัตถุทางพระพุทธศาสนาใหท่านฟังดูบ้างว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงย่อยวัตถุทั้งหลายออกเป็นอย่างไร
    พระองค์สอนว่า เม็ดข้าวสารเม็ดหนึ่ง เมื่อแยกออกเป็น ๗ ส่วน ส่วนหนึ่งนั้นจะเท่ากับหัวของเหา ใน ๑ หัวของเหานี้ย่อยออกไปอีก ๓๖ ส่วน ๑ ส่วนก็จะเป็น ลิกขา ๑ ลิกขานี้ย่อยออกไปอีก ๓๖ ส่วน ๑ ส่วนก็จะเป็น รถเรณู ๑ รถเรณูย่อยออกไปอีก ๓๖ ส่วน ก็จะเป็น ตัชเชรี ใน ๑ ตัชเชรีนี้ย่อยออกอีก ๓๖ ส่วนแล้ว ๑ ส่วน นั้นจะเป็น ๑ อณู และ ๑ อณูนี้ย่อยออกเป็น ๓๖ ส่วน ๑ ส่วนนั้นก็จะได้แก่ ๑ ปรมาณู
    อาตมาไม่สามารถจะตอบได้ว่า คำว่า ๑ ปรมาณูของทางวิทยาศาสตร์กับ ๑ ปรมาณูของธรรมะนั้น แตกต่างกันเท่าใด แต่ขอให้ท่านลองคูณดุว่าทางธรรมะนั้นย่อยออกไปจากหัวของเหาจนถึงปรมาณูนั้น จะเป็นขนาดไหน ในขณะนี้เราไม่สามารถที่จะเห็นหรือถูกต้องได้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นรูปอยู่ คือเป็นรูปที่สุขุมละเอียดมาก และนอกจากนี้พระองค์ยังแสดงต่อไปว่า ใน ๑ ปรมาณูนั้น ทุก ๆ ปรมาณูโดยมิได้ยกเว้นย่อมจะมีธาตุ ปถวี อาโป เตโช วาโย ได้แก่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม (โปรดทำความเข้าใจในธาตุ ๔ ตามหลักพระพุทธศาสนาด้วย มิได้มีความหมายตรงไปตามตัวหนังสือ เช่น ธาตุน้ำ ก็ไม่ใช้น้ำที่เราดื่ม เพราะธาตุน้ำเป็นสุขุมรูป มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้เป็นต้น) แล้วยังมี วรรณะ คันธะ รสะ โอชะ คือ รูปร่างหรือสี มีกลิ่น มีรสและโอชะ (หมายถึงร่างกายย่อยให้เป็นประโยชน์ได้) ดังนั้น ๑ ปรมาณูจึงมี ๘ เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ และพระองค์ยังได้สอนต่อไปว่า ปรมาณูทั้งหลายเหล่านั้นหาได้ติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ แม้เราจะเห็นวัตถุใดเป็นแท่งทึบ ปรมาณูทุกปรมาณูย่อมถูกคั่นด้วย ปริเฉทรูป คือ ช่องอากาศหรือช่องว่าง นั่นคือ รูปทั้งหลายที่เราเห็นเป็นแท่งทึบนั้น แท้จริงมีรูปโปร่งโดยตรง
    พระองค์ทรงสอนเรื่องปรมาณู ก็มิได้มีความปรารถนาจะสอนให้ศึกษาวิชาสรีรวิทยา หรือให้ทำลูกระเบิดปรมาณูเพื่อจะได้ทิ้งใส่กัน พระองค์ปรารถนาจะชี้ให้เห็นถึงความไม่แน่นอนคงทนของรูป เพราะย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะมิได้หยุดนิ่ง อย่าได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจังมั่นคง และเพื่อไม่ให้หลงงมงายเชื่อเฉพาะที่ตามองเห็นเท่านั้น ถ้าเชื่อเพียงเท่านั้นก็จะได้ชื่อว่าโง่เขลา มองไม่เห็นความจริงของธรรมชาติ แล้วก็หาว่าธรรมชาตินั้นเจ้าเล่ห์เจ้ามายา และยิ่งกว่านั้น พระองค์ต้องการแสดงสภาวะของรูปเหล่านี้ว่า กรรมหรือตัณหาย่อมมีอานุภาพสร้างรูปอันประณีตนี้ในรูปของปรมาณู หรือในรูปของพลังงาน ในขณะที่ปฏิสนธิตั้งต้นขึ้นในภพใหม่ได้ด้วย
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สาเหตที่ควรทำอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลให้ชำนาญ

    ถ้าเดินทางไปยังที่ใดที่หนึ่งในเวลาค่ำคืนเดือนมืด ท่านก็จะต้องถือตะเกียงไปด้วย ท่านจึงจะเดินทางไปได้โดยสะดวก แต่ถ้าท่านเดินทางนี้บ่อย ๆ จนชำนาญเสียแล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องถือตะเกียงไป ท่านก็จะเดินไปได้ง่าย ๆ เกือบจะไม่ต้องคิดด้วยซ้ำว่าตรงไหนเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือตรงไหนจะรกจะคดเคี้ยว มีก้อนอิฐก้อนหินอยู่ที่ไหนอย่างไร ท่านก็จะก้าวข้ามหลบหลีกและเลี้ยวไปได้คล่องแคล่วโดยไม่ต้องการแสงสว่าง ทั้งนี้เพราะทางนี้เป็นทางเดินสะดวกเสียแล้ว เหตุนี้ ผู้ที่มรณาสันนกาลยังมิได้มาถึง ผู้ที่มฤตยูยังไม่ได้เรียกร้องถามหา หรือผู้ที่เห็นภัยร้ายแรงในวัฏฏะก็ย่อมไม่ตกอยู่ในความประมาท เขาจะพยายามทำอาจิณณกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลเข้าไว้ให้ชำนาญ ให้เป็นทางเดินสะดวกทุก ๆ คืน
    ก่อนจะนอนก็จะกราบพระเพื่อรักษาจิตที่กิเลสทั้งหลายได้เข้ามาเกลือกกลั้วตลอดวันมาแล้วให้สงบระงับเป็นสมาธิ จะตั้งจิตอธิษฐานขอให้พ่อ แม่ พี่ น้อง ครู อาจารย์ เพื่อนฝูง ไม่ว่าศัตรูหรือมิตรตลอดจนสัตว์ทั้งหลายจงอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงมีความสุขความเจริญ ขณะนี้จิตก็จะเป็นสมาธิ สะอาด บริสุทธิ์ขึ้น นิสัยเห็นแก่ตัวเพราะเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ติดมากับสัตว์ทั้งหลายก็จะหยุดยั้งลงชั่วขณะหนึ่ง กุศลก็จะประทับลงไว้ในจิต ฝุ่นละอองสีดำคล้ำทั้งหลายที่เข้ามายึดกันไว้ก็ได้ถูกฝุ่นละอองสีขาวบริสุทธิ์แม้เพียงเล็กน้อยปะปนเข้าไป ทำให้ความคล้ำนั้นไม่มืดมิดสนิทจริง ๆ ต่อจากการแผ่ส่วนกุศลแล้ว ถ้าทำสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานต่อไปอีก ๑๐-๓๐ นาที หรือ ๑ ชั่วโมง ก็จะเป็นประโยชน์มากที่สุดทั้งชาตินี้ชาติหน้า

     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=15 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle bgColor=#ffff99 height=61>ผู้ทำอกุศลมาก ๆ เสียใจกังวลเสมอ เป็นการสร้างอกุศล

    ผู้ทำอกุศลมาก ๆ บางคนเมื่อได้ศึกษาเข้าใจในสภาวธรรมแล้ว ก็มักมีความเสียใจในอกุศลที่ตนทำแล้ว ๆ นั้น มักจะครุ่นคิดเป็นกังวลว่าตัวจะได้รับโทษภัยในขณะจะตายหรือชาติหน้า การครุ่นคิดถึงเรื่องเช่นนั้นก็คือ เป็นการที่กำลังสร้างอกุศลขึ้นนั้นเอง เป็นการชักชวนอกุศล หรืออารมณ์อะไรที่ไม่เป็นที่พอใจหรือเจ็บใจ ที่เกิดแล้วดับแล้วให้เกิดขึ้นซ้ำเติมอยู่เรื่อย ๆ บางคนชอบเอาเรื่องเสียใจครั้งเก่า ๆ มาสร้างรูปแบบใหม่แล้วคิดเสียใจอยู่ทุก ๆ วัน เป็นการสร้างอกุศล สร้างทางเดินสะดวกให้แก่จิตใจ จึงไม่ควรกระทำ อกุศลที่แล้วควรจะคิดขึ้นเพียงครั้งหนึ่งคราวเดียวเพื่อเป็นบทเรียนเท่านั้น จะต้องหักใจทำลายลงได้เด็ดขาด
    ถ้าผู้ใดชอบคิดนึกอยู่จนชำนาญเสียแล้วจะเลิกได้ยาก ก็สร้างอารมณ์ที่เป็นกุศลทับถมให้บ่อย ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ก็จะช่วยได้มาก ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์ข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง บางคนก็ชอบคิดวาดภาพที่ไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ เช่นกลัวจะต้องถูกออกจากงาน กลัวจะอดอยาก กลัวครอบครัวจะเดือดร้อน กลัวเจ้านายจะดุ กลัวเพื่อนฝูงจะโกรธ กลัวจะอับอายขายหน้า กลัวคนรักจะทอดทิ้ง กลัวจะเจ็บป่วย ตลอดจนกลัวความตาย ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์เหล่านั้นยังมาไม่ถึง และส่วนมากบางทีก็ไม่เกิดขึ้นเลย แต่เป็นเพราะตัวชอบสร้างภาพขึ้นเองจนชำนาญเป็นเหตุ


    </TD></TR><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle bgColor=#ffff99 height=62>
    จริงอยู่ แม้ว่ามนุษย์จะฝังมั่นอยู่ในความกลัวทุกรูปทุกนามก็ตาม แต่ผู้ใดเข้าใจสภาวธรรม ผู้ใดมีศิลปะในการแก้ปัญหาของชีวิตอยู่บ้าง เรื่องเล็กน้อยที่จะทำอารมณ์ให้ขุ่นมัวก็ย่อมจะเกิดน้อย ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดีเพราะเป็นการฝึกจิตให้เกิดทางเดินสะดวก
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ถ้าเราทำชั่ว คดโกง เบียดเบียนให้เต็มที่ ภายหลังหมั่นสร้างอารมณ์ แก้ได้หรือไม่

    บางท่านอาจสงสัยว่า ความสำคัญของคนที่จะตายนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ตอนใกล้จะตาย ถ้าเช่นนั้นเราก็ทำชั่ว คดโกง คอร์รัปชั่น เบียดเบียนกันให้เต็มที่ แล้วภายหลังก็หมั่นสร้างอารมณ์แก้เสียก็สิ้นเรื่อง
    สำหรับข้อนี้ถ้าเข้าใจธรรมะอยู่บ้างแล้ว ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะรู้ว่า กรรมที่ทำมาแล้ว ๆ นั้นมิได้สูญหายไปไหน จะต้องให้ผลในวันหนึ่งจนได้
    แต่การที่คนได้กระทำความชั่วมาแทบล้มแทบตาย ครั้นเวลาจะดับจิตบังเอิญมาให้อารมณ์ที่ดีเข้าก็เลยไม่ต้องไปนรก ข้อนี้บางครั้งก็เป็นความจริงเพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในบั้นปลายของชีวิตนั้นก็เป็นกรรมเหมือนกันและกรรมนั้นเป็นผู้ส่ง แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อยนี้ก็จะนำไปสู่สุคติได้ในเวลาไม่มาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงตัวอย่างไว้เป็นอันมากในเรื่องนี้
    แต่อย่างไรก็ดีเราจะต้องแก้อารมณ์คนใกล้จะตายให้ดี ถึงแม้ว่าจะไปรับกรรมนั้นในเวลาอันสั้น เพราะอาจไปเกิดเป็นแมวไม่นานเท่าไรตายก็จริง แต่ทว่าแมวนั้นก็จะไปสร้างอกุศลกรรมจับหนูกินอยู่ตลอดเวลาชั่วชีวิตของมันเพิ่มอกุศลเข้าอีก

     
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ทฤษฏีของจิตทางพุทธศาสนา

    จิตจะเกิดขึ้นรับอารมณ์นั้น วิถีหนึ่งมี ๑๗ ขณะใหญ่ และ ๕๑ ขณะเล็ก เมื่อจิตเกิดขึ้นรับอารมณ์ ๑๗ ขณะดับลงแล้ว รูปก็จะดับ ๑ ขณะ เพราะรูปดับช้ากว่าจิตมาก เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดไป
    จิตมิใช่มันสมอง ทั้งจิตก็มิได้อาศัยอยู่ในสมอง มันสมองเป็นเพียงทางแสดงออกของจิตเท่านั้น แท้จริงจิตอยู่ภายในช่องหนึ่งของหัวใจทีสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายนั้นเอง คือ หทัยวัตถุ ที่อาศัยของจิตเป็นบ่อเล็ก ๆ โตเท่าเม็ดบุนนาค และมีน้ำสีต่าง ๆ ๖ สี ประมาณ ๑ ฟายมืออันเป็นการแสดงจริตหรืออุปนิสัยของผู้นั้น ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มาก ท่านผู้ใดสงสัยไปถามอาตมาได้ยินดี
    ที่ตั้งที่อาศัยอยู่ของจิต (มิใช่กล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมด) นั้นประกอบขึ้นมาได้ด้วยกำลังของกรรม กรรมที่เคยกล่าวมาแล้วว่าไม่มีรูปร่างหน้าตาตัวตนนั่นเอง ได้สร้างที่ตั้งอาศัยของจิต เรีย กัมมชรูป และกำลังของกรรมก็ปกปักรักษารูปนี้ไว้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ากรรมมิได้รักษาที่ตั้งที่อาศัยของจิตไว้แล้ว จิตก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะถึงแก่ความตายทันที สันนกาลตอนท้าย ๆ กัมมชรูปทำให้หทัยวัตถุ คือ รูปอันเป็นที่ตั้งอาศัยของจิตอ่อนกำลังลงเต็มที ที่ตั้งที่อาศัยหมดกำลังที่ทรงตัวอยู่ด้วยดีเหมือนกับรถไฟที่กำลังวิ่งมา ขณะที่ถึงสะพานข้ามแม่น้ำ สะพานข้าแม่น้ำชำรุดเสียแล้ว ดังนั้นรถไฟก็จะต้องชะลอฝีจักรลง มิฉะนั้นก็จะตกจากสะพานลงไป ขณะนี้ใกล้จะถึงความตายมาก คนไข้ถูกโมหะครอบคลุม ขาดสติ ความรู้สึกของคนไข้จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย อาจจะหมดลงและเมื่อถึงท้ายวิถีของมรณาสันนกาล กัมมชรูปก็เริ่มจะดับ คือ ตามธรรมดา กัมมชรูปย่อมจะดับ และเกิดทดแทนกันอยู่ทุกขณะจิต ครั้นแต่ถึงปฐม ภวังค์ของมรณาสันนวิถีไปจนถึงจุติ กัมมชรูปจะดับโดยไม่มีการเกิดทดแทนอีกเลย เมื่อถึงจุติติดกันนั้นก็ปฏิสนธิ ต่อจากนั้นจิตก็เป็นภวังค์
    กำลังของกรรมที่ส่งให้ไปปฏิสนธินั้น สืบเนื่องมาแต่มรณาสันนกาล เช่น ได้ยินเสียงพระสวดมนต์ จิตก็รับอารมณ์สวดมนต์ในมรษาสันนกาลเป็นตัวส่งให้ไปปฏิสนธิ เพราะยังมีกำลังมากกว่า ส่วนในมรณาสันนวิถีเป็นแต่รับอารมณ์กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต มาจากมรณาสันนกาลแล้วสืบต่อไปจนถึงจุติเท่านั้น และเพราะเหตุที่กัมมชรูปเริ่มดับโดยไม่เกิดอีกมาตั้งแต่ภวังค์ดวงที่ ๑ ในมรณาสันนวิถีจนถึงดวงที่ ๑๗ จุติ คือ ดับหรือตายจึงได้เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้อีกต่อไป ทิ้งแต่ซากศพเอาไว้
     
  18. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE cellPadding=15 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle width="88%" bgColor=#ffff99 height=61 rowSpan=5>เด็กอายุ 10 ปีเล่นดนตรีเก่ง / เด็กเหลือขอชอบขโมย

    เมื่อเราเห็นเด็ก ๆ อายุ ๑๐ ปี เล่นดนตรีได้เก่ง เมื่อเราเห็นเด็ก ๆ อายุ ๑๐ ขวดเขียนรูปได้ดี เราก็พูดว่า เขามีอุปนิสัย เราก็พูดว่าเขาได้ถ่ายทอดศิลปเหล่านั้นตามสายเลือดจากพ่อหรือแม่ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็ปู่ ย่า ตา ยาย คนใดคนหนึ่งซึ่งคงจะต้องมีคนหนึ่งจนได้

    นักอาชญาวิทยา นักจิตวิทยา หรือนักวิทยาศาสตร์ทางชีวภาพ เมื่อพบเด็กที่เหลือขอและชอบขโมย ก็จะกล่าวว่าเด็กคนนี้ได้สืบสันดานมาจากพ่อแม่ที่เป็นผู้ร้าย การที่เขาเป็นผู้ร้ายก็เพราะมีสันดาน หรือมีเลือดของพ่อแม่ของเขาติดมา ซึ่งความจริงนักอะไรต่อนักอะไรทั้งหลายเหล่านี้ ได้สืบสวนค้นคว้ามาได้แต่เหตุผลใกล้ ๆ ตื้น ๆ เผิน ๆ แค่เกิดมาเท่านั้นเอง เพราะเขายังไม่เข้าใจเลยว่าจิตนั้นคืออะไร สามารถสืบต่อกันไปได้อย่างไร เขาจะเข้าใจให้ถูกต้องได้สมบูรณ์ เพราะเขามิได้ศึกษาจากพระสัพพัญญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็จะให้ความเข้าใจของเขาถูกต้องสมบูรณ์ไม่ได้
    เพราะเขาได้เข้าใจผิดไปว่ามันสมองนั้นเป็นตัวจิต ซึ่งได้วิวัฒนาการมาแล้วนับจำนวนเวลาเป็นพันเป็นหมื่นล้านปี จนสามารถมีความคิดอ่าน จนจำทุกข์สุขได้ มนุษย์ทั้งหลายเกิดสืบต่อกันมาตามสายโลหิตจากสปอร์มาโตซัวของบิดาและโอวัมคือไข่ของมารดา และอุปนิสัยใจคอของเด็กจะสถิตอยู่ภายในยีนส์ซึ่งอยู่ในเซลล์นั้น ซึ่งเราได้ตรวจสอบค้นคว้ามาได้ และจากกล้องขยายหลายพันเท่าอันเป็นรูปหรือวัตถุ ซึ่งเขาจะรู้ได้แน่แต่ทางเดียวเท่านั้น

    </TD></TR><TR></TR><TR></TR><TR></TR><TR></TR><TR><TD class=white borderColor=#ffffcc align=middle width="88%" bgColor=#ffff99 height=62>
    กำลังพลังของตัณหา หรือกำลังของกรรม คือ เจตนา หรือความปรารถนาว่าสามารถส่งผลสืบต่อกันไปได้ เพราะจิตที่มีนิสัยในทางดนตรีก็โดยชาติที่แล้วมามีเจตนาอันรุนแรง เฝ้าอบรมฝึกหัดจนชำนาญด้วยใจรัก นิสัยอันนี้ก็สืบต่อมาถึงชาตินี้ ถ้าเราจะจับเอาเด็ก ๑๐๐ คน ที่ไม่มีนิสัยเช่นนี้มาฝึกหัดก็หาอาจฝึกหัดวิชาดนตรีให้เป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ แม้แต่สักคนหนึ่งหาได้ไม่ และถ้าเอาคน ๑๐๐ คน ที่ไม่มีนิสัยตลกคะนองมาแสดงเป็นตัวตลกคนทั้ง ๑๐๐ คน ที่ไม่มีนิสัยตลกคะนองมา แสดงเป็นตัวตลกทั้ง ๑๐๐ คน ที่แสดงอยู่ต่อหน้าเรานั้นก็จะทำให้รู้สึกสงสาร เพราะทำให้เราขบขันไม่ได้เลย

    แน่นอน ช่างเขียนที่สามารถ นักประพันธ์ที่มีคารมคมคายซึ่งประชาชนชอบอกขอบใจทั่วทิศ นักประดิษฐ์เรืองนาม นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ หรือตัวตลกลิเก ละคร ที่มีคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง หรือนักอะไร ๆ เหล่านี้จะไม่มีเลยที่จะฝึกฝนจนกลายเป็นบุคคลชั้นนำเพียงในชาตินี้ชาติเดียว ความจริงบุคคลเหล่านี้ย่อมมีวาสนาคือ ได้รับการอบรมมาแล้วหลาย ๆ ชาติทั้งนั้น และการที่เขาเป็นได้เช่นนั้นก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความปรารถนา เขาว่า กำลังของความปรารถนาแต่อดีตนั้น สามารถส่งผลให้จนถึงปัจจุบันและอนาคตได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE height=232 cellPadding=10 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD class=white width="91%" bgColor=#ffffff height=203>หากพยาบาท ผูกโกรธ

    เห็นหนอ...
    แล้วมาคิดหนอที่ลิ้นปี่ นี่เป็นการทบทวนว่าคนนี้เป็นศัตรูกับเรา มีอะไรดีกับเราไหม

    คิดหนอ...
    ปัญญาจะออกมาบอกว่า คนนี้เมื่อ ๓ ปีก่อน เขาเคยช่วยลูกเราเข้าโรงเรียน และบ้านนี้ คนนี้เคยทำอาหารให้เรารับประทาน คนนี้เคยช่วยเรามาก่อน ถ้าท่านคำนวณการได้ โดยคิดหนอดังนี้แล้ว ท่านจะไม่โกรธเขาเลย และจะไม่ผูกพยาบาทเขาอีกต่อไป จะสร้างศัตรูให้เป็นมิตร สภาพจิตของท่านจะมีแต่มิตรภาพ มีแต่ความดีร่วมกัน จะไม่มีอันธพาลในจิตใจของท่านเลย

    เราควรจะคิดหนอทบทวนครั้งอดีตที่ผ่านมา คนนี้เราโกรธเขา เราผูกพยาบาทฆาตพยาเวรเขา มันเป็นกฎแห่งกรรมนะ เราก็กำหนด โกรธหนอ ๆๆ ที่ลิ้นปี่ ต้องทบทวนคือ กรรมฐาน โกรธเดี๋ยวนี้ กำหนดเดี๋ยวนี้ที่ลิ้นปี่ ให้ทันปัจจุบัน อดีต อนาคตไม่เอา แต่ผู้ปฏิบัติไม่เคยทำ
    </TD></TR><TR><TD class=white width="91%" bgColor=#ffff99 height=13>
    โปรดให้อภัยซึ่งกันและกัน เพราะว่าผู้ที่ดีมีปัญญาจะเป็นพระอภัยมณี มณีคือแก้ว ถ้าจิตใจเป็นแก้วใสสะอาดแล้วจะให้อภัยเสมอ จะไปแห่งหนตำบลใดมีแต่ให้อภัย เดี๋ยวนี้คนเราไม่มีการให้อภัยกันเลย อาตมาบอกว่า ท่านไม่สำเร็จมรรคผล เพราะไม่มีแก้วสารพัดนึกอยู่ในหัวใจ เพราะใจขุ่น จะมีแต่ผูกโกรธ อิจฉา ริษยากัน ขาดความสามัคคีธรรม จะนำตัวขึ้นสู่สันติสุขได้ประการใด ความสุขความเจริญจะไม่มีในตัวท่าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วิธีหมดเวรหมดกรรม

    1. ถ้าเจริญกรรมฐานได้จริง หมดเวรหมดกรรมแน่ ท่านจะหมดเวรหมดกรรมที่ทำไว้
    2. ถ้าเรามาอโหสิกรรมได้นี้ท่านจะหมดเวรหมดกรรมแน่นอนที่สุด
    3. ไปลามาไหว้ อโหสิกรรมหมดเวรหมดกรรมกันได้ ไม่มีเวรกรรมติดตัวไปแน่นอน
    4. ถ้าโยมอยากหมดเวรหมดกรรม อย่าไปสร้างกรรมต่อไปเลย ใช้หนี้เขาไปเถอะ หมดแน่
     

แชร์หน้านี้

Loading...