คำสอนที่เตือนจิตใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 1 กรกฎาคม 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พระธรรม ของ พระพุทธเจ้า นั้น ไม่อาจค้นพบได้ ด้วย ตำรา ต่าง ๆ ถ้าท่าน ต้องการ จะ รู้เห็นจริง ด้วย ตัวของท่านเอง ว่า พระพุทธเจ้า ตรัส สอนอะไร ท่าน ไม่จำเป็น ต้อง วุ่นวาย กับ ตำรับ ตำรา เลย จง เฝ้าดู จิตของท่าน เอง พิจารณา ให้รู้เห็น ว่า ความรู้สึก ต่าง ๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และ ดับไป อย่างไร ความนึกคิด เกิดขึ้น และ ดับไป อย่างไร อย่าได้ผูกพัน อยู่กับ สิ่งใดเลย จงมี สติ อยู่เสมอ เมื่อมี อะไร ๆ เกิดขึ้น ให้ ได้รู้ ได้เห็น นี่คือทาง ที่จะ บรรลุ ถึง สัจธรรม ของ พระพุทธองค์

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
     
  2. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ก็ด้วยมนุษย์ ผู้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏนี้ อุปมาเปรียบดั่งบัว4เหล่า
    พระพุทธองค์ทรงมีปัญญาและรู้แจ้งในอนาคตกาลว่าเหล่าสรรพสัตว์หรือมนุษย์ทั้งหลายล้วนมีวิบากกรรมมาก พระพุทธองค์จึงได้ กำหนดให้มีการรวบรวมพระธรรม พระพุทธวัจจนะ พระพุทธโอวาท ต่างๆ ตลอดจนพระวินัย ซึ่งได้บัญญัติขึ้น พระองค์ได้แสดงธรรมและอุบายแห่งธรรมไว้มากมาย เนื่องด้วยเห็นว่า มนุษย์มีกิเลสมากน้อยและจริตสันดานต่างกัน

    สุดท้ายแล้วทางแห่งความหลุดพ้น มีทางสายเอกและมีสายอื่นๆให้เลือกเดินตามภูมิจิตและอนุสัยสันดานจริตที่เหมาะแก่แต่ละคนเอง จงเลือกมรรคาทางที่เหมาะแก่ท่านเถิด
     
  3. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    [๑๑] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้น อาสวะของภิกษุผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ เราไม่กล่าวความสิ้นอาสวะของภิกษุผู้ไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ความสิ้นอาสวะจะมีได้แก่ภิกษุผู้รู้อะไร เห็นอยู่อะไร ความสิ้นอาสวะจะมีได้แก่ภิกษุ ผู้รู้เห็นโยนิโสมนสิการและอโยนิโสมนสิการ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญขึ้น เมื่อภิกษุมนสิการ โดยแยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อาสวะ
    ที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึง ละได้เพราะเสพเฉพาะก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้นก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะเว้นรอบก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะบรรเทาก็มี <o:p></o:p>
    ที่จะพึงละได้เพราะอบรมก็มี.

    <o:p></o:p>
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมขอถามด้วยความไม่รู้ครับ ถามด้วยใจจริง ไม่มีเจตนาแอบแฝง

    1.อาสวะ แปลว่าอะไร?

    2.โยนิโสมนสิการ แปลว่าอะไร?

    3.มนสิการ แปลว่าอะไร?

    สาธุครับ
     
  5. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    โยนิโสมนสิการ
    สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามด้วยลักษณะแห่ง
    โยนิโสมนสิการว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้านาคเสนผู้ปรีชาญาณ และโยนิโสมนสิ-
    การนั้นมีลักษณะอย่างไร
    พระนาคเสนจึงวิสัชนาแก้ไขว่า โยนิโสมนสิการนั้น อุสฺสาหลกฺขโณ มีลักษณะให้อุต
    สาหะมีพยายามความเพียรประการ ๑ คหรลกฺขโณ มีลักษณะจะถือเอาให้ได้ เหมือนกับสัตว์
    เป็นต้นว่าแพะลาโคมหิสา ถึงจะผูกไว้ก็จะดิ้นไปกินหญ้านั้นประการ ๑ ขอถวายพระพร
    พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลนครจึงมีพระราชโองการถามว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประ
    เสริฐด้วยปรีชาญาณ ลักษณะปัญญานั้นอย่างไร
    พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในสิริ
    มไหศวรรย์ ปัญญานั้นมีลักษณะตัดให้ขาด ขอถวายพระพร
    พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นสาคลนคร มีพระราชโองการนิมนต์พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณ
    ให้กระทำอุปมา จึงตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประกอบด้วยปรีชาญาณ
    <!--001-->ลักษณะโยนิโสมนสิการ กับลักษณะปัญญา ที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนามานี้ โยมฟังยังคลางแคลง
    อยู่ นิมนต์อุปมาให้แจ้งก่อน
    พระนาคเสนจึงถวายพระพรอุปมาว่า มหาราช ดูรานะมหาบพิตรพระราชสมภารผู้
    ประเสริฐในศฤงคาร ลักษณะโยนิโสมนสิการกับลักษณะปัญญานี้ ถ้าจะเปรียบเป็นอันเดียว
    เหมือนเกี่ยวข้าว ลักษณะชาวนาเกี่ยวข้าวนั้น เขาทำประการใด
    อ้อ โยมเข้าใจอยู่
    มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในมไหศวรรย์ ชาวนาเกี่ยวข้าวนั้นเขา
    ทำอย่างไร
    อ้อ ชาวนานั้นเขาเอาเท้าเหยียบต้นข้าวไว้มิให้ขยาย วามหตฺเถน มือซ้ายหน่วงเอา
    รวงข้างนั้นมา ทกฺขิณหตฺเถน มือขวาจับเคียวเกี่ยวกระชากให้รวงข้าวขาดติดมือเบื้องซ้าย
    ชาวนาทั้งหลายเขากระทำอย่างนี้ โยมรู้อยู่
    มหาราช ดูรานะบพิตรผู้ประเสริฐในสิริมไหศวรรย์ ความนี้ฉันใด มือซ้ายที่ถือรวงข้างไว้
    ได้แก่โยนิโสมนสิการอันมีลักษณะถือเอา มือขวาที่ถือเคียวเกี่ยวรวงข้างตัดกระชากให้ขาดนั้น
    ได้แก่ปัญญาอันมีลักษณะตัดให้ขาด ด้วยประการดังนี้
    พระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี ได้ฟังพระนาคเสนอุปมาก็ทรงพระปรีชาชื่นชม ตรัสว่า
    พระผู้เป็นเจ้าอุปมานี้ กลฺโลสิ สมควรนักหนา สาธุสัตบุรุษผู้มีศรัทธาพึงเข้าใจเถิดว่า บุคคลที่
    ไม่เกิดอีกนั้นคือพระอรหันตขีณาสพ ท่านไม่เกิดอีก คือท่านสู่นิพพาน
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากเป็นไปได้ ขอคำแปลครับ ตอบเป็นข้อๆได้เลยครับ

    สาธุครับ
     
  7. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ยังไม่หยุด อยากรู้อีกหรือครับ

    ถามลุง กูเกิล ก็ได้ คำตอบเยอะไปโหมด

    [​IMG] [​IMG]
     
  8. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สรุปว่าไม่รู้ เลยไม่ตอบ ไม่เข้าใจ เลยอธิบายไม่ได้ ได้อ่านที่ผมตั้งกระทู้แล้วใช่ไหมครับ

    ที่ผมถาม เพราะผมต้องการคำตอบครับ ไม่ได้ต้องการคำอ้างอิง

    ขอโทษที่รบกวนครับ กับคำที่ผมได้ถาม

    สาธุครับ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คนกตัญญู เขาจะรู้ว่า ไม่ได้ ปฏิบัติธรรมมาเพื่อเป็น กาบดในครก

    ดังนั้น

    มันเป็นธรรมดา ที่จะต้องนำตำรามาแสดงบ้าง เพื่อยืนยันว่า พระไตรปิฏก
    ทุกพระสูตร เป็น ภาษาปฏิบัติ เป็น มรรค ไม่ใช่ ตัวหนังสือ ที่เอาประดับ
    หรือ เอาไว้เล็งเห็นว่า เป็นเครื่องประดับ จนกระทั่งไปแสดงความรังเกลียดตำรา

    *************

    จริงๆ แล้ว อีกหน่อย คนที่เขาปฏิบัติกันส่วนมากเนี่ยะ เขาจะทยอยเอาตำรา
    มาพูดแทนภาษาของตนทั้งหมด เพื่อให้ สงฆ์ทุกหน่วย ทุกองค์กร หาความ
    แตกต่างไม่ได้ เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ด้วย พุทธมนต์

    ดังนั้น ฝึกไว้บ้าง ก็ไม่เห็นเสียหาย ไม่ตกเทรนด์
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนากับความคิดเห็นครับ แต่ความเป็นจริงในทุกวันนี้ มีแต่คนเอาตำรา

    มาประดับเป็นความรู้ และ ยึดติด จึงเป็นเหตุให้ถกเถียงกันไม่รู้จักจบสิ้น

    สาธุครับ
     
  11. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413

    นี้ผมมี ญาณทิพ แน่ๆเลย รู้ว่าท่านต้องตอบกลับมาอย่างนี้ :cool:
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ต้องทำใจ

    ต้องหัดสละ

    ถ้าไม่ฝึกสละไว้ ไปสงวนรักษาตัณหา ก็ไม่แปลก ที่จะเห็นว่า การที่ทุกคน
    จะพูดตำราตรงพุทธวัจนะหมด มันเป็นเรื่องที่ ยอมรับไม่ได้ที่จะเกิดความ
    กลมเกลียวแบบนั้น

    แต่ถ้ามองดีๆนะ

    ระหว่าง ทุกคนต่างใช้คำพูดตน กับ ทุกคนเอาตำรา มาสาธยายใครจำได้
    ใครจำไม่ได้ อันไหน คือ บรรยากาศ ถกเถียง กันแน่

    ก็เข้าใจนะ พื้นที่มันจะเหลือน้อยให้กับ กาบดในครก

    มา ซ้อมๆ อ้างตำราไว้บ้าง ดีก่า ถึงเวลา จะได้ไม่เก้อ อินเทรนด์ไปเลย
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    เจ้าของกระทู้เป็นคนปัญญาน้อย มองไปสุดโต่งด้วยความรู้สึกตนเอง
    เพราะคนที่ถกกัน ด้วยการเอาตำหรับตำรามาถก ก็ต้องมองว่า เขารู้จักหยิบหรือเปล่า
    ถ้ารู้จักหยิบตำรามาก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องดี
    แต่ถ้าเอาภาษาปฏิบัติมาแต่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ก็หยิบมาแบบไม่รู้ แบบนี้ไม่มีสติปัญญา
     
  14. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ท่านรู้จัก อวิชชา อาสวะ อนุสัย มั้ย ว่ามันต่างกันอย่างไร
    ทำไมพระพุทธองค์จึงว่า อาสวะก่อเกิด อวิชชา อวิชชาก่อเกิด อาสวะ
    แล้วทำไม จึงเรียกกันว่า กิเลสตัณหา

    อธิบายแบบธรรมดา ง่ายๆ
    ท่านรู้จัก สันดาน หรือความเคยชิน มั้ย นั้นแหละ อนุสัย
    อะไรทำให้เกิดความเคยชิน และอะไรที่ทำให้ความเคยชิน มากขึ้น และอะไรที่ไหลออกมาจากความเคยชิน นั้น แหละ อาสวะ
    แล้วท่านเห็นมั้ยว่า อาสวะทำให้เกิดอะไรขึ้น ก็ตามืดบอดนะสิ เลยไม่รู้ความจริง ที่มันเป็นนะซิ นั้นแหละที่เขาเรียก อวิชชา
    แล้วท่านเห็นมั้ย ว่า ความมืดบอด ไม่รู้ความจริงนั้น ทำให้ อาสวะ มันไหลเข้ามาได้ นะซิ คราบ
    เห็นยังว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงว่า อาสวะก่อเกิด อวิชชา อวิชชาก่อเกิด อาสวะ

    หากท่านเข้าใจ เอาแค่เข้าใจพอ ว่า จิต และเจตสิก ทำงานกันอย่างไร เจตสิกประกอบ ด้วยอะไร หรือ สังขาร ประกอบด้วยอะไร ท่านก็จะเข้าใจ นมสิการ

    ส่วนโยนิโสนมสิการ นั้น เป็นการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ที่มีในสัญญา มาการทำ นมสิการ ที่เรียกกันว่า ปัญญา นั้นเอง คราบ

    ถูกมั้ยละเนี่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ ควรแล้วที่จะตอบตามความเข้าใจเช่นนี้ นี่จึงเรียกว่าอธิบายตามความเข้าใจ

    สภาวะที่ก่อเกิดนั้น จะหยุดการก่อเกิดได้ คือ ต้องปฎิบัติฝึกจิตให้สงบนิ่งเป็นนิสัย

    จึงจะพบสภาวะที่"ว่างเปล่า" และ เมื่อได้พบสาภวะที่ว่างเปล่าแล้วจะเข้าใจสภาวะที่เคลื่อนไหว

    สาธุครับ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้ว อาสวะ ที่ไหลมาปิด เพราะความเคยชิน ในการเบียดบัง พุทธพจน์
    หรือ ที่คุณพูดอย่างเดียดฉันท์ว่า "ตำรา"

    มันก็มาจากความมืดบอดในคุณ ของ "ตำรา" อันเกิดจากความเคยชินใน
    การพูดโดยผิดไปจากตำรา และเพราะว่า ผิดกันมาก เลยปฏิเสธเสีย เพื่อ
    ให้สมารถปกปิดความผิดพลาดบรรดามีไว้ได้

    อีกทั้งทำให้ ความเลื่อมใสต่อ พระพุทธองค์ ถูกอำพรางปิดบัง เพื่อที่จะได้
    เสวยความเลื่อมใสนั้นไว้เอง หากจะมีผู้มืดบอด และ ต้องการเบียดบังพุทธ
    วัจนะเหมือนกัน ก็จะทำให้ กลุ่มของตนเกิดขึ้น มีกำลังกล้าขึ้น

    แต่นะ...ก็บอกแล้วว่า การอ้างอิงตำรา ที่เป็น พุทธวัจนะแท้ๆ ล้วนๆ กำลัง
    อินเทรนด์ อีกทั้ง การเปิดโอกาสให้ธรรมชื่อ "สามัคคี" สามารถแผ่กระจาย
    ทั่วบริษัทของพระพุทธองค์ โดยไม่ต้องมีอรรถมารองรับก็ได้ มีแต่พยัญชนะ
    มารองรับก็ได้ ( หมายถึง คนที่กล่าวตำรา ไม่มี ความสามารถทางการปฏิบัติ
    ก็ได้ แต่ สงฆ์ก็ไม่แตกความสามัคคี ยัง นับ ชนเหล่านั้น เข้าพวกได้ ซึ่งเป็น
    บัญญัติในการ จัดการสังฆเภท ที่ประทานไว้ให้แก่บริษัท4 )

    ก็ลองๆ อ้างอิงตำราดูบ้าง ไม่เข้าใจ ถ้อยความในตำรานั้นทั้งหมด ก็ไม่เป็นไร
    เพราะ คนอื่นที่เขาไม่เข้าใจ เหมือนอย่างคุณๆ หรือ เราๆ ก็ย่อมมี ยอมรับว่าโง่
    ก็ถือว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง แต่เราจะไม่เอาความแตกต่าง ด้อยความรู้เหล่า
    นั้น มา ทำให้เกิดความแตกแยก แต่จะเอามาสาธยาย ให้เข้าใจกันตามกำลัง
    ไปเรือยๆ ซึ่งแน่นอน ตัวโง่ ย่อมโดนเสียดทาน แต่ ถ้า เป็นนักปฏิบัติแล้วละก้อ
    ตัวโง่นั้นถูกเสียดทาน นั่นแหละ ดี เราจะได้อาศัยรู้เห็นไปตามความเป็นจริง แต่
    ถ้าปฏิบัติไม่เป็น ไม่เป็นกลางต่อการเห็น ก็จไม่ยอมรับ ปฏิเสธร่ำไป

    ดังนั้น อย่าไปมองว่า "ความสามัคคีในหมู่สงฆ์ หรือ บริษัท จะไม่มี" ในนักปฏิบัติ

    ก็แค่อดทน มีขันติ นิดหน่อย ก็เห็นความสามัคคีมีอยู่ แม้นในภาพของความย้อนแย้ง

    การย้อนแย้ง ที่ทำให้เกิด ธรรมวาที อธรรมวาที ก็มีมาตั้งแต่สมัย พระพุทธองค์
    ยังทรงอยู่

    แม้กาลที่พระพุทธองค์ปรินิพพพานไปแล้ว ก็ยังมีการเกิด ธรรมวาที อธรรมวาที อยู่
    ไม่ได้หายไปไหน วิธีการจัดการ กับ ภาพแห่งการย้อนแย้ง ก็มีโดยปรกติ ......
    นี่เท่าที่จำได้ มีอรหันต์ท่านหนึ่ง ท่านถึงกับ "หนี" ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เหมือน
    กับเหาะหนีคณะสงฆ์ที่จะมาตามตัวท่านไปเป็นหัวหน้า ท่านก็หนีแล้วหนีอีก หนีไป
    ถึง 10 คราวเห็นจะได้ แต่สุดท้าย ก็รู้ว่า ไม่ต้องหนี ไม่ต้องปฏิเสธการ อ้างอิง
    พุทธพจน์ หรือ ตำรา

    ก็แค่ เปิดโอกาสให้ แต่หละฝ่ายพูดไปตามปรกติ นั่นแหละ แต่.....ฝ่ายที่กล่าว
    โดยไม่มี พุทธวัจนะพิสูจน์ หรือ อธรรมวาที ย่อม ถึงความอับจน ถูกกระชับ
    พื้นที่ ไปเอง

    ทั้งนี้เพราะ

    มรรคปฏิปทา ที่เป็น พุทธวัจน หรือ ตำรา ย่อมเป็นใหญ่กว่า ความเป็นอรหันต์ของสาวกทั้งปวง

    นั่นคือ ธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงชี้ และ วินิจฉัยไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากยังเห็นว่าเป็นประโยชน์ ที่นำมาถกเถียงเพื่อหาความเป็นจริงอยู่ ก็เชิญครับ

    แต่ผมเห็นการถกเถียงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์นั้น เป็นเพียงความขุ่นมัวเท่านั้น

    หากแต่หยิบยืนความเป็นจริงที่มีประโยชน์ ผมย่อมนอบน้อมด้วยดี ไม่โต้แย้ง

    ระยะเวลาในพระธรรมคำภีร์ ที่มีมาเป็นระยะเวลานาน ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมาย

    ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง หากยึดติดในตำราโดยไม่มองที่เหตุ และ ผล คงไม่ถูกต้อง

    ผมไม่เคยบอกว่า ไม่ควรที่จะศึกษาพระไตรปิฎก แต่ที่ผมนำคำครูบาอาจารย์มานั้น

    เป็นการเตือนไม่ให้ยึดติด จึงเรียนมาเพื่อแสดงออกอย่างชัดเจน

    สาธุครับ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การเมืองไทยที่บริหารในแนวทางประชาธิปไตย ถกเถียงกันทุกวันด้วยรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้น

    ไม่ต่างจากการถกเถียงของผู้ที่เรียกตนว่าปฎิบัติธรรม โดยนำพระไตรปิฎกที่มีบัญญัติขึ้น

    ผลลัพธ์ที่แสดงออกมา ไม่ได้แตกต่างกันเลย มองในมุมที่เป็นกลางจะเห็น และ เข้าใจ

    สาธุครับ
     
  19. TPC

    TPC เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ขาดไม่ได้นะโยม แต่ก็ให้เลือกเอาว่าจะเอาแบบไหน มาก น้อย ปานกลางแล้วแต่จริต แล้วแต่ความพร้อมของท่านทั้งหลายด้วยครับ

    ธรรมที่กล่าวมานั้นถูกต้องเป็นจริง ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้
    ขอบคุณทุกๆคำถามและคำตอบครับ ทำให้ได้รับความรู้ แนวคิด หลักธรรมต่างๆมากมายดีครับ ขอบคุณทุกๆท่านมากครับผม
     
  20. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ท่าทาง จขกท จะมีจิตมืดไปด้วยกิเลส จึงได้ติดอยู่กับเรื่องเดิมๆ ส่งจิตออกไปสอดส่ายหาความไม่ดีของคนอื่น ทั้งๆที่คนถกกันทางธรรมจะแบบใดก็ตาม นำไปสู่ความรู้อันเป็นครื่องนำความไม่รู้ออกไป เป็นเรื่องดี เพราะเขาไม่ได้ไปถกเรื่องลามก หรือเรื่องเพ้อเจ้อ

    จขกท คงต้องดูใจตัวเองว่า การที่เรามีจิตใจขุ่นมัวต่อต้านคนอื่นขณะนี้ มาจากแรงผลักดันจากความอิจฉาริษยาที่ไม่มีใครสนทนากับตนเองหรือไม่ ประเภทเด็กที่ไม่มีเพื่อนเล่นแล้วชอบแกล้งผู้อื่น ต้องสำรวจจิตใจตนนะว่า เราถูกผลักดันจากอกุศลหรือกุศล
    สุดท้ายหลอกตนเองว่าเราทำด้วย กุศล หลอกตัวเองว่าต้องการจรรโลงสังคม
    แต่แท้จริงโดนความริษยา ความไม่พอใจ ความโดดเดี่ยว ผลักดัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...