คำพยากรณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดในประเทศไทยภายในปีนี้

ผมได้คิดอยู่นานว่าจะสมควรจะเอาเรื่องนี้มาบอกต่อๆกันดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งพิมพ์ข้อความนี้ขึ้น(ถึงแม้ช่วงนี้ค่อนข้างจะยุ่ง) เพราะคิดว่าจะสามารถใช้เป็นแง่คิดในทางธรรมะแก่ผู้คนที่ไม่เข้าใจในเรื่องการเตรียมตัวเกี่ยวกับมหันตภัยที่จะเกิดขึ้น แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกกันก่อนนะครับว่าจุดประสงค์ที่ผมนำเรื่องนี้มาบอกนั้นไม่ได้ต้องการสร้างกระแสหรืออยากเด่นดังอะไร ข้อมูลทั้งหมดผมได้รับฟังการบอกกล่าวมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์วัดป่าที่ผมเคารพทั้งนั้น ผมเป็นแค่ผู้ที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง แต่จะขอกล่าวเสริมเป็นการส่วนตัวในส่วนของธรรมะเพื่อเป็นหลักในการที่จะให้ทุกท่านได้มีความเข้าใจและเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดได้อย่างถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ดีผมขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อของครูบาอาจารย์ท่านนะครับ เพราะไม่ต้องการให้ท่านต้องวุ่นวาย อีกอย่างหากใครไม่เชื่อก็อาจจะไปปรามาสท่านได้ ซึ่งก็จะเป็นบาปเป็นกรรมไปเสียเปล่าๆ ดังนั้นหากมีอะไรที่ผิดพลาดยังไงก็ขอให้มาประนามที่ตัวผมแทนนะครับ


จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งที่ญี่ปุ่นและที่พม่านั้น หากใครได้เคยอ่านข้อความบางส่วนในกระทู้ที่ผมเคยตั้งและตอบมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ตลอดจนใน Facebook ของผม ก็จะมีเรื่องที่ผมบอกกล่าวเกี่ยวกับสิ่งพวกนี้ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้บอกเอาไว้ล่วงหน้าทั้งนั้น



<O

ล่าสุดผมได้มีโอกาสกราบเรียนถามท่านว่าสิ่งที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้นั้นจะร้ายแรงประการใด สิ่งที่ท่านเมตตาบอกมาก็ประมาณว่า เร็วๆนี่จะเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศศรีลังกา ซึ่งตรงนี้ท่านไม่ได้ระบุได้ชัดเจนว่าเมื่อไหร่ แต่ที่สำคัญก็คือ..หลังเดือนพฤษภาคมปีนี้ แผ่นดินไหวที่พม่าจะเกิดอีกและหนักกว่าเดิม น่าจะประมาณ 8-9 ริกเตอร์ เมื่อเกิดที่พม่าแล้วถึงจะเข้าประเทศไทย ทั้งเชียงใหม่และทะเลฝั่งอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน ช่วงปีนี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่หากเกิดทั้งแผ่นดินไหวและสึนามิ
<O

เหตุผลที่ผมนำเรื่องเหล่านี้มาบอกนี้มิได้เพื่อเป็นการที่จะให้ตื่นตระหนกแต่ประการใด แต่จุดประสงค์หลักก็เพื่อที่จะให้ทุกท่านได้ถามตัวเองว่า หากสิ่งร้ายแรงเหล่านี้เกิดขึ้นจริง..ท่านได้เตรียมตัวกับมหันตภัยและความไม่แน่นอนของชีวิตที่จะเกิดขึ้นโดยการสร้างบุญและคุณงามความดีไว้มากพอในชีวิตนี้หรือยัง? ท่านคิดว่า ณ ขณะนี้ท่านเก็บเสบียงธรรมทางศีล สมาธิ และปัญญาไว้มากพอสมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้แล้วหรือไม่? เพียงพอที่ท่านจะนำไปใช้ในการเกิดในสุขติภูมิเพื่อเสวยสุขและสร้างบารมีในชาติภพต่อๆไปหรือไม่? ที่ถามเพราะที่ผมสังเกตในทุกๆวันนี้ คนส่วนมากก็ยังประมาทมัวเมากับชีวิตอยู่ คิดว่าทุกอย่างในชีวิตจะเที่ยงและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ คิดว่าเมื่อแก่แล้วค่อยทำบุญปฏิบัติธรรมก็ได้ หลายคนก็ยังคงยึดติดกับกองกิเลสตัณหาทั้งหลาย เสพสุขกับบุญเก่าที่ได้เสวยในชาตินี้โดยไม่ได้สร้างบุญใหม่เพิ่ม มัวแต่เอารัดเอาเปรียบ อวดอ้าง อิจฉาริษยา ดูถูกผู้คนไปวันๆ ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตนเองกำลังใช้บุญเก่าอย่างสุรุ่ยสุร่ายแบบน่าเสียดาย

ประเด็นที่นำเรื่องนี้มาบอกก็ไม่ได้ที่จะให้ท่านเชื่อหัวปักหัวปำจนขาดสติ ดังเช่นข่าวที่มีผู้คนเชื่อพระรูปหนึ่งแล้วอพยพหนีไปสร้างบ้านหรูบนเขากัน จริงๆทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของกรรมจัดสรรทั้งนั้น ถ้าคนจะตายถึงเวลาก็ต้องตาย จะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ต้องมีเหตุที่จะต้องตาย จะหนีอะไรก็หนีได้ แต่ไม่มีทางที่จะหนีกฏแห่งกรรมได้ ซึ่งต่างกับคนดีมีศีลธรรมที่ดวงยังไม่ถึงฆาต แม้จะอยู่ท่ามกลางเปลวไฟหรือลอยคออยู่กลางมหาสมุทรที่เว้งว้างก็จะต้องมีปาฏิหารย์หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วยให้แคล้วคลาดจากวิบากนั้นไปได้ ผู้ที่ยังไม่ถึงฆาตเนื่องด้วยบุญที่ตนเองได้สร้างไว้นั้น..แม้จะอยู่ในใจกลางของจุดที่จะเกิดมหันตภัย ก็จะมีสิ่งมาดลใจให้รอดพ้นจากวิกฤติได้อย่างน่าอัศจรรย์<O

อย่างมหันตภัยที่จะเกิดขึ้นนั้นก็เช่นเดียวกัน อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือถูกเลื่อนออกไปอีกก็ได้ เพราะทุกอย่างล้วนอาศัยตัวแปรในการอุบัติทั้งสิ้น ตัวแปรที่สำคัญเกี่ยวกับการที่จะเกิดมหันตภัยก็คือ "กรรมโดยรวมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น" มหันตภัยจะเกิดเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้นหากคนในพื้นที่โดยรวมประกอบกรรมชั่วกันมากขึ้น จริงๆแล้วเหตุกรณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะต้องเกิดขึ้นกับตัวเมืองเชียงใหม่เหมือนกันเมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งทางวัดก็ได้เตรียมสำรองปัจจัยไว้ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมช่วยเหลือผู่ที่จะประสบภัยในครั้งนั้น แต่เนื่องจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทางภาคเหนือท่านรู้ว่าจะมีพระโพธิสัตว์มาอุบัติ ณ ช่วงเวลานั้น ได้มีพ่อแม่ครูอาจารย์ 3 องค์เสียสละนำสังขารท่านเข้ารับ เพื่อผ่อนผันแผ่นดินไหวให้เลื่อนออกไปอีกระยะ ซึ่งการทำเช่นนั้นส่งผลให้ท่านทั้ง 3 องค์ต้องอาพาธหนักเอาการ และการเลื่อนนั้นท่านบอกว่าอาจจะมิใช่เป็นการดี เพราะหากผู้คนยังประกอบกรรมชั่วอยู่ การเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงใหม่ครั้งต่อไปก็จะต้องหนักหนาสาหัสกว่าที่ควรเป็น<O

อย่างไรก็ดี ที่กล่าวมาอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะบอกให้ทุกคนอยู่รอความตายโดยไม่ทำอะไรกันนะครับ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการใช้ประกอบคุณงามความดีช่วยเหลือผู้อื่น หากมีโอกาส เราควรจะต้องรักษาชีวิตไว้เพื่อใช้สร้างบารมีตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต แต่การที่จะรักษาชีวิตให้รอดนั้นจะต้องไม่ใช่โดยการเบียดเบียนหรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ที่อยากจะบอกจริงๆ ก็คือว่า หากสุดท้ายแล้วท่านจะต้องตายจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่านพร้อมแล้วหรือยังที่จะยอมรับและรับมือกับความตายนั้น จริงๆแล้วชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนนัก พ่อแม่ครูอาจารย์ได้สอนไว้ว่าชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรเที่ยงเลยนอกจากความตาย ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย อยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แม้ฮ่องเต้จะสามารถได้ยาที่เสวยแล้วมีอายุยืนเป็นหมื่นๆปีได้จริงตามที่ทรงปรารถนา สุดท้ายพระองค์ก็ต้องตายอยู่ดี จริงๆหากใครได้เคยพิจารณาธรรมมาอย่างดีก็มักจะรู้ว่าตลอดชีวิตเรานั้นตายมาแล้วไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ชีวิตเกิดมานับชาติไม่ถ้วนตายมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ร้องไห้แทบขาดใจกับการพลัดพรากจากไปของพ่อแม่ครอบครัวและคนรักมาแล้วนับไม่ถ้วน หมดชาตินึงก็ลืม ลืมแล้วก็กลับมาเกิดใหม่ เพื่อผจญกับเรื่องแบบนี้อีกในชาติต่อไปวนเวียนซ้ำๆซากๆน่าเบื่อ อะไรร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในชาตินี้ก็ล้วนแต่เคยเกิดขึ้นในอดีตชาติมาแล้วทั้งนั้น Pattern ของชีวิตก็เป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ นี่หละนะที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ท่านจึงคอยพร่ำสอนพวกเรามาตลอดให้เบื่อหน่ายคลายเมาในวัฏสงสาร พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่าน้ำตาในทุกชาติทุกภพของพระองค์ที่ต้องหลั่งเพราะความเศร้าโศกนั้นเมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนมากกว่ามหาสมุทรทั้งหกเสียอีก เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปที่ใดก็ต้องทรงสลดสังเวสเมื่อได้ทรงทราบว่าไม่มีดินที่ใดเลยแม้แต่ตารางธุลีเดียวซึ่งไม่มีกระดูกของพระพุทธองค์ในชาติก่อนๆฝังอยู่<O

การเข้าใจในจุดนี้จะทำให้เราเห็นว่าที่แท้จริงนั้นความตายนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัวแต่ประการใดเลยโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในคุณงามความดี เพราะการตายในชาติภพนึงนั้นจะส่งผลให้พวกเขาไปอยู่ในภพที่สูงขึ้นในชาติต่อๆไป โดยมีมนุษย์ สวรรค์ และพรหมโลกเป็นต้น เพื่อเสวยผลบุญและต่อเติมคุณงามความดีจนกระทั่งสามารถตัดขาดจากวงวรการเกิดตายได้เด็ดขาด แต่กระนั้นก็ตาม..ความตายก็อาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวได้สำหรับผู้ที่ก่อกรรมทำชั่วและไม่ค่อยได้สร้างกรรมดีเท่าที่ควร เพราะนั่นหมายความว่าโอกาสทองในการที่จะได้สร้างบารมีในชาติภพที่เป็นมนุษย์นี้ได้จบลงแล้ว ที่เหลือก็คือการไปเกิดในอบายภูมิซึ่งมีนรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน เป็นต้น เพื่อรับผลกรรมที่ตัวเองก่อขึ้นในชาตินี้อย่างทนทุกข์ทรมาน และอาจจะไม่มีโอกาสสร้างความดีได้อีกเลยเป็นเวลานานแสนนานจนกว่าจะรับกรรมหมด กวีจีนนั้นได้เปรียบความตายเป็นคำคมว่า “หนักเหมือนขุนเขา เบาอย่างปุยนุ่น” การเปรียบเทียบอย่างนี้ในทางธรรมก็คือ หนักสำหรับผู้ทุศีล และเบาสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในคุณงามความดี ดังนั้น ผู้ที่เจริญ “มรณานุสติ” หรือการพิจารณาถึงความตายอยู่เนืองๆจนชำนาญจึงมักไม่ประมาทในชีวิตเลยแม้แต่วินาทีเดียว พวกเขาจะตระหนักอยู่เสมอในการสร้างคุณความดีละเว้นชั่วทุกลมหายใจ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้เป็นของเปราะบางและสามารถที่จะแตกดับได้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตาย จิตของพวกเขาจะสงบ ปล่อยวาง และไม่หวั่นไหว ส่งให้สามารถไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี ผิดกับผู้ที่กลัวความตายและไม่เคยเตรียมพร้อมกับเรื่องความตายเลย เมื่อถึงเวลาที่จะตาย จิตของพวกเขาจะต่อต้าน ทุรยทุราย นี่คือสิ่งที่น่ากลัว เพราะนั่นหมายถึงการที่จะต้องจบลงด้วยการไปอบายภูมิอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ละโลกนี้ไปในขณะที่จิตเศร้าหมอง ทุคติสำหรับผู้นั้นเป็นอันหวังได้


<O
สิ่งที่ผมอยากจะบอกกล่าวเป็นสิ่งสุดท้ายก็คือ เวลาที่เหลือตอนนี้ อยากให้ทุกคนสร้างทั้งบุญภายนอกและภายในให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ผมเชื่อนะครับว่าการหมั่นถือศีลเจริญภาวนาและขออำนาจคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง จะสามารถช่วยให้เราพ้นจากเรื่องร้ายต่างๆ ที่จะเกิดในอนาคตได้ อย่างน้อยหากจะต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายจริง ก็ทำให้ใจเราไม่ไปยึดกับความทุกข์นั้นมากจนเกินไป<O

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผมนำมาบอกกล่าวนี้จะพอเป็นแง่คิดให้หลายๆท่านได้พิจารณาในการใช้เวลาของท่านที่เหลืออยู่ในภพภูมิมนุษย์นี้ในการประกอบคุณงามความดี โดยเฉพาะผู้ที่อาจจะยังไม่เคยสร้างบุญกุศลใดๆไว้เลย นี่อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่ท่านในการที่จะกลับตัวเข้าหาทางธรรมเพื่อใช้ภพชาติของมนุษย์ได้อย่างคุ้มค่า โดยส่วนตัวผมแล้วคิดว่า “บางครั้งวิกฤติก็สามารถถูกมองเป็นโอกาสได้” ขึ้นอยู่กับมุมมองของคน การเกิดภัยพิบัติอาจจะเป็นช่วงพลิกผันสำหรับคนหลายๆคนที่เคยมีความเห็นผิดให้เข้าสู่กระแสทางธรรมได้ และก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับบางคนที่ต้องการสร้างบุญบารมี โดยเฉพาะผู้มีจิตของพระโพธิสัตว์ ในการเสียสละช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยโดยที่ไม่คิดถึงตัวเอง ดังนั้น..สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้วครับ เริ่มจากการทำจิตใจให้เป็นกุศล รู้จักให้ทานด้วยจิตที่เมตตาแทนที่จะทำเพื่อหวังผลประโยชน์ พยายามเริ่มรักษาศีล 5 ให้เคร่งครัดมากขึ้น อยากให้แบ่งเวลาที่อาจจะใช้อย่างสูญเปล่าในแต่ละวันมาใช้ในการปฏิบัติธรรมบ้าง เช่นเอาเวลาที่ใช้นั่งดูละครทีวีตบตีแย่งชิงมานั่งดูลมหายใจตัวเองบ้าง แบ่งเงินที่จะเอามาใช้ชื้อของหรูหราฟุ่มเฟือยสนองกิเลสตนเองมาทำบุญช่วยเหลือผู้อดอยากยากไร้บ้าง หาเวลาไปฝึกนั่งสมาธิที่สำนักกรรมฐานต่างๆบ้าง

เรื่องมหันตภัยนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่แม้ว่ามันจะไม่เกิดตามที่พยากรณ์ไว้ก็ตาม การที่เราจะรับมือกับมันโดยอาศัยธรรมะเป็นแนวทางปฏิบัตินั้น สุดท้ายก็เป็นมงคลกับเราเอง อย่างน้อยก็ทำให้เรารอดพ้นจาก “มหันตภัยอบายภูมิ” ได้อย่างแน่นอน

ไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่าผมเทศน์ซะยาวเหยียดเลย อย่างไรก็ตามหากเห็นว่าสิ่งที่ผมแสดงนี้มีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้นะครับโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างถึงผมแต่ประการใด ทุกอย่างที่ผมนำมาบอกกล่าวทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นของกลางทั้งนั้น เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ผมศึกษาและจำมา บวกกับความเห็นส่วนตัวของผมเล็กน้อย ผมก็แค่เสียสละเวลามานั่งพิมพ์เป็นธรรมทานเท่านั้น

ขอทุกท่านจงมีสติและเจริญในธรรม
<O

เรื่องเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ

เสียงอ่าน "บทกลอนบอกเตือนภัยพิบัติโลก" - Buddhism Audio


หลังจากที่ผมได้นำข้อความนี้มาลง มีหลายคงมากที่พยายาม add เข้ามาใน Facebook ผม ตรงนี้ผมขออนุญาตไม่ขอเพิ่มใครลงไปนะครับ อย่างที่ผมบอกมาแล้วว่าผมแค่เอาสิ่งที่ผมได้มีโอกาสฟังจากพ่อแม่ครูอาจารย์มาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ได้ข้อคิดในการที่จะใช้ธรรมะในการรับมือกับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้ต้องการที่จะทำตัวเด่นให้ใครมาคอยติดตามแต่อย่าใด อย่างไรก็ดี..หากผมได้มีโอกาสได้รับข้อมูลจากครูบาอาจารย์อีกผมจะนำมาบอกกล่าวในกระทู้อีกทีครับ

 

อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอทุกท่านได้โปรดกรุณาใช้วิจารณญานและสติปัญญาในการพิจารณาเรื่องที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนะครับ อย่าได้เชื่อโดยขาดเหตุผล

 

จาก......นิรนาม อีกแล้ว

 

ผมก็ได้อ่านมา 2-3 ที่ว่า จะเกิด ช่วงหน้าฝน ไม่ก็เดือน พฤษภาคม นี้หละ
งั้นมาช่วยกันเหยีบเท้าสฟิงค์ดีกว่า เผื่อจะช่วยได้ซักนิด จะได้เลื่อนๆไป 2012

 

ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆ

 

เข้ามาศึกษาครับ ชีวิตต้ิองสู้

 

Thank you จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

 

ตอนนี้อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน..จงมีสติและอย่าประมาทเป็นดีที่สุด...

 

ขอบคุณสำหรับข่าวสารและความปราถนาดีต่อกันครับ

 

ส่วนตัวแล้วเชื่อเรื่องภัยพิบัติสุดใจเลย..แล้วก็อยากให้มันเกิดเร็วๆด้วย จะได้จบๆกันไป
ตอนนี้ดิฉันเรียนโทอยู่ด้วย รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองมาก..ไม่อยากได้แล้วเรื่องสมมุติชัดๆ
ขอบคุณมากที่นำมาบอกกันค่ะ, เรื่องน้ำท่วมแผ่นดินไหวกลัวเหมือนกัน แต่กลัวที่สุด
คือ ภัยนิวเคลียร์ ค่ะ

 

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ช่วยเตืือนสติและปล่อยวางได้มากเลย อย่างไรก็ตามอนุโมทนาสาธุกับบทความดี ๆ ด้วยค่ะ

 

ผมปล่อยวางแล้วครับ มีความสุขไปวันๆพอ

แต่ก็ไม่ค่อยจะมีความสุขน่ะ หุหุ

 

เมื่อสติมา ปัญญาเกิด จงใช้สติให้มาก จะผ่านพ้นได้ทุกปัญหา หมั่นสมาทานศีล สะสมบุญ ขอขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ

 

อนุโมทนาสาธุ ขอบคุณมากๆ ค่ะที่เขียนบทความนี้ให้ได้อ่านกัน ช่วยเตือนสติได้ดี อยากแบ่งปันให้พ่อแม่พี่น้องได้อ่านบ้าง ^_^

 

ผมขออนุโมทนาด้วยนะครับที่ท่านมีความคิดที่เป็นกุศลแบบนี้ อย่างที่ครูอาจารย์บอกไว้ว่าทุกอย่างขึ้นกับกรรมโดยรวมของคนในพื้นที่ หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันสร้างกรรมดี ทุกอย่างก็จะสามารถเบาบางได้จริงครับ

 

คิดอย่างนี้ไม่ถูกนะครับ เรามีหน้าที่อะไรก็ควรทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ การศึกษานั้นเป็นสิ่งดีหากเรานำมาเพื่อใช้พัฒนาสังคม เราไม่ได้เรียนสูงๆไปเพื่อใช้ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นซักหน่อย เรื่องที่จะเกิดมันก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ อย่าได้เอามาเป็นปัจจัยให้เลิกล้มความตั้งใจในการเรียนเลยครับ ใครจะรู้ว่าถึงเวลาหากภัยพิบัติเกิดจริง สังคมอาจจะต้องการผู้มีความรู้อย่างคุณไว้เพื่อสอนคนรุ่นต่อๆไปที่รอดพ้นจากมหันตภัยก็ได้ ประเด็นคือคุณต้องหมั่นสร้างคุณงามความดีเอาไว้ให้มากๆ เจริญภาวนาให้มากๆ นะครับ

 

อนุโมทนาค่ะ

โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่าน่าจะเกิดในเร็วๆนี้แน่นอนค่ะ

ดูจากสภาพอากาศแบบนี้ เกิดมายังไม่เคยเจอเลยค่ะ

 

ทางโลกต้องเดินไป..
ทางใจให้มีสติ..
ถือพร้อมที่จะปล่อยวาง..
แยกหน้าที่กาย..หน้าที่จิต..
สุดท้ายชีวิตนิรันดร์..นิพพาน..

อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านที่อยู่ในธรรม..
สาธุ..สาธุ..สาธุ..

 

ขอบคุณครับ อนุโมทนาด้วยกับบทความดีๆ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ใน email นะครับ

 

ขออนุโมทนาและขอขอบคุณกับบทความดีๆค่ะ...พยายามปฏิบัติอยู่...ให้ทาน...รักษาศีล...แต่เจริญสมาธิปัญญาไม่ก้าวหน้าเลย...จะพ้น...ไมีเนี่ย!!!