คำถามเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของโลกหน้า เพราะได้ยินเรื่องหนึ่งมาครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 17 พฤศจิกายน 2010.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ออกตัวก่อนว่า การตั้งกระทู้นี้เพื่อถามในสิ่งที่ต้องการรู้ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่หรือปรามาสท่านใด รวมถึงไม่ต้องการให้เกิดดราม่าใด ๆ ด้วย รบกวนทุกท่านตอบตามที่เข้าใจนะครับ และหากผู้ดูแลเห็นว่าไม่สมควรช่วยลบให้ด้วยครับ

    เมื่อวานผมได้ไปกินข้าวผู้ใหญ่ท่านนึงที่นับถือ ซึ่งท่านเคยได้สนทนากับพระองค์หนึ่งที่มรณภาพไปแล้ว ผู้ใหญ่ท่านนี้กล่าวถึงคำสอนที่พระท่านนี้สอนว่า จริง ๆ แล้ว เรื่องโลกนี้ โลกหน้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน เรื่องดังกล่าวเป็นความเชื่อของพราหมณ์ ซึ่งมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้แล้ว และถูกผนวกเข้ากับศาสนาพุทธ

    ผมฟังแล้วก็อึ้ง เพราะว่าในพระไตรปิฏกก็ได้มีกล่าวถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ นรก แต่พระผู้ใหญ่ท่านนี้กลับพูดว่าเรื่องดังกล่าวพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ผมเลยมีคำถามดังนี้ครับ

    1. ถ้าโลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ นรก ไม่ได้มีอยู่จริง แต่บาปกรรมมีอยู่จริง แล้วการสนองต่อกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าทุกคนเกิดมาชาติเดียวแล้วจบไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด มันดูขัดกันแปลก ๆ ในความคิดผมครับ

    2. ถ้าอิงตามพระไตรปิฏก ก็ได้ความว่าพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่พระไตรปิฏกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้รับการเขียนเพิ่มเติม + แก้ไขมาแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อความในนั้นเป็นใจความที่พระพุทธเจ้าต้องการสื่อโดยไม่มีความคิดเห็นคนอื่นใส่เข้าไปแล้วอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ (เหมือนเรื่องที่ท่านประสูติแล้วทรงเดิน 7 ก้าว ที่มีคนถกกันอยู่ในตอนนี้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นปาฏิหารย์ที่แต่งขึ้นเพื่อดึงคนในยุคนั้นเข้าศาสนาพุทธ)

    3. ถ้าโลกนี้ โลกหน้า โลกหลังความตายทั้งหมดมีอยู่จริง แล้วการที่พระท่านนั้นได้พูดออกมาว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องดังกล่าวนั้น ท่านรู้อะไรมาจากไหนครับ หรือว่าท่านเห็นในมุมของท่านที่คนทั่วไปไม่เห็นจริง ๆ ครับ

    4. ถ้าโลกดังกล่าวไม่มีอยู่จริง แล้วการที่มีคนปฏิบัติธรรมหลายคนได้เห็นโลกดังกล่าวมา คืออะไรครับ

    ขอบคุณครับ
     
  2. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เข้าgoogleแล้ว search"พุทธศาสนาจากพระโอษฐ์"แล้วเข้าไปอ่านนะครับท่าน
     
  3. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    หาคำว่ามิจฉาทิษฐิด้วยนะครับ
    คำว่าสัทธรรมปฏิรูปด้วย
    แล้วก็คำสัมมาทิษฐิด้วยนะ
     
  4. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    โดยส่วนตัวคิดว่า
    1 ตายไปมีบุญมากจิตวิญาณน่าจะไปอยู่เหนือมิติบนโลกคือสวรรค์ จิตมีบาปมากจิตก็จะตกไปอยู่ระนาบมิติใต้โลกคือนรก ,สวรรค์ น่าจะเป็นมิติที่เย็น โปร่ง สว่าง นรกก็ ร้อน อึดอัด มืด
    2 ไม่มีใครบอกได้หรอกครับ ว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องผ่านไปนานแล้ว บวก ตัดทอนได้เสมอหรือของจริงแท้ๆก็เป็นไปได้หมด แต่ความคิดเห็นของพระที่มีอภิญญา บรรลุธรรมจริงๆ ก็พอจะเชื่อได้ครับ แต่100เปอร์จริงๆ คงยาก
    3 อันนี้่ไม่รู้ครับ คิดไม่ออก อิอิ
    4 ผมคิดว่าสวรรค์ นรก มีจริงแต่คงไม่มีรูปลักษณ์ที่ตายตัว แต่ละที่เห็นไม่เหมือนกัน
    แล้วแต่เราจะสร้างสวรรค์แบบไหนขึ้นมา เช่นของไทยแบบนี้ จีนก็อีกแบบ ฝรั่ง
    แขกก็อีกแบบ ไม่เหมือนกันเลย
     
  5. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    อนุญาตตอบนะครับ ผมว่าตอบง่ายมากเลยทั้งสามข้อ เป็นคำถามของท่านที่ศึกษามาทางศาสนศาสตร์ แนวพุทธปรัชญา ที่เค้าเรียนกันอยู่มากมายตอนนี้
    ถ้าโลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ นรก ไม่ได้มีอยู่จริง
    อันนี้เรียกว่า นัตถิกทิฏฐิ คือ เชื่อว่าโลกนี้ โลกหน้า ไม่มี สวรรค์-นรก ไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    แต่บาปกรรมมีอยู่จริง แล้วการสนองต่อกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    ไม่ต้องถามเรื่องวิบากหรือผลของกรรมซิ เพราะโลกนี้ยังไม่มี บาปกรรมที่หมายถึงก็ต้องไม่มีตาม เหตุ ไม่มี ผลก็ไม่มี ข้อนี้ตกไป เมื่อรวงข้าวไม่มี ไม่ต้องพูดเรื่องวิธีปลูกข้าว ต้องสรุปอย่านี้ซิถึงจะถูก
    ถ้าทุกคนเกิดมาชาติเดียวแล้วจบไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด
    ข้อนี้ เรียก อุทเฉททิฏฐิ เห็นว่าทุกอย่างขาดสูญ เกิดแล้วตายครั้งเดียว สูญหมด การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิ
    มันดูขัดกันแปลก ๆ ในความคิดผมครับ
    แปลกซิครับ ! เพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตั้งแต่เริ่มต้นเลย
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร อธิบายเรื่องมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดในสมัยพุทธกาล ทรงตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นอะไรจะร้ายแรงเท่ากับ"มิจฉาทิฏฐิ" เพราะมิจฉาทิฏฐิจะนำไปสู่ความเสื่อมทั้งปวง
    มิจฉาทิฏฐิ ทำให้อกุศลกรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น ,
    ทำให้อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว คงอยู่ ,
    ทำให้กุศลกรรมที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิด ,
    ทำให้กุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป

    (ลองไปศึกษาดูจะแจ่มเลย--พรหมชาลสูตร--- นะครับ น่าจะโอเคเนอะ)

    มิจฉาทิฏฐิ 10

    ข้อ 1)เห็นว่าทานที่ถวายแล้วไม่มีผล
    2)เห็นว่าการบูชาไม่มีมีผล
    3)เห็นว่าการสักการะไม่มีผล
    4)เห็นว่าไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
    5)เห็นว่าไม่มีโลกนี้
    6)เห็นว่าไม่มีโลกอื่น หรือชาติหน้า
    7)เห็นว่าแม่ไม่มี พระคุณของแม่ไม่มี
    8)เห็นว่าพ่อไม่มี พระคุณของพ่อไม่มี
    9)เห็นว่าไม่มีสัตว์ที่จะผุดเกิด เชื่อว่าตายแล้วสูญ
    10)เห็นว่าไม่มีสมณชีพราหมณ์ นักบวช ผู้ปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ได้
     
  6. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    2. ถ้าอิงตามพระไตรปิฏก ก็ได้ความว่าพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่พระไตรปิฏกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้รับการเขียนเพิ่มเติม + แก้ไขมาแล้ว
    หมายถึง การสังคายนาหลายครั้ง ใช่ใหม ? อันนี้ พุทธศาสนิกชนทุกท่าน จะมีบุญใหญ่กันอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันทั่วโลก คือ ตถาคตโพธิสัทธา คือ มีความเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นสัพพัญญู ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างไม่มีข้อสงสัยใดใด เชื่อมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เชื่อมั่นในพระอริยสงฆ์ว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติดีแล้ว หมายเอาถึง พระอริยะบุคคลเท่านั้น ดังนั้น พระไตรปิฎก ปฐมสังคายนา โดยพระอรหันต์ผู้เป็นเอตทัคคะทั้งสิ้น ทุกกาลทุกสมัย เมื่อเชื่อในพระรัตนตรัยอย่างไม่มีข้อสงสัยใดใดแล้ว ก็ย่อมไม่สงสัยในการสังคายนาของพระอรหันต์ท่าน ส่วนมากโบราณาจารย์ท่านจะสังคายนาแบบคงของเดิมไว้ ไม่แก้ของเดิมนิครับ แยกอรรถาธิบายไว้ต่างหาก แยกออกอันไหน เป็นพระสูตร อันไหนอรรถกถาแต่งอธิบายภายหลัง ท่านผู้ทรงคุณทางพระไตรปิฎกท่านสามารถแยกได้ง่ายมาก (อันนี้ทางนิติศาสตร์เค้าเรียกว่า การตีความตามตัวอักษรนะครับ)
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อความในนั้นเป็นใจความที่พระพุทธเจ้าต้องการสื่อโดยไม่มีความคิดเห็นคนอื่นใส่เข้าไปแล้วอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้
    อันนี้ ใช้หลักการตัดสินพระธรรม-วินัย ๘ ประการ ใน โคตมีสูตร อังคุตตรนิกาย ถ้า ธรรม (การปฏิบัติ) เหล่าใด
    ๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
    ๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
    ๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
    ๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
    ๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
    ๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
    ๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
    ๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
    ทั้ง ๘ นี้ เป็นธรรม-วินัย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ( แบบนี้ นิติศาสตร์ เรียกว่า ตีความตามเจตนารมณ์นะครับ)
    (เหมือนเรื่องที่ท่านประสูติแล้วทรงเดิน 7 ก้าว ที่มีคนถกกันอยู่ในตอนนี้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นปาฏิหารย์ที่แต่งขึ้นเพื่อดึงคนในยุคนั้นเข้าศาสนาพุทธ)
    ข้อนี้ บังคับใจกันไม่ได้ เรื่อง พุทธวิสัย (ลักษณะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เหนือการรับรู้ เหนือการได้เห็น เหนือความคิดพิจารณาทั้งปวง จึงเรียก พุทธานุภาพ แต่เข้าถึงได้ด้วย การปฏิบัติบูชา เรียกว่า ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ก็เป็นของเฉพาะตัวซะอีก 55 "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮิติ" แต่แปลกว่าพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวิเศษทางพระพุทธศาสนาทุกนิกาย ท่านรับรองว่า พระองค์ทรงพระดำเนินจากพระครรภ์พุทธมารดา ๗ ก้าว ไปทางทิศบูรพา (ตะวันออก) บังเกิดดอกบัวผุดขึ้น รองรับฝ่าพระบาททุกย่างก้าว ส่วนที่เถียง ๆ เรียน ๆ กันอยู่ ว่ามีคติเชิงเปรียบเทียบ ล้วนเป็นผู้ทรงคุณทางปริยัติธรรม เยอะอยู่นาครับบบ ตามความคิดผมนะ สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เห็น ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า สิ่งนั้นไม่มีอยู่จริงนะครับ
     
  7. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    นี่คือแนวสุญญตวาส เชื่อว่าตายแล้วสูญ ไม่มีโลกหน้า เป็นมิจฉาทิฏฐิแน่นอน

    การกลับชาติมาเกิดเป็นประสบการณ์ที่พิสูจน์ ได้จริง ค้นคว้าหาความรู้ในgoogle
    reincarnation จะพบว่ามีการพิสูจน์ซ้ำๆๆ ในไทยเองก็มีมากมาย ไม่ต้องย้อนไปครั้งพุทธกาลก็ได้
    หรือถ้าไปพบพระสงฆ์ที่มีอภิญญา ท่านล่วงรู้ได้จริง สามารถรู้อดีตที่เพิ่งผ่านมา และย้อนไปได้ในอดีตใกล้ๆได้

    แต่หากความสามารถจะมีจำกัด
    ระดับพุทธญาณเท่านั้นที่รู้ย้อนได้ไม่จำกัด
    และระดับมหาสาวกอาจย้อนได้ในระดับแสนชาติในระดับพระเกจิยุคปัจจุบันอาจได้จำกัดกว่ามาก

    ที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
    มีอะไรเป็นหลักฐานมารองรับเหมือนในพุทธพจน์ที่รับรองกันแบบชัดเจนไม่ขัดกันหรือไม่
    บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกนี้และโลกหน้า นี่เป็นพุทธพจน์ ระบุไว้ชัดทรงตรัสเป็นพระคาถา มีที่มาว่าตรัสไว้ที่ไหนเกี่ยวกับใครชัดเจน

    การมีวิจิกิจฉา ข้อสงสัย ในพระธรรมคำสอนถือเป็นนิวรณ์เครื่องกั้นอย่างหนึ่ง
    ที่เห็นได้ชัดแน่ๆ คือทำให้ท่านเสียเวลา
     
  8. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    3. ถ้าโลกนี้ โลกหน้า โลกหลังความตายทั้งหมดมีอยู่จริง แล้วการที่พระท่านนั้นได้พูดออกมาว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องดังกล่าวนั้น ท่านรู้อะไรมาจากไหนครับ หรือว่าท่านเห็นในมุมของท่านที่คนทั่วไปไม่เห็นจริง ๆ ครับ
    ก็คงจะเป็นความรู้ตามแบบของท่านนะครับ แบบของท่านนะ........
    สัทธรรมปฏิรูป หมายถึง สัทธรรมเทียม สัทธรรมปลอม ไม่ใช่สัทธรรมแท้
    ตรงนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยสอนว่า สัทธรรมปฏิรูป คือ คนที่เรียนธรรมแบบ สุตตมยปัญญา ( ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ) และ จิตตามยปัญญา ( ปัญญาที่เกิดจากการคิด ) เป็นของปถุชน เป็นของเทียมทั้งหมด แม้จะจำหรือ คิดพระธรรม ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ตามที ท่านสรรเสริญให้เรียนแบบ "ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ" ว่าเป็น สัทธรรมวิสุทธิ ของจริง ของแท้ ดับกิเลสพันห้า ดับตัณหาร้อยแปด ดับอกุศลมูล ๓ ( โลภ โกรธ หลง ) อย่างสิ้นเชิง นี่ ก็เป็นปัจจัตตัง ซะอีก 5555 ทุกว่านี้ ถึงถกกันไป ถกกันมา ไม่จบ ก็เพราะ เป็นแบบคิดกันไป ฟังกันมา 5555 ผมขอเชื่อพระอริยเจ้าไว้ สบายตัวสบายใจกว่าคับ ......
     
  9. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระบรมสารีริก พระอรหันตธาตุ ซึ่งเป็นวัตถุธาตุ ที่จับต้องได้
    อยู่ๆก็ลอยมาปรากฏเองได้ที่เรียกว่าพระธาตุเสด็จ ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
    สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์กายภาพยังไม่ละเอียดพอที่จะวัดหรือหาที่มาได้ แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

    สิ่งที่ท่านยังสัมผัสด้วยอายตนหยาบๆ ไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
    สิ่งที่อายตนของปุถุชน กิเลสหนา ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ยังมีอยู่อีกมาก

    ท่านต้องฝึกเอง และรับรู้เองเท่านั้นจึงจะรู้แจ้ง
    พระพุทธองค์จึงย้ำนักหนาว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเป็นครูอาจารย์ของเรา
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปลาแมว; ออกตัวก่อนว่า การตั้งกระทู้นี้เพื่อถามในสิ่งที่ต้องการรู้ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่หรือปรามาสท่านใด รวมถึงไม่ต้องการให้เกิดดราม่าใด ๆ ด้วย รบกวนทุกท่านตอบตามที่เข้าใจนะครับ และหากผู้ดูแลเห็นว่าไม่สมควรช่วยลบให้ด้วยครับ

    เมื่อวานผมได้ไปกินข้าวผู้ใหญ่ท่านนึงที่นับถือ ซึ่งท่านเคยได้สนทนากับพระองค์หนึ่งที่มรณภาพไปแล้ว ผู้ใหญ่ท่านนี้กล่าวถึงคำสอนที่พระท่านนี้สอนว่า จริง ๆ แล้ว เรื่องโลกนี้ โลกหน้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน เรื่องดังกล่าวเป็นความเชื่อของพราหมณ์ ซึ่งมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้แล้ว และถูกผนวกเข้ากับศาสนาพุทธ

    ผมฟังแล้วก็อึ้ง เพราะว่าในพระไตรปิฏกก็ได้มีกล่าวถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ นรก แต่พระผู้ใหญ่ท่านนี้กลับพูดว่าเรื่องดังกล่าวพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ผมเลยมีคำถามดังนี้ครับ

    1. ถ้าโลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ นรก ไม่ได้มีอยู่จริง แต่บาปกรรมมีอยู่จริง แล้วการสนองต่อกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าทุกคนเกิดมาชาติเดียวแล้วจบไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด มันดูขัดกันแปลก ๆ ในความคิดผมครับ
    ตอบ เรื่องนรกสวรรค์ ตามความคิดของเรามันเป็นความเชื่อของคน ถ้าเชื่อว่ามี
    มันก็มี ถ้าเชื่อว่าไม่มี มันก็ไม่มี เพราะมันเป็นโลกมายาคติ โลกของทิฏฐิของ
    ใครก็ของเขา คล้ายโลกจินตนาการ โลกของเมตริกซ์ เป็นภพภูมิที่ธาตุรู้รวมกับ
    อวิชชาติดข้องอยู่ออกไม่ได้เพราะไม่รู้วิธีออกไป เหมือนคนติดคุกและเกิดเป็น
    จิตหลอนสร้างโลกมายาขึ้นมาครอบงำตัวเอง ติดอยู่ในทิฏฐิที่ตนเองสร้างเอง
    แล้วไม่รู้ตัวเอง ก็เลยต้องแล่นไปในภพภูมิที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองแล้วก็ติดอยู่
    ในนั้นเอง เหมือนแมงมุมชักใยหุ้มตัวเองแล้วติดอยู่ข้างในหาทางออกไม่ได้
    ติดอยู่ในโลกจินตนาการของตัวเอง ลองดูตัวเองก็ได้ มีไหมที่หลุดพ้นไปจาก
    ความคิดของตัวเองได้ มีแต่คิดซ้อนคิดไปเรื่อยๆ คิดไม่รู้ว่าคิด คิดมันก็สร้าง
    ภพมาให้รองรับตัวตนเกิดเป็นภพภูมิแล้วก็คิดต่อไปเรื่อยสร้างภพภูมิรองรับ
    ตัวตนรองรับความคิดไปเป็นทอดๆไม่มีช่องว่างที่จะหยุดหรือหลุดออกมาจาก
    โลกของทิฏฐิและความคิดได้เลย มีแต่คิดไปเรื่อย บางทีก็คิดว่าว่างก็ได้เป็น
    ว่างแต่ก็ยังเป็นคิดอยู่คือคิดว่าว่าง คิดว่าไม่คิด นี่แหละโลกของคนที่ติดคิด
    ติดอยู่ในเมตริกซ์ของความคิด ติดอยู่โลกจินตนาการ ติดอยู่ในโลกนี้ ติดอยู่ใน
    โลกหน้า ติดอยู่ในนรก ติดอยู่สวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อและจินตนาการของ
    ตัวเอง ถ้าคนมีความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ต่างกันบางทีก็ได้ไปอยู่ในความเชื่อ
    ตามนั้นก็อยู่ในนรกและสวรรค์ที่ต่างๆกันไป เหมือนอยู่ในคุกของใครของมัน
    อยู่ในโลกของใครของมัน อยู่ในนรกสวรรค์ของใครของมัน
    แต่เรื่องบาปกรรม กฏแห่งกรรม มันเป็นสัจจธรรม มันเป็นจริง มันไม่ได้เป็น
    ความเชื่ออย่างเดียว ดังนั้นทุกคนที่ยังมีทิฏฐิติดอยู่ในโลกของความคิด ก็
    มีกรรมเป็นสมบัติส่วนตัวเหมือนกันทุกคน
    สรุป นรกสวรรค์ โลกนี้โลกหน้าเป็นความเชื่อ เป็นทิฏฐิส่วนตัว ไม่ใช่สัจจธรรม
    จึงเห็นได้ไม่เหมือนกันทุกคน เป็นสมมุติบัญญัติของใครของมัน

    แต่กฏแห่งกรรม บาปกรรม มันเป็นสัจจธรรม ที่ทุกคนต้องรับเหมือนกัน
    ทีนี้ คนที่ทำลายทิฏฐิลงได้แล้ว รู้แจ้งอริยสัจจ์4 หลุดจากเมตริกซ์ หลุดจาก
    โลกแห่งมายาภาพและจินตภาพแล้ว เขาย่อมรู้แจ้งแล้วว่าไม่มีนรกสวรรค์
    ไม่มีโลกนี้โลกหน้าสำหรับเขาอีกต่อไป แต่เวลาที่เขาพูดกับคนอื่นที่ต่างออกไป
    พูดกับคนที่มีทิฏฐิอยู่ในของความคิดอยู่ก็ต้องบอกว่าตามสภาวะของคนเหล่า
    นั้นว่า มีโลกนี้โลกหน้ามีนรกสวรรค์จริงตามที่พวกเขาเป็น เหมือนคนที่รู้เรื่อง
    โลกในน้ำเวลาสอนคนในโลกน้ำก็ต้องบอกตามสภาพของคนในโลกน้ำนั้น
    ว่ามีอะไรต้องเจออะไรบอกรายละเอียดของโลกของผู้นั้นจึงจะสอนได้ตรงตาม
    ความเป็นจริงของคนในโลกนั้น แต่พอมาสอนคนในโลกบนบกก็ต้องบอกตาม
    สภาพของคนในโลกบนบกตามจริงของเขา แต่พอมาสอนคนที่รู้เรื่องทิฏฐิ
    รู้เรื่องโลกในน้ำและเรื่องโลกบนบกก็ต้องพูดสอนอีกแบบตามสภาพความจริงที่
    คนนั้นรู้ คือพูดเรื่องใลกในน้ำและโลกบนบกตามจริงที่เขารู้จึงจะสอนเขาได้
    ตรงตามสภาวะรู้ของเขา ถ้าไปพูดกับที่ไม่มีทิฏฐิแล้ว รู้แจ้งอริยสัจจแล้ว ก็พูด
    ภาษาสัจธรรมเรื่องไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรกสวรรค์ก็เข้าใจตรงกันตาม
    ประสาคนที่ไม่สักกายะทิฏฐิแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีเกิด ไม่มีภพภูมิมารองรับ
    อีกแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงพุทธวิสัย
    รู้แจ้งทุกเรื่อง คำสอนของท่านก็จะเหมาะกับสภาวะรู้ของคนๆนั้น คนที่อยู่ใน
    สภาวะรู้ไม่ตรงกับคำสอนนั้น ย่อมไม่เข้าใจ เพราะมีทิฏฐิของตัวเองเป็นตัว
    คุมครอบงำทำให้ไม่เข้าใจความหมายตามสัจธรรม คนไม่รู้ก็จะไม่เข้าใจ
    เหมือนคนในโลกน้ำย่อมไม่เข้าใจคนในโลกบนบก และคนยังมีโลกครอบงำ
    ย่อมไม่เข้าใจคนที่ไม่มีโลกครอบงำแล้ว
    ไม่รู้คุณจะเข้าใจไหม เราตอบก็ตอบยาวจัง !!

    2. ถ้าอิงตามพระไตรปิฏก ก็ได้ความว่าพระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่พระไตรปิฏกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้รับการเขียนเพิ่มเติม + แก้ไขมาแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อความในนั้นเป็นใจความที่พระพุทธเจ้าต้องการสื่อโดยไม่มีความคิดเห็นคนอื่นใส่เข้าไปแล้วอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ (เหมือนเรื่องที่ท่านประสูติแล้วทรงเดิน 7 ก้าว ที่มีคนถกกันอยู่ในตอนนี้ ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นปาฏิหารย์ที่แต่งขึ้นเพื่อดึงคนในยุคนั้นเข้าศาสนาพุทธ)
    ตอบ เราเชื่อว่า ส่วนใหญ่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง แล้วพระสาวกก็ท่อง
    จำบอกต่อกันมา ส่วนที่แต่งเติมในภายหลังจะมีหรือเปล่าเราก็ไม่รู้เหมือนกัน
    เพราะสิ่งที่เหลือเชื่อ บางทีเป็นพุทธวิสัยอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และเราก็ไม่รู้
    ความจริงเพราะไม่ได้เห็นกับตา ก็เอาเป็นว่า ไม่ต้องไปเชื่อหรือไม่เชื่อ แค่รู้ไว้
    เฉยๆ วันไหนมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงรู้อันไหนจริงก็ค่อยเชื่ออันนั้น ไม่จำเป็นต้อง
    ปฏิเสธ หรือ เชื่อไปเลยเพราะไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นเพียงทิฏฐิของ
    เรา ส่วนสัจธรรมความจริงมันก็มีอยู่ของมันอย่างนั้น เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็
    ไม่มีผลต่อความเป็นจริงนั้น เช่น ถ้าสมมุติ พระพุทธเจ้าทรงประสูติและเดินได้7
    ก้าวจริงเป็นสัจธรรม มันก็เป็นพุทธวิสัยเป็นความจริง แม้ว่าเราจะเชื่อหรือไม่
    มันก็เป็นความจริง ความเชื่อของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนั้นได้
    และไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สัจธรรมนั้นอยู่ดี ไม่ช่วยให้เรารู้
    แจ้งอริยสัจตามพระพุทธเจ้าได้ การมีอยู่ของเรื่องนี้ก็เป็นแต่เพียงเรื่องที่บอก
    ต่อกันมาเพื่อแสดงความระลึกถึงการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ
    ที่จะพาให้เรารู้แจ้งตามพระองค์ท่านไป คนที่ติดอยู่ในเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ
    ในเรื่องพวกนี้ จึงได้ชื่อว่าติดอยู่ในทิฏฐิความคิดของตนเองติดอยู่ในบ่วงมาร
    ไปเท่านั้น เพราะมีคำสอนที่เหลืออีกมากมายที่เป็นส่วนที่ทำให้เข้าถึงความ
    รู้แจ้งอริยสัจตามพระองค์ท่านไป แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องมีคำสอนที่เป็น
    ส่วนของตำนานเรื่องเหล่านี้ถ้าตัดทิ้งไปก็จะไม่เหลืออะไรให้ระลึกถึงพระองค์
    เลยใช่ไหม สรุปว่ามีคำสอนเหล่านี้ก็ดีกว่าไม่มี เพราะถ้าเหลือแต่แก่นคำสอน
    การปฏิบัติเลยเราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพระพุทธองค์เลยทั้งเรื่องประสูติและ
    เรื่องอื่นๆ มันก็น่าเสียดายใช่ไหม แล้วถ้าถามต่อทำไมต้องมีปฏิหาริย์ อันนี้
    เราก็ไม่รู้เหมือนกัน และถ้าปฏิหาริย์มันเป็นจริงล่ะ ถ้าเรื่องตำนานเป็นจริง
    คนเล่าเขาบอกตามเหตุจริงไม่ได้แต่งขึ้นมาเอง มันก็เป็นไปได้ใช่ไหม
    พอเรื่องเล่ามาถึงพวกเรา ก็ไม่มีคนมายืนยันแล้ว ก็ต้องเล่าต่อตามกันไปอยู่ดี
    แล้วก็ไปสงสัยกันต่อ ถ้าไม่สนใจเรื่องจะเป็นจริงหรือไม่เอาแค่ว่าเป็นเรื่องเล่า
    เพื่อให้ระลึกถึงพระศาสดา ก็จบ ไม่ต้องไปคิดมากให้ตกอยู่ในบ่วงของความคิด
    อีก ก็จะเสียท่าติดอยู่ในทิฏฐิความคิดไปอีก ไม่เป็นผลดี รอให้รู้แจ้งเองเมื่อไร
    ก็ไม่ต้องมาคิดแล้วว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะรู้ความจริงแล้ว ความเชื่อหรือ
    ไม่เชื่อมันก็ไม่มีอีกต่อไป จบเรื่องโต้แย้งของจริงถาวร ด้วยรู้เองแล้วไม่ต้อง
    อาศัยคิด

    3. ถ้าโลกนี้ โลกหน้า โลกหลังความตายทั้งหมดมีอยู่จริง แล้วการที่พระท่านนั้นได้พูดออกมาว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องดังกล่าวนั้น ท่านรู้อะไรมาจากไหนครับ หรือว่าท่านเห็นในมุมของท่านที่คนทั่วไปไม่เห็นจริง ๆ ครับ
    ตอบว่า พระท่านก็ต้องมีเจตนาของท่าน ท่านรู้ของท่านจึงพูดได้ คนอื่นไม่รู้
    อย่างท่าน ย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดตามจริง ก็เข้าใจท่านผิดได้อีก ท่านอาจ
    จะกล่าวในเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ไม่เห็นจริงๆก็ได้ ถ้าพระท่านท่านนี้รู้แจ้งอริยสัจ
    ย่อมเข้าใจสิ่งที่พระทธเจ้าท่านสอนต่างจากเราๆที่ยังติดคิด ติดทิฏฐิ ติดอยู่ใน
    โลก ย่อมเห็นต่างกันไปตามสภาวะ


    4. ถ้าโลกดังกล่าวไม่มีอยู่จริง แล้วการที่มีคนปฏิบัติธรรมหลายคนได้เห็นโลกดังกล่าวมา คืออะไรครับ
    ตอบ ถ้ายังมีทฏฐิ ติดอยู่ในความคิด ทำลายสักกายะทิฏฐิไม่ได้
    ต่อให้ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นได้เห็นโลกทิพย์ โลกวิญญาณ
    ก็ยังได้ชื่อว่าอยู่ในโลกจินตนาการส่วนตนอยู่ดี
    มีแต่คนที่รู้แจ้งอริยสัจถึงได้เห็นสัจธรรมของโลกตามจริง ไม่ติดคิด
    ไม่มีทิฏฐิแบบคนอย่างเราๆ เรียกว่าอยู่คนละสภาวะ คนมีคิด กับคนไม่มีคิด
    มันย่อมรับรู้สภาวะความมีอยู่และไม่มีอยู่จริง ได้ต่างกันแบบคนละโลก
    คนไม่มีคิด กับคนคิดว่าไม่คิด(คิดว่าว่าง คิดว่างๆ) มันก็ไม่เหมือนกัน

    ขอบคุณครับ quote

    ขอโทษที่ตอบยาว (ตอบสั้นไม่เป็น แหะๆ) ไม่รู้จะเข้าใจตรงกันไหม
    มีเอาคำสอนของท่านพุทธทาสมาให้พิจารณา

    ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยายที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย.
    ๑๗. นรกสวรรค์-การเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องไร้สาระ?
    ปรัศนี: เรื่องนรกสวรรค์และเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระหรือ? หรือมีไว้สำหรับหลอกคนโง่?
    พุทธทาส: เป็นเรื่องจริงที่สุด ช่วยเป็นพยานด้วยว่า อาตมาพูดเรื่องนรกเรื่องสวรรค์นี่เป็นเรื่องจริงที่สุด เรื่องเวียนว่ายตายเกิดนี่จริงที่สุด แต่มันมีความหมายไม่เหมือนกับที่เขารู้ หรือเขาพูด หรือเขาสอนกันอยู่ก็ได้ ร้อนเป็นไฟคือนรก สนุกสนานพอใจก็เป็นสวรรค์ เวียนว่ายตายเกิดนี้เปลี่ยนอยู่เสมอ เรามีความคิดอย่างนี้ เราเป็นคนชนิดนี้ เดี๋ยวเราก็เปลี่ยนความคิดอย่างอื่น เป็นคนชนิดอื่น แม้ไม่ต้องตายเข้าโลง มันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ภายในนี้จริงกว่า จริงกว่าที่ว่าจะมีหรือจะถึงต่อตายแล้ว ที่มันรู้สึกอยู่กับใจนี้จริงกว่านรก จริงกว่าสวรรค์ จริงกว่าเวียนว่ายตายเกิด จริงกว่า ส่วนนรกสวรรค์เวียนว่ายตายเกิด ชนิดที่ต่อตายแล้วหลังจากตายแล้วนี่ เราไม่มีหน้าที่ที่จะพูด เพราะว่า เขาพูดกันอย่างนี้ก่อนพุทธกาล
    เราไม่อยากพูดขัดแย้งกับคนเหล่านั้น นั่นจริง สำหรับคนพวกนั้น ที่จริงสำหรับคนพวกนี้แล้วก็ไม่ต้องทะเลาะกัน แต่ถ้ามองในแง่ศีลธรรมก็ไม่ได้มีไว้หลอกใครหรอก มีไว้สั่งสอนด้วยความหวังดี ให้เขามีศีลธรรมไม่ได้เจตนาหลอก ส่วนทางปรมัตถธรรมยิ่งไม่หลอก เพราะว่ามันรู้สึกได้จริง ความทุกข์ที่ร้อนเป็นไฟอยู่ในใจก็รู้สึกได้จริง ไม่ทุกข์ก็รู้สึกได้จริง จึงไม่ใช่เรื่องหลอกเรา คำอธิบายมีหลายอย่าง
    ถึงแม้วิทยาศาสตร์ตัวยงสมัยนี้ ก็ไม่ควรจะไปปฏิเสธเรื่องที่คนโบราณเขาพูดไว้ เพราะตัวก็ไม่รู้ไม่ได้คำนวณก็ไม่แน่ ฉะนั้น อย่าไปปฏิเสธ ก็ทิ้งไว้อย่างนั้น จนกว่าจะพิสูจน์กันได้ นี้ก็ไม่เสียหายอะไร มันก็เก็บไว้อย่างนั้นก็ได้ เขาสอนเรื่องนรกสวรรค์อย่างไรก็เก็บไว้ก่อนก็ได้ แต่ระวังนรกสวรรค์ที่มันเกี่ยวข้องกัน อยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ทำให้ดีๆ จัดการนรกสวรรค์ที่นี่เดี๋ยวนี้ให้ได้เกิด มันจะควบคุมนรกสวรรค์ต่อตายแล้วได้และได้จริงเลย ฉะนั้น นรกสวรรค์นี้มันเป็นเรื่องจริงที่สุดและก็มีไว้สำหรับคนที่มีปัญญาจริงๆ เท่านั้น จึงจะเห็นได้ คนโง่เห็นไม่ได้ ถ้ามีปัญญาจริงๆ จะเห็นสวรรค์นรกได้จริงเหมือนกัน​

    ปุจฉา-วิสัชนา17
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2010
  11. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    4. ถ้าโลกดังกล่าวไม่มีอยู่จริง แล้วการที่มีคนปฏิบัติธรรมหลายคนได้เห็นโลกดังกล่าวมา คืออะไรครับ
    ข้อนี้ ไม่ขอตอบนะครับ เพราะว่า พวกเรามีบุญมาก ที่ได้เกิดมาในประเทศไทย ได้เกิดเป็นคนไทย ได้เป็นชาวพุทธ ได้พบเห็นวัตร-ปฏิปทา-คำสอน ของพระอริยะเจ้ามากมายนับไม่ถ้วน ......สาธุ .......แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ของพ่อหลวง ..... ผมรักเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนคร๊าบบบ......5555 ไปแล้ว .... บ้าย..บาย
     
  12. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    แสดงว่ายังต้องฝึกกันอีกเยอะ หาทางบรรลุโสดาบันให้ได้ก่อนแล้วสิ่งอื่นๆจะตามมา
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ขอตอบเพียงข้อ 2
    คัมภีร์ยุคหลังมีการผนวกรวมกับคัมภีร์เดิมของพรหมณ์ เช่นเรื่อง ในไตรภูมิ นรกเป็นดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ ชมพูทวีป หรือ มนุษย์โลกลงไปลงไป และมีแปดชั้นหรือที่เรียกว่า "ขุม" สำหรับลงทัณฑ์ต่าง ๆ แก่สัตว์บาปที่ไปเกิด ประกอบไปด้วยมหานรก 8 ขุม ยมโลกนรก 320 ขุม อยู่รอบ 4 ทิศๆ ละ 10 ของมหานรกแต่ละขุม และ อุสสทนรก 128 ขุม อยู่รอบๆ 4 ทิศ ๆ ละ 4 ของมหานรกแต่ละขุม ยังไม่เคยพบว่านรกภูมิอยู่ใต้ดิน จากพุทธวจนะ มีเพียง ทุคติ 4 ที่ปรากฏให้เห็นและอนุโลมให้เห็นในปัจจุบันทันกรรม

    เรื่องภพภูมิพุทธคติใช้ ภูมิธรรม 31-32 เป็นเกณฑ์จะตรงที่สุด

    ลองหาอ่าน หนังสือพระพุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน หรือ
    หนังสือรวมคําสอนจากพระโอษฐ์ ก็ได้น่าจะคลาย มิจฉาทิฏฐิบางอย่างได้

    หรือถ้าไม่อิงคติพุทธะ และปาฏิหาริย์ใดๆ

    ลองหาหนังสือ ศาสนาสากลมาอ่านดู คําตอบเรื่อง ลักษณะ เช่นเดิน 7 ก้าว มีอยู่ และยังมีหนังสือที่ให้คําตอบเรื่องการตีความต่างๆมากกว่านี้ ตลอดถึงอธิบายลักษณะของธรณีสูบ แผ่นดินไหว ฉัพรรณรังสี ต่างๆไว้ค่อนข้างดี

    ส่วนตัวผมมีเป็นไฟล์เสียง เป็นหนังสือ 2 เล่มแรก แต่ยังไม่ได้อัพเพราะ ติดอัพ 4 อสงไขย 100000 กัลป์ ตามรอยพระพุทธบาทอยู่หลายไฟล์ ในส่วนของศาสนาสากลผมอ่านมาหลายปีแล้วให้รายละเอียดแหล่งตีพิมพ์ หน้าปกหนังสือ ไม่ได้ แต่ดีมาก


    เรื่องอื่นที่ไม่ตอบเพราะเดี๋ยวจะยาวครับ
     
  14. ForeverYoung

    ForeverYoung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +135
    ลองเข้าไปดูรายการตีสิบย้อนหลังเรื่องนี้ดูครับ อาจได้คำตอบขึ้นในใจ

    http://video.mthai.com/player.php?id=6M1188383531M0

    ตายแล้วฟื้น คลิป คลิปจากหมวด ข่าวและเหตุการณ์ โพสต์โดย Conanfever แหล่งรวมค
     
  15. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    ผมมีข้อคิด (แบบปุถุชน) ขอแถมดังนี้

    1. ให้สังเกตว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ทรงตอบคำถามแบบแง่เดียว คือ ไม่ทรงรับหรือปฏิเสธในบางเรื่อง เพราะมีกรณีทั่วไปและกรณีไม่ทั่วไป ดังนั้นการพูดอะไรในแง่เดียวอาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดได้ เทียบเคียงกับกรณีโลกหน้า สำหรับพระอรหันต์ไม่มีอีกแล้ว แต่สำหรับคนอื่น ๆ ยังมีต่อไป

    2. ปฏิจจสมุปบาทในทางเกิด ตั้งแต่อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ไล่ไปเรื่อย ๆ จนเกิดภพ ชาติ ... สนับสนุนในเรื่องที่ว่า ถ้ายังมีอวิชชา ก็ยังมีภพ ชาติ ...

    3. เรื่องพระไตรปิฎกนั้น รับทราบมาว่า พระอรหันต์เคยรับรองฉบับเถรวาทว่ามีความถูกต้องอย่างต่ำ 97% เนื่องจากผมไม่มีญาณรับรู้เอง จึงไม่สามารถยืนยันได้ครับ
     
  16. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ความจริงใดๆ เกี่ยวกับโลก ที่คนอินเดียก่อนพุทธกาลค้นพบ
    ความจริงนั้นก็คือความจริง และสิ่งใดที่เป็นความจริงพระพุทธเจ้า
    ท่านก็สอนไปตามนั้น ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงแต่ท่านไม่ใช่ผู้ค้นพบ
    ก็แค่นั้นเองครับ

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบได้แก่ อริยสัจ 4 และ ปรมัตถธรรม
    (สิ่งที่ท่านค้นพบมีมากกว่านี้นะ แต่ผมยกมาเฉพาะที่สำคัญจริงๆ)

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ค้นพบได้แก่ ศีล 5 และ การเวียนว่ายตายเกิด
    ซึ่งทั้ง 2 กรณี มันเป็นหลักปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว และ เป็นความจริงอยู่แล้ว
    ท่านก็ยืนยัน และสอนไปตามนั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2010
  17. tanaxxir

    tanaxxir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +190
    ตอบแบบโง่ๆ นะครับ

    เข้าใจว่า เรื่องพุธทำนาย พอที่จะบอกได้ถึงการมีอยู่ของโลกหน้าครับ
     
  18. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279

    ในสมัยพุทธกาล มีพราหมอยู่ท่านหนึ่ง เก่งมากๆ สามารถเคาะกะโหลกคนตาย แล้วบอกได้ว่า คนตายคนนั้นไปเกิดอยู่ที่ไหนแล้ว (กรณีนี้หมายความว่าคนอินเดียสมัยพุทธกาลเขารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วครับ) พระพุทธเจ้าท่านเลยเอากะโหลกพระอรหันต์ที่ปรินิพพานไปแล้วมาให้พราหมท่านนั้นเคาะดูว่า พระอรหันต์ปรินิพพานแล้วไปไหน

    ผลปรากฏว่าพราหมท่านนั้นตอบไม่ได้ว่าพระอรหันต์ไปอยู่ไหนแล้ว (หมายความว่าพราหมท่านนี้เก่งจริง ของจริง เลยล่ะครับ) เมื่อพราหมตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยสอนธรรมะให้ ว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องไปเกิดอีก พราหมท่านนี้ทราบซึ้งในรสพระธรรมมาก เลยขอบวช แล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุดครับ

    ผมเลือกเล่าเรื่องพราหมท่านนี้ให้ฟัง หวังว่าคุณ จขกท คงเข้าใจอะไรลึกซึ้งขึ้นนะครับ ^ ^
     
  19. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    หลวงปู่สรวง อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำขวัญเมือง จ.ชุมพร ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ (วิชชา๓ อภิญญา๖ และมีปฏิสัมภิทาญาณ๔)

    ได้ตรวจสอบพระไตรปิฎกฉบับหลวงของไทยด้วย ปัญญาญาณ และได้พบว่าพระไตรปิฎกนั้นมีความคลาดเคลื่อนอยู่ 3% และเป็น 3%ที่ไม่ใช่สาระสำคัญ

    หลวงปู่ ฯ จึงได้ประกาศกับลูกศิษย์ว่า พระไตรปิฎกฉบับหลวงของไทยนั้นใช้ได้ 100%

    หลวงปู่ฯ ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่เริ่มตรวจสอบจนกระทั่งจบทั้งหมด ยังไม่พบอะไรเลยที่ไม่เป็นจริงในพระไตรปิฎก

    .
     
  20. ArmoR

    ArmoR สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    อย่าไปใส่ใจเลยดีกว่าครับ อยู่กับตัวเองดูลมสบายๆ ดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...