ความ"จงรักภักดี"ด้วย"ชีวิต"

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย สำรวจโลก, 19 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    หากจะกล่าวถึงเรื่องราวที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความจงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทยมีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดของเราท่านทั้งหลายพระองค์นี้นั้น ย่อมเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า หากจะนำมาร้อยเรียงพรรณากันตลอดกาลอันยาวนานสิ้นด้วยทศวรรษศตวรรษ ก็คงจะเล่าขานไม่จบสิ้นลงไปโดยง่ายได้เป็นแน่
    เพราะพระมหาคูณูปการที่ทรงดำรงมั่น"โดยธรรม"ของ"ในหลวง"ที่ก่อให้เกิด"ประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม" ที่ทรงกอรปกระทำมาตลอด 60 ปีแห่งการครองราชย์ จนพระชนมายุล่วงเข้าถึง 80 พรรษาในปีพุทธศักราช 2550 ช่างมีอยู่อย่างเอนกอนันต์ สุดที่จะคณนานับให้หมดสิ้นได้โดยแท้
    ก็บุคคลใดผู้มีใจตรง และมีจิตที่ถึงพร้อมด้วย กตเวทิตธรรมจริง ย่อมทราบชัดและซาบซึ้งประจักษ์แจ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่สุดโดยถ้วนหน้า ไม่สงสัย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    นี้เอง ย่อมเป็นมหาเหตุให้ประชาชนคนไทยทั้งปวง ต่างมีความเคารพเทิดทูนและจงรักภักดีในองค์พระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นอย่างสุดจิตสุดใจ และได้ประกอบกระทำ"คุณงามความดี" ด้วยประการต่างๆถวายเป็นเครื่องราชสักการะแทบเบื้องพระยุคลบาทตามฐานานุรูปและอัตตภาวะวิสัยแห่งตนโดยลำดับ ซึ่งการทั้งนั้น ย่อมปรากฏชัดแก่ผู้ทำกรรมอันดีอันงามอย่างบริสุทธิ์ใจอยู่โดยทั่วไปอยู่นั้น
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่...หนึ่งในบรรดาเรื่องราวแห่งความ จงรักและ ภักดี ที่พสกนิกรชาวไทยมีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีความ"พิเศษ" กว่าปกติ ด้วยทรงไว้ซึ่งความวิสามัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่" พระอริยเจ้า"องค์สำคัญแห่งสยามประเทศองค์หนึ่ง ได้หยั่งรู้ซึ้งถึงพระคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอันดีจนถึงที่สุด พร้อมกับได้กระทำการบางอย่างที่ลึกซึ้งยิ่งใหญ่ เกินสามัญวิสัยแห่งบุคคลทั่วไปจักหยั่งคาด เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีอย่างไม่อาลัยแก่ชีวิตินทรีย์ แม้สรีรสังขารแห่งองค์ของท่านจะต้องถึงแก่การแตกดับทิ้งขันธ์ถึงเพียงไรก็ตาม...
    เรียกได้ว่า การครั้งนี้ มิได้เป็นการถวายความ"จงรักภักดี" ที่มิได้เป็นเพียง"คำพูด"หรือ"วัตถุภายนอก" อย่างปกติทั่วไป แต่เป็นการถวายให้ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ" ของพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ที่บรรลุถึงขั้น"ปรมัตถ์"อันสูงสุดก็ว่าได้เลยนั่นเทียว...
    ก็พระอริยเจ้าที่ยอมสละสิ้นทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิตจิตใจเพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อน"ดับขันธ์"สู่วิมุติภพอันไม่หวนคืนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 ที่จะได้นำมาแสดงให้ปรากฏเป็นอุดมมงคลและเนติแบบให้อนุชนรุ่นหลังได้แจ้งใจและยึดถือปฏิบัติตามสืบต่อไปในมงคลวโรกาสนี้ แท้จริงแล้วก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นั่นเอง...


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แม้หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จะได้ชื่อว่า เป็นพระอริยเจ้าผู้อยู่"เหนือ"และ"พ้น"จากโลกสงสารโดยเด็ดขาดไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยเมตตาธรรมอันไม่มีประมาณแห่งพระคุณท่าน หลวงปู่สิมจึงยังคอย"แผ่เมตตา"อำนวยพรแก่ปวงเหล่าสรรพชีวิตและประเทศชาติอยู่โดยสม่ำเสมอ
    ย่อมเป็นที่รับรู้แห่งบรรดาศิษย์ใกล้ชิดโดยทั่วไปว่า
    ในสมัยที่หลวงปู่สิมท่านยังดำรงสังขารอยู่ ทุกๆครั้งที่ประเทศไทยกำลังประสพสภาวะวิกฤติครั้งร้ายแรงใดๆ หลวงปู่สิมท่านจะให้เอาธงชาติมาแขวนคู่กับผ้ากาสาวพัตร์ ซึ่งเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์เป็นสื่อสัญลักษณ์ พร้อมกับนำพระภิกษุสามเณรสวดมนต์แผ่เมตตาสยบบรรเทาเหตุร้ายและเคราะห์กรรมแห่งประชาชาติไทยให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยระยะเวลาอันยาวนานเป็นพิเศษทุกคราวไป เป็นที่น่าซาบซึ้งประทับใจในความกรุณาแห่งหลวงปู่สิมท่านที่มีต่อสัตว์โลกผู้ยากอย่างหาที่สุดมิได้เป็นที่ยิ่ง...... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และด้วยเหตุแห่งความเป็นพระขีณาสวเจ้าผู้ทรงอริยญาณอันบริสุทธิ์ล่วงส่วนสามัญวิสัย หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จึงหยั่งรู้อธิวาสนาและพระบารมีอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงเป็นหลักบ้านหลักเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รองรับพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตราบเท่า 5,000 พระวัสสาพระองค์นี้เป็นอย่างดี ในฐานะที่ทรงเป็น" พระโพธิสัตว์" ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็น"พระสุมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้า" พระองค์ที่ 10 ในที่สุดแห่งอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าไม่ผิดผัน หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรนั้น จึงได้ถวายความ"จงรัก"และ"ภักดี"ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง และได้น้อมถวายอริยกุศลแด่พระองค์ตามฐานานุฐานะแห่งพระคุณท่านตลอดมา มิได้ว่างเว้นสักวันเวลาเลยทีเดียว.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จนกระทั่ง กาลได้ล่วงเลยมาถึงปีพุทธศักราช 2535 เหตุการณ์อันเป็นที่สุดแห่งความจงรักภักดีที่หลวงปู่สิมได้มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้มาบรรลุถึงขีดขั้นอันสูงสุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯเลื่อนสมณศักดิ์หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร จากที่"พระครูสันติวรญาณ"เป็นพระราชาคณะที่"พระญาณสิทธาจารย์" เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ 60 พรรษาในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่.....แท้จริงแล้ว ก่อนหน้าที่จะได้ทราบข่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณฯเลื่อนสมณศักดิ์ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 นั้น สรีรสังขารของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรท่านได้"อ่อน"ลงกว่าปกติอย่างน่าวิตก เรี่ยวแรงกำลังวังชาที่เคยมีอย่างสมบูรณ์มาแต่ก่อนก็กลับถอยลงไปอย่างน่าใจหาย เพียงแค่จะเดินเหินหรือทำการอันใด ก็ให้เป็นที่เหน็ดเหนื่อยลำบากขันธ์ไม่น้อยแล้ว...... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และก่อนหน้าที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรจะเข้าวังเพื่อรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เพียงเดือนเศษๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิดขึ้น เมื่อหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้ประสพอุบัติเหตุ"ตกเหว"!!! ที่หลังกุฏิที่ถ้ำผาปล่อง ซึ่งมีความลึกถึงราว "5 เมตร" ซึ่งหากเป็นคนธรรมดา การกลิ้งตกลงไปลึกเพียงนั้น หากไม่โดยแง่หินภูเขาอันคมกริบแทงตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่นอน..... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ซึ่งชราภาพมากและอ่อนกำลังแรงเห็นปานนั้น แม้จะกลิ้งตกลงไปยังก้นเหวมรณะหลังกุฏิที่มีความลึกถึง 5 เมตร แต่หลวงปู่ท่านกลับไม่ได้ถึงแก่กาลมรณภาพหรือบาดเจ็บสาหัสอย่างที่น่าจะเป็นแต่ประการใดๆเลย เว้นแต่มีแผลช้ำที่บริเวณใบหน้าและตามลำตัวเล็กน้อยเท่านั้น สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ผู้ที่มีโอกาสได้เข้ากราบใกล้ชิดในช่วงท้ายสุดนี้อย่างเหลือที่จะกล่าวได้โดยถ้วนหน้า
    และทุกๆคน ก็ยิ่งหลากใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อหลวงปู่สิมท่านบอกเป็นนัยภายหลังเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดนั้นว่า
    "จริงๆแล้ว ที่ตายของหลวงปู่ ก็อยู่ที่ก้นเหวนั่นแหละนะ..!!!???" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อได้ฟังคำพูดของหลวงปู่สิม ทุกๆคนก็อดสงสัยมิได้ว่า ก็เมื่อหลวงปู่ท่านบอกเองว่า ที่ก้นเหวถ้ำผาปล่องนั้นเป็น"ที่ตาย"ของท่าน และหลวงปู่ก็ได้ตกลงไปยังก้นเหวมรณะนั้นแล้ว ซึ่งตามปกติ อย่าว่าแต่ผู้สูงวัยอย่างท่านเลย ต่อให้เป็นคนหนุ่มคนสาวตกลงไป ก็ยากจะรอดกลับขึ้นมาพร้อมกับลมหายใจหรือมีอาการ 32 ครบบริบูรณ์ได้....
    ก็แล้วเป็นเพราะด้วยเหตุใดเล่า หลวงปู่สิมท่านจึง"รอด"และ"อยู่ต่อ" เป็นอันดีเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เล่า..????
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จนกระทั่งเมื่อหลวงปู่สิม ได้เข้าไปรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 และละสังขารอย่างกระทันหันในอีก"2" วันต่อมา ศิษย์ใกล้ชิดภายหลังจากหายมึนงงกับเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างคาดคิดไม่ถึง และได้ลองตริตรองประติดประต่อ"กลบทแห่งชีวิต"ของหลวงปู่บทนี้แล้ว จึงทำให้ซาบซึ้งแก่ใจโดยทั่วกันว่า แท้ที่จริงแล้ว การที่หลวงปู่สิมท่านยังไม่"ละสังขาร" ตอนที่ตกเหวและ"อยู่ต่อ"มาอีกเดือนเศษด้วยความยากลำบากขันธ์เป็นที่ยิ่งนั้น จุดประสงค์ที่มีอยู่เพียงสถานเดียวก็คือ "เพื่อถวายกุศลในหลวงเป็นครั้งสุดท้าย" โดยตรงเพียงเท่านั้น.....
    "เท่านั้น"เท่านี้จริงๆ.....!!!!!

    หมายเหตุ, .เหตุการณ์เรื่อง"หลวงปู่สิมตกเหว"นี้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้มีการเล่าขานสู่วงนอกโดยทั่วไป แต่"พุทธวงศ์"ได้พบได้เห็นสภาพร่างกายของหลวงปู่ที่เพิ่งตกเหวมาได้ไม่กี่วัน โดยได้เห็นรอยช้ำรอยเลือดจากแผลที่หลวงปู่ไปกระแทกกับหินก้นเหวมาด้วยตาของตนเอง และยังเข้าไปกราบเรียนถามถึงเหตุการณ์พร้อมกับบีบนวดถวายมากับมือด้วย เห็นว่า เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ไม่น้อย และเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะได้เล่าต่อไปอย่างใกล้ชิดอีกด้วย ซึ่งหากไม่นำมาบันทึกให้ปรากฏไว้ ก็คงจะนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นการทิ้งข้อมูลอันสำคัญที่สุดดังกล่าวให้เลือนหายไปอย่างไม่สมควรที่สุด จึงขอนำเรื่องจริงที่น่ามหัศจรรย์และประทับใจอย่างยิ่งดังกล่าวมาแสดงให้ทราบโดยทั่วกันเลยทีเดียว.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และต่อไปนี้ คือเรื่องราวเหตุการณ์ช่วงท้ายสุดตอนที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ก่อนและหลังเข้าไปถวายพระราชกุศลแห่งจงรักภักดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย"ชีวิต"และ"จิตใจ"ของท่านเองเป็นครั้งสุดท้าย ด้วย"วิริยะ"และ"ขันติธรรม"อย่างสูงสุด อย่างยากที่จะพบเห็นที่ไหนได้อีกแล้วในชั่วชีวิตของเราท่านทั้งหลายนี้...... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เข็นสังขาร
    ต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2535 ลูกศิษย์ที่ถ้ำผาปล่องรู้สึกแปลกใจที่สังเกตเห็นว่า หลวงปู่มีท่าทีกระตือรือล้นต่อข่าวที่ว่าท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่"พระญาณสิทธาจารย์" ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวทำนองนี้ออกมาหลายครั้งแล้ว แต่หลวงปู่สิมท่าน"วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"เสมอ จนครั้งนี้ เมื่อได้รับการยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้ว หลวงปู่ท่านจึงเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อรับพระราชทานพัดยศจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    จากคำบอกเล่าของพระและโยมที่ช่วยกันถวายการอุปัฏฐากหลวงปู่ที่บ้านกรุงเทพภาวนา สุขุมวิท 36 สถานปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่จะลงมาพักยามเดินทางมายังกรุงเทพทุกๆครั้ง ทำให้พอมองเห็นภาพว่า หลวงปู่ท่านคงต้องใช้ความพยายามและอดกลั้นขันติธรรมอย่างที่สุด เพื่อปฏิบัติ"ภารกิจสุดท้าย"ในพระบรมมหาราชวัง เพราะสภาพของหลวงปู่ในตอนนั้น คงเหมือนตะเกียงที่มีแสงเพียงริบหรี่ จวนจะสิ้นเชื้อเต็มทีเป็นนักแล้ว.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    6 สิงหาคม 2535
    เวลาบ่ายสี่โมงกว่า หลวงปู่เดินทางจากถ้ำผาปล่องถึงบ้านกรุงเทพภาวนาประมาณเที่ยงคืน คนขับรถ(พี่เพื่อน)ถวายน้ำถวายย่ามและกราบลาไปพักผ่อนเมื่อเวลาประมาณ 1 นาฬิกา

    7. สิงหาคม 2535
    ตอนเช้า มีญาติโยมมากราบและถวายภัตตาหาร แม่ชียกสำรับจากครัวขึ้นไปด้วย แต่ภายในห้องหลวงปู่ นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้ว ก็ไม่มีสรรพสำเนียงใดอื่นเลย
    "หลวงปู่ครับ หลวงปู่ครับ"
    พี่เพื่อนคนขับรถเรียกหาหลวงปู่ แต่คำตอบก็คือความเงียบ จึงได้ไขกุญแจเปิดเข้าไป ภาพที่ได้เห็น ทำให้รู้สึกสงสารหลวงปู่ท่านจับใจ
    "หลวงปู่ท่านนอนเหนื่อยคล้ายหมดแรง ท่อนล่างเลื่อนไหลลงจากเตียงไปแล้วครับ พอเห็นหน้าผม ท่านก็บอกเสียงเบาว่า"มันไหลลงไปคนเดียว" ผมเลยกราบเรียนท่านว่า จะจัดให้ท่านฉันในห้อง หลวงปู่ไม่ต้องออกไป"
    เมื่อได้ฟังดังนั้น หลวงปู่สิมก็ได้ตอบออกมาเหมือนปลงสังขารกลายๆว่า
    "ยังจะกินดีอยู่ดี กินไม่รู้จักจบสิ้น"
    วันนั้น ปรากฏว่า หลวงปู่ท่านฉันได้เพียง 3 คำเท่านั้น...

    8 สิงหาคม2535
    ท่าน"พระอานนท์" ซึ่งอยู่ที่วัดสันติสังฆาราม สกลนคร ได้ข่าวหลวงปู่ท่านลงไปกรุงเทพฯ เพื่อรับพระราชทานพัดยศ พอตกกลางคืน "พระอานนท์"ก็ฝันว่า หลวงปู่อาพาธหนัก อาการไม่ดีเลย รุ่งเช้า ท่านจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นการพอดีที่โยมทางบ้านกรุงเทพภาวนากำลังโทรศัพท์ตามหาท่านกันเป็นจ้าละหวั่น เนื่องด้วยหลวงปู่มีอาการ"ไม่ดีเลย"จริงๆเสียด้วย ท่าน"พระอานนท์"จึงได้มีวาสนาได้ปรนนิบัติหลวงปู่ผู้"พุทฺธาจาโร"อีกครั้งหนึ่ง
    "เป็นบุญที่อาตมาได้ปรนนิบัติหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย"
    ตอนเย็น มีญาติโยมมากราบถวายของ แต่หลวงปู่ยังคงนอนเหนื่อยอ่อนอยู่ในห้อง เมื่อพี่เพื่อน สารถีประจำองค์หลวงปู่เข้าไปกราบเรียนว่า จะทอดผ้าออกไปข้างนอก ให้หลวงปู่นอนรับ ไม่ต้องออกไป ท่านก็พยักหน้า แต่พอประตูเปิด อารามดีใจ ญาติโยมก็เฮเข้าไปในห้อง หลวงปู่จึงต้องรวบรวมกำลังลุกขึ้นมารับของ มิหนำ ยังมีคนเอารูปไปให้หลวงปู่เซ็นด้วย ซึ่งคนขับรถสังเกตเห็นมือท่านสั่น เขียนผิด เขียนถูกด้วยอ่อนกำลังเต็มที


    9 สิงหาคม 2535
    ตอนเช้า โยมออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อรถเข็น เนื่องจากหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียป้อแป้เต็มทีอย่างเห็นได้ชัด ตอนบ่าย หลวงปู่ออกมานอกห้องสู่บริเวณห้องโถงที่รับแขกซึ่งเปิดพัดลมทิ้งไว้ ท่านฉีกปฏิทินไปเรื่อยๆ เพื่อดูวันที่ 12 สิงหาคมเหมือนหนึ่งจะนับวันที่ท่านจะต้องปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้ายแห่งชีวิตท่านก็ไม่ปาน แม้เพียงเท่านี้ หลวงปู่สิมท่านก็หมดเรี่ยวแรง และปฏิทินแผ่นที่ฉีกออกมาแล้ว ก็ถูกลมพัดปลิวกระจายไปทั่ว พอเสร็จ หลวงปู่ถึงกับต้องคลานเข้าห้อง...
    ตอนเย็น ท่านพระอานนท์ไปถึงบ้านกรุงเทพภาวนาและเข้าถวายการอุปัฏฐาก เนื่องจากตอนเช้า "เนาว์ นรญาณ"ได้ไปกราบและสังเกตุเห็นเกศาหลวงปู่ยาวเป็นพิเศษ จึงออกปากขอเส้นเกศาหลวงปู่เป็นครั้งแรก (แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขอเกศาท่านเลยแม้สักครั้ง มีแต่หลวงปู่ให้เองมาโดยตลอด) เพื่อสร้าง "พระพุทธบาทสี่รอย"ป็นการเฉพาะ (รายละเอียดเรื่องนี้ จะได้นำเสนอให้"จดหมายเหตุ พระพุทธบาทสี่รอย"สืบต่อไป) โดยเมื่อท่านอานนท์ปลงเกศาถวาย หลวงปู่บอกว่า
    "เอาผมอานนท์ใส่ให้เขาไปด้วยซี เขาจะได้เยอะๆ..!!?!"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    นอกจากนี้ หลวงปู่สิมท่านยังได้บอกกับคนอื่นอีกด้วยว่า
    "เส้นเกศานี้ เนาว์เขาจะเอาไปสร้างพระบาทสี่รอยน๊ะ.."
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และในช่วงการถวายอุปัฏฐากตอนนี้ หลวงปู่ท่านปรารภว่า
    "นนท์เอ๊ย สังขารหลวงปู่ไม่ไหวแล้ว บังคับมันไม่ได้"
    ซึ่งท่านพระอานนท์เล่าว่า ต้องคอยสังเกตกิริยาอาการของท่านอย่างใกล้ชิด ถ้าหลวงปู่ขยับองค์ ต้องรีบเอากระโถนเข้าไปรองในทันที เพราะท่านกลั้นปัสสาวะไม่ได้เสียแล้ว
    ตกตอนกลางคืน หลวงปู่มีเลือดไหลออกทางจมูก หลวงปู่จึงได้สั่งพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากว่า
    "อานนท์ คืนนี้นอนนี่ ข้างเตียงหลวงปู่นี่แหละ อย่าไปไหน.."
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    10 สิงหาคม 2535
    ตอนเช้า พระอุปัฏฐากกราบเรียนขออนุญาตไปทำธุระข้างนอก ตอนเย็นจึงจะกลับออกมาใหม่ แต่หลวงปู่ตอบว่า
    "ปล่อยธุระไปก่อน ไม่ต้องไปไหนทำอะไรทั้งนั้น"
    เวลาฉัน หลวงปู่ไม่มีแรงพอที่จะเอื้อมไปตักอาหาร แค่ยกช้อนขึ้นถึงปากก็แทบไม่ไหวแล้ว...
    ตอนเย็น ได้ขอถวายช็อคโกแล็ตดำพร้อมกับน้ำชา หลวงปู่นอนให้พระอุปัฏฐากบิช็อคโกแล็ตดำป้อนถวาย ทั้งๆที่ปกติแล้ว หลวงปู่ท่านไม่เคยฉันช็อคโกแล็ตดำหลังเพลเลย ท่านพระอานนท์สังเกตอาการของหลวงปู่ตอนนี้แล้ว ก็อดให้รู้สึกหวั่นใจอย่างลุ่มลึก นึกถึงที่หลวงปู่สิมท่านเคยปรารภไว้เป็นหลายครั้งไปเสียมิได้ว่า
    "ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว...อยู่ลำบาก"

    11 สิงหาคม 2535
    ตอนเย็น เมื่อพระอานนท์ อริยอุปัฏฐากถวายการเช็ดตัวหลวงปู่ด้วยออดิโคโลญจน์ พร้อมกับกราบเรียนว่า
    "โคโลญจน์นี่เช็ดตัวดีนะครับหลวงปู่ เช็ดแล้วสดชื่น"
    "มันสดชื่นจริงหรือ..??" หลวงปู่สิมย้อนถาม
    "ถ้าจริง...เวลาตาย จะได้เอามาเช็ด"


    12 สิงหาคม 2535
    ตอนเช้า ก่อนเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง หลวงปู่สิมได้สั่งว่า จะฉันเพลที่บ้านกรุงเทพภาวนาเสียก่อน จนเมื่อหลวงปู่เดินทางไปถึงพระบรมมหาราชวังเรียบร้อยแล้ว ทางสำนักพระราชวังได้จัดห้องพักของกองแพทย์หลวงถวายให้หลวงปู่ได้พักรอพระราชพิธี
    ปกติ เวลาจำวัด หลวงปู่จะนอนตะแคงขวาในท่า"สีหไสยาสน์"ตามเยี่ยงอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาโดยตลอดเสมอ
    แต่...ระหว่างที่หลวงปู่พักผ่อนที่ห้องพยาบาลของกองแพทย์หลวง ท่านพระอานนท์สักเกตว่า คราวนี้ หลวงปู่ได้"นอนหงาย" มือประสานไว้บนอก พอท่านหลับแล้ว แขนขวาได้ตกลงมาพาดอยู่ข้างตัวในลักษณะยื่นมือแบออกมา ท่านพระอานนท์ถึงกับสะดุ้งในใจว่า
    "โอ้! หลวงปู่ ทำไมนอนท่านี้ เหมือนนอนให้ลูกศิษย์รดน้ำศพก็ไม่ปานฯ"

    เมื่อได้เวลา หลวงปู่สิมได้พยุงสังขารท่านด้วยความลำบากเพื่อเข้าไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเพื่อ"ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย"อย่างอดทนและอดกลั้นอย่างที่สุด ซึ่ง"เนาว์สถิตย์"ที่ได้ติดตามหลวงปู่เข้าไปในคราวนี้ด้วย และได้จับภาพเหตุการณ์ตอนนี้ของหลวงปู่ท่านไว้ทั้งหมด โดยที่มิได้คาดฝันมาก่อนเลยว่า การครั้งนี้ จะเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่จะเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์แห่งความ"จงรักภักดี"อันยิ่งใหญ่และอมตะที่สุดแห่ง "พระอริยเจ้า"ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันยิ่งองค์หนึ่งที่ได้มีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดให้ปรากฏเป็นมหาสิริมงคลตลอดไปเห็นเพียงนี้ได้....<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อหลวงปู่ได้พยุงสังขารอันอ่อนแรงลงจากกองแพทย์หลวงมานั่งในรถเข็นที่เบื้องล่าง และเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ช่วยเข็นรถของหลวงปู่ไปรับพระราชทานสัญญาบัตรพัดยศจากพระหัตถ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปนั่งเข้าแถวตามลำดับ และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณยกเว้นให้หลวงปู่ไม่ต้องออกไปห่มผ้าไตร หลังรับพระราชทานพัดยศตามประเพณีที่พึงปฏิบัติ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่หลวงปู่ในวาระโอกาสท้ายสุดนี้เป็นอย่างยิ่ง หาที่สุดมิได้<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    บ่ายเกือบเย็นแล้ว เมื่อเข็นรถของหลวงปู่กลับออกมาจากประตูพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พอท่านเห็นคณะที่ไปรอรับ หลวงปู่สิมท่านก็ปรารภกับพระอุปัฏฐากว่า
    "นนท์เอ๊ย..หลวงปู่หมดภาระแล้ว หมดเรื่องหมดราวเสียที..!!!!"
    ต่อมา ท่าน"พระอานนท์"จึงได้บอกกับทุกๆคนว่า
    "อาตมาคิดว่า หลวงปู่สิมท่านคงตั้งใจ"ถวายพระราชกุศล"แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย.."
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ภายในพระบรมมหาราชวังเย็นวันนั้น รถติดมาก อากาศก็ร้อนอบอ้าว กว่าหลวงปู่ท่านจะขึ้นรถได้ ก็ต้องนั่งรอในรถเข็นเป็นเวลานานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงเป็นทรมานและลำบากขันธ์แห่งท่านเป็นอย่างยิ่ง<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และในตอนที่"พุทธวงศ์"ได้พยุงหลวงปู่จากรถเข็นขึ้นบนรถยนต์ในคราวนั้น รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า องค์หลวงปู่เปียกชื้นด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วทั้งองค์ เป็นที่น่าเวทนาหลวงปู่สิมท่านเป็นที่ยิ่ง รู้ซึ้งถึงใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ในการมาปฏิบัติ"ภารกิจครั้งสุดท้าย"ของหลวงปู่สิมในพระบรมมหาราชวังในคราครั้งนี้ ช่าง"สาหัสสากรรจ์"สำหรับหลวงปู่ท่านอย่างหาที่เปรียบมิได้สักเพียงไร... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในการครั้งนี้ มีโยมที่ไปรอรับท่านคนหนึ่ง กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่เหนื่อยไหมเจ้าคะ..??"
    คำตอบของหลวงปู่ ทำให้คนฟังแทบน้ำตาหยดด้วยความสงสารท่านผู้เฒ่า
    "เหนื่อยจนพูดไม่ถูกแล้ว.." <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และท้ายสุด ก่อนหลวงปู่จะเดินทางออกจากพระบรมมหาราชวัง "พุทธวงศ์"ก็ได้เข้าไปกราบลาบนตักหลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับออกวาจาถวายมุฑิตาท่านโดยกุศลอัธยาสัย แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า หลวงปู่ท่าน"พ้น"ไปจาก"โลกธรรม"อย่างสิ้นเชิงเนิ่นนานหนักหนาแล้วว่า
    "ขอแสดงความยินดีกับหลวงปู่ด้วยนะครับ"
    หลวงปู่นิ่งสงบ มิได้ตอบว่ากระไรแม้เพียงคำ
    พร้อมนี้ ยังได้"ถวายพร"ให้หลวงปู่มีอายุยืนนานด้วยคำพูดที่"เป็นนัย" อีกหน่อยหนึ่งด้วยว่า
    "แล้วผมจะไปกราบหลวงปู่ที่ถ้ำนะครับ..."
    "อื้อ.." หลวงปู่สิมตอบรับ
    และนั่น...ก็คือสุรเสียงท้ายสุดของ"พระญาณสิทธาจารย์"หรือ"หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" ได้เปล่งไว้ในพระบรมมหาราชวัง หลังเสร็จภารกิจถวาย"พระราชกุศลแห่งความจงรักภักดี"แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบ"สละชีวิต"ถวายเป็นราชพลีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งพุทธจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นในกาลสมัยยุคใดๆทั้งสิ้นไม่อย่างแท้จริง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เย็นแล้ว เมื่อรถออกจากประตูพระบรมมหาราชวังเพื่อกลับจากเชียงใหม่โดยด่วน หลวงปู่สิมท่านนอนหลับตลอดทาง จนถึงจังหวัดนครสวรรค์ หลวงปู่เปิดประตูรถออกมาทำธุระ ก็ยังแทบไม่มีแรงปิดประตู จนกระทั่งรถวิ่งเลยจังหวัดอุตรดิตถ์ ขณะรถขึ้นเขา คนขับรถได้ยินเสียงดังโจ้กเหมือนเทน้ำลงถังเปล่า
    "ผมคิดว่า ธาตุไฟท่านคงแตก"

    13 สิงหาคม 2535
    เมื่อรถถึงถ้ำผาปล่องเวลาประมาณ 3 นาฬิกา วันนั้นทั้งวัน หลวงปู่สิมนอนพักอยู่ข้างในทั้งวันโดยไม่ฉันอะไรเลยแม้แต่น้ำส้มคั้น
    ตกกลางคืน คณะศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ร่วมใจกันเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพัดยศถวาย หลวงปู่นั่งรถเข็นออกมาเป็นประธานและยังนำนั่งสมาธิภาวนาต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง
    และเมื่อเสร็จการทั้งปวงแล้ว หลวงปู่ท่านก็นั่งพักแล้วเหลียวแลมองไปรอบๆข้างอย่างละเอียดอ่อนเหมือนจะร่ำลา สักครู่ใหญ่ จึงได้กลับเข้าที่พักหลังถ้ำ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    14 สิงหาคม 2535
    วันกำหนดทำบุญฉลองพัดยศหลวงปู่
    6.00 น. พระส่วนใหญ่ทยอยกันออกไปบิณฑบาต พระบวร อินฺทปัญโญ ยกสำรับของว่างของหลวงปู่ขึ้นไปถวาย แต่พบว่าหลวงปู่ยังไม่ตื่น ก้เลยวางสำรับไว้ในห้องแล้วกลับลงมา เนื่องจากเห็นว่า หลวงปู่อ่อนเพลียมากจนฉันอะไรไม่ลงมาแล้วหนึ่งวันเต็ม คณะศิษย์มีความประสงค์จะให้หลวงปู่ได้ฉันของว่างที่ยังร้อนเพื่อฟื้นฟูกำลัง จึงพาขึ้นไปขอโอกาสกราบเรียนให้หลวงปู่ลุกขึ้นมาฉัน
    แต่......ไม่ว่าจะกราบเรียนอย่างไร ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง มีเพียงความเงียบและวังเวงจนผิดสังเกต จึงพากันไปเรียนพระที่ยังไม่ได้ไปบิณฑบาตให้มาดูอาการ พระจรัล อภิชาโตรีบไปตีระฆังรัวถี่ยิบบอกเหตุฉุกเฉิน เสียงที่ดังก้องไปทั้งหุบเขา กระตุ้นให้พระที่ไปบิณฑบาตรีบรุดกลับขึ้นมาบนถ้ำอย่างรวดเร็ว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงปู่อยู่ในท่าสีหไสยาสน์ หันหน้าเข้าหาผนัง ย่ามและไฟฉายวางอยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย แขนตกพับลง เมื่อพระช่วยกันพลิกองค์ท่านให้นอนหงาย ทุกองค์และทุกท่านต่างก็ใจหายวาบ ที่เห็นฟันปลอมร่วงจากปากของท่าน เพราะปกติเวลาจำวัด หลวงปู่จะไม่ใส่ฟัน เนื้อตัวของท่านยังอุ่นอยู่ แต่ปลายมือเริ่มมีสีคล้ำ พระเณรวิ่งหายาหม่องมานวดถวาย คนขับรถเสนอให้รีบตามหมอ ต่างคนอกสั่นขวัญหาย หยิบจับอะไรแทบไม่ถูก <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    6.30 น. ทุกชีวิตที่อยู่บนถ้ำผาปล่องจึงได้ตระหนักและยอมรับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ หลายคนยังคงมึนงงที่ถูกหลวงปู่สิมท่าน"สอบไล่"ด้วยข้อสอบ"มรณกรรมฐาน" ที่หลวงปู่พร่ำสอนมาตลอดชีวิตและเป็น"ประธานสอบไล่"ด้วยองค์ของท่านเองในวาระท้ายสุดนี้อย่างไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วก็ตั้งสติเริ่มงานใหญ่ที่สุด งานสุดท้ายเพื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ได้โดยอัตโนมัติ พริบตาเดียว ข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
    "หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร" พระอริยสงฆ์ผู้ทรงวิสุทธิคุณอันประเสริฐสุด และยิ่งด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งยวดที่สุดแม้ในวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ท่านเห็นปานนี้ ได้วางโลก วางลูก วางหลาน ปลีกไปแล้วแต่องค์เดียว สู่แดนอันเกษม อย่างที่ไม่วันจะหวนกลับมาอีกต่อไปตราบชั่วกาล......
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    "สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความแตกทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น อย่าแตกทำลายไปเลยดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้..."
    มหาปรินิพพานสูตร <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    และนี้ ก็คือที่สุดของเรื่องราวแห่งความจงรักภักดีอัน"เหนือโลก" แห่งพระอริยเจ้าผู้ทรงอนุตราธิคุณอันวิสุทธิ์จนถึงที่สุดองค์หนึ่ง กับพระมหากษัตริย์เจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริง ที่มีความ"ลึกซึ้งยิ่งใหญ่" และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจจนบรรเจิดแจ่มจ้าอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบหรือเทียบเคียงได้ ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่รจนาขึ้นมาจากจินตนาการหรือความฝันอันมีด้วยจิตที่คิดสำนึกแห่งความจงรักและภักดีก็ไม่ปาน....
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    แต่....การดังนี้ การที่เมื่อพิจารณาแล้ว แทบจะเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยแห่งสาธารณ์ทั่วไปที่ใครๆจะพึงคิดพึงฝันว่า จะเป็นเรื่องแท้ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาได้จริงๆ ก็เป็น"เรื่องจริง"ที่ได้เคยอุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริงทั้งสิ้น....
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ก็นี่ ย่อมนับเป็นเนติแบบอย่างอันดีที่สุดให้อนุชนรุ่นหลังทั้งสิ้นได้เข้าใจและรู้ซึ้งถึงแก่นโดยทั่วกันว่า โดยแท้แล้ว ความหมายของคำว่า "จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึงพร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" ให้ได้ทุกสิ่ง แม้แต่"ชีวิตจิตใจ" อย่างที่มีการเปล่งปฏิญาณหรือกล่าวขานกันโดยทั่วไปจนกลายเป็นปกติวิสัยนั้น "ของจริง"เมื่อลงมือ"ทำจริง"แล้ว จะมีลักษณาการเป็นเยี่ยงใดกันแน่..??? <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ก็หากว่า พสกนิกรชาวไทยทั้งนั้น มีความ"จงรักภักดี" อันแท้ที่ถึงพร้อมด้วย"ซื่อตรง","บริสุทธิ์"และ"เสียสละ" แม้เพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งดังที่หลวงปู่สิมได้เคยถวายด้วย"ชีวิต"ในช่วงท้ายสุดแห่งชาติและภพแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังกล่าวมาแต่ต้นโดยทั่วกันแล้ว ก็เป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า ประเทศชาติไทยก็คงจะร่มเย็นเป็นสุขและสถิตวัฒนาสถาพรอย่างไม่มีประมาณ อันจะพึงยังความสงบเย็นแห่งพระราชหฤทัยในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาสูงถึง 80 พรรษาแล้วให้พึงบังเกิดขึ้นโดยสวัสดีโดยแน่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2009
  2. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
    [​IMG]






    <TABLE width="40%" align=center><TBODY><TR><TD>
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่


    ท่านเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดปฏิปทาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีเมตตาวิหารธรรมสูง มีปฏิปทาที่งดงาม หลวงปู่ชอบสอนลูกศิษย์หัดนั่งสมาธิเพชร และระลึกถึงความตาย


    [​IMG]
    พระหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ชุดนี้มีขนาดเล็กมาก แปรสภาพมาจากผงอังคารของหลวงปู่ มีลักษณะใสเป็นเกร็ดเพชร แสดงถึงจิตของหลวงปู่มีความใสบริสุทธิอย่างยิ่ง


    [​IMG]


    อัฐิธาตุหลวงปู่สิม พุทธาจาโร จะนำขึ้นประดิษฐานบนมณฑปพระธาตุ



    <TABLE width=500><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    อัฐิธาตุหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ขาวบริสุทธิ์



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    <TABLE width=500><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระธาตุเกิดขึ้นจากเกศาหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ยังติดอยู่กับเส้นเกศา


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  3. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    " ลมหายใจเข้า-ออกนี่แหละ คือชีวิตของแต่ละบุคคล อายุจริงๆ อยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก อายุที่นับกันอยู่ คือ สิ่งที่ล่วงหายไป อายุที่แท้เหลืออยู่แค่ลมหายใจ เข้า-ออก ถ้าปล่อยออกมาแล้วสูดเข้าไปไม่ได้ ก็ตาย สูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาไม่ได้ก็ตาย ความตายนั้น แก้ไม่ได้ ท่านจึงให้แก้ใจตัวเองให้สงบนิ่งอยู่ภายใน หายใจเข้ามาชีวิตหมดไปหายใจออกมาชีวิตหมดไป เดือน-ปี ไม่ไปไหน วันนี้หมดไป วันใหม่ก็มาแต่ว่า ชีวิตของคนเรา หมดไป สิ้นไป จงทำความรู้สึกอยู่ ภายในใจว่า "เราต้องตาย" ทุกลมหายใจ"
     
  4. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,674
    อนุโมทนาบุญด้วยคะ

    สาธุ สาธุ
     
  5. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    ให้ดูจิตที่จิต ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในตัวเราแล้วทั้งสิ้น
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล...
    [​IMG]
     
  6. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    [​IMG]
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

    ๏ ธรรมโอวาท
    จากพระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์ และธรรมลิขิต

    1. คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่

    2. ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้

    3. การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก

    4. การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ

    5. ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย

    6. เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้

    7. สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

    8. เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา

    9. พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด

    10. ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป

    11. ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้

    12. เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น

    13. ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น

    14. การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง 9 เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม

    15. อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

    16. วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุกลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง

    17. ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

    18. บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น

    19. ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก

    20. ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน

    21. อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน

    22. ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น

    23. สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง

    24. เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัยก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ

    25. ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง 3 อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน

    26. ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ

    27. จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน

    28. เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า
     
  7. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    ผมขอกราบแทบเท้าในความเมตตาของหลวงปู่สิม ที่ได้เมตตามอบหนังสือสวดมนต์ประจำสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องให้กับผมและเพื่อนอีกคนหนึ่ง ได้ใช้สวดมนต์ ตลอดจนกระทั่งผมเรียนจบทันตแพทย์เชียงใหม่ ความทรงจำนี้ (ที่ผมและเพื่อนได้มีบุญได้พบกับพระอริยเจ้า ณ ถ้ำผาปล่อง และความเมตตาของหลวงปู่ในบ่ายวันนั้น ทั้งๆที่ผมและเพื่อนลองขับรถไปที่ถ้ำผาปล่องดู โดยไม่ได้มีการนัดหมายใดๆทั้งสิ้น) จะไม่มีวันลืมเลือน และผมจะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ตลอดไป
    [​IMG]
     
  8. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    ถึงจิตไม่สงบ ก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลด สังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน
    อารมณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ก็ไม่สามารถที่จะฝืนกฎแห่งไตรลักษณ์ไปได้ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เมื่อทุกข์ให้รู้ว่าทุกข์ แต่อย่าถลำเข้าไปในอารมณ์แห่งทุกข์นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นนั้น เราเห็นมันจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้น มันไม่จริงครับ พยายามทำกุศล ละอกุศล และทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่กับปัจจุบัน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วในที่สุดเราก็จะเข้าใจในสัจธรรมแห่งชีวิตครับ
    พยายามอย่าส่งจิตออกนอกนะครับ ให้ดูจิตที่จิต
    จากคำสอนของครูบาอาจารย์...โมทนาสาธุ[​IMG]
     
  9. สำรวจโลก

    สำรวจโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    553
    ค่าพลัง:
    +579
    นิมิตจากในหลวง
    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว...
    “ท่านผู้รู้” เมตตาเล่าว่า องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้นเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยบารมี ได้ทิพยจักขุญาน ตั้งแต่พระชนมายุ ๗ พรรษา ทรงปฏิบัติธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก สามารถทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ...!
    หลังจากออกจากพระจุฬามณีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จนำอาตมาไปยังดินแดนแห่งเอกันตบรมสุข คือพระนิพพาน อาตมาได้พบเห็นเมืองแก้ว แพรวพราวงามระยับจับตา สูงส่งสง่า สงบ เยือกเย็น เป็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก...
    อาตมาได้มีโอกาสได้เข้าไปกราบ สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลที่ ๑ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุด พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันตเจ้าทั้งหมด...
    ถ้าใครบอกว่าเป็นการสะกดจิต เป็นการนึกฝันเอาเอง อาตมาก็ยอมให้สะกดจิต ยอมเพ้อฝันเอาเอง ขอให้มีคนสามารถสะกดจิต ให้คนไปนิพพานได้จริง ๆ เถอะน่า จะยอมให้สะกดทั้งชาติเลยซิเอ้า...ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็อย่าแสดงความโง่ด้วยการปฏิเสธเลย...!
    ออกจากวิมานขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อาตมาก็ตรงไปยังวิมานของตน ที่หน้าวิมานนี่เอง อาตมาพบองค์ในหลวงในเพศพระภิกษุห่มจีวรเหลืองอร่าม ในพระหัตถ์ทรงบาตร ประทับยืนขวางทางอยู่...
    อาตมาถวายบังคมอย่างปลาบปลื้มใจ ทูลถามว่า เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด พระองค์ชี้พระดัชนีลงในบาตร อาตมาเห็นว่ามีน้ำอยู่ครึ่งบาตร และมีเรือสำเภาลำน้อยลอยวนอยู่...
    ทันใดนั้น...อาตมาลงไปอยู่ในเรือได้อย่างไรไม่รู้ น้ำในบาตรกลายเป็นมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา กระแสน้ำกลายเป็นวังวนมหึมาหมุนวนเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว ดูดเอาเรือสำเภาที่มีอาตมาอยู่ในนั้นเข้าไปใจกลางวังวนอย่างรวดเร็ว...!
    “ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้...!” อาตมาตะโกนด้วยความตกใจ องค์ในหลวงมีดำรัสว่า "หาทางขึ้นมาซิ..." พริบตานั้น...ปรากฏเส้นเชือกใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพาดจากฝั่งมายังเรือ อาตมาเลือกเชือกเส้นใหญ่ที่สุดปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งอย่างง่ายดาย กราบทูลถามว่า "นิมิตนี้หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า...?" ทรงตรัสว่า "นานไปแล้วเธอจะรู้เอง"....
    หลังจากนั้นหลายปี มีผู้รู้พยากรณ์นิมิตนั้นว่า เรือสำเภาหมายถึงพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารแสดงว่าอาตมาคงบำเพ็ญบารมีมาในด้านนี้ แต่การที่สละเรือขึ้นสู่ฝั่งแปลว่าอาตมาต้องลาจากพุทธภูมิ...!
    เชือกเส้นใหญ่ที่สุดที่อาตมาเลือกเพื่อปีนขึ้นฝั่ง คือหนทางปฏิบัติที่อาตมาเห็นว่ามั่นคงที่สุด ที่จะพาตนพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน คือการที่อาตมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง...!
    องค์ในหลวงของเราทรงปฏิบัติภารกิจ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้า อย่างมิคำนึงถึงความเหนื่อยยากของพระองค์ เกียรติคุณของพระองค์ท่าน ขจรขจายไปทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษาทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส ที่เรามีผู้นำที่วิเศษเห็นปานนี้...
    ดวงแก้ววิเศษอยู่กับเราแล้ว อีกกี่ยุคกี่สมัยจึงจะมีเช่นนี้อีก ขอทุกท่านจงคำนึงและยึดมั่นในพระองค์ท่าน สิ่งใดที่เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ขอทุกคนจงทำสิ่งนั้นอย่างเต็มสติกำลังโดยถ้วนหน้ากันเถิด...



    บารมีพระมากพ้น รำพัน
    พระพิทักษ์ยุติธรรม์ ถ่องแท้
    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก ไซร้แฮ
    ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วย บิตุรงค์

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...