ความหายนะอย่างถึงที่สุด10ข้อ ของการปรามาสพระรัตนตรัย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียน หรือนินทาว่าร้าย ด่าบริภาษ
    แม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์

    ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพาน แม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถ บรรลุมรรคผลได้
    การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้า จึงมีโทษมาก

    เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10อย่างคือ

    บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ 1
    เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที 1

    สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว 1
    เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม 1

    ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ 1
    ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง 1

    ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก 1
    ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน 1

    หลงตามกาละ คือตายอย่างขาดสติ 1
    เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก 1

    กรรมที่บริภาษ ด่าทอ พระอริยบุคคลนี้ เป็นกรรมตัดรอน มรรคผล นิพพาน
    มิใช่กรรมเก่า แต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมาก มีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆในทันใด

    วิธีแก้กรรมนี้ ต้องกล่าวขอขมาโทษ แก่พระอริยเจ้า เมื่อพระอริยเจ้าอดโทษไม่เอาโทษแล้ว ก็ไม่ห้าม มรรค ผล นิพพาน กลับมาเป็นปรกติดังเดิม

    ขอขอบพระคุณ องค์สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อนครับ สำหรับธรรมะนี้

    ดังนั้นให้เราหมั่นขอขมาพระรัตนตรัยทุกๆวัน
    เพราะเราไม่รุ้ว่าบุคคลที่เราเดินผ่านไปผ่านมา หรือว่าพบเจอ แล้วเราไปแสดงอากัปกิริยานไม่เหมาะสม ใส่ท่าน บุคคลเหล่านั้น ท่านเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่
    เพื่อความปลอดภัยและเจริญก้าวหน้าของตัวเราเอง ให้เราอย่าประมาท ปรามาสพระรัตนตรัยเด็ดขาด

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บพลังจิต ที่ค่อนข้างจะมีทั้งพระโพธิสัตว์ ทั้งพระอริยเจ้า แวะเวียนมาเสมอๆ ดังนั้นอย่าไปปรามาสท่านใดเป็นอันขาดครับ

    ความหายนะที่ร้ายแรงก็คือ การหลงว่าเราบรรลุธรรมไปแล้ว เพราะถ้าเราหลงว่าตัวเองบรรลุโดยที่ยังไม่ได้บรรลุจริงๆแล้วล่ะก็

    ส่วนมากจะกู่ไม่กลับและมีอบายภูมิเป็นที่ไปครับ
    แล้วยิ่งเราไปสอนคนผิดๆ เพราะหลงว่าตัวเองบรรลุธรรมไปแล้ว
    ยิ่งสอนคนด้วยธรรมะผิดๆไปเป็นจำนวนมากเท่าไหร่ เราเองก็จะยิ่งต้องชดใช้กรรมนานเท่านั้นครับ

    ดังนั้นอย่าเผลอปรามาสพระเป็นอันขาดครับ



    อ้างอิงจากหนังสือ "พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราช สุกไก่เถื่อน"
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    เมื่อพลาดพลั้งเผลอปรามาสไปซะแล้ว

    เราแก้ไขด้วยการตั้งจิตในคุณแห่งพระอริยเจ้าเพื่อลบล้างใจที่กล่าวให้ร้ายท่านด้วย
    การขอขมา ทั้งที่เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี

    เราไม่ทราบได้ว่าเราพลั้งเผลอหรือไปกระทำเอาไว้ในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติ

    ขอเพื่อนๆจงหลับตาและนึกในคุณความดีแห่งพระอริยเจ้าขอขมาต่อท่าน
    "ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้ง ด้วยเจตนาก็ดีหรือไม่เจตนาก็ดี สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินพระอริยเจ้าทั้งหลายทางกาย วาจา ใจ

    ขอให้คุณแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลายจงงดเว้นโทษในกรรมอันน่าติเตียนเช่นนี้
    เพื่อความสำรวม ระวังในกาลต่อไป"

    การที่ใจเราประทับรอยคือเชื้อแห่งกรรมเอาไว้เราก็ต้องแก้ที่ใจและขอขมาลาโทษเพื่อสำรวมระวัง

    ถ้าหากท่านจะไปขอขมาในขณะที่ท่านยังดำรงค์ขันธ์อยู่ก็จะประเสริฐยิ่งนัก
    เพื่อให้ท่านอโหสิกรรมอันน่าติเตียนเช่นนี้

    แต่ถ้าท่านสิ้นไปแล้วก็ต้องใช้ใจเราส่งกระแสแห่งความสำนึกผิดไปให้ท่านทั้งหลาย

    ขึ้นชื่อว่าใจปรามาสยังไม่เท่าไหร่ เพราะจิตนั้นบังคับบัญชาไม่ได้ คิิดดี คิดชั่วได้ตลอดเวลา

    แต่ถ้าหากออกมาทางกาย วาจาด้วยเจตนาของใจซะแล้ว
    ขอให้เพื่อนๆจงตั้งจิตสำนึกและส่งกระแสด้วยใจสำนึกเพื่อสำรวมระวังในกาลต่อไป

    กรรมแก้ไขไม่ได้...เป็นเชื้อ เป็นสิ่งประทับ เป็นรอยฝากเอาไว้ มีสันตติส่งงต่อสืบเนื่่อง เราไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เราได้กระทำเอาไว้ในอดีต

    แต่เราสามารถแก้ไขสิ่งทุกสิ่งได้ในปัจจุบันคือทำดีให้ถึงพร้อม ทำใจให้ผ่องใส
    งดทำชั่วทั้งปวง

    การขอขมาทำให้เกิดกระแสแห่งการอโหสิตอบรับยังจิตที่มืดบอดเพราะปรามาสสิ้นไปแต่กรรมนั้นๆรอส่งผลในอนาคตหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงแต่ไม่ทำให้กีดขวางคุณธรรมในการเข้าถึงพระรัตตรัยนะครับ

    อนุโมทนา
     
  3. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    พยายามขอขมากรรมโดยตรงกับพระรัตนตรัยบ่อยๆ และไม่ว่าเราจะทราบหรือไม่ทราบว่าท่านเป็นพระอริยะเจ้า ก็อย่าปรามาสใครทั้งกาย วาจา ใจ จะถือว่าเอาตัวรอดเป็นยอดดี เมื่อเราทำตัวให้เล็กที่สุด เมื่อนั้นจิตก็จะแจ่มใสมากที่สุด [​IMG]
     
  4. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    ดีมากๆ เลยครับ... จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
    เพราะ จิตของผมนี้ ก็มักคิดปรามาส สงสัยตลอด...
    ทั้งที่ไม่อยากคิดเลย...
     
  5. ธิดารัตน์

    ธิดารัตน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,939
    ค่าพลัง:
    +4,568
    กลัวไปปรามาสโดยไม่รู้ตัวจังค่ะ T^T

    ต่อไปจะต้องใช้สติกำกับตลอด

    ขออนุโมทนาสาธุนะคะ
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ความสงสัยไม่ใช่เรื่องผิด เป็นคนละเรื่องกับการปรามาสเลยครับ
    ความสงสัยเป็นที่มาของความใคร่รู้ เพียงแต่เมื่อสงสัยแล้วต้องน้อมจิตเพื่อการศึกษาในธรรมอย่างเคารพ เหมือนชาไม่ล้นถ้วย พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งที่ยังไม่ได้รู้
    แต่การปรามาสส่วนใหญ่เป็นเพราะความยึดมั่นในอัตตาของตนเอง จึงปิดกั้นตนเองไม่เปิดใจพิจารณาให้รอบด้าน เหมือนชาล้นถ้วย จึงตัดสินผู้อื่นโดยใช้ตัวเป็นบรรทัดฐาน
    ยกตัวอย่างพระสารีบุตร ท่านบอกว่าไม่ได้เชื่อพระพุทธองค์ในทันที ต่อเมื่อได้พิจารณาธรรมจนเห็นแจ้งแล้วจึงเชื่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...