ความหลากหลายของสีจีวรพระ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 3 พฤษภาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,172
    เรื่องของจีวรพระ เป็นเรื่องแปลกมากเลย ควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็น คือมีทั้งสีเหลือง เหลืองส้ม เหลืองอ่อน สีกรัก กรักทอง แก่นขนุน สีแดง กรักแดง แดงแบบฝาง แดงแปร๊ดไปเลยก็มี ถามว่าอันไหนถูก ก็ถูกทั้งนั้น ถ้าเป็นพม่าห่มสีแดง ไปดูในอภิสมาจาร สิ่งที่ท่านอนุญาตให้ใช้ โดยเฉพาะจีวร จีวรนี่ไม่ได้อยู่ในอภิสมาจารหรอก จะอยู่ในศีล ในปาฏิโมกข์เลย ท่านอนุญาตไว้ว่า ให้เป็นผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด สีเหลือง คือเหลืองขมิ้น สีกรัก คือสีแก่นขนุน สีเหลืองเจือแดงเข้ม ตกลงทุกสีใช้ได้ แต่ถ้าหากพระออกป่า ท่านก็มักจะใช้สีกรัก เพราะว่าเปื้อนยากหน่อย ถ้าเป็นสีเหลืองเปื้อนง่าย ก็เลยมีการแยกแยะกันอีก

    ปัจจุบันถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ บางทีเขาแยกพรรษาด้วยสีจีวร ห่มจีวรเหลือง ท่านถือเป็นพระใหม่ไปเลย ตั้งแต่ ๑-๕ พรรษา ห่มสีพระราชนิยม ก็เป็นพระปานกลาง เรียกว่า “มิชฌิม” ตั้งแต่ ๕-๑๐ พรรษา ถ้าเป็นพระเถระ ตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป เขาจะห่มจีวรที่เป็นสีกรักเขียวๆ ที่เรียกว่า “สีแก่นขนุน” ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บางทีก็สีโน้นบ้าง สีนี้บ้าง วัดเดียวลายไปหมดก็มี บางวัดก็บังคับว่า ถ้าเป็นวัดเขาต้องห่มสีนี้ ปัจจุบันนี้ทางทองผาภูมิก็จะมีอยู่ ๔ สีด้วยกัน

    สีพระราชนิยมส่วนหนึ่ง เป็นสีที่ในหลวงท่านบอกว่าเหมาะ ดูแล้วสบายตาดี ไม่ใช่สีส้มแปร๊ดเลย ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ดำมืดจนเกินไป แล้วก็มีสีกรัก แบบแก่นขนุนเขียวๆ ของพระปฏิบัติ พระป่า พระป่าสายปฏิบัติทางด้านทองผาภูมิก็มีหลายวัด อย่างวัดเวฬุวัน จะเป็นสายของ หลวงปู่มั่น วัดป่าภูริทัตตวนาราม ของหลวงปู่มั่น วัดเขาถ้ำสหกรณ์นิคม ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชาเป็นมหานิกายในดงธรรมยุต

    เพราะฉะนั้นวัดเขาถ้ำนี่เป็นวัดมหานิกาย ไม่ใช่ธรรมยุต (ไม่ชัด) สายวัดสังฆทานเขา ๔ วัดนี้ท่านจะห่มสีเขียวๆ เข้มแก่นขนุน จะมีวัดท่าขนุน วัดพุทธบริษัท วัดห้วยสมจิต จะห่มสีน้ำ แล้วก็มีหลายวัดที่เจ้าคณะอำเภอ ท่านบังคับบัญชาตามใจได้ จะห่มสีเหลืองอ๋อยไปเลย จะมีวัดเดียวคือ วัดพุทธโธภาวนา พุเย ท่านจะห่มสีกรักแดง ตามแบบของอาจารย์ท่านคือ หลวงพ่อภาวนาพุทโธที่สึกไปแล้ว

    กลายเป็นว่าอย่างน้อยๆ ปัจจุบันนี้ทองผาภูมิมีอยู่ ๔ สี แต่ถ้านับพระจีนไปด้วยก็ ๕ สี ทองผาภูมิมีวัดจีนอยู่เหมือนกัน วัดจีนจะอยู่เลยทางบ้านสะพานลาวไป มีอยู่วัดหนึ่ง แล้วก็ทางบ้านพุถ่องเข้าไปจะเป็นพุทธสถานฉงเต๋อ นั่นก็วัดหนึ่ง ผ้าไม่ทำให้หมดกิเลสหรอก หมดกิเลสอยู่ที่การปฏิบัติ

    อาตมาสมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุงก็ห่มสีเหลือง แล้วไปงานวัดหนึ่ง เขาไม่ให้ขึ้นศาลา ทั้งๆ ที่เราได้รับการนิมนต์อย่างถูกต้อง เพราะเขารังเกียจสีเหลือง เราก็เลยสบายนั่งอยู่ข้างล่าง ทำเอาท่านที่นิมนต์วิ่งมาประเภทเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง บอกไม่นึกเลยเขาจะทำกันอย่างนี้ บอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอกคุณ คือท่านเป็นพระด้วยกัน นั่งข้างบนนั่งข้างล่างก็รับเท่ากัน แล้วผมนั่งข้างล่างผมไม่ต้องสวด สบายดีซะด้วย แล้วอย่างไรที่เรานั่งอยู่ก็โต๊ะอาหารอยู่แล้ว ถึงเวลาไม่ต้องขยับไปไหนได้กินแหงๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) มองโลกในแง่ดีใช่ไหม ? อะไรเกิดขึ้นกับเราดีทั้งหมด หาประโยชน์จากมันให้ได้ (หัวเราะ) ทำใจอย่างนี้ได้ไหม ? อย่าไปแบกเอาไว้

    คนบางคนบอกว่า “โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก” แบกไว้แล้วจะหนัก คนแบกโลกก็อยู่ต่ำ ถ้าคนค้ำโลกก็อยู่กลาง ถ้าคนวางโลกก็อยู่สูง เพราะฉะนั้นมีก็เหยียบเอาไว้ อย่าไปแบกเอาไว้ แบกมันหนัก เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้หรอก คนอื่นเป็นโลก โลกทั้งโลกหนักเกินกว่าที่เราจะแก้ได้ แต่เราแก้ไขตัวเราเองได้

    เพราะฉะนั้น ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เตือนตัวเองด้วยตัวเอง อย่าไปดูจริยาคนอื่นเขา ถ้าคิดจะจับผิดกัน มีข้อบกพร่องให้จับได้ตลอด ฉะนั้นดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา เอาเฉพาะหน้าของเรา อย่าเอาเรื่องของโลก มาเป็นเรื่องของเรา อย่าเอางานของโลก มาเป็นงานของเรา อย่าเอาภาระของโลก มาเป็นภาระของเรา ปล่อยไว้ตรงนั้น กองไว้ตรงนั้นหละ ถ้ากองผิดกองพลาด ไปกองบนหัวคนอื่น ก็ขอโทษเขามั่ง (หัวเราะ) เยอะเหมือนกัน ประเภทไปกองใส่หัวคนอื่น

    อีกไม่กี่วันก็วันมาฆบูชา เพราะฉะนั้นลืมคำสอนของ พระพุทธเจ้าไม่ได้นะ ท่านบอกว่า สัพพะปาหัสสะ อะกะระณัง เว้นจากความชั่วทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา ทำความดีให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะทัง ทำจิตใจให้ร่าเริง เบิกบานอยู่เสมอ ตัวสุดท้ายนี่สำคัญที่สุดสำคัญอยู่ตรงจุดที่กำลังใจของเรา ถ้าเกาะอะไร ถ้าตายไปอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นทุกวันต้องรักษาจิตใจของเรา ให้เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ การที่จะเบิกบานแจ่มใสอยู่ได้ สมาธิต้องทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัว กิเลสรบกวนไม่ได้ จิตใจก็จะผ่องใส ปัญญาก็จะเกิด



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ





    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤษภาคม 2010
  2. มรรคา

    มรรคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2009
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +101
    สีอะไรก็ได้แต่่ห่มเพียงกันละอายเท่านั้นครับ
    อนุโมธนากับเจ้าของกระทู้ครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...