ความหมายของหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็คือ บรรลุอรหันต์แล้วไม่ละสังขารเกินอายุขัยได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โปเย, 17 มีนาคม 2012.

  1. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    เมื่อท่านบรรลุอรหันตผลแล้ว จึงตั้งจิตจะอยู่ต่อเพื่อ
    ค้ำจุนพระพุทธศาสนา และยืดอายุขัยยาวนานเกิน
    กว่าอายุขัย นั่นจึงเรียกว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร"
    ซึ่งมี "มากกว่า 1 องค์" นับแต่พระมหากัสสปะ
    เป็นต้นมา (พระมหากัสสปะ นับเป็นองค์ที่หนึ่ง)
     
  2. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    หลวงปู่ที่บรรลุอรหันต์แล้ว ไม่ได้ตั้งใจดูแลพระพุทธศาสนา
    แล้วละสังขารตามอายุขัยไป ไม่เรียกว่า "หลวงปู่เทพโลกอุดร"
    ซึ่งในจำนวนนี้มีหลายรูป ที่ได้ละสังขารไปบ้างแล้ว และเมื่อ
    ถึงกึ่งกลางพุทธกาล ท่านก็ได้ละสังขารไป (ยกเว้นท่านที่เข้า
    ฌานอยู่) หลวงปู่เทพโลกอุดร สายที่อยู่ในประเทศไทยนั้นได้
    ละสังขารแล้ว ในช่วงกึ่งกลางยุคพุทธกาลนั้นเอง เป็นอันสิ้นสุด
    สายธรรมของหลวงปู่เทพโลกอุดรลง ...
     
  3. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    หลังกึ่งกลางพุทธกาล พระพุทธศาสนาทอดสายธรรมสู่ฆราวาส


    เมื่อสายธรรมหลวงปู่เทพโลกอุดรสิ้นสุดลง ท่านได้ทอดสายธรรมถึง
    "ฆราวาส" ซึ่งปกติ ฆราวาสสามารถบำเพ็ญธรรมได้สูงสุดคือ อนาคามี
    หากถึงอรหันตผลแล้วไม่บวชพระ ก็จะละสังขารตายภายใน 7 วัน แต่
    ก็มี "ฆราวาส" บางท่าน อาจสามารถยื้อชีวิตอยู่ได้เกินกว่านั้นด้วยบารมี
    เก่าสร้างมาในผ้าขาว ไม่ใช่ผ้าเหลือง เมื่อท่านสามารถบรรลุอรหันตผล
    ให้เพศฆราวาสได้แล้ว ก็จะตั้งใจอยู่ต่อไป เพื่อสืบทอดสายธรรม และจะ
    ต้องมีความสามารถในการ "ยืดอายุขัย" ตนเองให้ได้ ซึ่งแต่ละท่าน ก็มี
    "เคล็ดลับแตกต่างกัน" แล้วแต่ว่าก่อนบรรลุธรรมได้ ปฏิบัติบำเพ็ญอะไร
    มา ก็จะใช้วิธีเหล่านั้น ในการยืดอายุขัยได้ ดังนั้น ปกติในสายฆราวาสจึง
    ไม่ได้คาดหวังผลให้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันตผล เพียงแค่อนาคามีก็พอแล้ว
     
  4. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    เมื่อฆราวาสบรรลุอรหันต์แล้ว จำต้องสำเร็จเซียนยืดอายุด้วยจึงอยู่ได้


    เมื่อฆราวาสบรรลุธรรมถึงขั้นอรหันตผลแล้ว จะทรงขันธ์อยู่ได้ไม่นาน ไม่เกิน
    เจ็ดวัน ก็จะละสังขารจากไป และเพื่อให้สามารถยืดอายุขัยให้ "ฆราวาสผู้ได้
    อรหันต์" ได้ จึงต้องหาวิธีต่ออายุขัย ในการนี้ จิตวิญญาณจะไม่ทรงอยู่นานก็
    ต้องใช้ "จิตวิญญาณมืด" ต่ออายุขัย จะใช้จิตวิญญาณมนุษย์ไม่ได้ เพราะจะ
    ทำให้มนุษย์อายุขัยสั้นแล้วตายไป (ถ้าใช้จิตวิญญาณมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ได้
    สมบูรณ์) ทว่า เมื่อใช้จิตวิญญาณมืด มาต่ออายุขัยได้แล้ว จะกลายสภาพเป็น
    "ครึ่งปีศาจ" ดังนั้น จึงต้องบำเพ็ญเซียนต่อ เพื่อสลายวิญญาณปีศาจนั้น ก็จะ
    สำเร็จเซียนได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ในการณ์นี้ ธรรมจะลดลงชั่วขณะ แล้วก็
    จะถูก "ทำลายสักกายทิฐิ" ของเซียนผู้นั้น เมื่อทำลายสักกายทิฐิสำเร็จ ก็สำเร็จ
    อรหันตผลได้ทันที แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ก็จะกลายเป็น "เซียนห่อหุ้มอรหันต์" คือ
    มีจิตวิญญาณเซียนคุ้มครองอยู่ภายนอก ภายในมีจิตวิญญาณอรหันต์อยู่ รอที่จะ
    ละสังขารไปเรื่อยๆ (เพราะไม่ได้บวชพระนั่นเอง) การทรงสภาวะจิตให้อยู่ในรูป
    "เซียน" ก็เพื่อไม่ให้ละสังขารเร็วเกินควร แต่ถ้าถูกทำลายสักกายทิฐิแล้วจนบรรลุ
    ถึงอรหันตผลเมื่อใด จะเข้าสู่อรหันตผลทันที และจะละสังขารตายใน 7 วันดังนี้
     
  5. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    เมื่อพระศรีอาร์ฯ ต้องต่อสายธรรม "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ในรูป "ฆราวาส"


    ปัญหาคือ พระศรีอาร์ฯ จะมีกรรม ไม่อาจเป็นพระได้ และต้องบำเพ็ญในเพศฆราวาส
    แต่จะต้องลงมา "สานต่อสายธรรม" ซึ่งจะต้องสำเร็จอรหันตผล และต้องอยู่ในเพศ
    "ฆราวาส" ให้ได้ ไม่ละสังขารตายใน 7 วัน ดังนั้น นี่คือ "โจทย์" ที่แตกต่างจากท่าน
    อื่นๆ ทั้งหมด แต่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ คือ เป็นฆราวาสที่สำเร็จอรหันตผลแล้วทรง
    ขันธ์อยู่ได้ ยาวนาน เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดรทั้งหลายนั้น การบำเพ็ญบารมีจึงสำเร็จ


    และโจทย์ของ "ธรรมะกึ่งหลังพุทธกาล" คือ "ธรรมผ้าขาว" มิใช่ธรรมผ้าเหลือง คือ
    เป็นธรรมฝ่ายฆราวาส ไม่ใช่พระ ปูทางให้ฆราวาสถึงอรหันตผลก่อนค่อยบวชนั่นเอง
    และเมื่อบรรลุอรหันตผลแล้ว บวชพระทีหลัง ก็จะได้พระที่ดี มีความน่านับถือศรัทธา
    แต่ถ้ารีบบวช โดยไม่ได้บรรลุธรรมก่อน ก็จะเข้าไป สร้างสิ่งที่ "นอกลู่นอกทาง" ได้
     
  6. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    เย้ๆๆ ศาสดา "โปเย" จงเจริญ

    ศาสนา "โปเย" จงเจริญ
     
  7. tee666

    tee666 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +14
    มันรู้ได้ยังไงอ่ะ พยากรณ์ได้เป็นฉากๆๆเลย.....ไปนั่งเฝ้าดูมาเหรอ.....หรือบรรลุแล้ว....มีความสามารถพยากรณ์บุคคลอื่นได้.......เป็นนอสตราดามุสรู้อนาคตล่วงหน้า......มันเป็นใครอ่ะ........ใครก็ได้ช่วยตอบที !.....มันยังพยากรณ์ พระศรี
    อาร์ฯได้อีก......มันเก่งกว่าพระพระศรีอาร์ฯอีกอ่ะ....ผู้ที่จะพยากรณ์พระศรีอาร์ได้ก็จะมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น........ถามอีกที.....มันเป็นใครอ่ะ.....
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ศาสนาโปเยและพ้องเพื่อน
    พระจิด
    พระเจ้า
    ผลแอปเปิล
    มาร์คไรเดอร์
    อุลตร้าแมน
    มหาบุรุษเพศ
    พลัง "หยาง-เอี๊ยง"
    พลัง "อิม-เอี๊ยง"
    มีกามกัน
    แลกเปลี่ยนลมปราณกัน
    เทพราหู
    จิตวิญญาณมืด
    ครึ่งปีศาจ
    เซียน
    ธรรมผ้าขาว


    เชิญบริโภคกันให้อิ่มหน่ำครับ
     
  9. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    คนเรา...รู้ดีทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตนเอง
     
  10. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,579
    คุณโปเยนี่เก่งจริงนะช่างรอบรู้ไปเสียหมดๆๆ
     
  11. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    อย่าเรียกท่านอย่างนั้น ท่านเป็นถึงมหาสาดสะดา"ไปเย"

    เด๋ยวท่านไม่พอใจจะให้วิชา"โปเย โปโลเย" มากักตัวท่าน a5g1aeka เอานะครับ

    รูปวิชา "โปเย โปโลเย กักปีศาจ"

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2012
  12. ธรณัส

    ธรณัส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +47
    [​IMG]
    ฆราวาสที่บรรลุอรหันต์....ดับขันธนิพพาน.....เนื่องจากไม่ได้บวชมีดังนี้ขอรับ



    ๑.ท่านพาหิยะ บรรลุธรรมแล้วได้ถึงแก่ดับขันธนิพพาน..เนื่องด้วยเพราะโดนโคขวิด
    ๒.ท่านสันตติอำมาตย์ บรรลุธรรมแล้วทูลขออนุญาติดับขันธนิพพานโดยเข้าเตโชกสิน
    ๓.พระเจ้าสุทโทธนะ บรรลุธรรมแล้วก็ได้ทูลขอพระสุคตเจ้าเพื่อจะดับขันธนิพพาน..

    เรื่องว่า...คฤหัสถ์บรรลุธรรมแล้ว...อยู่ได้กี่วันเป็นที่ถกเถียงกันเป็นอันมาก.........โดยเฉพาะประวัติของพุทธบิดา..คือพระเจ้าสุทโทธนะ.....และเกล้าฯได้ไปค้นหาตามหนังสือปฐมสมโพธิกถาแล้ว....
    มีใจความที่น่าสนใจว่า....หลังจากพระเจ้าสุทโทธนะหายจากการประชวร....พระพุทธองค์ก็ทราบว่าพระบิดาจะมีพระชนมายุอยู่ได้...เจ็ดวัน....จึงเทศน์โปรด...ทุกทิวาราตรีกาล..(ทั้งกลางวันและกลางคืน.).....
    และในวันที่เจ็ดนั้นเอง....พระเจ้าสุทโธทนะ...ได้ทูลต่อพระสุคตเจ้าว่า...ตนเองได้พ้นจากบวงแห่งมารแล้ว....และทูลขอลาสู่อมตะมหานิพพาน...ปรากฏอยู่ที่หน้า...๓๒๔..แห่งปฐมสมโพธิกถา..ขอรับ
    สาเหตุ..คือท่านทราบว่าพระชนมายุจะไม่สามารถดำรงค์ขันธ์อยู่ได้

    และคฤหัสถ์ที่บรรลุธรรม...แล้วหากไม่บวช...ก็ย่อมไม่สามรถ..สืบชีวิตต่อไปได้ดังปรากฏใน..คัมภีร์
    ที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา..นั้นคือมิลินท์ปัญหา...ซึ่งพระนาคเสนพระอรหันตเถระเจ้า...ได้วิสัชนาตอบพระยามิลินท์ว่า..
    ..ฆราวาสบรรลุธรรมแล้วไม่บวช....จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งวันขอรับปรากฏกตาม
    เมณฑกปัญหาวรรคที่ ๖ ปัญหาที่ ๓ ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์...

    ซึ่งปัญหาฆราวาสบรรลุธรรมแล้วจะอยู่ได้กี่วันเป็นปัญหาที่ถกเถียงกัน...เป็นอันมาก..

    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...ฆราวาสเมื่อบรรลุธรรมแล้ว..หากไม่บวช..ก็ไม่สามารถ...ที่จะทรงขันธ์เอาไว้ได้....
    และเป็นไปตามองค์หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย กล่าวไว้ไม่มีผิดเลยขอรับ...............

    ขออนุโมทนา..สาธุการ..ขอรับ ( ผมก็อปเขามาให้อ่านอีกทีหนึ่ง..55)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2012
  13. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
    เมื่อปฏิบัติถึงด้วยตนเองแล้ว
    ก็จะทราบเองว่าอาการจะละสังขาร
    นั้นเป็นอย่างไร เมื่อนั้น บทความจะมี
    ประโยชน์ครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๕
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อ
    เห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็น
    สักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจัก
    เป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มี
    ในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
    ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่
    ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มี
    พระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ
    [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิด
    พาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
    สาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก
    ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
    สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอกับท่านทั้งหลาย
    ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกันยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะ
    ขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่
    ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิย
    ทารุจีริยะข้าพระองค์ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้
    แล้วคติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิตปฏิบัติธรรมสมควร
    แก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรมดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะ
    ปรินิพพานแล้ว ฯ

    ----
    พาหิยทารุจีริยะเป็นบุตรของอนาถบิณฑิกเศรฐี ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าขณะที่พระพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ที่เมืองสาวัตถี พาหิยทารุจีริยะบรรลุธรรมได้ไม่นานถูกโคขวิดเสียชีวิต
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘
    [๑๑๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระพาหิยะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ฯลฯ
    ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ ประทานพระวโรกาส ขอพระผู้
    มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้วพึงเป็นผู้ๆ เดียวหลีก
    ออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อยู่เถิด ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือ
    ไม่เที่ยง ท่านพระพาหิยะกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    พา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ หนอที่จะตามเห็น
    สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    พา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
    พ. จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุข เวทนา ที่เกิด
    ขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    พา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตาม
    เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    พา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    พา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตาม
    เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    พา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
    พ. มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุข เวทนา ที่เกิดขึ้น
    เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    พา. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    พา. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรหรือหนอที่จะตาม
    เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    พา. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรพาหิยะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในจักษุ
    ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุข
    เวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้ง
    ในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด
    ขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็น ปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุด
    พ้น เมื่อ หลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
    อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้ มี ฯ
    [๑๑๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระพาหิยะชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจาก
    อาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วหลีกไปครั้งนั้นแล ท่านพระพาหิยะ
    เป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุด
    แห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วย
    ปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควร ทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มีได้มี ก็แหละท่านพระพาหิยะได้ เป็น
    พระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

    ----
    พระพาหิยะเป็นพระอรหันต์
    พาหิยทารุจีริยะ ฆราวาสผู้บรรลุธรรม
    ท่านสันตติอำมาตย์ พระเจ้าสุทโทธนะ ในพระไตรปิฏกไม่มีพูดถึง มีแต่พระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาของพระพุทธเจ้า

    ข้อเท็จจริงทั้งหมดมีอยู่ในพระไตรปิฏกแล้ว และกำลังถูกบิดเบือนด้วย

    ศาสนาโปเยและพ้องเพื่อน
    พระจิด
    พระเจ้า
    ผลแอปเปิล
    มาร์คไรเดอร์
    อุลตร้าแมน
    มหาบุรุษเพศ
    พลัง "หยาง-เอี๊ยง"
    พลัง "อิม-เอี๊ยง"
    มีกามกัน
    แลกเปลี่ยนลมปราณกัน
    เทพราหู
    จิตวิญญาณมืด
    ครึ่งปีศาจ
    เซียน
    ธรรมผ้าขาว
    พลังปราณทิพย์

    ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนที่บรรลุธรรมแล้วตายใน ๗ วัน นับถือศาสนาพุทธไม่ศึกษาพระธรรมแล้วยังปล่อยให้คนพาลทำลายพระศาสนา เชิญบริโภคกันให้อิ่มหน่ำ
     
  16. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    เหตุผลจำเป็นที่คนต้อง "บวชพระ" ก็เพราะ "บรรลุอรหันตผล" แล้วนั่นเอง


    คนเราถ้าไม่บรรลุรรมถึงขั้นอรหันตผลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องบวชพระเลย ด้วยสามารถ
    ดำรงคงขันธ์ได้ในเพศฆราวาส และสามารถรับกรรมชำระกรรมได้ตามธรรมชาติปกติ
    แต่สำหรับท่านที่จำเป็นต้องบวชเพราะ "บรรลุอรหันตผล" และไม่อาจทรงขันธ์อยู่ได้
    จึง "มีความจำเป็นต้องบวชพระ" และนี่เอง ทำให้พระพุทธศาสนาน่าศรัทธาได้เพราะ
    การบวชง่ายเกินไป, การบวชเอาบุญ, การบวชตามประเพณี ฯลฯ นั้น ทำให้ได้บุคคล
    ที่ไม่พร้อมที่จะเป็น "พระในพระพุทธศาสนา" และการเพิ่มปริมาณมากแต่ไม่มีคุณภาพ
    นั่นเอง ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ "คนในพระพุทธศาสนาเปลี่ยนแปลงไป" ดังนั้น การ
    ทำให้ "ฆราวาสบรรลุอรหันต์ก่อนจึงบวช" จึงเป็น "ทางแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาในพุทธ"


    และเมื่อบุคคลบรรลุอรหันตผลแล้ว ทรงขันธ์ได้ยาก ทั้งไม่รู้ตัวว่าตนได้แล้ว ก็มี (เพราะ
    ไม่ยึดอะไรเลย ว่าตนได้อะไร) ดังนั้น การหาวิธีให้สามารถ "ยืดอายุขัย" ให้คนได้ทรง
    ขันธ์อยู่ได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาสังขารให้ดำรงคงต่อไปได้ จนถึงวาระบวชพระ
     
  17. มัญญา

    มัญญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +154
    อะไรที่เขารู้.. เราไม่รู้.. อะไรที่เรารู้ เขาไม่ทราบ.. ก็มีออกเยอะไป.. โลกนี้ มันก็เป็นเช่นนี้แหล่ะท่านที่รักทั้งหลาย!.ทุกอย่างก็คือ ธรรมะ..ถูก ผิด ดี ชั่ว ล้วนสมมติ รู้กันดีอยู่แล้วนี่..เมื่อรู้แล้ว ก็ช่วยปฎิบัติกันด้วย จะได้ครบองค์ประชุม..ปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ..(เรียงลำดับถูกเป่า?)..หุหุหุ..
     
  18. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    "สัตว์สี่เหล่าใหญ่" คือ เทพ, มาร, ยักษ์, พรหม จะรักษาสังขารที่บรรลุธรรมให้


    เมื่อบุคคลบรรลุธรรมแล้ว จะครองสังขารในเพศฆราวาสได้ยาก สัตว์สี่เหล่าใหญ่ได้แก่
    ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม จะมาคุ้มครองสังขารให้ตาม "บุญกรรมวาสนา" ของคนผู้นั้น
    เช่น บางคนได้จิตวิญญาณมารช่วยคุ้มครอง แม้บรรลุอรหันตผลแล้ว กลับมีเปลือกนอก
    ที่ "คล้ายมาร" ไปเสียได้ บางคนบรรลุอรหันต์แล้วมียักษ์คุ้มครองสังขาร ทำให้มีเปลือก
    นอกคล้ายยักษ์อสูรไปก็มี ฯลฯ คนที่ปฏิบัติธรรมมาก แล้วเบื่อหน่ายโลก เริ่มเห็นแจ้งหมด
    จนไม่มีอะไรจะสงสัยให้อยากได้ อยากมี อยากเป็นอีก จิตจะดิ่งตรงสู่นิพพาน ถ้าสำเร็จก็
    จะมีปัญหาในการครองสังขาร เมื่อนั้น "สัตว์สี่เหล่าใหญ่" ตนที่มีบุญกรรมร่วมกัน ก็จะมา
    ครองร่างสังขารร่วมให้ ทำให้ "ดูเหมือนคนบ้า, คนเลว, คนเพี้ยน, หลุดโลก ฯลฯ" ก็ได้
    ซึ่งจะเป็นอยู่ช่วงหนึ่งของการทรงขันธ์โดยไม่ได้บวชพระ ถ้าบวชพระแล้วจะหายและเป็น
    พระที่ดีที่ไม่ยึดติดแม้แต่ความดี สำหรับฆราวาสที่บวชพระไม่ได้ จำต้องมี "เซียน" ครอง
    สังขารไว้ เซียนจะทำให้ธรรมเปลือกนอก ลดระดับลง ไม่ใสเกินไป ไม่ละสังขารเร็วเกินไป
    ทำให้เปลือกนอก "เปนคนมีทิฐิมานะหรือสักกายทิฐิมาก" ไม่เชื่อ ไม่ฟังใครเลย เป็นต้น นี่
    เพราะ "เขาต้องครองสังขารในเพศฆราวาสให้ได้" จึงต้องมีเปลือกนอกเป็นเช่นนั้น นั่นเอง
    (นอกจากนี้ พลังของเซียนจะช่วยยืดอายุขัยให้ร่างสังขารนั้นที่อรหันต์ในเพศฆราวาสด้วย)
     
  19. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    555 ไอ้พวกขี้อิจฉาเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้555
     
  20. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ครับท่าน อุรุเวลา

    เพราะท่าน มะหาสาดสะดา"โปเย"
    ใช้คำเดียว"ปฏิบัติด้วยตัวเอง"แล้ว

    ท่านมะหาสาดสะดาท่านไม่ฟังใคร


    สาดสะ(หน้า)หนา "โปเย โปโลเย" จงเจริญ

    :boo::boo::boo::boo::boo::boo::boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...