ความยึดมั่น

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 26 มีนาคม 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    คาว่า กรรมฐาน หมายถึง ที่ตั้งของการกระทา หรือว่าการกระทาที่เกิดขึ้นทางจิตใจ ซึ่งรวมแล้วมี ๒ อย่าง คือ ๑) สมถกรรมฐาน ๒) วิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้นคาว่ากรรมฐาน ก็หมายรวมถึงสมถะและวิปัสสนาได้ทั้ง ๒ อย่าง แต่ถ้าหากจะเจาะจงลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องระบุให้ชัดลงไปว่า “เจริญสมถกรรมฐาน หรือ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน” ถ้าบอกเพียงว่าปฏิบัติกรรมฐาน ความหมายก็จะคลุมทั้งสมถะและวิปัสสนา
    การเจริญสมถกรรมฐาน คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งความสงบ การเจริญวิปัสสนา คือ การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งปัญญา ส่วนความสงบที่เกิดจากการเจริญสมถะนั้นไม่ใช่ปัญญา แต่ความสงบก็เป็นธรรมชาติเป็นของจริงเหมือนกัน ความสงบอันเนื่องจากการเจริญสมถกรรมฐานมีลักษณะที่จิตมีสมาธิเข้าถึงความสงบคือจิตนั้นตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวซึ่งเป็นฝ่ายกุศล นิ่งแนบแน่นอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างสม่าเสมอ และโดยถูกทางด้วย จากคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้แบ่งสมาธิไว้หลายนัย เช่น สมาธิมีอย่างเดียวคือ มีลักษณะไม่ฟุ้ง สมาธิมีสองอย่าง คือ หมวดที่ ๑ แยกเป็นอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
    หมวดที่ ๒ แยกเป็นโลกียสมาธิ และ โลกุตตรสมาธิ (ยังมีการแบ่งสมาธิออกเป็น ๓ , ๔ , ๕ อย่างอีก ในที่นี้ขอยกมาอธิบายเพียงบางส่วน) สมาธิ ๒ อย่าง หมวดที่ ๑ แยกเป็นอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
    ๑. อุปจารสมาธิ หมายถึง การพิจารณาอารมณ์กรรมฐานด้วยภาวะที่จิตเป็นเอกัคคตา (เอกัคคตาเป็นเจตสิกในอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง ซึ่งโดยปกติย่อมเข้าประกอบกับจิตทุกดวง แต่มีกาลังอ่อน ในที่นี้มีกาลังแรงกล้าสามารถจะทาให้สัมปยุตตธรรมตั้งอยู่ในอารมณ์อันเดียวได้นาน ๆ ซึ่งจัดเป็นองค์ฌานองค์หนึ่ง) โดยไม่มีความคิดตามความเคยชินอื่นมากีดขวาง ความคิดตามความเคยชินเหล่านั้น ได้แก่ นิวรณ์ ๕
    ๒. อัปปนาสมาธิ หมายถึง ภาวะของจิตที่เกิดขึ้นต่อจากอุปจารสมาธิ สมาธิในขั้นนี้เป็นสมาธิที่เป็นความก้าวหน้าทางใจ
    อุปจารสมาธิ กับ อัปปนาสมาธิ ต่างกันอย่างไร ? ต่างกันคือ อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิที่บุคคลเอาชนะนิวรณ์ ๕ ได้ เมื่อบุคคลเอาชนะนิวรณ์ได้ จึงเกิดความแตกฉานในสมาธิ คล่องแคล่วในสมาธิ สมาธิที่เจริญมาถึงขั้นนี้เรียกว่า อัปปนาสมาธิ สมาธิ ๒ อย่าง หมวดที่ ๒ แยกเป็นโลกียสมาธิ และโลกุตตรสมาธิ ๑. โลกียสมาธิ หมายถึง เอกัคคตา ที่ประกอบกับกุศลจิต ในภูมิ ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิและอรูปภูมิ ๒. โลกุตตรสมาธิ หมายถึง เอกัคคตาที่ประกอบกับอริยมัคคจิต นิมิต ๓ อย่าง
    ๑. บริกรรมนิมิต เป็นนิมิตขั้นเตรียมการหรือเริ่มต้น หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่กาหนดเป็นอารมณ์ในการเจริญกรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่ถูกนามาใช้กาหนดในการเจริญสมถกรรมฐาน อสุภะหรือซากศพ เป็นต้น สิ่งนั้นเรียกว่าบริกรรมนิมิต
    ๒. อุคคหนิมิต (นิมิตติดตา) คือนิมิตที่ผู้ปฏิบัติเพ่งองค์กสิณที่เรียกว่าบริกรรมนิมิตนั้น ด้วยจิตไม่ฟุ้งซ่าน จนเห็นภาพกสิณนั้นอย่างติดตา และมองเห็นดวงกสิณนั้นเหมือนกับลอยอยู่ในอากาศ บางครั้งก็ลอยไกลออกไป บางครั้งอยู่ใกล้ อยู่ทางซ้าย อยู่ทางขวา บางครั้งมีขนาดใหญ่ บางครั้งมีขนาดเล็ก บางครั้งมีลักษณะน่าเกลียด บางครั้งมีลักษณะน่ารัก (ความน่าเกลียด น่ารัก ขึ้นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เลือก ถ้าเลือกอสุภะ คือ ซากศพเป็น
    องค์กสิณ อุคคหนิมิต ก็เป็นภาพน่าเกลียดเช่นเดียวกับศพ ) ผู้ปฏิบัติพึงทาอุคคหนิมิต คือ นิมิตที่ติดตานี้ให้เกิดขึ้นโดยการเพ่งที่คล่องแคล่ว โดยไม่ต้องอาศัยองค์กสิณแล้ว
    ๓. ปฏิภาคนิมิต (นิมิตที่เกิดขึ้นทางใจ) เพราะการกาหนดอุคคหนิมิตนั้นซ้าแล้วซ้าอีก ปฏิภาคนิมิตจึงเกิดขึ้น ปฏิภาคนิมิตนี้เห็นได้ถึงแม้หลับตา จะเห็นเหมือนกับลืมตาดู คือปรากฏในความคิดเท่านั้น คือ นิมิตที่เป็นภาพคล้ายอุคคหนิมิต แต่เป็นภาพที่บริสุทธิ์ย่อได้ขยายได้ ไม่ด่างพร้อย ใสสะอาด งามกว่าอุคคหนิมิต เช่น การเพ่งซากศพที่พองอืด ในระดับอุคคหนิมิต จะเห็นซากศพนอนพองอืดอยู่ แต่ในระดับปฏิภาคนิมิตแล้ว จะปรากฏเป็นภาพคนอ้วนพี สมบูรณ์ นอนนิ่งอยู่เหมือนคนนอนหลับ ไม่น่ากลัว ไม่น่าสะอิดสะเอียนแต่อย่างใด นิมิตนั้นปรากฏพร้อมกับจิต
    ภาวนา ๓ อย่าง ๑. บริกรรมภาวนา คือ การเจริญจิตในขั้นแรกเริ่มปฏิบัติ เช่น การเจริญปฐวีกสิณ ต้องเพ่งองค์กสิณ และ ท่องคาบริกรรมว่า ปฐวี ๆ จิตที่เพ่ง และ ท่องคาบริกรรมนั้น คือ บริกรรมภาวนา ( สิ่งที่ถูกเพ่ง คือ บริกรรมนิมิต ) ๒. อุปจารภาวนา คือ จิตที่มีความแนบแน่นในอารมณ์ในขั้นใกล้กับอัปปนาฌานแล้ว ในขั้นนี้ เป็นขั้นตอนที่จิตมีนิมิตเกิดขึ้น ๒ อย่าง คือ อุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต ๓. อัปปนาภาวนา คือ ขั้นตอนที่จิตมีองค์ฌานเกิดขึ้นประกอบพร้อมแล้ว กล่าวคือ เมื่อสาเร็จปฐมฌาน ก็จะประกอบด้วยองค์ฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา จิตในขั้นนี้คือ อัปปนาภาวนา การรักษานิมิต นิมิตเกิดยากแต่เสื่อมง่าย ฉะนั้นผู้ปฏิบัติเมื่อได้นิมิตแล้วต้องรักษาไว้อย่างดีดุจพระมเหสีผู้รักษาพระครรภ์ จากคัมภีร์วิมุตติมรรคได้แสดงวิธีการรักษานิมิตด้วยการกระทา ๓ อย่าง คือ ด้วยการงดเว้นจากความชั่ว ด้วยการปฏิบัติกุศลธรรม และด้วยการพากเพียรอย่างต่อเนื่อง การงดเว้นจากความชั่ว งดเว้นจากความยินดีในการงาน งดเว้นจากความยินดีในการพูดโต้แย้งแบบต่าง ๆ งดเว้นจากความยินดีในการหลับ การอยู่กับหมู่คณะ ลักษณะนิสัยที่ผิดศีลธรรม การไม่สารวมอินทรีย์ ๖ มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ความไม่รู้จักประมาณในอาหาร การไม่บาเพ็ญฌาน การไม่มีสติในกาลต่าง ๆ การปฏิบัติกุศลธรรม การเอาชนะความชั่วทั้งปวงดังที่กล่าวมานั้น ก็คือการปฏิบัติกุศลธรรมให้เกิดขึ้น เป็นการรักษานิมิตให้เกิดขึ้นและตั้งมั่น
    ความเพียรอย่างต่อเนื่อง คือ เมื่อผู้ปฏิบัติกาหนดนิมิตได้แล้ว ต้องรักษานิมิตนั้นเสมอ เปรียบประดุจว่านิมิตนั้นเป็นเพชรที่มีค่ามาก เพียรปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ และปฏิบัติอย่างมาก มีความพอใจในการปฏิบัติ นั่งก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข ทาใจให้ออกห่างจากวิธีการที่ปฏิบัติแบบผิด ๆ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างดี จะทาให้ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้น นั่นก็แสดงว่าผู้ปฏิบัติได้สมาธิถึงขั้นใกล้จะสาเร็จปฐมฌาน เมื่อสมาธิไม่ก้าวหน้าจะทาอย่างไร บุคคลที่ปฏิบัติแล้วได้เพียงอุปจารสมาธิไม่ก้าวหน้าถึงอัปปนาสมาธิ จากคัมภีร์วิมุตติมรรคและวิสุทธิมรรคได้แสดงวิธีฝึกให้ก้าวหน้าด้วยวิธีการ ๑๐ อย่าง เรียกว่า อัปปนาโกศล ๑๐ มีด้งนี้ ๑. โดยเอาใจใส่ทาความสะอาดวัตถุทางกาย การทาวัตถุทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกให้มีความสะอาด มีผลต่อการเจริญสมาธิ ในเวลาใดที่ผู้ปฏิบัติมีผม , เล็บ ยาวสกปรก หรือร่างกายมีเหงื่อไคล เวลานั้นคือมีวัตถุภายในที่ไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ ในกาลใดที่ผู้ปฏิบัติมีจีวรเก่า สกปรก และเหม็นสาบ หรือมีเสนาสนะรกรุงรัง กาลนั้น ชื่อว่ามีวัตถุภายนอกไม่สะอาด เมื่อจิตและเจตสิกทั้งหลายเกิดขึ้นในวัตถุภายในและภายนอกที่ไม่สะอาดเช่นนั้น แม้ฌานก็พลอยไม่สะอาดไปด้วย เช่นเดียวกับแสงตะเกียงอันเกิดเพราะอาศัยตะเกียง ไส้ และน้ามันที่ไม่สะอาด เมื่อผู้ปฏิบัติที่มีวัตถุไม่สะอาดเช่นนี้ย่อมมีอุปสรรค แม้จะเพียรทากรรมฐานไปก็ไม่สาเร็จ ๒. โดยเอาใจใส่เรื่องการปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน ผู้ปฏิบัติควรปรับอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้เสมอกัน ทาปัญญากับศรัทธาให้เสมอกัน ทาสมาธิกับวิริยะให้เสมอกัน ส่วนสติยิ่งมากยิ่งดี (ดูทบทวนเรื่องอินทรีย์ ๕ ในบทเรียนชุดที่ ๘.๓ และชุดที่ ๘.๔) ๓. โดยความเป็นผู้ฉลาดในการกาหนดนิมิต คือ กาหนดนิมิตทางใจไว้ให้ดี ไม่เร่งด่วนเกินไป และไม่ช้าเกินไป ๔. โดยการควบคุมจิตในการปฏิบัติให้สม่าเสมอ มีวิธีการอยู่ ๒ อย่างคือ การเพียรอย่างสม่าเสมออย่างแรงกล้า และด้วยการใคร่ครวญตรวจสอบอารมณ์ มิฉะนั้นแล้วจิตจะกวัดแกว่งเที่ยวแสวงหาอารมณ์อื่นๆ อันไม่สมควรและเกิดความวุ่นวายใจ ถ้ากระทาทั้ง ๒ วิธีแล้ว จิตยังเที่ยวเตร็ดเตร่ไปหาอารมณ์ไม่เหมาะสม ก็ต้องควบคุมจิตนั้นโดยพิจารณาผลเสียของจิตที่ไม่ตั้งอยู่ในสมาธิ ทาให้จิตไหลไปสู่กามและกิเลส ซึ่งจะส่งผลให้เกิดทุกข์ต่าง ๆ ๕. โดยการกาจัดเสียซึ่งความประมาท
    ความประมาทของจิต หรือความเลินเล่อของจิต เพราะเหตุ ๒ อย่าง คือ เพราะขาดความเชี่ยวชาญในสมาธิ และเพราะความเฉื่อยชาของจิต เมื่อมีความเลินเล่อมาก จิตก็เฉื่อยชาและเซื่องซึม ผู้ปฏิบัติต้องกาจัดอุปสรรคเหล่านี้ ด้วยการพิจารณาคุณความดีของการเจริญสมาธิ และด้วยการปรารภความเพียรในการปฏิบัติอยู่เนือง ๆ ๖. โดยพยุงจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง เมื่อผู้ปฏิบัติมีจิตไม่เบิกบานเพราะการขวนขวายน้อย หรือเพราะไม่ได้รับความสงบสุข ก็ควรพิจารณาถึง ชาติ ชรา มรณะ และโทษทุกข์ในอบายภูมิ ทุกข์ในการต้องเวียนตายเวียนเกิด เมื่อพิจารณาถึงทุกข์ โทษ ภัยต่างๆ นี้แล้ว ย่อมทาให้เห็นความสาคัญของการรีบขวนขวายปฏิบัติ
    ๗. โดยเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉย
    ในระหว่างที่ปฏิบัติอยู่จิตย่อมมีลักษณะต่าง ๆ เช่น ไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความแช่มชื่นเบิกบานเป็นไปโดยสม่าเสมอในอารมณ์ ในเวลานั้นก็ให้พิจารณาสภาพจิตอย่างนั้นๆ อย่างวางเฉย นี่คือการเพ่งดูจิตเฉยในสมัยที่ควรเพ่งดูเฉย ไม่ต้องกังวลว่าทาไมจิตจึงหดหู่ ทาไมจึงฟุ้งซ่าน เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติทาอุปา-จารสมาธิให้สมบูรณ์ได้แล้ว จิตก็จะแน่วแน่ได้เพราะสามารถกาจัดนิวรณ์ทั้งหลาย ก็ให้พากเพียรกาหนดอยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
    ๘. โดยการหลีกเว้นบุคคลผู้ไม่ฝึกสมาธิ ๙. การคบบุคคลที่ฝึกสมาธิ
    คือ ไม่ควรคบหาบุคคลผู้ไม่ได้บรรลุอัปปนาสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือขณิกสมาธิ และบุคคลผู้ไม่ฝึกฝนตัวเองในข้อปฏิบัติเหล่านี้
    ๑๐. โดยการน้อมจิตไปในสมาธินั้น
    คือ การเคารพเอื้อเฟื้อ ชอบใจสมาธิ และปฏิบัติสมาธินั้นมากเป็นประจา การอาศัยการปฏิบัติในอัปปนาโกศล ๑๐ ประการนี้ ก็จะยังความสาเร็จให้ได้ถึงอัปปนาสมาธิ เพื่อไปสู่ความสาเร็จฌานแรก คือ ปฐมฌาน
    รูปฌาน คือ การกาหนดสิ่งที่เป็นรูปธรรมเป็นอารมณ์ เช่น ปถวีกสิณ เป็นต้น ขณะที่ฌานจิตเกิดนั้นจิตจะต้องเป็นอัปปนาสมาธิ ลักษณะของอัปปนาสมาธิ ก็คือนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว จะไม่ไหวไปรับรู้อารมณ์อื่น จิตมีอารมณ์เป็นบัญญัตินิมิต มีนิมิตเป็นอารมณ์ ก็อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ไม่สามารถจะคิดนึกไปอย่างอื่น ไม่สามารถไปรับสี รับเสียง รับกลิ่น รับรส รับสัมผัส อย่างอื่น เรียกว่าดับความรู้สึกทาง
    ประสาททั้ง ๕ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่รับรู้เลย แม้ทางใจก็รู้เฉพาะอารมณ์เดียวคือนิมิตกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการจะไปคิดไปนึกไปรับเรื่องราวต่าง ๆ
    ปฐมฌาน
    ผู้ปฏิบัติพึงทาความเพียรในการเจริญสมถกรรมฐานมีปฐวีกสิณเป็นต้นเป็นอารมณ์ ด้วยกาลังแห่งสมาธิที่ตั้งมั่น เป็นกุศล และถูกทาง ประคองจิตให้จดจ่อในปฏิภาคนิมิต จิตมีปฏิภาคนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ สมาธิตั้งมั่นในขั้นอัปปนาสมาธิ จิตบรรลุถึงปฐมฌาน มีองค์ฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา องค์ฌาน ๕ เป็นปฏิปักษ์แก่นิวรณ์ ๕
    เมื่อเจริญฌานถึงขั้นฌานจิตเกิดขึ้น องค์ฌานจะสามารถระงับนิวรณ์ คือ วิตก ข่ม ถีนะและมิทธนิวรณ์ วิจาร ข่ม วิจิกิจฉานิวรณ์ ปีติ ข่ม พยาปาทนิวรณ์ สุข ข่ม อุทธัจจะและกุกกุจจนิวรณ์ เอกัคคตา ข่ม กามฉันทนิวรณ์ ความหมายขององค์ฌาน ๕ ๑. วิตก หมายถึง การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ ความนึกถึงอารมณ์ การกาหนดอารมณ์ (ในขณะที่ได้ฌานนั้นก็คือ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ที่เป็นนิมิตอยู่) ๒. วิจาร หมายถึง การเคล้าคลึงอารมณ์ วิตกและวิจาร เป็นองค์ฌานที่ต่อเนื่องกัน วิตก คือ เอาจิตจรดกับอารมณ์ที่เป็นนิมิต วิจาร คือ เอาจิตไปผูกหรือไปเคล้ากับอารมณ์นั้น ๓. ปีติ หมายถึง อิ่มใจ อิ่มในอารมณ์ ดื่มด่า ซาบซ่านไปทั่วกายและใจ ๔. สุข หมายถึง ธรรมชาติใดย่อมขุดออกซึ่งความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ธรรมชาตินั้นชื่อ ว่า สุข
    สุขและปีติแตกต่างกัน แยกกันได้ยาก ปีติกับสุขนั้นเปรียบเทียบได้ว่า คนผู้หนึ่งเดินทางมาในทะเลทรายเหนื่อยอ่อน แสนจะร้อนและหิวกระหาย ต่อมาเขาเห็นหมู่ไม้และแอ่งน้า หลังจากเขาได้เข้าไปพักผ่อนและดื่มน้า อาการดีใจ ที่ได้
    เห็นหมู่ไม้และแอ่งน้้า เรียกว่า “ปีติ” เมื่อได้เข้าไปพักและได้ดื่มน้้า เรียกว่า “สุข” อุเบกขา หมายถึง ความวางเฉย มีใจเป็นกลางไม่ติดแม้แต่สุขอันประณีตในฌาน และหมายถึงวางทีดูเฉยเมื่อทุกอย่างดาเนินไปด้วยดี ไม่ต้องขวนขวายกาจัดธรรมที่เป็นข้าศึกในฌานอีก เพราะหมดจดจากธรรมที่เป็นข้าศึกแล้ว (เมื่อเจริญถึงปัญจมฌานแล้ว องค์ฌานก็จะเปลี่ยนจากสุขเป็นอุเบกขา)
    ๕. เอกัคคตา หมายถึง ความตั้งมั่นในอารมณ์
    ผู้ที่ได้เข้าถึงปฐมฌานนั้นจะต้องมีองค์ฌาน ๕ เกิดขึ้นในจิต ซึ่งเป็นอาการในจิตเองหรือว่าเป็นเจตสิกต่างๆ ที่ทาหน้าที่รวมกันอยู่ เรียกว่าตั้งมั่นในอารมณ์เดียว จะมีองค์ฌาน ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ฌานที่ ๒ ก็เหลือเพียงวิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ฌานที่ ๓ มีแต่ปีติ สุข เอกัคคตา ฌานที่ ๔ มีแต่สุขกับเอกัคคตา ฌานที่ ๕ ก็มีองค์ฌาน ๒ เหมือนกันแต่เปลี่ยนจากสุขเป็นอุเบกขา คือความวางเฉย ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว สุดยอดของการเจริญรูปฌานได้แค่นั้น ได้แค่อุเบกขา เอกัคคตา ได้แค่ปัญจมฌาน
    เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
    ให้อภัยทานรักษาศีล อาราธนาศีล และตั้งใจว่าจะเจริญอาโปกสิน เจริญวิปัสสนา
    และหลายวันแล้วคุณแม่และผมได้เจริยวิปัสสนา มาหลายวันแล้ว
    และได้สักการะพระธาตุ ถวายข้าวพระพุทธรูป และสร้างบารมีครบทั้ง 10
    อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย
    ขอเชิญสร้างพระเจดีย์กับเกจิอาจารย์เมืองนครฯ (หลวงปู่เอื้อม กตปุญโญ)
    โทร.083-3885874
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...