ความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้...ต่อให้มีสติบริบูรณ์..กุศลสูงสุดคือการให้อภัย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengkenny, 22 ธันวาคม 2011.

  1. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: #6c3800 2px solid; BORDER-LEFT: #6c3800 2px solid; PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #6c3800 2px solid; BORDER-RIGHT: #6c3800 2px solid; PADDING-TOP: 10px" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2 sizset="5" sizcache="0">" พระโพธิสัตว์" อสงไขยของการบำเพ็ญเพียร [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top width=650 colSpan=2 align=middle>

    พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น ๒ ประเภท
    ๑. พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า "อนิยตะโพธิสัตว์" ความหมายคือ ยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
    ๒. พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า "นิยตะโพธิสัตว์" ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
    แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้
    แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
    พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพุทธศาสนา แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น ๓ ประเภท
    ๑.ปัญญาพุทธเจ้า
    คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ "ปัญญา" เป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือ
    ปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๗ อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๙ อสงไขย รวมเป็น ๑๖ อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้งแรก เหลืออีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่ง และเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    ๒. ศรัทธาพุทธเจ้า
    คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ "ศรัทธา" เป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือ
    ปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๑๔ อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๑๘ อสงไขย รวมเป็น ๓๒ อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก ๘ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    ๓. วิริยะพุทธเจ้า
    คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ "วิริยะ" เป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากับล์ คือ
    ปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา ๒๘ อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓๖ อสงไขย รวมเป็น ๖๔ อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    วิเคราะห์ผลบุญและบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่มีผลในพุทธภูมิของท่านเองเมื่อท่านตรัสรู้ การวิเคราะห์ต้องแยกเรื่องบารมี กับผลบุญออกจากกัน เพื่อทำให้เข้าใจง่ายขึ้น บารมีนั้นสามารถอธิบายได้ว่า มีผลต่อการเป็นพระพุทธภูมิของท่านตั้งแต่เริ่มปรารถนาแล้ว ถึงแม้พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนเกิดล้มเลิกความตั้งใจ ปรารถนาเป็นพระสาวกบารมีก็ยังส่งผลให้ท่านมีคุณสมบัติบางประการที่อำนวยประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่ โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่คุณประโยชน์ต่อสรรพสัตว์อันยิ่งใหญ่หาได้เกิดขึ้นในอนาคต
    <HR> ผลของบุญของพระโพธิสัตว์สามารถอธิบายแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
    ๑. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาอยู่ในใจ (ไม่ได้กล่าววาจาปรารถนาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แต่อาจกล่าวกับบุคคลทั่วไป)
    ซึ่งบุญบารมียังอ่อนอยู่มากและยังห่างไกลมาก จึงไม่สามารถส่งไปถึงสมัยที่ท่านตรัสรู้ เพราะผลบุญนั้นจะส่งผลในระหว่างทางหมดเสียก่อน

    ๒. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่กล่าววาจาปรารถนา ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้า(บารมีที่ปรารถนาอยู่ในใจ สมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถกล่าววาจาออกมาต่อพระพักตร์ของพระพุทธองค์ได้) ซึ่งเป็นบุญบารมีอย่างกลาง และยังไกลจากสมัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ และจะล้มเลิกความตั้งใจเมื่อไรก็ได้
    ดังนั้นจึงไม่ปรากฏชัดเจนในพุทธภูมิที่จะบังเกิดหรือไม่เกิดในอนาคต ดังนั้นผลบุญที่ทำก็จะอำนวยผลในช่วงเวลานั้นเสียมากกว่า ที่จะส่งเก็บสะสมในพุทธภูมิ

    ๓. ผลบุญที่พระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว ซึ่งเป็นบุญที่ทำอย่างยิ่งผลบุญเหล่านั้นจะส่งผลในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้พอประมาณ เพื่อให้ทรงสร้างบารมีต่อ แต่ผลบุญส่วนมากจะไปปรากฏในพุทธภูมิของท่านเสียมากกว่า
    ดังนั้นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แน่นอน ท่านจึงมีอุปนิสัยในการสร้างบุญบารมีอย่างต่อเนื่อง และถ้าท่านได้สร้างบุญบารมีกับพระพุทธเจ้ามากเท่าไร หรือพระพุทธศาสนาก่อนมากเท่าไร ผลบุญบารมีที่จะปรากฏในสมัยพุทธภูมิของท่านมากขึ้นเท่านั้น ถึงระยะเวลาจะห่างไกลถึง ๔ อสงไขย หรือ ๘ อสงไขย หรือ ๑๖ อสงไขย ไม่ได้เป็นอุปสรรค เพราะผลบุญไม่ส่งก่อนเวลาเป็นแน่นอน จะรออยู่ในอนาคตสมัยพุทธภูมิของท่าน และพระนิยตโพธิสัตว์มีแต่จะสร้างบุญบารมีเพิ่มมากขึ้นไปเสียอีก ตามที่สามารถหาโอกาสที่อำนวยให้ได้
    จึงจะเห็นว่าพระนิยตโพธิสัตว์ไม่ค่อยจะอยู่เสวยสุขบนสวรรค์นานนัก ต้องมีใจปรารถนาลงมาเกิดบนมนุษยโลกอยู่เป็นประจำ และถ้านิยติโพธิสัตว์ได้สร้างบุญบารมีกับพระพุทธเจ้า หรือกับพระพุทธศาสนามากเท่าไร พุทธภูมิที่ท่านจะตรัสรู้ก็จะมีความบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น
    ดังที่ได้มีข้อมูลการเปรียบเทียบพุทธภูมิของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในพระไตรปิฏก แต่การที่เราท่านทั้งหลายจะตำหนิว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้สร้างบารมีบกพร่องไม่ดีกว่าพระพุทธเจ้าองค์โน้นในอดีต หรือในอนาคตนั้น ย่อมไม่ได้เป็นอันขาด เนื่องจากไม่ใช่ความผิดของพระองค์ เป็นเพราะโอกาสที่จะอำนวยให้พระองค์สร้างบารมี เมื่อตอนเป็นนิยตโพธิสัตว์ มีไม่เท่าเทียมกันตามกฎกระแสแห่งกรรม และบุญบารมีที่เด่นๆ ก็ต่างต่างกัน หาได้เหมือนกันทั้งหมดไม่ ที่ทรงมีเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยนิด คือสัมมาสัมโพธิญาณ และธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน
    พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก(ผมยังไม่มั่นใจ เพราะมีได้หลายกรณี) ต้องสร้างบารมีต่อไปอีก ถึง ๒ อสงไขย ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ อาจจะสร้างบารมีมาหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้
    พระอัครสาวกเบื้องขวา หรือเบื้องซ้าย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรก ก็ต้องสร้างบารมีต่อไปอีก ถึง ๑ อสงไขยเศษแสนมหากัป
    แต่ก่อนที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกนั้นไม่รู้ว่าท่านสร้างบารมีมายาวนานเท่าไร อาจเป็นหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้

    พระอเสติ ที่เป็นเอตทัคคะ หรือพระมหาสาวก เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต้องสร้างบารมีต่ออีก ๑ แสนมหากัป เป็นอย่างน้อย แต่ก่อนหน้านั้นท่านอาจสร้างบารมีมานานมากแล้วก็ได้ ดังมีในพระไตรปิฏก บางท่านสร้างบารมีนานถึง ๔ อสงไขยเศษแสนมหากัป บางท่านสร้างบารมีนานถึง ๓ อสงไขย บางท่านสร้างบารมีถึง ๒ อสงไขย บางท่านสร้างบารมี ๑ อสงไขย แต่อย่างน้อยสุด หนึ่งแสนมหากัป สามารถหาอ่านได้ในพระสุตันตะปิฏกใน ๒ เล่มสุดท้าย แล้วลองหาข้อมูลดู

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ก๊อปเขามาคั๊ปเขียนดีพอเข้าใจ"
     
  2. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ผมแค่ขั้นรายการเล็กน้อยครับต่อจากนี้ก็สนทนาประสาธรรมว่าด้วย
    สติ สมาธิ ปัญญา กันต่อตามแต่สมควรครับ ขอท่านทั้งหลายเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
    สาธุอนุโมทนากับทุกๆท่าน
     
  3. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    เราท่านก็เกิดมาในบวรพระศาสนามาด้วยกัน ได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏมาร่วมกัน

    เคยเกี่ยวข้องผูกพันเป็นพ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ที่เคยรักใคร่มาด้วยกัน

    แต่ด้วยภูมิรู้ภูมิธรรม ที่ไม่เท่ากัน จึงทำให้ความคิดอ่านไม่ตรงกันและขัดแย้งกัน

    ขอให้เมตตากันและอภัยให้กันและกัน เพื่อช่วยกันประคับประคองออกจากสังสารวัฏ

    ที่กักขังเหล่าหมู่สัตว์ไปด้วยกัน....ขออนุโมทนาในธรรมกับผู้ปฏิบัติทุกๆท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...