ความประมาทหนทางสู่ความตาย - หลวงพ่อลี ธมฺมธโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย paang, 26 ธันวาคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="103%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD><!-- InstanceEndEditable --></TR><TR><!-- InstanceBeginEditable name="EditRegion30" --><TD>
    พระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ออกพรรษาในปี ๒๔๗๔ หลวงพ่อลีมีจิตผ่องใสเบิกบานเต็มที่ การเข้าโมกธรรมอย่างเต็มที่ในพรรษาที่ผ่านมา คือ ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ทำให้เบาสบายตลอดวันคืน

    หลวงพ่อลีได้กราบลาพระอุปัชฌาย์จากวัดสระปทุมออกธุดงค์ ผ่านจังหวัดอยุธยา สระบุรี ลพบุรี อำเภอท่าตะโก และบึงบอระเพ็ด เพื่อไปโปรดพี่ชายและเพื่อนฝูงเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส

    ในระหว่างที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ได้ออกไปพักอยู่ในป่า ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๒๐ เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างบ้านที่ตกมันร้องเสียงดัง ชาวบ้านที่แวะเวียนมากราบนมัสการบอกให้ทราบว่าช้างทั้งสองกำลังต่อสู้กัน

    ช้างทั้งคู่สู้กันหลายครั้งนานถึง ๓ วัน ช้างป่าสู้ไม่ได้บาดเจ็บและหมดแรงตายไปในที่สุด ส่วนช้างบ้านตกมันไม่เป็นไร

    แต่ช้างผู้ชนะกลับยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งขนาดหนักพลุกพล่าน อาละวาดดุร้ายจนควาญช้างผู้เลี้ยงเอาไม่อยู่ เอางาไล่ทิ่มแทงผู้คนรอบบริเวณนั้น ขุนจบฯ เจ้าของช้างเห็นเหตุกราณ์ไม่ดีเช่นนั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อลี เข้าไปพักในบ้านเสียก่อน จนกว่าอาการตกมันของช้างจะหายเป็นปกติ

    หลวงพ่อลีปฏิเสธคำขอเช่นนี้น แม้จะมีอาการหวาดหวั่นต่อภัยที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ท่านเชื่อในอำนาจเมตตาแห่งอิทธิพุทธะ

    คืนนั้น...ขณะที่เจริญภาวนาสำรวจภาวนาจิตของตนเอง ถึงความกลัวช้างตกมันทำร้าย และได้วิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ตนกลัวก็คือ "กลัวตาย"

    จิตได้ถามอีกว่า "แล้วทำไมจะต้องกลัวตาย?"

    ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงสืบเสาะหาที่มาของความกลัวตาย จึงได้ความว่า...ความตายนั้นเป็นของน่ากลัวสำหรับมนุษย์และสัตว์ สำหรับสัตว์เมื่อกลัวแล้วก็ได้แต่วิ่งหนีอะไรที่มันนึกว่าจะทำให้มันตายได้ มันก็หลบไปชั่วครั้งชั่วคราวไปจนกว่ามันจะตายจริง !

    แต่สำหรับมนุษย์นั้นมีปัญหารู้ได้ว่า ตัวเองนั้นจะต้องตายแน่ ถึงจะไปทางไหนก็ต้องตายจนได้ในวันหนึ่งวันใด แต่ก็ไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่ไปนานๆ ถึงจะเจ็บไข้พิการอย่างไรก็ยังขอให้มีชีวิตเอาไว้ !!

    ดังนั้นหากมีวิธีใดที่ยืดอายุได้ก็จะรีบทำ แม้กระทั่งหาพระหาเจ้าช่วยก็ต้องเอา

    คนทั่วไปคิดถึงเรื่องความตายเป็นของน่ากลัวเพราะอะไรนั้นหรือ ?

    ก็เพราะความหวงและห่วงชีวิตนี้ประการหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไรอีกประการหนึ่ง

    และประการสุดท้าย คือ คนไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน !

    เพราะตอนนี้ชีวิตอยู่ทั้งบุญและบาปที่ทำไว้นั้นจะติดตามไปหรือไม่ ?

    ด้วยเหตุนี้คนจึงกลัวความตายกันอย่างมาก !

    ภาวะจิตของหลวงพ่อลียังคิดต่อไปอีกว่า เกิดก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์..แล้วจะไปคิดถึงเรื่องความตายทำไมให้เสียเวลา...

    เมื่อตายแล้วยังมีที่ไป ก็แปลว่าตายแล้วก็ต้องไปเกิดอีก เมื่อเกิดอีกทีก็ต้องทุกข์อีก "สู้มานั่งคิดว่า ทำอย่างไรตายแล้วจะไม่เกิดไม่ดีกว่าหรือ ?!"

    ใช่แล้ว...พุทธศาสนามีคำตอบ คือ นิพพาน เป็นสถานที่ไม่มีทุกข์ เพราะไม่เกิดอีก เป็นการดับสูญโดยสิ้นเชิง

    เมื่อหลวงพ่อลีคิดได้เช่นนี้ ความกลัวตายจึงมลายหายไปสิ้น หายใจเข้าก็ตาย หายใจออกก็ตาย หลวงพ่อจึงมอง เห็นความตายเหมือนสายฟ้าแลบ เกิดขึ้นแล้วหายไปชั่วพริบตา

    รุ่งขึ้น...เวลาบ่ายๆ ช้างตกมันเชือกนั้นตะเวนมาหยุดห่างที่หลวงพ่อปักกลดเพียง ๒๐ วา ท่านก็มิได้ตระหนักกลัว แต่อย่างใด กลับแผ่เมตตาจิตให้มัน เจ้าช้างตกมันเชือกนั้นจ้องมาทางท่านเป็นเวลาเกือบ ๑๐ นาที แล้วมันก็หันหลังกลับเดินเข้าป่า

    เช้าวันต่อมามีญาติโยมที่ต่างๆ ทราบข่าวว่าช้างตกมันไม่สามารถทำอะไรหลวงพ่อลีได้ พากันมากราบนมัสการท่านเพื่อขอของดีไปป้องกันตัวกันมากมาย

    หลวงพ่อกล่าวว่า "ของดีของอาตมานั้น คือความเมตตา"

    เมื่อมาถึงพระอุปัชฌาย์(หนู) ได้มอบหน้าที่งานแทนพระใบกีฎาบุญรอด พร้อมกันนั้นได้เรียนพระธรรมตรี และเรียนกรรมฐานอีก จึงมีภาระยุ่งยากหลายอย่าง อาการของจิตจึงมีอาการเสื่อมคลายไปบ้างบางเวลา จึงต้องใช้กรรมฐานข่มจิตมิให้วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง

    ในพรรษานี้พระอุปัชฌาย์ ได้เรียกให้ไปอยู่กุฏิใหม่กับท่านซึ่งเป็นกุฏิหลังใหญ่ ที่ท่านผู้หญิงตลับ ภริยาเจ้าพระยายมราช (ปั้นสุข) เป็นผู้สร้างถวายโดยช่วยท่านแต่งโน่นแต่งนี่ ส่วนงานที่เคยทำพระอุปัชฌาย์ได้มอบหมาย ให้พระรูปอื่นทำแทนทำให้เบาใจไปได้ในบางเวลา

    ช่วงนี้หลวงพ่อลี ได้ตรวจจิตของตนเอง รู้สึกว่าเลื่อมใสในทางปฏิบัติ คือ จิตจะหันไปทางโลกเสียบ้าง ได้คิดต่อสู้อยู่จนตลอดพรรษา จู่ๆ วันหนึ่งได้เกิดความคิดในใจว่า ถ้าเราอยู่ในพระนคร (กรุงเทพ) นี้เราคงต้องสึกแน่ ถ้าเราจะไม่สึกเราต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่าครั้นตกลางคืน ฝันเห็นพระอาจารย์หลายท่านมากล่าวตักเตือนอยู่บ่อยๆ

    ช่วงนี้กองทัพกิเลสเข้ารบกวนจิตใจท่านหลายอย่างและหลวงพ่อพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ ความอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นเป็นข้อเตือนใจให้ท่านได้อยู่ในสมณเพศต่อไป

    ครั้งแรก

    ขณะที่ออกบิณฑบาตในตรอกวัดสระปทุม พอเดินไปถึงหน้าบ้านที่เขาจะใส่บาตรเกิดรู้สึกปวดหนักจนแทบไม่ไหวจะเดินออกไปรับบิณฑบาตรก็เดินไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก พยายามอดกลั้นขยับขาเดินได้ทีละคืบไปถึงป่ากฐินข้าง รีบวางบาตรลอดรั้วเข้าป่า

    เมื่อทำธุระเสร็จออกจากป่าอุ้มบาตรออกมาบิณฑบาตรต่อไป วันนั้นได้ข้าวไม่พอฉัน กลับถึงวัดจึงเตือนตนเองว่า "มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระมิหาแก่นสารในธรรม ใครจะมาใส่บาตรให้ฉัน"

    ครั้งที่สอง


    ออกบิณฑบาตรแต่เช้า เดินข้ามสะพานหัวช้างวกเข้าถนนเพชรบุรี ข้าวแม้แต่ทัพทีเดียวก็ไม่ลงบาตร บังเอิญมองเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง เห็นยายแก่ไว้ผมยาวมวยคว้าไม้กวาดตีหัวตาแป๊ะส่วนตายแป๊ะคว้ามวยผมถีบหลังยายแก่

    จึงได้ข้อธรรมว่า "หากสึกออกไปเป็นฆารวาสมีครอบครัว ตัวเราโดนอย่างนี้ จะทำอย่างไรกัน คงบ้านแตกสาแหรกขาดแน่"

    เมื่อหลวงพ่อกำหนดพิจารณาเห็นเช่นนั้น เกิดความเบื่อหน่ายสังเวชสลดในชีวิตฆารวาสออกไปโดยลำดับ

    ครั้งที่สาม

    วันนั้นเป็นวันเทศกาลได้ออกบิณฑบาตรแต่เช้ามืด เดินไประหว่างตลาดประตูน้ำสระปทุม แล้ววกกลับมาทางหลังวัด บริเวณนั้นมีคอกม้า มีถนนดินเวลาฝนตกถนนลื่นมากในบาตรมีข้าวเต็ม ในจิตคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ จนเผลอตัว

    หลวงพ่อได้ก้าวลื่นถลาล้มลงไปในบ่อข้างถนนหัวเข่าทั้งสอง จมลงไปอยู่ในโคลน ข้าวในบาตรหกหมดเกลี้ยงเนื้อตัวเลอะเทอะ ไปด้วยโคลน จึงรีบกลับวัดทันที ท่านนึกตรึกตรองบอกว่า หากจิตยังโลดโผน แล่นไปอย่างนี้ไม่มีจุดหมายเพราะขาดสติ จนการทำให้เกิดการประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น...เป็นเพราะสติตัวเดียวแท้ๆ

    ครั้งที่สี่

    ออกบิณฑบาตรเช่นเคย เดินไปถึงวังพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าธานีนิวัตร ซึ่งพระองค์ท่านใส่บาตรประจำวันแก่พระทั่วๆ ไป วันนั้นมีญาติโยมมาตั้งโต๊ะใส่บาตรอยู่ตรงข้าง จึงเดินไปรับบาตรญาติโยมคนนั้นเสียก่อน พอรับเสร็จแล้วหันกลับไปยังหน้าวัง

    พอดีมีเมล์ขาวนายเลิศวิ่งมาอย่างรวดเร็วเฉียดศีรษะห่างหนึ่งคืบ คนโดยสารบนรถพากันร้องโวยวายกันใหญ่ ตนเองก็ยืนตะลึงอยู่เป็นเวลาหลายอึดใจ


    กลับถึงวัดสติก็ร้องบอกเตือนว่า "นี่เป็นอีกคราหนึ่งที่เราขาดสติและประมาท"

    คืนนั้น...ท่านจึงได้ปฏิบัติภาวนาพิจารณาจิตของตนเองที่บกพร่อง จึงเห็นว่า...คนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ดูออกจะแสวงหาสิ่งต่างๆ จากศาสนาพุทธไม่ตรงกันเป็นต้นว่า แสวงหาความสงบบ้าง แสวงหาฤทธิ์อำนาจที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติบ้าง

    ตลอดจนถึงแสวงหาความอยู่ยงคงกระพันเมื่อมีสิ่งเหล่านี้ ก็ปฏิบัติธรรมะต่างกัน โดยบรรลุให้ถึงความประสงค์

    แต่ความจริงที่แท้แล้ว ธรรมทุกอย่าง การปฏิบัติทุกอย่างย่อมนำไปสู่สติ คือ ความไม่ประมาทอย่างเดียวกันทั้งนั้น

    หากคนทั้งหลายที่นับถือศาสนาพุทธ เข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความจริงข้อนี้ การปฏิบัติศาสนาพุทธก็จะอยู่ในร่องรอยมากขึ้น ไม่แตกออกไปเป็นลัทธิต่างๆ อย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน และผู้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ จะได้รับประโยชน์มาก...

    คือ...จะมีสติ หรืออยู่ในความไม่ประมาทอันเป็นอมฤตธรรมที่พิสูจน์ได้และถูกต้องที่สุด !!...


    ---------------------------------

    คัดลอกจาก: แก่นธรรมพระแท้
    แสงเพชร
     

แชร์หน้านี้

Loading...