ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา (เส้นทางสายพุทธะ)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 12 พฤศจิกายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    ในคืนวันหนึ่งของวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชายสิทธัตถะประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก

    คืนนั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติขึ้น พระพุทธเจ้าทรงพบกฎความจริงของธรรมชาติ ที่ถือเป็นเรื่องใหม่ของสังคมยุคนั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่ออย่างใหญ่หลวงที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา

    วันนี้ขอเริ่มตอนแรกของซีรี่ย์ ด้วยการเชิญชาวห้องศาสนาเดินทางจากสุวรรณภูมิไปชมความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยานะครับ ชมภาพล่าสุด และค้นความจริงร่วมกัน <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    พุทธคยาเป็นชุมชมเมืองเล็กๆริมแม่น้ำเนรัญชราที่นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของผู้แสวงบุญชาวพุทธจากทั่วโลกที่จะต้องเดินทางมาสักการะพระศรีมหาโพธิที่ประทับตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งอยู่ภายในบริเวณของมหาโพธิวิหาร

    มหาโพธิวิหารสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ราว 200 ปีหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    มหาโพธิวิหารได้รับการทำนุบำรุงและก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมาจากพระมหากษัตริย์หลายราชวงศ์ ตลอดระยะเวลากว่า 1700 ปี จนกระทั่งศาสนาพุทธในอินเดียอ่อนแอลง และหลังจากพุทธศตวรรษที่ 18 อินเดียก็ได้ถูกข้าศึกยกทัพเข้ารุกราน นับจากนั้นพุทธคยาก็ถูกละทิ้งจนรกร้างจมดิน ปล่อยให้ต้นไม้ปกคลุมนานกว่า 200 ปีครับ ต่อมาก็ตกอยู่ในความครอบครองของพวกนักบวชฮินดูนิกายหนึ่งที่เรียกตัวเองว่ามหันต์ ก็ยังถูกทิ้งให้รกร้างต่อมาเกือบ 300 ปี จนกระทั่งเซอร์อะเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ มาขุดเจอครับ

    บริเวณทางที่จะเดินไปที่พระเจดีย์ <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>

    จุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เชื่อว่าเป็นบริเวณใต้ต้นโพธิ์หลังมหาโพธิวิหาร นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นต้นที่สืบหน่อมาจากต้นเดิม แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 2500 ปีแล้ว แต่ยังมีบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวยืนยันถึงการมีอยู่ของต้นพระศรีมหาโพธิเสมอ นับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกเป็นต้นมาครับ <!--MsgEdited=3--> <!--MsgFile=3-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    เปิดให้เข้านมัสการพระแท่นวัชรอาสน์ภายในได้ <!--MsgFile=4--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    บริเวณที่สันนิฐานว่าเป็นบ้านนางสุชาดา ธิดาของเสนิยกุฏุมพี เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถึงพระรัตนตรัยก่อน ผู้ถวายข้าวมธุปายาสพร้อมทั้งถาดทองคำครับ <!--MsgEdited=5--> <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรามีกอหญ้าขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ตลอดแนว ชื่อว่าหญ้าสุกะ ซึ่งเป็นหญ้าชนิดเดียวกับที่คนหาบหญ้านำมาถวายพระพุทธเจ้าระหว่างทางก่อนถึงต้นมหาโพธิ และเมื่อเสด็จมาถึงก็ใช้หญ้าสุกะนั้นปูลาดลงเป็นที่ประทับ

    โสตถิยะพราหมณ์ ผู้ถวายหญ้าสุกะ <!--MsgEdited=6-->
    <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    และในคืนนั้นเองที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก่อนแต่ตรัสรู้เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในความรู้ หมายความว่า ไม่ทรงข้องอยู่ในสิ่งอื่น ข้องอยู่แต่ในความรู้ จึงทรงแสวงหาความรู้จนได้ตรัสรู้ จึงเรียกว่า พุทธะ ที่แปลว่า ผู้รู้ หรือ ตรัสรู้

    พระพุทธรูปปางมารวิชัยในมหาโพธิวิหารองค์นี้ คือตัวแทนของพระพุทธเจ้าขณะประทับตรัสรู้ เพราะด้านหลังคือต้นพระศรีมหาโพธิซึ่งอยู่ทางทิศตะวันคก เท่ากับว่าพระพุทธรูปหันหลังให้ต้นโพธิ และหันหน้าไปทิศตะวันออก มองไปทางแม่น้ำเนรัญชรา <!--MsgFile=7-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ได้ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขในที่ต่าง ๆ ใกล้กับต้นโพธิพฤกษ์นั้นอยู่หลายสัปดาห์ ได้ทรงดำริถึงพระธรรมที่ได้ตรัสรู้ว่าเป็นของที่ลุ่มลึก ในชั้นแรกก็ทรงมีความขวนขวายดูหมู่สัตว์เห็นว่า หมู่สัตว์นั้นมีต่าง ๆ กัน ผู้ที่จะตรัสรู้ได้ก็มีอยู่ เทียบด้วยดอกบัวสามเหล่าที่จะบานได้ ได้เกิดพระกรุณาขึ้นแก่สัตวโลก พระกรุณานั้นเองทำให้ทรงตกลงพระหฤทัยว่า จะทรงแสดงธรรมสอนครับ

    พระอนิมิสเจดีย์ สถานที่เสวยวิมุตติสุข สัปดาห์ที่ 2 สูงราว 20 เมตร <!--MsgFile=8-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    "การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น เทียบได้กับความสำเร็จของนักคิดค้น ซึ่งเมื่อได้พยายามศึกษาเล่าเรียนหรือค้นคว้ามามากมาย ลงท้ายได้พบ 'อะไรอย่างหนึ่ง' ซึ่งเป็นกุญแจเปิดคลังวิทยาการ เห็นทางสว่าง ให้ความคิดเรื่องอื่นงอกงามออกไป แต่อาจเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่านักคิดอื่นๆมาก เพราะเรื่องที่ค้นพบนั้นครอบคลุมทั้งกายและจิดใจด้วย"

    พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ

    มีเพลงบรรเลง ฟังสบาย ชื่อเพลงริมฝั่งน้ำเนรัญชรา มาฝากให้ชาวห้องศาสนาฟังครับ
    http://thai.greenmusic.org/index.php?mode=frontweb&lang=eng&popup=genPopupMP3&id=83

    กระทู้นี้คุณ scuba734 ก็อนุญาตให้ใช้รูปสวยๆที่ถ่ายมาครับ จึงมีรูปประกอบเยอะมากๆ นึกถึงหนังสือ Eyewitness ที่รูปเยอะมากๆ :)
    ข้อมูลในกระทู้บางส่วนจากหนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า แพรวสำนักพิมพ์ และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    พระนิพนธ์เรื่อง 45 พรรษา ขออนุโมทนาครับ

    ภาพแม่น้ำเนรัญชรา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงลอยถาด อธิฐานในคืนก่อนบรรลุอนุตรสัมมาโพธิญาณ ถ่ายจากฝั่งบ้านนางสุชาดาครับ <!--MsgEdited=9-->
    <!--MsgFile=9-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    ที่มาค่ะ...http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4869121/Y4869121.html

    </center>​
    </center>​
    </center>
     
  2. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    วัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรร

    <big><big>วัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรรมเทศนามากที่สุด (เส้นทางสายพุทธะ) </big></big> <!--MsgIDBody=0-->

    สมัยพุทธกาล การสร้างวัดมิได้สร้างง่ายๆ และสร้างบ่อย เหมือนในยุคหลัง วัดแห่งแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา คือวัดพระเวฬุวัน พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารและชาวเมืองราชคฤห์ "วัด" ในความหมายนี้ก็คือ สวนไผ่ หรือป่าไผ่ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า เวฬุวัน (ป่าไผ่) เวฬุวนาราม (สวนป่าไผ่) คงยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไร แต่เมื่อสร้างวัดที่เมืองสาวัตถีนั้นแหละ เข้าใจว่าคงมีสิ่งปลูกสร้าง มีอาคาร ปราสาท (แปลว่าเรือนชั้น หรือตึก) ด้วย

    กระทู้นี้มาชมวัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรรมเทศนามากที่สุด พร้อมประวัติการสร้างครับ <!--MsgFile=0-->

    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    จะเห็นว่าเป็นบริเวณกว้างขวางมาก มีซากปรักหักพัง มีฐานของตึก และกุฏิของพระสาวกต่างๆ ก่อด้วยอิฐอย่างแข็งแรง เข้าใจว่าตึกรามอะไรต่างๆ คงมีมาตั้งแต่แรกสร้างส่วนหนึ่ง สร้างเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง

    หลังแรกจากทางเดินคือกุฏิพระราหุลเถระ เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา
    http://www.84000.org/one/1/08.html <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    เล่าประวัติไปด้วยนะครับ วัดพระเชตวัน คนสร้างเป็นเศรษฐี ชื่อเดิมว่า สุทัตตะ เศรษฐีที่ทำมาค้าขายโดยสุจริต ท่านผู้นี้ก่อนจะรู้จักพระพุทธเจ้า ก็เดินทางไปค้าขายยังเมืองต่างๆ ตามประสาพ่อค้า คราวหนึ่งเดินทางไปเมืองราชคฤห์ พักอยู่ที่คฤหาสน์ของน้องเขย เห็นคนในบ้านตระเตรียมอย่างขะมักเขม้น ยังกับจะมีงานเลี้ยงมโหฬาร จึงซักถาม ได้ความว่า มิได้เตรียมสถานที่เพื่อจัดปาร์ตี้อะไร หากแต่เตรียมเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ สุทัตตะได้ยินดังนั้นก็ขนลุกด้วยความปลาบปลื้มดีใจ จึงถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ตนอยากไปพบ น้องเขยบอกว่า พรุ่งนี้ก็จะได้พบอยู่แล้ว

    ได้ยินว่าหลังนี้คือกุฏิของพระสารีบุตรเถระ (อัครสาวกฝ่ายขวา) เอตทัคคะในทางผู้มีปัญญา
    http://www.84000.org/one/1/03.html <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ขณะเขาเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินพระพุทธดำรัสตรัสว่า "สุทัตตะ มานี่สิ" เขาขนลุกเป็นครั้งที่สอง ประหลาดใจที่พระพุทธองค์ทรงทราบว่าเขากำลังมาเฝ้า และทรงรออยู่ จึงเข้าไปกราบแทบพระยุคลบาท พระพุทธองค์ทรงแสดง "อนุปุพพีกถา" (เทศนาอันว่าด้วย ทาน ศีล โทษแห่งกาม อานิสงส์แห่งสวรรค์ และการปลีกออกจากกามารมณ์) เป็นการปูพื้นฐานจิตใจแก่เขา เขาได้สดับพระธรรมเทศนาแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล ยกระดับจากความเป็นปุถุชนขึ้นเป็นพระอริยบุคคลระดับต้น เรียกว่าได้ "เข้าสู่กระแสพระนิพพาน"

    ได้ยินว่าหลังนี้คือกุฏิของพระพระมหากัสสปเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์
    http://www.84000.org/one/1/18.html <!--MsgFile=3-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    สุทัตตะได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงไตรสรณคมน์ ตลอดชีวิต โดยเสด็จพระพุทธองค์ไปยังคฤหาสน์ของน้องเขย เขาได้ขออนุญาตน้องเขยเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ที่คฤหาสน์เศรษฐีผู้เป็นน้องเขยตลอด 7 วัน แล้วทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไปโปรดประชาชนชาวเมืองสาวัตถีบ้าง

    พระพุทธองค์ตรัสว่า "คหบดี สมณะทั้งหลายย่อมยินดีในสถานที่อันสงัด" เพียงแค่นี้เศรษฐีร์ก็รู้แล้วว่า พระพุทธองค์ทรงรับอาราธนา และตรัสให้หาที่อันเหมาะสมให้พระพุทธองค์ประทับ ทูลลากลับเมืองสาวัตถีด้วยจิตใจอันเปี่ยมด้วยความสุขหาใดปาน

    ได้ยินว่าหลังนี้คือกุฏิของพระสีวลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก
    http://www.84000.org/one/1/16.html <!--MsgEdited=4-->
    <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    กลับถึงบ้านก็เที่ยวสำรวจสถานที่ที่เหมาะจะสร้างวัดถวายพระพุทธองค์ ไปชอบใจสวนของเจ้านายในราชวงศ์พระองค์หนึ่งพระนามว่า เจ้าชายเชต จึงไปเจรจาขอซื้อ เจ้าเชตไม่อยากขาย จึงโก่งราคาแพงลิบลิ่ว แพงขนาดไหนหรือครับ เจ้าเชตบอกว่า ให้เอาเหรียญกระษาปณ์มาปูพื้นที่จนเต็มนั้นแหละคือราคาสวน

    โอโฮ สวนตั้งหลายเอเคอร์ จะใช้เหรียญสักกี่คันรถจึงจะเต็ม ไม่รู้ล่ะ เศรษฐีคิด เท่าไรก็สู้ อะไรประมาณนั้น จึงสั่งให้ขนกระษาปณ์จากคลังมาปูพื้นที่สวน ปูไปได้หมดเงิน 18 โกฏิ (มากแค่ไหน ผู้รู้คำนวณเอาก็แล้วกัน)

    ได้ยินว่าหลังนี้คือกุฏิของพระอุบาลีเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย
    http://www.84000.org/one/1/09.html <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    จ้าเชตเห็นเศรษฐีเอาจริงเอาจังขนาดนั้น จึงถามว่า ทำไมจึงใจถึงปานนี้ จะซื้อสวนนี้ไปทำอะไรหรือ เศรษฐีบอกว่าจะสร้างวัดถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทันทีที่ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าเชตก็เกิดศรัทธาขึ้นมาทันที บอกเศรษฐีว่า เอาเท่าที่ปูไปแล้วนี้แหละ ที่เหลือขอให้เขาได้มีส่วนในการสร้างวัดบ้าง แล้วก็บริจาคเพิ่มอีก 18 โกฏิ ช่วยกันสร้างวัดจนสำเร็จ ใช้เวลาสร้างนานเท่าไร ตำรามิได้บอกไว้ สร้างเสร็จได้ขนานนามว่า "วัดพระเชตวัน" เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าเชต ถวายให้เป็นวัดที่ประทับของพระพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์

    สุทัตตะที่ว่านี้มิใช่ใครที่ไหน เป็นคนเดียวกับ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธนั้นเอง นามเดิมท่าน สุทัตตะ ครับ เพราะความที่ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างแข็งแรง สร้างโรงทานให้ทานแก่ยาจกและวณิพก ณ สี่มุมเมือง จึงได้รับขนานนามว่า "อนาถบิณฑิกเศรษฐี" อ่านออกเสียงว่า "อะนาถะบินดิกะเสดถี" นะครับ อย่าออกเสียงว่า "อะหนาด..." เป็นอันขาด แปลว่าผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถาเสมอ ฝรั่งแปลเอาความว่า "เศรษฐีใจบุญ" (benefactor, benevolent)

    ได้ยินว่าหลังนี้คือพระคันธกุฏิของพระพุทธเจ้า <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    นอกนั้นก็มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นต้นโพธิ์ ที่พระเจ้าแผ่นดิน และอนาถบิณฑิกเศรษฐีปลูกไว้ โดยการอำนวยการของพระอานนท์พุทธอนุชา เพื่อเป็น "เจดีย์" กราบไหว้ แทนพระพุทธองค์ ยามเมื่อพระพุทธองค์มิได้ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ต้นโพธิ์ต้นนี้เรียกว่า "อานันทโพธิ" (ต้นโพธิ์พระอานนท์) <!--MsgFile=7--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    วัดพระเชตวันเป็นวัดที่พระพุทธเจ้าประทับนานที่สุด นานกว่าสถานที่อื่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา ก็ได้สร้างวัดไว้ด้านทิศตะวันออกของเมือง ชื่อ "วัดบุพพาราม" ด้วยการบริจาคทรัพย์จำนวนมากเช่นกัน แต่ก็มิปรากฏว่าพระพุทธองค์ประทับที่วัดนี้นานและบ่อยเท่าพระเชตวัน

    ได้ยินว่านี้คือบ่อน้ำที่พระพุทธเจ้าใช้สรงน้ำ <!--MsgFile=8-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    คัมภีร์พระไตรปิฎกบันทึกไว้ว่า มีพระสูตรมากมายที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาขณะประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันนี้ เพราะฉะนั้น วัดพระเชตวันจึงมิเพียงเป็นแห่งแรกที่สร้างขึ้น ณ เมืองสาวัตถี หากเป็นสถานที่พระพุทธองค์ประทับยาวนาน และทรงแสดงพระธรรมเทศนามากที่สุดด้วย จึงนับเป็นสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

    อ่านตอนแรก ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4869121/Y4869121.html
    อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4871574/Y4871574.html

    ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า หนังสือดีดีของแพรวสำนักพิมพ์ และคุณเสฐียรพงษ์ วรรณปกขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ <!--MsgFile=9-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ที่มาค่ะ..http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4881448/Y4881448.html
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>
     
  3. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    เราเป็นยอดเป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภ

    ลุมพินีเป็นตำบลหนึ่งของราชอาณาจักรเนปาล ข้ามชายแดนอินเดียเพื่อมายังเนปาลจะพบเมืองชายแดนเล็กๆแห่งหนึ่งที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสิทธัตถนคร ไม่ไกลจากที่นี่ก็เป็นที่ตั้งของสวนลุมพินีวัน ตามพุทธประวัตินั้นเป็นสวนหลวงที่สร้างขึ้นสำหรับชาวกบิลพัสดุ์และชาวเทวทหะเพื่อเป็นที่แวะพักผ่อนกลางทาง เพราะระยะทางระหว่างสองเมืองนั้นไกลเกินกว่าที่จะเดินทางถึงกันภายในวันเดียวได้ครับ

    ภาพสวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    พระพุทธเจ้าเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์แห่งศากยวงศ์ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางสิริมหามายา พระธิดาของพระเจ้าอัญชนะกษัตริย์ กษัตริย์แห่งโกลิยวงศ์ แห่งกรุงเทวทหะ

    เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์แก่ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระเจ้าสุทโทนะ (พระสวามี) ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเกิดของพระนาง เพื่อให้ประสูติในตระกูลของ พระมารดา ซึ่งเป็นไปตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น แต่ในขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน (ตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวหทะ) พระนางก็ได้ให้ประสูติพระโอรสใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี

    ปัจจุบันเมื่อมาถึงสวนลุมพินีวัน ก็จะเห็นวิหารมายาเทวีที่อยู่ตรงกลาง บริเวณโดยรอบนี้เป็นพุทธสถานเก่าแก่ทับซ้อนกันอยู่หลายยุค หลายสมัย นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นการสร้างกันต่อเนื่องมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 18 <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    จากบันทึกของพระถังซัมจั๋ง พระภิกษุจีนซึ่งเดินทางมาศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดียเมื่อพุทธศตวรรษที่ 12 ท่านได้เขียนถึงลุมพินีวันที่มาเห็นในครั้งนั้นว่า ....ที่นั่นมีบ่อน้ำสำหรับสระสนานของชาวศากยวงศ์ น้ำในบ่อใสสะอาดดุจกระจก จากนี้ไปทางเหนือประมาณ 40-50 ก้าว มีต้นอโศกซึ่งปัจจุบันแห้งเหี่ยวไปแล้ว เป็นที่ประสูติของศากยมุนีโพธิสัตว์...

    หากเรากะระยะจากแผ่นศิลาไปสระน้ำก็อยู่ในระยะทางที่ใกล้เคียงกันคือราว 35-40 เมตรครับ <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ปี พศ. 2436 นายทหารอินเดียคนหนึ่งชื่อ จัสคาราน ซิงค์ เดินล่าสัตว์มาถึงเขตเนปาลและพบเสาพระเจ้าอโศกเข้าโดยบังเอิญ พระเจ้าอโศกเสด็จมาที่นี่เมื่อครองราชย์ได้ 20 ปี ทรงนำเสาหินหนัก 37 ตันมาที่สวนลุมพินี เสาหินทั้งหมดที่นำมาที่นี่ 3 ต้น รวมกันแล้วก็หนักถึง 120 ตัน สมัยนั้นไม่มีระบบขนส่ง ต้องลำเลียงมาทางบกหรือทางน้ำเท่านั้น น่าสนใจมากครับ <!--MsgFile=3--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    zoom...เสาพระเจ้าอโศกที่ลุมพินี จารึกอักษรพราหมีระบุว่าพระพุทธเจ้าศากยมุนีประสูติที่นี่ <!--MsgFile=4--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ในขณะที่ให้ประสูติ พระมารดาเสด็จประทับยืน ไม่นั่งเหมือนสตรีอื่น เมื่อทรงประสูติแล้วพระกายของ พระโอรสบริสุทธิ์ไม่เปรอะเปื้อน ด้วยคราบใด ๆ จากนั้นจึงมีเทวดามาคอยรับพระกาย ของพระโอรส และมีธารน้ำร้อนน้ำเย็นตกลงมาจากอากาศสนาน (อาบ) พระองค์

    ภาพแกะสลักหินทรายรูปพระประสูติกาล <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    และเมื่อประสูติแล้ว ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ย่างพระบาทไปได้ 7 ก้าว แล้วทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า

    " ในโลกนี้ เราเป็นยอดเป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี"

    หลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งที่เพิ่งขุดพบเมื่อปี 2535 นี่เอง เป็นแผ่นศิลาประทับเครื่องหมายคล้ายรอยพระบาท นักโบราณคดีให้ความเห็นว่านี่ไม่ใช่รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าจริงๆนะครับ มีการพิสูจน์ทางโบราณคดี พบว่าน่าจะเป็นอนุสรณ์อย่างหนึ่งที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างไว้เมื่อ 200 ปี หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน

    ภาพแผ่นศิลาประทับเครื่องหมายคล้ายรอยพระบาท (Stone mark) <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    สวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าจึงนับเป็นสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

    อ่านตอนแรก ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4869121/Y4869121.html
    อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4871574/Y4871574.html
    วัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรรมเทศนามากที่สุด (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4881448/Y4881448.html

    ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า หนังสือดีดีของแพรวสำนักพิมพ์ และพระไตรปิฎก ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ

    มีเพลงฟังสบายๆ ชื่อเพลง Birth of The Buddha มาฝากด้วยครับ
    http://www.buddhanet.net/e-learning/songs/Buddhist Song 1.mp3 <!--MsgFile=7-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>

    ที่มาค่ะ...http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4887190/Y4887190.html

    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>
     
  4. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    การเดินทางครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า (เส้นทางสายพุทธะ)

    ตลอดระยะเวลา 45 ปีของการเผยแพร่ศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมของพระองค์ในบริเวณ 8 แคว้นคือสักกะ โกศล วัชชี องคะ มคธ กาสี วังสะ และอวันตี

    ในพรรษาที่ 80 ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ทรงปลงอายุสังขารว่าอีกสามเดือนข้างหน้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตลอดระยะเวลาสามเดือนนั้นเอง ทรงพระดำเนินจากเมืองเวสาลีไปยังเมืองกุสินารา ซึ่งไม่ใช่หนทางที่ใกล้เลยสำหรับการเดินเท้านะครับ

    ภาพเสาอโศกที่สมบูรณ์ที่สุดต้นนี้อยู่ที่เมืองเวสาลี สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร <!--MsgEdited=0-->
    <!--MsgEdited=0-->
    <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    กุสินาราในปัจจุบัน เป็นชุมชนเมืองที่เติบโตขึ้นจากการเข้ามาฟื้นฟูแหล่งพุทธสถานของรัฐบาลอินเดียและพุทธศาสนิกชนนานาชาติ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นที่นี่ก็คือหมู่บ้านเล็กๆที่แทบไม่มีใครสนใจ ชื่อว่ากาเซีย จนกระทั่งเมื่อราว 150 ปีก่อน นักโบราณคดีได้เริ่มเข้ามาสำรวจและพิสูจน์ได้ว่าหมู่บ้านกาเซียเป็นที่เดียวกับเมืองกุสินารา สถานที่พระพุทธเจ้าดับเสด็จขันธปรินิพพานเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว

    จากนั้นกาเซียก็เริ่มเปลี่ยนโฉมหน้าไป เดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านที่มีซากโบราณสถานปรักหักพังจมดินอยู่มากมายในบริเวณสวนป่าสาละ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันมานานว่า "เนินดินเจ้าชายสิ้นชีพ"

    ภาพเมื่อไปถึงในบริเวณสาละวโนทยาน กุสินารา จะพบอาคาร 2 หลัง คือ ด้านหน้าเป็นวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพานและด้านหลังคือสถูปที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่ปรินิพพานครับ <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ชื่อ "เนินดินเจ้าชายสิ้นชีพ" นี้ได้สะดุดใจเซอร์คันนิงแฮมมาก ทำให้เขานึกถึงสถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
    หลังจากที่เข้าค้นหาอยู่แค่ 15 ปี ^_^ ทีมงานของเขาก็พบพระพุทธรูปปางปรินิพพานฝังตัวอยู่ใกล้ๆซากปรักหักพังของสถูปและวิหารในบริเวณนั้นเอง การบูรณะโบราณสถานครั้งใหญ่จึงได้เริ่มขึ้น และไม่เคยหยุดเลยนับจากนั้น

    ในบันทึกของหน่วยงานโบราณคดีอินเดียระบุว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยคุปตะ โดยชาวพุทธคนหนึ่งชื่อว่าฮาริบาลา ในช่วงเวลานั้นถือเป็นยุคที่กุสินารารุ่งเรืองที่สุด มีการสร้างและบูรณะวัดวาอารามมากมาย นับตั้งแต่มีการค้นพบสถานที่ที่เสด็จปรินิพพาน ชาวพุทธจากทั่วทุกหนแห่งต่างพากันเดินทางมานมัสการมิได้ขาดครับ

    ภาพพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ภายในพระวิหารกุสินารา <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ปัจจุบันกุสินาราเป็นเมืองสังเวชนียสถานที่ชาวพุทธนานาชาติได้มาสร้างพุทธสถานและธรรมศาลาไว้มากมาย ทุกๆเช้าชาวบ้านที่นี่จะได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลาทำวัตรเช้าของพระภิกษุ ที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พระธรรมทูตเหล่านี้เดินทางมาจากประเทศไทย พร้อมกันนั้นยังได้นำสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งกลับมาด้วยครับ

    พระมหาธาตุเจดีย์ของวัดไทยกุสินาราฯ ได้ออกแบบสร้างขึ้นอย่างสง่างามสมพระเกียรติ เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมสารีริกธาตุองค์นี้ รัฐบาลอินเดียได้เคยทูลเกล้าฯถวายแด่พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมานานนับร้อยปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับ เพื่ออยู่คู่บ้านคู่เมืองกุสินาราอีกครั้ง

    ภาพวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ <!--MsgFile=3-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    วัดไทยกุสินาราฯ สร้างขึ้นเมื่อปี 2537 ให้การอุปถัมภ์แก่พุทธบริษัทผู้เดินทางมาสักการะสังเวชนียสถา และการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ทุกๆวันจะมีชาวบ้านมารอรับการรักษาที่กุสินาราคลีนิกภายในวัดไม่ต่ำกว่า 150-200 คน พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านที่ยากจนในละแวกนี้ ค่ารักษาเพียง 8 รูปี หรือราว 7 บาท รักษาทุกโรค ^_^" ด้วยฝีมือแพทย์ปริญญาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ หมอแลเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่อาสาสมัครเข้ามาเพื่อทำงานสาธารณกุศล

    หมอที่นี่เล่าว่า มีคนเจ็บป่วยเยอะมาก พวกเขาอยู่ห่างไกลโรงพยาบาล จะหาซื้อยาก็ลำบาก เห็นได้ว่าในวันพระขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งเปิดคลีนิกรักษาฟรี จะมีคนไข้มาใช้บริการมากถึง 300 คน !!!

    แม้ว่ากุสินาราคลินิกจะมีรายจ่ายมากกว่ารายรับถึงเดือนละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท แต่น้ำใจจากชาวพุทธที่มาบริจาคทรัพย์ บริจาคยา และอาสาสมัครช่วยทำงาน กุสินาราคลินิกจึงยังคงอยู่เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านที่เจ็บป่วยต่อไปได้ <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายยังประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด "

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสพระโอวาทสุดท้ายนี้ แล้วทรงนิ่งเงียบไม่ตรัสอะไรอีก ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา

    หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว ได้ ๗ วัน เหล่ามัลละกษัตริย์ในนครกุสินาราพร้อมด้วยชาวพระนครทั้งหลาย ได้เชิญพระบรมศพมาประดิษฐาน ณ มกุฎพันธนเจดีย์

    ภายหลังที่พระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยภิกษุบริษัทเดินทางมาถวายบังคมพระศพเสร็จแล้ว ไฟก็ติดพระสรีระเอง เมื่อพระสรีระพระพุทธเจ้าถูกไฟไหม้แล้ว ก็มีกษัตริย์และพราหมณ์จากแคว้นต่าง ๆ มาขอพระสารีริกธาตุ ครั้งแรกมัลลกษัตริย์จะไม่ให้ แต่โทณพราหมณ์พูดเกลี้ยกล่อมให้เห็นแก่ความสงบ จึงได้ตกลงแบ่งให้ไปต่างก็นำไปบรรจุสถูปและทำการฉลองในนครของตน

    ห่างออกไปจากมหาปรินิพพานสถูปไม่ไกลนัก นักโบราณคดีพบเนินดินที่ก่อด้วยอิฐหุ้มไว้เป็นชั้นๆ ที่นี่คือมกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า อิฐแต่ละชั้นเกิดจากการก่อขยายพระเจดีย์โดยกษัตริย์หลายพระองค์ หลายสมัย ที่บูรณะเรื่อยมา จนกระทั่งศาสนาพุทธเสื่อมไปจากอินเดีย <!--MsgEdited=5-->
    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 49 21:33:17[/SIZE] <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    อ่านตอนแรก ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4869121/Y4869121.html
    อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4871574/Y4871574.html
    วัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรรมเทศนามากที่สุด (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4881448/Y4881448.html
    เราเป็นยอดเป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4887190/Y4887190.html

    ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า หนังสือดีดีของแพรวสำนักพิมพ์ และพระไตรปิฎก ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ

    ฟังเพลงบรรเลงสบายๆ การเดินทางของใจที่เที่ยงแท้ คุณจำรัส เศวตาภรณ์ กล่าวว่าธีมของเพลงนี้ได้สื่อความหมายถึงการเดินทางของดวงจิตไปในที่สูงจนถึงนิพพานของผู้มีบุญบารมีสูงส่ง ที่ได้สั่งสมบุญมานับภพชาติไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ครับ
    http://thai.greenmusic.org/index.php?mode=frontweb&lang=eng&popup=genPopupMP3&id=86

    พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคนครับ <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    ที่มาค่ะ..http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4891374/Y4891374.html

    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>
     
  5. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    มหาวิทยาลัยนาลันทา สถานศึกษาที่กล่าวกันว่ายิ่งใหญ่และดีที่สุดที่มวลมนุษย์เคยใฝ่ฝันถึ

    <!--WapAllow0=Yes--><!--pda content="begin"--><big><big> <!--Topic-->มหาวิทยาลัยนาลันทา สถานศึกษาที่กล่าวกันว่ายิ่งใหญ่และดีที่สุดที่มวลมนุษย์เคยใฝ่ฝันถึง (เส้นทางสายพุทธะ) </big></big> <!--MsgIDBody=0-->สวัสดีทุกท่านครับ
    ระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยนาลันทา แวะชิมขนมกันก่อนนะครับ [​IMG] [​IMG]

    ขนมคาจา เป็นแป้งทอดกรอบที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อไปเมืองนาลันทา ชาวบ้านได้นำขนมชนิดหนึ่งมาถวาย พระพุทธเจ้าทรงฉันแล้วทรงพระดำเนินต่อไป พร้อมกับมีพระดำรัสว่า "คาจา" ซึ่งแปลว่า "กินแล้วก็จะไป" ต่อมาชาวบ้านจึงพากันเรียกขนมชนิดนั้นว่าคาจา

    คุณ scuba734 บอกว่าขนมนี้คล้ายๆ โรตีกรอบบ้านเรา มีทั้งรสเค็มและหวาน (ไม่อร่อยเลย) [​IMG] <!--MsgFile=0-->

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#204080" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกค้นพบเมื่อพศ. 2404 โดยเซอร์อะเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม (อีกแล้วครับ) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่ามีอดีตมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกฝังตัวอยู่ในนาลันทามานานถึง 700 ปี

    เมื่อครั้งที่พระถังซัมจั๋งเดินทางมาอินเดีย ท่านก็ได้มาศึกษาพุทธศาสนาอยู่ที่นาลันทานานถึง 5 ปี ท่านได้เล่าถึงมหาวิทยาลัยนาลันทาที่เห็นในตอนนั้นว่า

    "...บริเวณทั้งหมดมีกำแพงล้อมรอบเป็นอารามแห่งเดียวกัน มีหนึ่งประตูภายในแบ่งออกเป็นหอสำนักแปดแห่ง
    โบสถ์วิหารงดงาม มียอดสูงเทียมเมฆ ที่พำนักของพระสงฆ์ล้วนเป็นหอสูงสี่ชั้น...
    พระภิกษุในอาราม รวมทั้งที่มาจากที่อื่นมีจำนวนนับหมื่น ล้วนศึกษาในลัทธิมหายาน แต่ก็ยังศึกษาในลัทธินิกายอื่นๆ อีก 18 นิกายควบคู่กันไป..."

    เมื่อดูจากขนาดของโรงครัวแล้ว ก็พอนึกภาพได้ว่า ต้องทำอาหารถวายพระกี่รูป <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    200 ปีต่อมานาลันทาก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 14 กษัตริย์ราชวงศ์ปาละทรงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธอย่างมากมาย ขณะนั้นเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเข้าสู่ยุคตันตระยานแล้ว

    ซากอาคารที่ขุดพบนี้มีลักษณะเป็นที่พำนักสงฆ์ มีห้องพักสำหรับพระนักศึกษาและอาจารย์ซึ่งอยู่กันห้องละ 2 รูป ท่านผู้ศึกษาประวัติศาสตร์บอกว่า
    "บางแห่งก็เป็นห้องพักเดี่ยว ซึ่งอาจเป็นของพระอาจารย์ และห้องแสดงปุจฉา-วิสัชนาด้านหน้า ภายในห้องโถงยกระดับพื้นเป็นเวทีให้พระอาจารย์บรรยายธรรม"

    สิ่งที่ทำให้นักโบราณคดีรู้ว่าโบราณสถานขนาดมหึมาแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยนาลันทาก็คือ ตราประทับรูปธรรมจักรที่ขุดพบ มีรูปกวางหมอบอยู่สองข้าง มีตัวอักษรเขียนว่า ศรี นาลันทา มหาวิหารี จนถึงวันนี้กองโบราณคดีอินเดีย เพิ่งขุดสำรวจนาลันทามหาวิหารไปได้ประมาณร้อยละ 10 เท่านั้น จากอาณาบริเวณทั้งหมดกว่า 16 ตารางกิโลเมตร ส่วนที่อยู่นอกกำแพงเขตโบราณสถานในปัจจุบันจึงรอขุดสำรวจกันอยู่และก็เป็นที่ดินของชาวบ้านในละแวกนั้นครับ <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    การเรียนการสอนที่นาลันทาไม่เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นใดในยุคนั้น เป็นการสอนทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ มีความเข้มงวดมาก สอนกันตั้งแต่เช้าจนตะวันตกดิน ใครสงสัยอะไรก็เปิดโอกาสให้ซักฟอกด้วยปุจฉา-วิสัชนาจนกระจ่างแจ้งทุกวิชา นักศึกษาต่างชาติที่ไปศึกษาอยู่ที่นาลันทาในครั้งนั้นได้กลายเป็นฑูตทางวัฒนธรรมของอินเดียอย่างไม่รู้ตัว เมื่อพวกเขาได้แปลคัมภีร์ต่างๆที่ศึกษาเป็นภาษาของตัวเอง และนำกลับไปเผยแผ่ที่ประเทศของตน คัมภีร์ที่อยู่ต่างประเทศเหล่านี้เอง กลับกลายเป็นต้นฉบับคัมภีร์พุทธศาสนาในเวลาต่อมา <!--MsgFile=3--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    เมื่อสิ้นสุดสมัยปาละ นาลันทาก็แทบจะไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ปกครองบ้านเมืองอีก จนกระทั่งเข้าสู่พุทธศตวรรษที่ 18 มหาวิทยาลัยนาลันทาเสื่อมโทรมลงอย่างมาก ทั้งจากความหย่อนยานในพระธรรมวินัยของสงฆ์และภัยสงคราม โดยเฉพาะจากกองทัพ (ศาสนาหนึ่งที่ไม่ใช่พุทธ) ที่บุกเข้ามาถึงแคว้นมคธ ฆ่าพระภิกษุมรณภาพเกือบหมด และมหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาทำลายจนสิ้น ถูกเผานานเป็นแรมเดือน คัมภีร์พุทธจำนวนมหาศาลที่ขนย้ายออกมาไม่ทัน มอดไหม้ไปพร้อมกับการสิ้นสุดลงของมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาครับ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากพวกโจรจะพึงตัดอวัยวะด้วยเลื่อย แม้ผู้ใดคิดร้ายในโจรพวกนั้น ผู้นั้นหาได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของเรา
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4817915/Y4817915.html

    ความยิ่งใหญ่ของอาคารเรียน เหลือเพียงเท่านี้ เป็นชั้น 3 จาก 6-8 ชั้น ในยามรุ่งเรือง <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    จากมหาวิทยาลัยนาลันทาอันรุ่งเรืองในอดีต เราข้ามฝั่งไปจะพบสิ่งที่น่ายินดีครับ [​IMG]

    มหาวิทยาลัยนานาชาตินาลันทา หรือที่ชื่อว่า นวนาลันทามหาวิหาร เป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อเป็นศูนย์กลางของการศึกษาพุทธศาสนาและภาษาบาลีระดับสูง เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยนาลันทาในยุคโบราณ ดร. รวินทร์ ภาณธ์ (Dr. Ravindra Panth) เล่าให้ฟังถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ว่า

    " มหาวิทยาลัยนวนาลันทามหาวิหารก่อตั้งขึ้นในแนวทางเดียวกันกับมหาวิทยาลัยโบราณนาลันทามหาวิหารเดิม เราต้องการสืบสานมรดกของอินเดียไว้นาลันทาเคยเป็นสัญลักษณ์ของความรู้ เราก็อยากให้กลับมาเป็นอย่างนั้นอีกครั้ง ศูนย์กลางความรู้ที่ช่วยส่องทางให้มนุษย์มานานหลายศตวรรษควรกลับมาแสดงบทบาทสำคัญอีกครั้ง"

    ทุกวันนี้มีฆราวาสและพระในพุทธศาสนาจากชาติต่างๆ ในเอเชียกว่า 250 คนมาศึกษาที่นวนาลันทาแห่งนี้ ทั้งในระดับป.ตรี โท และเอกครับ <!--MsgFile=5-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    อ่านตอนแรก ความจริงอันยิ่งใหญ่ที่พุทธคยา (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4869121/Y4869121.html
    อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4871574/Y4871574.html
    วัดพระเชตวัน วัดแห่งแรกในเมืองสาวัตถี สถานที่พระพุทธเจ้าประทับยาวนานที่สุด แสดงพระธรรมเทศนามากที่สุด (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4881448/Y4881448.html
    เราเป็นยอดเป็นผู้เจริญที่สุด เป็นผู้ประเสริฐที่สุด การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4887190/Y4887190.html
    การเดินทางครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า (เส้นทางสายพุทธะ)
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4891374/Y4891374.html

    ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณ scuba734 ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า และพระไตรปิฎก ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ <!--MsgFile=6-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ที่มาค่ะ...http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4894699/Y4894699.html

    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
     
  6. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    เขาคิชฌกูฏ สถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจ และที่พระเทวทัตกลิ้งหินลงมาทำร้ายพระพุทธเจ

    <big><big>เขาคิชฌกูฏ สถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจ และที่พระเทวทัตกลิ้งหินลงมาทำร้ายพระพุทธเจ้า (เส้นทางสายพุทธะ) </big></big> <!--MsgIDBody=0-->สวัสดีทุกท่านครับ

    เขาคิชฌกูฏ จัดว่าเป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจแห่งหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์เถรเจ้า ในบรรดาสถานที่ 10 แห่งด้วยกันที่มีอยู่ในกรุงราชคฤห์คือ 1. ภูเขาคิชกูฏ 2. โคตมนิโครธ 3. เหวที่ทิ้งโจร 4. สัตตปัณณคูหาข้างเวภารบรรพต 5. กาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ 6. เงื้อมผาสัปปโสณิกที่สีตวัน 7. ตโปธาราม 8. ชีวกัมพวัน 9. มัททกุจฉิมิคทายวัน 10. เวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต

    ในช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ประมาณ 12 พรรษานั้น นอกจากจะประทับที่เวฬุวนารามแล้ว ได้เสด็จมาประทับเป็นประจำที่ยอดเขาคิชฌกูฏนี้ คิชฌกูฏแปลว่ายอดเขานกแร้ง ที่มีชื่อเรียกอย่างนั้นเพราะในอดีตกาล เคยมีฝูงนกแร้งมาอาศัยอยู่ หรือภูเขาลูกนี้มียอดเขาคล้ายนาแร้ง ยอดเขานี้ไม่สูงเท่าไรนัก เตี้ยมากกว่าภูเขาอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบด้าน จึงมีลมพัดเย็นสบาย วันนี้มาชมเขาคิชฌกูฏกันนะครับ

    ภาพเขาคิชฌกูฏ ยอดเขาคือมูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้า <!--MsgFile=0-->

    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้สร้างทางเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏ จึงเรียกกันว่าถนนพระเจ้าพิมพิสาร ถนนนี้กว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 1-2 กิโลเมตร เทด้วยซีเมนต์เป็นทางลาดขึ้นเขา มีความชันประมาณ 30 องศา เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าส่วนมากมักจะเสด็จมาในตอนดึก ซึ่งเสร็จสิ้นภาระกิจบ้านเมืองแล้ว กองทัพม้าที่นำเสด็จต้องจุดคบเพลิงกันมาสว่างไสว เมื่อใกล้จะถึงทางขึ้นส่วนบนยอดเขาอันเป็นที่พำนักของเหล่าพระภิกษุสงฆ์แล้ว พระองค์จึงเสด็จประทับบนเสลี่ยงให้คนหามขึ้นไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงอึกทึกเกินไปนัก ส่วนกองทัพนั้นพักอยู่ระหว่างทางที่พักไม่ต้องตามเสด็จ จนเมื่อใกล้จะถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าแล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงได้เปลี่ยนเครื่องทรงให้เหมาะ แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ยอดเขาคิชฌกูฏนั้น พระเจ้าพิมพิสารเสด็จขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาปัญหาเป็นประจำครับ

    ตอนนี้จะนั่งเกี้ยวไป-กลับก็ได้ ค่าจ้าง 660 รูปีครับ <!--MsgEdited=1-->
    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 49 02:23:23[/SIZE] <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ระหว่างทางที่จะขึ้นไป ถึงยอดเขาคิชฌกูฏนั้น มีทางโค้งอยู่ช่วงหนึ่งและในบริเวณนั้น มีหมู่ก้อนหินใหญ่น้อยมากมาย บริเวณนั้นพระเทวทัตได้ดักทำร้ายพระพุทธเจ้า โดยการกลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมา หมายจะให้ทับพระพุทธเจ้า ให้สิ้นชีพตักษัยขณะที่กำลังเสด็จพระราชดำเนินลงไปโปรดสัตว์ แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์! ที่ก้อนหินใหญ่นั้น ได้แตกออกเป็นก้อนเล็ก ก้อนน้อย จนหมดสิ้น เมื่อมันได้กลิ้งมาถึงพระพุทธเจ้า แต่ขณะนั้นก็ยังมีสะเก็ดหินชิ้นเล็กๆ อันหนึ่งพุ่งเข้ามาต้องข้อพระบาท จนทำให้ข้อพระบาทห้อพระโลหิต นี่เองที่ทำให้พระเทวทัตได้กระทำอนันตริยกรรมครับ <!--MsgFile=2--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    ถ้ำสุกรขาตา เป็นถ้ำๆหนึ่งอยู่ทางด้านขวามือของบันไดทางขึ้นก่อนที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาคิชฌกูฏ พระสารีบุตร เอตทัคคะในทางผู้มีปัญญาได้บรรลุพระอรหัตตผลในถ้ำนี้ หลังจากบวชได้ 15 วัน ในวันที่ 15 นั่นเอง ในขณะที่ท่านนั่งอยู่ถวายงานพัด ณ เบื้องหลังพระปฤษฎางค์แห่งพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่มีชื่อว่า "เวทนาปริคคหสูตร" ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ทีฆนขะปริพพาชกผู้เป็นหลายชาย ณ ถ้ำสุกรขาตาบนเขาคิชฌกูฏ ท่านดำริในในใจว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละการยึดมั่นถือมัน ในธรรมทุกๆ อย่างด้วยปัญญาอันรู้ยิ่ง เมื่อท่านพิจารณาอยู่อย่างนั้น ด้วยความไม่ยึดมั่นจิตของท่านก็พลันหลุดพ้นจากความเศร้าหมองทุกประการ คือสำเร็จแห่งความเป็นพระอรหันต์ซึ่งตรงกับเวลาเที่ยงวันพอดี ปัจจุบันถ้ำนี้เหลือให้เห็นเป็นแค่โพรงหิน ลึกไม่กี่เมตรเท่านั้นครับ <!--MsgFile=3--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    มูลคันธกุฎีที่ประทับของพระพุทธเจ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่ตรงผาชันด้านทิศตะวันตกของยอดเขา มีลมพัดเย็นสบายที่สุด มีแดดอ่อนๆ พื้นเป็นที่ราบเสมอกันเป็นหินภูเขาแข็งแกร่ง มีอาณาบริเวณกว้าง ประมาณ 150 ตารางเมตร และมีแนวอิฐก่อให้เห็นมูลคันธกุฎีที่ประทับ และมีทางสำหรับให้เดินเวียนเทียนรอบได้อย่างสบาย ดังที่ตรัสว่าเป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์ใจแห่งหนึ่งครับ <!--MsgFile=4--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>​
    </center>
     
  7. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,026
    เวฬุวนาราม วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา (เส้นทางสายพุทธะ)

    "ดูก่อนอานนท์ เวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต เป็นสถานที่น่าอยู่และน่ารื่นรมย์"

    วันนี้ไปชมเวฬุวนารามกันครับ คำว่า"เวฬุวนาราม" เป็นภาษามคธ หรือบาลี ๓ คำเชื่อมกันคือ "เวฬุ" ไม้ไผ่ วน ป่าหรือสวนและ อาราม วัด เมื่อถือเอาความตามภาษาไทย และถูกต้องกับความเป็นจริงแล้วแปลว่า "วัดไผ่ล้อม" ที่เรียกชื่อว่า วัดไผ่ล้อม ก็เพราะว่า เวฬุวนาราม มีต้นไม้ไผ่เขียวชอุ่มน่าดูและน่าชมยิ่งขึ้นล้อมรอบทั้ง ๔ ด้าน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเชิงภูเขาเวภารบรรพตครับ

    เวฬุวนารามเคยเป็นพระราชอุทยาน หรือสวนหลวง เป็นสถานที่สำหรับเสด็จประพาสของพระเจ้าพิมพิสารมหาราช และข้าราชบริพารมาก่อน พระราชอุทยานแห่งนี้ นับว่าเป็นพระราชอุทยานที่จัดว่าอยู่ใกล้พระราชวังแห่งหนึ่งที่มีอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามประวัติยังกล่าวไว้ว่าพระราชอุทยานเวฬุวันนั้นยังมีกำแพงสูงถึง ๑๘ ฟิต กั้นล้อมอีกชั้นหนึ่ง และมีประตูใหญ่ (สำหรับปิดและเปิดในเวลาเข้าและออก)ประกอบด้วยหอคอย สำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลและรักษาความปลอดภัยครับ

    ภาพเวฬุวนาราม
    <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG] พระราชอุทยานเวฬุวันสถานที่ให้เหยื่อกระแต[​IMG]

    ก่อนนี้พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จประพาสพระราชอุทยานเวฬุวัน วันนั้นพระองค์ทรงดื่มน้ำจัณฑ์มากไปหน่อยจึงทรงบรรทมหลับไป ณ สถานที่ตรงนั้นเอง ฝ่ายข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมาด้วย ครั้นเห็นว่าเจ้าเหนือหัวของตนบรรทมหลับไปเช่นนั้น จึงต่างพากันทยอยออกไป บางพวกก็เก็บและเดินชมดอกไม้ บางพวกก็เก็บผลไม้มากิน ตามอัธยาศัยที่ตนชอบ ๆ ก็เพราะกลิ่นอันหอมหวานของน้ำจัณฑ์ที่ผสมกับแกล้มที่ระเหยจากพระนาสิกของพระองค์นั้นเป็นต้นเหตุ ทำให้อสรพิษที่อาศัยในโพรงไม้ใกล้ ๆ กับบริเวณนั้นอยู่ไม่ได้ มันจึงค่อยๆ เลื้อยออกมาจากที่อยู่ของมันบ่ายหน้ามุ่งตรงมายังที่พระราชาซึ่งบรรทมหลับอยู่นั้นเองด้วยหมายใจที่จะได้รับส่วนแบ่งและลิ้มรสอันโอชะนั้นบ้าง ฝ่ายรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่ใกล้ๆ แห่งนั้น

    ครั้นได้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นเข้าเกิดเมตตาและสงสารคิดที่จะช่วยให้พระราชารอดพ้นจากอันตรายแห่งชีวิต ทันใดจึงเปลี่ยนเพศจำแลงกายเป็นกระแตส่งเสียงดังจ้าละหวั่นที่ใกล้ ๆ พระกรรณของพระราชา ดุจประหนึ่งจะปลุกว่า "ขอพระองค์จงตื่นจากบรรทมเถิดพระเจ้าข้า เพราะขณะนี้อันตรายจะเกิดขึ้นแก่พระองค์แล้ว" เพราะเสียงร้องอันดังของกระแตนั้นพระองค์จึงตกพระทัยตื่นขึ้น และทันทีนั้นอสรพิษก็พลันเลื้อยกลับไปยังที่อยู่ของตนดังเดิม พระองค์ครั้นเห็นเหตุการณ์ดังนั้นเข้าจึงทรงดำริว่า "ชีวิตของเราที่รอดพ้นอันตรายมาได้นั้นก็เพราะกระแตตัวนี้" ดังนั้นด้วยอำนาจแห่งพระกตัญญูของพระองค์ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในพระกมลนิสัย จึงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่นำเอาอาหารหรือเหยื่อมาให้แก่กระแตเป็นประจำ และให้นำพระราชโองการเที่ยวประกาศห้ามไม่ให้ใครมาทำร้ายสัตว์จำพวกนี้อีกต่อไป และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพระราชอุทยานเวฬุวันจึงได้สมัญญาสร้อยเพิ่มเติมตอนท้ายว่า "วฬุวันกลันทกนิวาป"

    ต่อมาผู้จะไปเที่ยวชมพระราชอุทยานเวฬุวันจึงค่อยๆ เริ่มนิยมกันนำเอาอาหารเตรียมติดตัวไปเพื่อให้กระแตที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นครั้นมากเข้าๆ จนกลายเป็นสถาบันขึ้นมาว่า ผู้ใดก็ตามที่จะไปเที่ยวชมพระราชอุทยานเวฬุวัน ผู้นั้นจะต้องนำเอาอาหารเพื่อเป็นทานแก่กระแตติดตัวไปทุกครั้ง ดังนั้นกระแตในสมัยนั้นจึงนับว่าเป็นสัตว์ที่นอกจากจะโชคดีเที่ยววิ่งเล่นอย่างเป็นอิสระและอยู่อย่างเสรีในพระราชอุทยานแล้ว ยังมีอาหารกินอย่างสมบูรณ์ด้วยครับ <!--MsgFile=1-->

    [​IMG] พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายพระราชอุทยานเวฬุวัน[​IMG]

    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดชฎิลสามพี่น้องพร้อมทั้งบริวารจำนวนรวมทั้งสิ้น (รวมทั้งสามพี่น้องด้วย) 1,003 คน ให้เห็นความเหลวไหลของการบูชาไฟ จนมีจิตเลื่อมใส ทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วนั้น พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมข้าราชบริพาร ผู้นับถือชฎิลสามพี่น้อง ได้เสด็จมาเพื่อฟังธรรมจากอาจารย์ของตนตามที่เคยมา ได้ทอดพระเนตรเห็นอาจารย์ของพระองค์ ปลงผมโกนหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ นั่งห้อมล้อมพระพุทธองค์อยู่

    พระราชาและชาวเมืองต่างก็สงสัยว่า ระหว่างสมณะหนุ่มท่าทางสง่างามนั่งอยู่ตรงกลาง กับอาจารย์ของพวกตน อันมีปูรณกัสสปะเป็นประมุขนั้นใครใหญ่กว่ากัน พระพุทธเจ้าทรงทราบความคิดของพระราชาและชาวเมือง จึงรับสั่งกับพระปูรณกัสสปะว่า เธอบำเพ็ญตบะทรมานตัวเองจนผ่ายผอม บูชาไฟตลอดกาลนาน บัดนี้เธอคิดอย่างไรจึงละทิ้งความเชื่อถือเดิมเสีย มาบวชเป็นสาวกของเราตถาคต

    พระปูรณกัสสปะจึงห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบบังคมแทบพระยุคลบาทแล้ว เหาะขึ้นไปลอยอยู่ในอากาศระยะสูงเท่าลำตาล ประกาศว่า ตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาของตน แล้วลงมากราบแทบพระยุคลบาทอีกครั้ง ทำให้ประชาชนอันมีพระพิมพิสารทรงเป็นประมุข หายสงสัยโดยสิ้นเชิง ต่างก็สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า

    พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุโสดาปัตติผล ทรงประกาศตนเป็นอุบาสกถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ พระองค์จึงทรงมอบถวายป่าไผ่ดังกล่าวนี้ให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่นั้นมาพระราชามหาอำมาตย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี ตลอดจนข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนผู้ที่มีศรัทธา และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็ได้พากันสร้างวัดถวายให้แด่พระภิกษุสงฆ์สืบมาจนถึงทุกวันนี้ฯ วัดพระเวฬุวัน จึงนับเป็นวัดแรกสุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาครับ

    ภายในเวฬุวนาราม <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    [​IMG] เวฬุวันมหาวิหารคือสถานที่ประชุมสงฆ์ครั้งสำคัญ[​IMG]

    วันนั้นนับว่าเป็นวันที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือในขณะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จมาถึงเวฬุวันมหาวิหาร ปรากฏว่าพระสงฆ์สาวกที่พระองค์บวชให้แล้วและได้ส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ณ สถานที่ต่าง ๆ ได้มารอเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นในตอนบ่ายวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า โอกาสที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงทรงเรียกประชุมพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ที่นั้นและทรงประกาศแต่งตั้งตำแหน่งพระอัครสาวก คือทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรให้ดำรงตำแหน่งเบื้องขวา ส่วนพระมหาโมคคัลลานะนั้นให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเบื้องซ้าย เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงประทานพระบรมพุทโธวาทซึ่งเรียกว่า พระโอวาทปาฏิโมกข์คือเนื้อความอย่างย่อๆ ในพระพุทธศาสนา

    การประชุมสงฆ์ครั้งนี้จัดว่าเป็นการประชุมครั้งสำคัญยิ่งในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่า
    ๑ พระสาวกผู้เข้ามาประชุมนั้นอนุมานได้ ๑,๒๕๐ องค์ และล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ
    ๒. พระสาวกทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระสาวกที่ได้อุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
    ๓. พระสาวกทั้งหมดนั้นต่างมาพร้อมกันเองโดยมิได้นัดหมาย
    ๔. วันนั้นเป็นวันมาฆปุณณมีดิถีเพ็ญกลางเดือนสาม และพระพุทธเจ้าทรงประทานพระบรมพุทโธวาทซึ่งเรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์"

    เวฬุวนาราม วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา จึงนับเป็นสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

    ภาพประกอบได้รับอนุญาตจากคุณคณิตยา ยอดนักเขียนนิยาย
    ข้อมูลเรียบเรียงมาจาก พระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูริปาโล ป.ธ.๙, Ph.D.) ;
    สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา; หนังสือตามรอยพระพุทธเจ้า ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ <!--MsgEdited=4-->
    <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    ที่มาค่ะ..http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4920561/Y4920561.html

    </center>
     

แชร์หน้านี้

Loading...