ควรเพียรเพ่ง VS ไม่(เผลอ)เพ่ง...เชิญทุกท่านสนทนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ตรงประเด็น, 28 พฤศจิกายน 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่พ้น

    ถึงต้องปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ความเชื่อไง ปริยัติ-->ปฏิเวช
    เมื่อทำแล้วได้ผลอย่างไร ก็เอามาพินา ประกอบ
    เราไม่เชื่อในสมมุติบัญญัติของตนเอง 100 % รู้ว่าอาจจะถูก อาจจะผิด
    แต่ต้องอาศัยสมมุติบัญญัติ นำพาไปเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจริงด้วยตนเอง

    "พอกันกับนักดูจิตบางคนเลยนะ ที่อ้างว่าอาจารณ์ของตนหลวงปู่ดูล คาดเคลื่อนหนะ"
    ความเห็นของอาจารย์ก็คือของอาจารย์ เราต้องทำเองจนได้รู้แจ้งความจริงด้วยตนเอง จึงค่อยตัดสิน
    อะไรที่ไม่รู้ชัด ก็อย่าเพิ่งตัดสิน ยึดถือพระอาจารย์ไว้ก็เป็นทุกข์ ยึดถือหลวงปู่ดุลย์ ไว้ก็เป็นทุกข์
    ที่สำคัญคือ เข้าใจเรื่องสมมุติบัญญัติพาหลงทิศได้หรือเปล่า ถ้าเชื่อมั่นในสมมุติบัญญัติของตนเอง
    ก็ยากที่จะพ้นไปจามสมมุติบัญญัติของตนเอง ความคิดก็เป็นสมมุติบัญัติ

    เท่าที่เรารู้ พระอาจารย์ไม่เคยบอกว่าหลวงปู่ดุลย์คลาดเคลื่อนนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  2. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
    -----------------------------------------------------------------

    ถามนิดนะ แล้วไอ้ที่คุณเชื่อๆอยู่นี้ มันหนีพ้นไปจาก10ข้อนี้ไหมหืม
    ตอบง่ายๆก็พอ ไม่ยาว แค่ พ้น กับ ไม่พ้น

    เรื่องง่ายๆทำไห้ยาก พระอรหันพูดตรงๆแต่ไม่ตรงกับความเห็นตน ก็กิเลสอ้างไปสารพัด สมมุติบันหยัดของหลวงตาไม่ตรงบ้างหละ เอากาลามสูตรมาอ้างบ้างหละ

    พอกันกับนักดูจิตบางท่านเลยนะ ที่อ้างว่าอาจารณ์ของตนคือ หลวงปู่ดูล พูดคาดเคลื่อนหนะ ทำไมว่าหลวงปู่คาดเคลื่อน เพราะไม่ตรงกับความเห็นของตนไง. . .

    อยากไห้ไปฟังนะ เรื่องพุทธพจนย์กิเลสอ้าง ที่ศิษของพระอรหันเทศหนะ แต่คงไม่ฟังหรอก

    -----------------------------------------------------------------------------------------

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->k.kwan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2675206", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    ยึดถือพระอาจารย์ไว้ก็เป็นทุกข์ ยึดถือหลวงปู่ดุลย์ ไว้ก็เป็นทุกข์
    ที่สำคัญคือ เข้าใจเรื่องสมมุติบัญญัติพาหลงทิศได้หรือเปล่า ถ้าเชื่อมั่นในสมมุติบัญญัติของตนเอง
    ก็ยากที่จะพ้นไปจามสมมุติบัญญัติของตนเอง ความคิดก็เป็นสมมุติบัญัติ
    -------------------------------------------------------------------------------------------

    งั้นก็เชิญปล่อยไห้หมดนะ อาจารณ์ทุกคนเลยนะไม่ต้องไปยึด ทั้งบรมครู ทั้งคำสอนของบรมครู ไหนๆก็ปล่อยวางคำสอนของพระอริสงฆ์ผู้ปฎิบัติตามคำสอน ของบรมครูจนสำเร็จกิจ เป็นพระอรหันได้แล้วหนะ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  3. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ต่อให้อ่านหนังสือ ดูภาพ ท่องเน็ต ให้รู้เรื่องเชียงใหม่เป็นอย่างไรก็ไม่เท่ากับไปได้เห็นเชียงใหม่ด้วยตัวเอง...
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "พอกันกับนักดูจิตบางท่านเลยนะ ที่อ้างว่าอาจารณ์ของตนคือ หลวงปู่ดูล พูดคาดเคลื่อนหนะ ทำไมว่าหลวงปู่คาดเคลื่อน เพราะไม่ตรงกับความเห็นของตนไง. . ."

    ถ้าหมายถึงโพสท์อันนี้

    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย” นั้น น่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่ดูลย์สอน เพราะ จิตจะเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ จัดอยู่ในกองทุกข์ ไม่ใช่ตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย หากจะให้ตรงกับสภาวธรรม จะต้องใช้คำว่า “ความส่งออกนอกของจิต เป็นสมุทัย ผลแห่งความส่งออกนอกของจิต เป็นทุกข์” เพราะ ความส่งออกนอกของจิตก็คือความทะยานอยากหรือตัณหา อันเป็นตัวสมุทัยตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    http://www.thailandlet.com/index.ph...Category=thailandletcom&thispage=1&No=1233806

    เป็นความเห็นที่เรามองว่า ไม่ได้หมายถึงหลวงปู่ดุลย์ คลาดเคลื่อน แต่หมายถึง ความเข้าใจของคนอื่นที่อ่าน
    แล้วเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาวะธรรม ที่หลวงปู่ดุลย์สอน ก็เป็นความเข้าใจส่วนตน

    หมายถึงว่า คนอื่นอ่านคำสอนแล้วอาจเข้าใจสภาวะธรรม ไม่ตรงกับหลวงปู่ดุลย์
    ก็นานา จิตตัง เรายังไม่เห็นว่า หลวงพ่อเข้าใจไม่ตรงกับหลวงปู่ดุลย์ ก็เป็นความสิทธิส่วนบุคคล
    ส่วนคนอื่นจะเห้นว่าหลวงพ่อเข้าใจต่างหลวงปู่ดุลย์ ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล เหมือนกัน
    ส่วนตัวเรา เคารพทั้งหลวงพ่อ และหลวงปู่ดูลย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  5. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    ไม่มีคนบอกทางไป ไม่มีคนชี้ทางไป หรือมีคนเคยไปชี้ไว้แล้ว แต่บอกว่า เออไม่ยึดอะ ที่บอกทางไว้นี้ยึดไม่ได้อ่า ทุกข์อะ คงไปถึงเชียงไหม่สินะ

    ถ้ายังไปไม่ถึง ก็ไม่เชื่อ ไม่ยึด ที่คนเคยไปบอกเสียแล้ว ก็เหมือนทิ้งรถตั้งแต่ยังไปไม่ถึงครึ่งทาง อีกครึ่งทางที่เหลือ ไม่รู้จะถึงนรกหรือสวรรค์

    การเดินทางไปเชียงไหม่ คงไม่มีคนฉลาดที่ไหน ทิ้งรถก่อนไปถึงหรอกครับ

    พอละตรงนี้นะ ทำอะไรก็ทำเถอะ ยุ่งมากขี้เกียจเดี๋ยวทุกข์อะ (บอกแล้วว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    "งั้นก็เชิญปล่อยไห้หมดนะ อาจารณ์ทุกคนเลยนะไม่ต้องไปยึด ทั้งบรมครู ทั้งคำสอนของบรมครู ไหนๆก็ปล่อยวางคำสอนของพระอริสงฆ์ผู้ปฎิบัติตามคำสอน ของบรมครูจนสำเร็จกิจ เป็นพระอรหันได้แล้วหนะ"

    เขาไม่ให้ยึด แต่ให้ใช้เป็นแนวทางแล้วพิสูจน์คำสอนให้รู้แจ้งก่อน ค่อยเชื่อ
    เพราะตอนที่ยังไม่รู้แจ้งนั้น มันรู้ตามทิฏฐิของตัวเองพาไป ไม่ได้รู้จริงตามอาจารย์
    เข้าใจ ยากนะเนี่ย... เรื่องสมมุติบัญญัติ ถ้าไม่เข้าใจ ต้องรอให้เห็นสมมุติของตัวเอง
    ก่อน ถึงจะรู้ว่า ที่เชื่อตอนนี้มันคือเชื่อตัวเองตามที่เข้าใจ ไม่ได้เชื่อตามปรมัติถ์ของอาจารย์

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    <TABLE class=tborder id=post2675331 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#66 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->k.kwan<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2675331", true); </SCRIPT>







    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เขาไม่ให้ยึด แต่ให้ใช้เป็นแนวทางแล้วพิสูจน์คำสอนให้รู้แจ้งก่อน ค่อยเชื่อ
    เพราะตอนที่ยังไม่รู้แจ้งนั้น มันรู้ตามทิฏฐิของตัวเองพาไป ไม่ได้รู้จริงตามอาจารย์
    เข้าใจ ยากนะเนี่ย... เรื่องสมมุติบัญญัติ ถ้าไม่เข้าใจ ต้องรอให้เห็นสมมุติของตัวเอง
    ก่อน ถึงจะรู้ว่า ที่เชื่อตอนนี้มันคือเชื่อตัวเองตามที่เข้าใจ ไม่ได้เชื่อตามปรมัติถ์ของอาจารย์ <<
    <<แน่หรือ รู้ไหมที่ไหว้พระสวดมนปฏิบัติอยู่นี้ ทำเอง รู้เองเชื่อตัวเอง หรือเชื่ออาจารย์(พระพุทธเจ้า)
    ------------------------------------------------------------------------
    ให้ใช้เป็นแนวทางแล้วพิสูจน์คำสอนให้รู้แจ้งก่อน ค่อยเชื่อในบางเรื่องมันก็ทำอย่างนี้ได้ ในบางเรื่อง มันก็รอพิสูจไห้รู้แจ้งไม่ได้หรอก
    เพราะถ้าความเชื่อที่มีมันไม่ถูกตั้งแต่แรก มันก็แจ้งไปคนละทางกับที่ท่านสอน

    อย่างต้นเรื่องที่มีคนบอกว่าจิตเกิดและเสื่อม ไปเหมือนกายนี้เข้าใจแบบนี้ก็เข้าใจว่าเห็นความคิดเป็นเห็นจิต แล้วไช้ความเห็นนี้เป็นแนวทาง
    โดยบางคนอ้างสารพัดว่าพระอรหันพูดสมมุติไม่ตรงกันกับตนก็เพื่อให้ความเห็นของตนน่าจะยังถูกอยู่

    ถ้าไช้ความเห็นแบบนี้เป็นแนวทางปฏิบัติไปเรื่อยๆ โดยขณะนี้ อ้างว่า ต้องรอพิสูจคำสอนไห้แจ้งก่อน
    มันจะเป็นยังไงหละ ถ้าความคิดที่ว่าจิตเกิดและเสื่อม ไปเหมือนกายนี้ มันเกิดผิดหละผลของการพิสูจคำพูดของหลวงตาด้วยความเชื่อแบบนี้
    จะเป็นอย่างไรหละ มันก็ต้องเห็นไปคนละทางวันค่ำ แล้วก็ไม่พ้นต้องมาพูดว่าครูบาอาจารณ์อาจคาดเคลื่อนเพราะไม่ตรงกับความเห็นตน
    -------------------------------------------------------------

    แต่ก็เอาเถอะ จะว่า ไม่ยึด แต่ไช้เป็นแนวทางก็เอาเถอะตามสบาย . . .

    แต่เรายึด ยึดพระรัตนไตร ยึดพระพุทธเจ้า พระอริยะสงเป็นที่พึ่ง เพื่อความเคยชินของจิต เมื่อถึงเวลาดับขัน ที่จิตนี้ต้องไปตามกรรมอย่างน้อยถ้ายึดเอาไว้ก็ไปดี...

    เวลาดับขันนี้ถ้ายังพิสูจน์คำพูดของพระอรหันได้ไม่แจ้ง หรือแจ้งไปคนละทาง แล้วยังหลงไม่ยึดซะอีก เพราะคิดว่าตนแจ้งแล้ว มันเป็นเรื่องยาวเลยนะ . . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    <<แน่หรือ รู้ไหมที่ไหว้พระสวดมนปฏิบัติอยู่นี้ ทำเอง รู้เองเชื่อตัวเอง หรือเชื่ออาจารย์(พระพุทธเจ้า)

    ทำตามความเชื่อของตัวเองว่าทำแล้วดี จากที่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำแบบนี้
    จิตตัวเองยังไม่รู้ว่า ไหว้พระสวดมนต์แล้วจะได้อะไร จนกว่า ความสงบจะปรากฏขึ้นในจิต
    เป็นรูปธรรมให้ตัวเองรู้ ถึงจะยอมเชื่อตามจริงว่า ทำตามพระพุทธเจ้าแล้วจะเกิดความสงบ และสันติสุข

    ถ้ายังไม่เกิดความสงบที่เป็นรูปธรรมจริงๆ จิตก็ยังมีความลังเลสงสัยเป็นธรรมชาติของตน
    เมื่อใดที่เกิดในโลกที่ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้า ก็จะไปทางอื่น เพราะพระไตรสรณคมน์ที่แท้
    ยังไม่หยั่งเกิดเป็นรูปธรรมในจิตในใจ

    "แต่ก็เอาเถอะ จะว่า ไม่ยึด แต่ไช้เป็นแนวทางก็เอาเถอะตามสบาย . . ."

    "เวลาดับขันนี้ถ้ายังพิสูจน์คำพูดของพระอรหันได้ไม่แจ้ง หรือแจ้งไปคนละทาง แล้วยังหลงไม่ยึดซะอีก เพราะคิดว่าตนแจ้งแล้ว มันเป็นเรื่องยาวเลยนะ . . .<!-- google_ad_section_end --> "

    สงสัย จะเข้าใจต่างกันจริงๆ นะเนี่ย แต่ก็ไม่เป็นไร...
    ถ้าตอนตายเราไม่ยึดได้จริงๆ ก็คงได้ฟลุคถูกรางวัลที่1 แล้วล่ะ
    เราเคารพและศรัทธา ใน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
    และเราหวังว่า เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสมมุติบัญญัติและโลกธรรมใดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    denceeลองฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง "แก้ดูจิต" ของหลวงพ่อสงบ มนัสสันโต
    (ลูกศิษหลวงตามหาบัว)
    http:////www.santi-tham.com/th/topic5.php ด้วยนะครับ<<<แก้ดูจิตใครดูจิตเชิญฟังครับ . . . นาทีที่31 41 47


    หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต เทศน์เรื่องจิตส่งออกคลิ้กฟังได้ที่นี่เลยครับ http://www.sa-ngob.com/media.php?id=159&con=1
    ฝึกดูจิต ควรฟังอย่างยิ่ง . .

    หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต - พุทธพจน์กิเลสอ้าง - Free MP3 Stream on IMEEM Music เรื่อง พุทธพจน์กิเลสอ้าง

    ขอแสดงความนับถือครับ
    ของคุณ . . . IRONMAIDEN

    พูดเองมันก็ว่า เอาพระมาไห้ฟัง มันก็ว่า ช่างมัน. . .

    ใครกัดพระไม่ได้มากัดผมแทนได้เสมอนะ ^^ พอใจ พอใจ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->

    ชิ . . .bubu ทำไห้กระทู้คุณ ตรงประเด็น ไม่ตรงซะแล้ว ขออภัยนะครับ เพราะคุณขวัญนะ ชิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2009
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ชิ . . .bubu ทำไห้กระทู้คุณ ตรงประเด็น ไม่ตรงซะแล้ว ขออภัยนะครับ เพราะคุณขวัญนะ ชิ<!-- google_ad_section_end -->

    อ่าว...จะบอกว่า เสีย จริต เพราะเราเหรอ...เหอๆ
    แต่ก็นะ... สามีเรา ยังบอกว่าเราเป็นมารมาเกิดแท้ๆ เรย...อิอิ (แต่เราไม่ถือหรอก)
     
  11. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,708
    ค่าพลัง:
    +1,563
    http://palungjit.org/threads/*-*-*-คุ-ณ-ก-ลั-ว-เ-มี-ย-ห-รื-อ-เ-ป-ล่-า-*-*-*.97748/
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,912
    ค่าพลัง:
    +7,320
    กราบขออภัย ท่าน จขกท. ด้วยละกาน
    เรานิสัยเสีย มารยาทก็ทราม ชอบทำตามใจตัวเอง ไม่เห็นหัวผู้มีอายุและสามี
    จะพยายามเป็นคนดีให้ได้อยู่นะ พอลืมตัวก็หางโผล่อีกแระ

    กราบขอโทษด้วยละกัน ที่ออกนอกประเด็นไปซะไกล
     
  13. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677
    คุณ WARITHAM ครับ









    ถ้า จาก พระพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้ ... กาม มีโทษสูงกว่า โลกียะสัมมาสมาธิ

    (ไม่ขอนำ กาม ไปเปรียบเทียบ กับ โลกุตระสัมมาสมาธิในองค์มรรค น่ะครับ)



    แม้นแต่ พระสุปฏิปันโน ท่านก็กล่าวไว้ในลักษณะ ที่ว่า กาม มีโทษมากกว่า โลกียะสัมมาสมาธิ

    "....ความโง่อันสงบจากนิวรณ์ทั้ง 5 ยังดีกว่าความกล้าหลงเข้าไปจมอยู่ในกามทั้งหลายเป็นไหน ๆ ..."

    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี
    วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย





    ที่จะเห็น กล่าวถึงโทษของ สมาธิ กันมาก(จนเกินเลย) ก็จะเป็น กลุ่มวิปัสสนาจารย์ บางสาย





    ส่วน ประเด็น



    ประเด็นนี้ เห็นด้วยครับ

    แต่ ต้องจำกัดอยู่เฉพาะ โลกียะสัมมาสมาธิ ที่อาจจะเป็นดาบสองคมได้จริง... ถ้า ไม่รู้จักใช้. แต่ ถ้ารู้จักใช้ โลกียะสัมมาสมาธิ ก็สร้างประโยชน์ได้มหาศาลเช่นกัน

    อย่างเช่น สมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อสุขในปัจจุบัน(ประเภทที่1 ใน สมาธิภาวนา4ประเภท พระบาลีโรหิตัสสวรรค) .....

    ถ้า มัวแต่เพลินกับสุขนี้ จนไม่ใช้ประโยชน์จาก สภาวะจิตที่ สงัดจากกาม จากอกุศล มาเจริญมรรคด้านปัญญา ก็ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ล่าช้าได้ เปรียบเสมือนลับมีดจนคม แล้ว ก็นอนกอดมีดนั้นอย่างมีความเพลิดเพลิน....

    แต่ ในทางกลับกัน ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์ จากการพักของจิตในสมาธิ และ ใช้สภาวะจิตที่มีกำลัง สงัดจากกาม จากอกุศล มาเจริญมรรคด้านปัญญา อย่างเช่น ที่ หลวงตา มหาบัว ท่านสอนเอาไว้ ก็ จะเปรียบเสมือน ดาบที่ลับไว้คมกล้า แล้ว นำออกมาจัดการกับกิเลส!!!

    ดังนั้น การ"ระมัดระวัง"ไว้ ผมจึงเห็นด้วย....

    แต่ อย่าถึงขั้น "ระแวง" สมาธิภาวนา ก็แล้วกัน....

    ปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่า จะเลยจาก "ระมัดระวัง" เข้าเขต "ระแวง" กันไปแล้ว






    คุณ กำลัง เปรียบเทียบ

    การจมอยู่ในสุขของสมาธิ (อิ่มจนเกินไป)
    กับ
    สมาธิที่พอดี (พอดี)???

    ซึ่ง เปรียบเทียบเช่นนี้ ผลมันก็ย่อมออกมาตามที่คุณกล่าวแน่นอน... ว่า สมาธิที่พอดี ย่อมดีมากกว่า สมาธิที่มากเกิน


    แต่ ที่ผมเสนอ เป็น ประเด็น กามสุข กับ สมาธิสุข... เป็น คนล่ะประเด็นกันครับ





    การรูสึกถึงว่า อินทรีย์ด้านสมาธิมากเกินไป และ ควรละสุขจากสมาธิ...เป็นสิ่งที่ดีครับ... นี่ คือ สติ

    ใน อินทรีย์ทั้ง๕ สติ จะเป็นตัวคอยตรวจสอบ ว่า อินทรีย์ใดมากไป อินทรีย์ใดอ่อนไป และ ปรับถ่วงดุลย์








    เข้าใจตรงกันครับ







    ขออภัย.... อาการง่วงหงาว เกียจคร้าน นี้ คือ นิวรณ์ ถีนะมิทธะ ครับ

    ไม่ใช่ นิวรณ์5 อ่อนกำลัง หรอกครับ... อาการง่วงหงาว เกียจคร้าน นี้ คือ นิวรณ์ เลยล่ะครับ







    เห็นด้วยครับ





    ยินดีที่ได้สนทนาครับ
     
  14. nanakorn

    nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +158
    <table class="tborder" width="100%" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> <center"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </center"></td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> nanakornตรงประเด็น</td></tr></tbody></table>
     
  15. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    สุดยอดเลย พี่ตรงประเด็น ตามเชียร์เลย
    รบกวนตอบคำถามให้ผมด้วยได้ไหมครับ กระทู้ถัดไปอ่ะครับ

    แล้ว
    หลวงพ่อเทียนท่านให้ฝึกกำมือแล้วแบดูความรู้สึกที่เกิดกับมือ
    แล้วดูความรู้สึกเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
    ไม่ต้องเข้าฌาน และฝึกต่อเนื่องได้ทั้งวัน
    นี่อ่ะฝึกแค่นี้เพียงพอไหมครับ
     
  16. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    15,448
    ค่าพลัง:
    +39,087
    ไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่ที่อุปมาไว้ก็หมายถึงว่า ให้ปฏิบัติเอาเอง เมื่อทำให้ถึงแล้วก็รู้เองว่าเป็นไง ตอนนี้ฟังแต่คนนั้นว่าคนนี้ว่าจนอาจสับสน หรือไม่สับสนไงก็แล้วแต่ก็เป็นที่เขาบอกนั่นแหละ ปัจจัตตังน่ะ คุณสองชาติ
    ขอแนะนำเพื่อนนักปฏิบัติทุกท่านด้วยว่า ถ้าจะฟังธรรมะที่แท้จริงให้เลือกฟังจากพระอรหันต์นะครับ เพราะที่ท่านเทศน์ต้องเป็นสภาวะธรรมและตามความเป็นจริงทุกประการครับ ขออนุโมทนา
     
  17. Waritham

    Waritham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +124
    อนุโมทนาครับ แล้วคุยกันใหม่
     
  18. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677
    คุณ waritham ครับ






    "ความโง่ อันสงบจากนิวรณ์" นี้ หลวงปู่ กำลัง บรรยายถึง สุขจากสมาธิ แน่นอนครับ...

    แต่ หลวงปู่ กล่าวว่า โง่ เพราะไม่ใช้ประโยชน์จากความสงบ นั้นมาเจริญปัญญา

    สุขจากสมาธิ เป็นผลน่ะครับ...เมื่อ มี วิตก วิจาร ได้ครบถ้วน ผลคือ ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ จะปรากฏ.

    ในจุดแรก คือ ปฐมฌาน ผลทั้ง3 จะปรากฏร่วมกัน กับ เหตุทั้ง2 ....

    ถัดจากนั้น จิตจะละอารมณ์ที่หยาบกว่า คือ วิตก วิจาร เหลือเพียง ผลทั้ง3 ซึ่งนี่คือ ทุติยฌาน...และ ตติยฌาน ....จตุตฌาน



    เรื่อง สุขจากสมาธิ กับ สุขจากกาม เป็นคนล่ะเรื่องกันน่ะครับ



    การกล่าวว่า สุขจากสมาธิเป็นกาม นี้ ....ผิด แน่นอน

    คุณ ต้องเทียบเคียง สิ่งที่ คุณเข้าใจกับ สิ่งที่ พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้ น่ะครับ...การย้อนมาเทียบเคียง พระพุทธพจน์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    จาก พจนานุกรม พุทธศาสตร์

    ๑. สามิสสุข สุขอิงอามิส คืออาศัยกามคุณ
    ๒. นิรามิสสุข สุขไม่อิงอามิส คืออิงเนกขัมมะ

    หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยแสดงจุดนี้ เอาไว้อย่างงดงาม ดังนี้

    พระธรรมเจดีย์ :
    สุขมีประมาณน้อยได้แก่สุขชนิดไหน?

    พระอาจาย์มั่น :
    ได้แก่สุขซึ่งเกิดแต่ความยินดีในกามที่เรียกว่า อามิสสุข นี่แหละสุขมีประมาณน้อย

    พระธรรมเจดีย์ :
    ก็สุขอันไพบูลย์ได้แก่สุขชนิดไหน?

    พระอาจารย์มั่น :
    ได้แก่ ฌาณ วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน ที่เรียกว่านิรามิสสุขไม่เจือด้วยกาม นี่แหละสุขอันไพบูลย์








    ผมเห็นว่า มันเลยเส้นของคำว่า "เป็นห่วง" ไปไกลลิบแล้วครับ

    มันเป็นลักษณะ เหยียดสมถะ-ผูกขาดวิปัสสนา ไปแล้วครับ





    จุดนี้ มีพระพุทธพจน์ตรัสเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ....

    หรือ ถ้า ไม่ชอบอ่านพระพุทธพจน์ ก็เสนออ่าน ที่ผมนำบทความเรื่อง สุข10ขั้น ของ ท่านเจ้าคุณๆพระพรหมคุณาภรณ์ มาลง ใน คห.ข้างต้น น่ะครับ.... ชัดเจนอยู่แล้ว


    ลอง ศึกษา เรื่องนี้ จาก หลายๆทางน่ะครับ ...จะได้เห็น หลากหลายมุมมอง







    ยินดีที่ได้สนทนาครับ



     
  19. ตรงประเด็น

    ตรงประเด็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +677



    ขออนุญาต คุยกันในกระทู้นี้เลยน่ะครับ


    หลวงพ่อเทียน ท่านเน้น กายานุปัสสนา ใน สัมปชัญญะบรรพ แห่ง มหาสติปัฏฐาน


    [๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัวในการ
    ก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก
    ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ใน
    การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง
    การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็น
    กายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย
    ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
    พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้ง
    ความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมี
    อยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ
    ไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล
    ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


    <CENTER>จบสัมปชัญญบรรพ</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    การมีสติรู้สึก ในการเคลื่อนไหวของกาย การคู้-เหยียด(กำมือ-แบมือ ก็ น่าจะสงเคราะห์ในส่วนนี้)ของกายส่วนต่างๆ เป็นการเจริญสติปัฏฐานแน่นอนครับ...

    สติปัฏฐาน โดยเฉพาะส่วนแห่งกายยานุปัสสนา มี ส่วนที่เป็นสมถะมาก ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ถ้าหากผู้ใดปราถนาฌาน ขอให้เพียรเจริญกายานุปัสสนาให้ดีๆเถิด... แล้ว ฌานจะมาเอง

    ในตอนขั้นเริ่มฝึก ก็จำเป็นที่ต้องมีการสร้างจังหวะไปก่อน แบบ ที่ท่านแนะนำ.... แต่ พอชำนาญ ไม่จำเป็นต้องเป็น กำมือ-แบมือ แล้ว แต่ มันจะเชื่อมไปถึง การรู้สึกกายแทบจะทุกส่วนได้โดยชำนาญ....

    เมื่อ มีสติรู้กายจนชำนาญแล้ว...ท่านผู้รู้แสดงไว้ว่า มัน ก็จะเชื่อมไปยัง เวทนา จิต ธรรม ได้







    น้องลองอ่าน อานิสงส์แห่ง กายคตาสติ(กายานุปัสสนา) ที่พี่นำพระพุทธพจน์มาลง.... อย่าว่าแต่ ฌาน เลยครับ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นไปได้

     
  20. Waritham

    Waritham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2009
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +124
    คุณตรงประเด็นครับ
    สุข หรือ สมาธิจะเจือหรือไม่เจือด้วยกามนี่ ขึ้นอยู่กับตัวผู้ปฏิบัติครับ
    ผมลองถามคุณนะ
    -นาย ก.ปฏิบัติ สมาธิ รู้สึกสุขอิ่มอกอิ่มใจ กับ นิมิต ภวังค์ ทุกวันๆ ก็อยากทำอยู่แค่นั้น
    -นาย ข. ปฏิบัติสมาธิ รู้สึกสุขอิ่มอกอิ่มใจ แล้ว คอยคุมให้อยู่แค่นี้ ไม่ลึกกว่านี้ แล้วใช้เป็นพลังวิปัสสนา
    คุณว่า 2 คนนี้มีสุขในสมาธิเหมือนกัน แต่ผมว่า 1คนเจือด้วยกามและกิเลส คุณว่าไงครับ
    ถ้าคุณบอกว่าสุขจากกาม คนละเรื่องกับสุขในสมาธิ
    -นาย ก.ไงครับ สิ่งที่มันทำให้กลายเป็นเรื่องเดียวกันได้ก็ ความอยาก ความหลงไง ความไม่พอดีครับ
    ความคิดผมนะครับ ความสุขที่คุณกล่าวถึงของอรยมรรคนั้น ภาษามนุษย์นั้นหยาบเกินไปที่จะอธิบายได้ ถ้าผู้ศึกษาพูดคุยกันเฉพาะตัวหนังสือ ผลก็เป็นอย่างที่เห็นครับ มีนิกายเกิดขึ้น ถกเถียงกันไม่จบสิ้น


    ผมเห็นว่า มันเลยเส้นของคำว่า "เป็นห่วง" ไปไกลลิบแล้วครับ
    มันเป็นลักษณะ เหยียดสมถะ-ผูกขาดวิปัสสนา ไปแล้วครับ
    -เหยียดได้ไงครับ ถ้าเหยียดสมถะ แสดงว่าผู้นั้นยังไม่ได้แม้แต่เพียงกลิ่นของวิปัสสนาเลยครับ
    การถึงซึ่งธรรมของพระองค์นั้นไม่ว่าคิดว่ามาจากสายไหน สุดท้ายก็ต้องผ่านธรรมข้อเดียวกันคุณว่าไง ความหยาบของมนุษย์, ภาษาที่ละเอียดไม่พอ ต่างหาก ที่แบ่งแยก ปรุงแต่งเองไปต่างๆนานา

    ยินดีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...