คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ หนีไปท่ามกลางมหาสมุทร หนีไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 4 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    <!--WapAllow0=Yes--><!--pda content="begin"--><big><big> <!--Topic-->คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ หนีไปท่ามกลางมหาสมุทร หนีไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ( กฎแห่งกรรม) </big></big> <!--MsgIDBody=0-->

    วิถีชีวิตของคนทุกคนนับตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชีวิตจะดำเนินไปในทางดีหรือทางชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับกรรม หรือการกระทำที่ตนทำไว้ทั้งสิ้น ดังพระพุทธวจนะว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นั่นคือ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมเก่าที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีตในชาติเดียวกัน หรือในอดีตชาติ อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นเอง ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

    พระพุทธเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงตรัสพระคาถานี้ว่า

    “คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้
    หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
    หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้,
    เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
    ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น หามีอยู่ไม่”


    มาศึกษาการให้ผลของกรรมตามเหตุที่ได้กระทำไว้จากเรื่องราวในอดีต วันนี้นำมาฝากชาวห้องศาสนาแบบ 3 in 1 นะครับ
    <!--MsgFile=0-->

    [​IMG]

    [​IMG]กาถูกไฟไหม้ตายในอากาศ[​IMG]

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ภิกษุหลายรูปมาเพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อบิณฑบาต ชนชาวบ้านรับบาตรของภิกษุเหล่านั้นแล้ว นิมนต์ให้นั่งในโรงฉัน ถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว เมื่อรอเวลาบิณฑบาต นั่งฟังธรรมแล้ว ในขณะนั้น เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง ผู้หุงข้าวแล้วปรุงสูปะและพยัญชนะอยู่ติดชายคาเสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น อันไฟไหม้อยู่ลอยไปสู่อากาศ ในขณะนั้นกาตัวหนึ่งบินมาทางอากาศ สอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้านั้น อันเกลียวหญ้าพันแล้ว ไหม้ตกลงที่กลางบ้าน พวกภิกษุเห้นเหตุนั้นคิดว่า “โอ กรรมหนัก ผู้มีอายุ ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลกที่กาถึงแล้ว เว้นพระศาสดาเสีย ใครจักรู้กรรมที่กานี้ทำแล้ว พวกเราจักทูลถามกรรมของกานั้นกะพระศาสดา” ดังนี้แล้ว ก็พากันหลีกไป

    [​IMG]บุรพกรรมของกา[​IMG]

    พระศาสดา ทรงพยากรณ์ปัญหาอันภิกษุเหล่านั้นทูลถามแล้ว ๆ ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้ ก็ในอดีตกาล ชาว นาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่แต่ไม่อาจฝึกได้ ด้วยว่าโคของเขานั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็นอนเสีย แม้เขาตีให้ลุกขึ้นแล้ว เดินไปได้หน่อยหนึ่ง ก็กลับนอนเสียเหมือนอย่างเดิมนั่นแล ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่อาจฝึกโคนั้นได้ เป็นผู้อันความโกรธครอบงำแล้ว จึงกล่าวว่า “บัดนี้เจ้าจักนอนสบายตั้งแต่นี้ไป” ดังนี้แล้ว ทำโคนั้นให้เป็นดุจฟ่อนฟางพันคอโคนั้นด้วยฟางแล้วก็จุดไฟ โคถูกไฟคลอกตายในที่นั้นเอง ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น อันกานั้นทำแล้วในครั้งนั้น เขาไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น เกิดแล้วในกำเนิดกา 7 ครั้ง ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละ ด้วยวิบากที่เหลือ” <!--MsgFile=1-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]ภรรยานายเรือถูกถ่วงน้ำ[​IMG]

    เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง โดยสารเรือไป เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เรือได้หยุดนิ่งอยู่เฉยในกลางสมุทร พวกมนุษย์พากันคิดว่า “คนกาฬกัณณีพึงมีในเรือนี้” ดังนี้แล้ว จึงแจกสลากให้จับ ภรรยาของนายเรือ ตั้งอยู่ในปฐมวัยกำลังน่าดู สลากถึงแก่นางนั้น พวกมนุษย์พากันกล่าวว่า “จงแจกสลากอีก” แล้วให้แจกถึง 3 ครั้ง สลากถึงแก่นางนั้นคนเดียวถึง 3 ครั้ง พวกมนุษย์แลดูหน้านายเรือ เป็นที่จะพูดว่า “อย่างไรกัน นายครับ” นายเรือกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจให้มหาชนฉิบหาย เพื่อประโยชน์แก่นางนี้ พวกท่านจงทิ้งเขาในน้ำเถิด” นางนั้น เมื่อพวกมนุษย์จับจะทิ้งน้ำ กลัวต่อมรณภัย ได้ร้องใหญ่แล้ว นายเรือได้ยินเสียงร้องนั้น จึงกล่าวว่า “ประโยชน์อะไร ด้วยอาภรณ์ของนางนี้ จะฉิบหายเสียเปล่า ๆ พวกท่านจงเปลื้องเครื่องอาภรณ์ทั้งหมด ให้นางนุ่งผ้าเก่าผืนหนึ่งแล้วจงทิ้งนางนั้น ก็ข้าพเจ้าไม่อาจดูนางนั้น ผู้ลอยอยู่เหนือหลังน้ำได้ เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเอากระออมที่เต็มด้วยทรายผูกไว้ที่คอแล้ว โยนลงไปเสียในสมุทรเถิด ทำโดยประการที่ข้าพเจ้าจะไม่เห็นเขาได้” พวกมนุษย์เหล่านั้น ได้กระทำตามนั้นแล้ว ปลาและเต่ารุมกินนางแม้นั้นในที่ตกนั่นเอง พวกภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่า “ใครคนอื่น เว้นพระศาสดาเสีย จักรู้กรรมของหญิงนั่นได้ พวกเราจะทูลถามกรรมของหญิงนั้นกะพระศาสดา” ถึงถิ่นที่ประสงค์แล้ว จึงพากันลงจากเรือหลีกไป

    [​IMG]บุรพกรรมของภรรยานายเรือ[​IMG]

    พระศาสดา ทรงพยากรณ์ปัญหาอันภิกษุเหล่านั้นทูลถามแล้ว ๆ ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย หญิงแม้นั้น เสวยกรรมที่ตนทำแล้วเหมือนกัน ก็ในอดีตกาล หญิงนั้นเป็นภรรยาแห่งคฤหบดีคนหนึ่งในกรุงพาราณสี ได้ทำกิจทุกอย่างมีตักน้ำ ซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น ด้วยมือของนางเอง สุนัขตัวหนึ่งของนางนั่งแลดูนางนั้น ผู้ทำกิจทุกอย่างอยู่ในเรือน เมื่อนางนำภัตไปนาก็ดี ไปป่าเพื่อต้องการวัตถุต่าง ๆ มีฟืนและผักเป็นต้นก็ดี สุนัขนั้นย่อมไปกับนางนั้นเสมอ พวกคนหนุ่มเห็นดังนั้น ย่อมเยาะเย้ยว่า “แนะพ่อเว้ย พรานสุนัขออกแล้ว วันนี้พวกเราจักกินข้าวกับเนื้อ” นางขวยเขินเพราะคำพูดของพวกคนเหล่านั้น จึงประหารสุนัขด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นให้หนีไป สุนัขกลับแล้วก็ตามไปอีก ได้ยินว่า สุนัขนั้นได้เป็นสามีของนางในอัตภาพที่ 3 เหตุนั้น มันจึงไม่อาจตัดความรักได้ จริงอยู่ ใคร ๆ ชื่อว่าไม่เคยเป็นเมียหรือเป็นผัวกัน ในสงสารมีที่สุดอันบุคคลไปตามไม่รู้แล้วไม่มีโดยแท้ ถึงกระนั้นความรักมีประมาณยิ่ง ย่อมมีในผู้ที่เป็นญาติกันในอัตภาพไม่ไกล เหตุนั้น สุนัขนั้นจึงไม่อาจละนางได้ นางโกรธสุนัขนั้น เมื่อนำข้าวยาคูไปเพื่อสามีที่นา จึงได้เอาเชือกใส่ไว้ในชายพกแล้วไป สุนัขไปกับนางเหมือนกัน นางให้ข้าวยาคูแก่สามีแล้ว ถือกระออมเปล่าไปสู่ที่น้ำแห่งหนึ่ง บรรจุกระออมให้เต็มด้วยทรายแล้ว ได้ทำเสียงสัญญาแก่สุนัขซึ่งยืนแลดูอยู่ในที่ใกล้ สุนัขดีใจว่า นานแล้วหนอ เราได้ถ้อยคำที่ไพเราะในวันนี้ จึงกระดิกหางเข้าหานาง นางจับสุนัขนั้นอย่างมั่นที่คอแล้ว จึงเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกกระออมไว้ เอาปลายเชือกอีกข้างหนึ่งผูกที่คอสุนัข ผลักกระออมให้กลิ้งลงน้ำ สุนัขตามกระออมไปตกลงน้ำ ก็ได้ทำกาละในน้ำนั้นเอง นางนั้นไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เพราะวิบากของกรรมนั้น ด้วยวิบากที่เหลือ จึงถูกเขาเอากระออมเต็มด้วยทรายผูกคอถ่วงลงในน้ำ ได้ทำกาละแล้วตลอด 100 อัตภาพ” <!--MsgFile=2-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    [​IMG]ภิกษุ 7 รูป อดอาหาร 7 วันในถ้ำ[​IMG]

    ภิกษุ 7 รูปอีกพวกหนึ่ง ไปจากปัจจันตชนบท เพื่อต้องการจะเฝ้าพระศาสดา เวลาเย็นเข้าไปสู่วัดแห่งหนึ่ง แล้วถามถึงที่พัก ในถ้ำแห่งหนึ่งมีเตียงอยู่ 7 เตียง เมื่อภิกษุเหล่านั้นได้ถ้ำนั้นนอนบนเตียงนั้นแล้ว ตอนกลางคืนแผ่นหินเท่าเรือนยอดกลิ้งลงมาปิดประตูถ้ำไว้ พวกภิกษุเจ้าของถิ่นกล่าวว่า “พวกเราให้ถ้ำนี้ถึงแก่ภิกษุอาคันตุกะ ก็แผ่นหินใหญ่นี้ ได้ตั้งปิดประตูถ้ำเสียแล้ว พวกเราจักนำแผ่นหินนั้นออก” แล้วให้ประชุมพวกมนุษย์จากบ้าน 7 ตำบลโดยรอบ แม้พยายามอยู่ก็ไม่อาจยังแผ่นหินนั้นให้เขยื้อนจากที่ได้
    แม้พวกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ในภายใน ก็พยายามเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่อาจให้แผ่นหินนั้นเขยื้อนได้ตลอด 7 วัน พวกภิกษุอาคันตุกะอันความหิวแผดเผาแล้วตลอด 7 วัน ได้เสวยทุกข์ใหญ่แล้ว ในวันที่ 7 แผ่นหินก็ได้กลับกลิ้งออกไปเอง พวกภิกษุออกไปแล้วคิดว่า “บาปของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้วใครเล่าจักรู้ได้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา” ดังนี้แล้วก็พากันหลีกไป

    [​IMG]บุรพกรรมของภิกษุ 7 รูป[​IMG]

    พระศาสดา ทรงพยากรณ์ปัญหาอันภิกษุเหล่านั้นทูลถามแล้ว ๆ ว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอก็เสวยกรรมอันตนกระทำแล้วเหมือนกัน ในอดีตกาลเด็กเลี้ยงโค 7 คนชาวกรุงพาราณสี เที่ยวเลี้ยงโคอยู่คราวละ 7 วัน ในประเทศใกล้ดงแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเที่ยวเลี้ยงโคแล้วกลับมาพบเหี่ยใหญ่ตัวหนึ่ง จึงไล่ตาม เหี่ยหนีเข้าไปสู่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ก็ช่องแห่งจอมปลวกนั้นมี 7 ช่อง พวกเด็กปรึกษากันว่า “บัดนี้ พวกเราจักไม่อาจจับได้ พรุ่งนี้จักมาจับ แล้วจึงต่างคนต่างก็ถือเอากิ่งไม้ที่หักได้คนละกำ ๆ แม้ทั้ง 7 คนพากันปิดช่องทั้ง 7 ช่องแล้วหลีกไป ในวันรุ่งขึ้นเด็กเหล่านั้นมิได้คำนึงถึงเหี้ยนั้น ต้อนโคไปในประเทศอื่น ครั้นในวันที่ 7 พาโคกลับมา พบจอมปลวกนั้น กลับได้สติคิดกันว่า “เหี่ยนั้นเป็นอย่างไรหนอ” จึงเปิดช่องที่ตน ๆ ปิดไว้แล้ว เหี่ยหมดอาลัยในชีวิต เหลือแต่กระดูกและหนังสั่นคลานออกมา เด็กเหล่านั้นเห็นดังนั้นแล้ว จึงทำความเอ็นดูพูดกันว่า “พวกเราอย่าฆ่ามันเลย มันอดเหยื่อตลอด 7 วัน” จึงลูบหลังเหี้ยนั้นแล้วปล่อยไป ด้วยกล่าวว่า “จงไปตามสบายเถิด” เด็กเหล่านั้นไม่ต้องไหม้ในนรกก่อน เพราะไม่ได้ฆ่าเหี่ย แต่ชนทั้ง 7 นั้น ได้เป็นผู้อดข้าวร่วมกันตลอด 7 วัน ๆ ใน 14 อัตภาพ ภิกษุทั้งหลาย กรรมนั้น พวกเธอเป็นเด็กเลี้ยงโค 7 คนทำไว้แล้วในกาลนั้น <!--MsgFile=3-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]คนจะอยู่ที่ไหน ๆ ก็ไม่พ้นจากกรรมชั่ว[​IMG]

    ครั้งนั้นภิกษุรูปหนึ่งทูลพระศาสดาว่า “ความพ้นย่อมไม่มีแก่สัตว์ที่ทำกรรมเป็นบาปแล้ว ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี แล่นไปสู่สมุทรก็ดี เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี หรือพระเจ้าข้า”
    พระศาสดาตรัสบอกว่า “อย่างนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย แม้ในที่ทั้งหลาย มีอากาศเป็นต้น ประเทศแม้สักส่วนหนึ่งที่บุคคลอยู่แล้วพึงพ้นจากกรรมชั่วได้ ไม่มี”

    มีภาพประกอบจากอาจารย์ปัญญา ข้อมูลจากพระธัมมปทัฏฐกถาแปล และคุณอัมพร หุตะสิทธิ์ ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ

    วันนี้มีคำถามจากความคิดเห็นที่ 1 ครับ อะไรเอ่ยที่ติดผนังบ้าน? <!--MsgEdited=4-->
    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 49 01:12:10[/SIZE] <!--MsgFile=4-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>
    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4932360/Y4932360.html
    </center>​
    </center>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...