ข้อคิดพระไตรปิฏกของพระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โดเรม้อน, 21 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    848
    ค่าพลัง:
    +75
    • [SIZE=+1]หนังสือ " นิพพาน อนัตตา" ของพระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ) หน้า ๔๒-๔๘[/SIZE]
    <CENTER>[SIZE=+2]-๓-[/SIZE]
    </CENTER>
    • [SIZE=+1] หนทางสุดท้ายที่ผู้สอนนิพพานเป็นอัตตาจะนำมาใช้ ก็คือ การอ้างว่าตนรู้อย่างนี้จากผลการ
      ปฏิบัติ ตนเองได้ปฏิบัติ แต่ผู้อื่นไม่ได้ปฏิบัติ

      การพิจารณาเรื่องใดก็ต้องให้วิธีการตรงกับเรื่องที่พิจารณานั้น เรื่องที่กำลังพิจารณาในที่นี้ ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติและไม่ใช่เรื่องความคิดเห็นด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงว่า ข้อความใน
      คัมภีร์ว่าอย่างไร เหมือนกับจะพิสูจน์ว่าใครพูดจากล่าวถ้อยคำไว้อย่างไร ก็ต้องไปหาหลักฐานคือบันทึก ถ้อยคำที่เขาพูดหรือเขาเขียนไว้มาดูกัน ไม่ใช่มาอ้างว่าตัวไปปฏิบัติการอะไรรู้มา เมื่อตรวจสอบหลักฐาน เรื่องนี้ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาว่าท่านว่าไว้อย่างไร ก็ต้องไปเอาคัมภีร์เหล่านั้นมาเปิดดู ถึงจะไปนั่งเข้า สมาธิทำภาวนาอย่างไร ถ้าไม่ไปเปิดคัมภีร์ดูก็ไม่มีทางสำเร็จ และเมื่อยกข้อความในคัมภีร์มาอ้างแล้ว ถ้า มีการพูดเสริมเติมอะไร ผู้ที่ได้ศึกษาดีแล้วก็จะแยกได้ว่า ส่วนไหนเป็นของคัมภีร์ ส่วนไหนเป็นของผู้แสดง ความคิดเห็นพูดขยายออกไป

      ถ้าไปอ้างว่าตัวเองปฏิบัติ ผู้อื่นไม่ปฏิบัติ ก็กลายเป็นเปิดประเด็นใหม่ ผู้ปฏิบัติที่อ้างว่าตนเห็นจาก การปฏิบัติว่านิพพานเป็นอัตตา ก็คงจะต้องไปเถียงกับผู้ปฏิบัติอีกฝ่ายหนึ่ง ที่กล่าวว่าเขาก็เห็นจากการ ปฏิบัติว่านิพพานเป็นอนัตตา แต่ว่าให้ถูกต้องแล้ว ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงย่อมจะไม่สับสนในเรื่องนี้ จะแยกได้ว่า ส่วนใดเป็นเรื่องของหลักฐานทางเอกสาร ส่วนใดป็นเรื่องของผลจากการปฏิบัติ

      และตรงนี้อีกเช่นกันคือจุดที่อาตมาได้บอกไว้แล้วว่า เพื่อให้เกิดความตรงไปตรงมา และเป็นการ ใช้เสรีภาพทางปัญญาที่พระพุทธศาสนาเปิดโอกาสอยู่แล้ว ถ้าความรู้จากผลการปฏิบัติของท่านไม่ตรงกับ ที่พระไตรปิฎกและอรรถกถาว่าไว้ ก็ควรเถียงกับพระไตรปิฎกและอรรถกถานั้นอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า

      การแสดงหลักธรรมสำคัญให้ผิดเพี้ยนไปด้วยวิธีบิดเบือนอำพรางหลักฐานนี่สิ เป็นการทำลาย
      พระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ยิ่งกว่าพฤติการณ์ของบุคคลบางกลุ่มบางคณะที่มัวหมองวุ่นวายเสียอีก
      เพราะเป็นการทำลายถึงรากเหง้าของพระพุทธศาสนา หรือเป็นการลบล้างพระพุทธศาสนาออกไปเลย เรียกว่าเป็นการทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งร้ายแรงกว่าการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย ที่เป็น
      เพียงการทำสกปรกเปรอะเปื้อนแก่พระศาสนา ซึ่งเราสามารถชำระล้างออกไปได้

      นอกจากนั้นประเด็นการอ้างผลจากการปฏิบัติ ไม่ควรจะยกมาพูดในกรณีนี้เลย เพราะปัญหา ในหมู่คณะของตนเองว่า ที่ปฏิบัติอยู่นั้น ตรงตามคำสอนและความหมายของธรรมกายอย่างที่หลวงพ่อ สดท่านประสงค์หรือไม่ ก็ยังไม่ยุติ ไม่ต้องพูดถึงปัญหาที่ว่าการปฏิบัตินั้นตรงตามพุทธประสงค์หรือไม่

      แท้จริง การปฏิบัติต่างๆ ทั้งหลายนั่นเสียอีกที่จะต้องมีวิธีตรวจสอบว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง
      หรือไม่ สำหรับในกรณีนี้ก็คือการตรวจสอบว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาหรือไม่

      เมื่อมีการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่น่าสงสัยว่า ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ หรือ เป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ตาม หรือว่ามีการปฏิบัติต่างกันของต่างบุคคลต่างกลุ่ม จะต้อง
      วินิจฉัยว่า การปฏิบัติของใครหรือของกลุ่มไหนถูกต้อง อยู่ในพระพุทธศาสนา ก็ตาม ผู้ที่ตัดสินชี้ขาดก็คือ
      พระพุทธเจ้า

      แม้แต่ผลของการปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน เมื่อหลายคนปฏิบัติกันไปแล้ว ได้พบประสบเห็นหรือหยั่งรู้
      อะไร อาจจะเป็นผลที่ถูกต้อง หรือเป็นผลที่ผิดพลาดเกิดจากความหลงหรือเข้าใจผิดของตน แม้แต่จะเป็น
      ผลที่ถูกต้อง ก็มีหลายชั้นหลายระดับ เมื่อเป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาผู้ที่จะตัดสินชี้ขาดว่าเป็นผลที่ถูก
      ต้องหรือผิดพลาด และเป็นผลในขั้นไหนระดับไหน ก็คือพระพุทธเจ้า

      เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จะตัดสิน
      ได้อย่างไร ใครจะตัดสิน ก็ตอบได้ว่า ต้องตัดสินด้วยคำสอนหรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ คำสอนหรือ
      คำตรัสของพระพุทธเจ้านั้นจะหาได้ที่ไหน บันทึกไว้ที่ใด ตอบได้ว่าอยู่ในพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎก
      เป็นที่บรรจุคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอน หรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าเท่าที่เก็บรวบรวมไว้ได้มีอยู่ใน
      พระไตรปิฎก ท่านรักษากันไว้ในพระไตรปิฎก

      เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งใครเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ จึงไม่มีบุคคลใดเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดคำสอน การปฏิบัติ และผลการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาแทนพระองค์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมและวินัย คือคำสั่งสอนที่พระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว และบัญญัติไว้แล้วแก่
      พระสาวกทั้งหลาย จะเป็นพระศาสดา ของชาวพุทธในเมื่อ พระองค์ล่วงลับไปแล้ว[/SIZE]
      [SIZE=+1] ต้องย้ำว่า ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้ ไม่ใช่ธรรมและวินัยที่ใคร ก็
      ตามจะมาอ้างว่าตนได้รู้ได้เห็น จากการปฏิบัติของตน หรือจากญาณหยั่งรู้ของตน เพราะธรรม หรือวินัยที่บุคคลนั้นเห็น ( ถ้าไม่ตรงกับธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติ ) ก็เป็นธรรม
      หรือวินัยของผู้นั้นไม่ใช่ธรรมหรือวินัยของพระพุทธเจ้า[/SIZE]
      [SIZE=+1] ธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้เท่าที่เก็บรวบรวมมาได้ มีอยู่ในพระไตรปิฎก
      คือ พุทธพจน์ใน พระไตรปิฎกนั้น รวมมาได้และรักษาไว้ได้เท่าไร ก็มีเท่านั้น พระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก
      เป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า ที่จะตัดสินคำสอน การปฏิบัติ และผลการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา จึงมีความสำคัญสูงสุด และเราก็มีพุทธพจน์ที่แสดง ธรรมและวินัย ของพระพุทธองค์อยู่เท่านั้น กับที่ท่านนำจากพระไตรปิฎกไปอ้างอิงไว้ในคัมภีร์อรรถกถาเป็นต้น จะหาที่อื่นไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น พระอรหันต์สาวกและพระเถราจารย์ตลอดมาทุกรุ่นจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญสูงสุดที่จะรักษาพระไตรปิฎก ไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้ เมื่อใดพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกหมดไป ก็ต้องยอบรับความจริงว่า เมื่อนั้นมาตราฐานของพุทธศาสนาได้หมดสิ้นไปแล้ว [/SIZE]
      [SIZE=+1] พระไตรปิฎกบาลีของพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการพุทธศาสนาทุกฝ่าย
      ทั่วทั้งหมดว่า เป็น คัมภีร์บรรจุพุทธพจน์ที่เก่าแก่ดั้งเดิมและมั่นคงยืนนานที่สุดเท่าที่มีอยู่ ดังได้พูดมาข้าง
      ต้นแล้ว นอกจากความเก่าแก่ต่อเนื่อง แล้ว ระบบการจัดหมวดหมู่ การลำดับเนื้อหา วิธีการทางภาษา
      เช่น คำชุด ข้อความซ้ำๆ และการบรรจุพระสูตรและเนื้อ ความที่เหมือนกันให้กระจายอยู่หลายแห่ง
      หลายเล่ม โดยอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ทรงจำต่างกลุ่มกันอย่างท้าทายการตรวจสอบเป็นต้น วิธีการเหล่านี้ซึ่งมีรายละเอียดมาก ไม่อาจบรรยายไว้ในที่นี้ เป็นทั้งเครื่องแสดงความตั้งใจจริงของ พระเถระในอดีตที่จะรักษาความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของพุทธพจน์ และเป็นเครื่องเสริมสร้างความมั่นใจว่า
      คัมภีร์ได้รับการนำสืบกันมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้[/SIZE]
      [SIZE=+1] จริงอยู่ ไม่ว่าจะรักษาไว้ดีอย่างไร เนื้อหาที่มากมาย และกาลเวลาที่ยาวนานเป็นพันๆ ปี ย่อม
      ต้องมีช่องให้เกิด ความตกหล่นคลาดเคลื่อนขาดเกินไปบ้าง แต่จากเหตุผลที่ว่ามาแล้ว ก็สบายใจได้ว่า
      ความบกพร่องเหล่านั้นจะมีอัตราส่วนน้อยยิ่งและที่ปรากฏอยู่แก่ผู้ที่ศึกษาก็เห็นชัดว่า หลักการใหญ่ ถ้อยความสำคัญๆ และเนื้อหาส่วนมากอยู่ในสภาพ ที่มั่นใจได้ [/SIZE]
      [SIZE=+1] คำในจดหมายถึง บก. "สมาธิ" ฉบับที่ ๗๑ ที่ว่า [/SIZE]" พระไตรปิฎกก็คือตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งที่มีอายุ
      ยืนยาวนานมาถึง ๒๕00 ปี จึงย่อมมีการต่อเติมเสริมแต่งกันมา และแปลผิดบ้างถูกบ้าง "
      [SIZE=+1]ข้อความนี้ อ่านแล้วน่าห่วงมาก ถ้าชาวพุทธมากคนมีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะมีท่าทีที่ผิดต่อพระพุทธศาสนา เป็นความเสื่อมแก่ทั้งตนเอง
      และต่อพระศาสนาโดยส่วนรวม ท่านที่พูดอย่างนี้เป็นผู้ทำร้ายพระศาสนา แม้ถ้ามิใช่โดยตั้งใจ ก็ทำไป
      โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนกำลังพูดถึง อีกทั้งท่าทีของการพูดก็มีลักษณะ
      ของการลบหลู่ ไม่เห็นความสำคัญ จะพาผู้อื่นไขว้เขวไปด้วย [/SIZE]
      [SIZE=+1] พระไตรปิฎกไม่ใช่เป็นเพียงตำราเก่าแก่ ที่อยู่มากับเวลาแล้วเก่าไปตามกาลเท่านั้น แต่เป็น
      หลักฐานสมัยโบราณที่มี ระบบการรักษาอย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยรู้จัก พระไตรปิฎกมิใช่มีเพียง
      เล่มหนึ่ง แต่เป็นประมวลแห่งหลักฐานที่มีปริมาณ มากมาย การต่อเติมเสริมแต่งทำได้ยากยิ่งนัก และเพื่อป้องกันการแปลผิดแปลถูก ก็ได้รักษาไว้ในภาษาเก่า ให้อยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งแม้ถ้าจะมีการแปลผิดไปบ้าง ก็จะมีต้นฉบับเดิมไว้ตรวจสอบได้ตลอดไป และไม่ให้คำแปลผิดไปนั้น
      ไปกระทบต่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของต้นฉบับเดิม

      พุทธพจน์ในกาลามสูตรที่ว่า " อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอ้างตำรา " มีไว้สำหรับการใช้อ้างของ บุคคลที่ตั้งใจศึกษาหาความรู้จริงซึ่งเป็นผู้มีความเคารพ และมองเห็นความสำคัญของคัมภีร์หรือตำรา
      อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับพุทธพจน์อีกข้อหนึ่งที่ว่า " อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครู
      ของเรา
      " ก็มีไว้สำหรับการใช้อ้างของบุคคลที่ใฝ่ธรรม แสวงปัญญา ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักเคารพ และมองเห็น ความสำคัญของครูอาจารย์ ไม่ใช่มีไว้สำหรับการใช้อ้างของผู้ที่ไม่มีความรับผิดชอบ ขาดความเคารพลบหลู่ คุณค่าและความสำคัญของครูอาจารย์และคัมภีร์
      [/SIZE]
     
  2. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    848
    ค่าพลัง:
    +75
  3. Tiger Dear's

    Tiger Dear's MY HOMEWORK

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    842
    ค่าพลัง:
    +301
    ลูกศิษย์ถาม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง "จานบิน" มีจริงหรือไม่ ?

    (28 ตุลาคา 2516)

    หลวงพ่อตอบ : เมื่อคืนนี้มีใครถามว่า จานบินมีจริงหรือเปล่าน่ะ ตอนตี 4 เลยฝันว่าขึ้นไปข้างบนตั้งใจจะไปหาโยม พอดี สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านเสด็จไปถึง ท่านก็ถามว่า สงสัยเรื่องจานบินหรือ ทูลตอบท่านว่าสงสัย แต่ไม่กล้า ถามเกรงจะเป็นเรื่องเหลวไหล ท่านก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นความรู้ ถามได้ไม่เหลวไหล แล้วท่านอธิบายว่า จานบินที่มาเมื่อเร็ว ๆ นี้มาจาก 2 แห่ง แห่งหนึ่งเป็นดาวเล็กๆ เลยพระศุกร์ไปทางซ้ายเล็กน้อยเรียกว่า จามรทวีป อยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา เป็นจานบิน ขนาดสูงไม่เกิน 4 เมตร สีเขียว ๆ ใช้เวลามาบ้าน เรา 8 ชั่วโมง แล้วสมเด็จก็พาไปที่นั่น
    ไปนั่งอยู่นอกประตูเมือง ให้เขาเห็นรูปคนธรรมดา แถวนั้นมีเพชร แก้วเกลื่อนกลาด เป็นของไม่มีค่า เอามาประดับตามโต๊ะเก้าอี้ก็มี ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงเดินมา ก็มีมาจริง ๆ
    คนของจามรทวีปผิวขาว เนื้อเต็ม สวย ผู้หญิงแต่งกางเกงรัดเหนือเข่า เสื้อแขนสั้น รัดแขนเป็นสีเขียว ๆ มีลายทางดิ่ง คนเมืองนี้ไม่มีอาวุธสำหรับประหัตประหาร มีวิทยาการก้าวหน้ามาก ที่เขามาโลกเราเพราะ อยากเที่ยวไปทุกแห่งในจักรวาล แต่ที่ไปอเมริกาก็เพราะเห็นว่า ปล่อยจรวดบ่อย ๆ คิดว่า จะติดต่อด้วยได้ ที่เขาจับคนไปบ้างนั้น ก็เพื่อตรวจดูอารามณ์ด้วย เครื่องตรวจอารมณ์ ตรวจแล้วก็บอกว่า มีความโลภอยู่มาก ระยะทางของเขาอยู่ห่างจากเราเป็นแสนๆ โยชน์ ผู้หญิงที่เดินมานั้นเขามองเห็นเรา ก็ยิ้มแต่ไม่ได้ พูดว่าอะไร
    สำหรับที่ตัวดาวพระศุกร์เองนั้น มีอยู่หลายบริเวณ ตอนหนึ่งเป็นเขาหัวโล้น ร้อนจัดมาก อีกตอนหนึ่งหนาว มีหิมะ ไม่มีคนอยู่แต่มีสัตว์ ขนยาวกว่าชะนี อาศัยอยู่มากในแดนอบอุ่นที่มีต้นไม้
    ส่วนอีกแห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศพระอาทิตย์ขึ้น เยื้องไปทางซ้าย เล็กน้อย เรียกว่า สูตู คนในโลกนั้น มีผิวคล้ำ ยานของเขา มีขนาดสูงไม่เกิน 10 เมตร มีสีเหลือง ๆ ใช้เวลาเดินทางมาโลกเรา 17 ชั่วโมง ในจานบิน ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนี่ มีลูกอะไรกลม ๆ ใส ๆ เป็นแหล่งกำลังงานอยู่อย่างเดียว

    หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ
    <!--detail--><!-- [​IMG] -->
    โดย : ยู้
    อีเมล์ : sreepratoom55@yahoo.com
    วันที่ : 2005-11-09 11:52:24
     
  4. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ นั้นท่านกล้าพูดในเรื่องอัศจรรย์

    ท้าทายต่อการพิสูจน์ ซึ่งก็ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าเป็นพระอรหันต์แท้



    หลวงปู่สดก็มีคำทำนายที่ แท้จริงชัดเจนสามารถพิสูจน์ตนได้เช่นกัน

    แต่ยัง งง ว่า คำทำนายนี้ของใครกันแน่

    www.dek-d.com/board/view.php?id=1168701



    ปล. ถามเพื่อหาความจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...