ขอให้ได้บรรลุธรรมกันถ้วนหน้า

ขอให้ได้เป็นพระโสดาบันกันทุกคน ในเบื้องต้น
1.มีความคิดในการให้ทาน
2.เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3.ไม่ลังเลสงสัย
4.รูปกายมันเป็นรูป เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ และมันบี้ลงไปสิ ดินก็ไม่มี น้ำก็ไม่มี ลมก็ไม่มี ไฟก็ไม่มี เป็นความไม่มี ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตาคือความไม่ใช่ตัวตน จึงไม่มีสักกายะทิฐฐิ ไม่เห็นว่ารูปกายเป็นตน เราคือจิตอาทิสมานกายหรือกายทิพย์
5.ขอให้สบายใจ อยู่กับธรรมะนำความสุขมาให้ ปลอดภัย ให้ยึดพระรัตนตรัย
วางอารมณ์ให้ผ่องใส ใจไม่กำหนัดยินดี!
6.ธรรมะคือรูปนาม รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน สลายไป นามไม่เที่ยง เป็นของไม่ถาวร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา
7.นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง! พระพุทธเจ้า..........

 

ฟางว่าน รู้สึกตัวบ้างหรือป่าว เพราะเท่าที่เคยอ่านดูในบางโพส หรือบางกระทู้

เดี๋ยวฟางว่านก็บอกว่าเป็นพระโสดาบัน เดี๋ยวพลันล่วงมาก็ว่าไม่ใช่

เดี๋ยวก็ว่าเป็นพระอนาคา เดี๋ยวก็ว่าเคยเป็นพระโพธิสัตว์

ต่อไปจะเป็นอะไรอีก หรือสำคัญไปว่ามันไม่เป็นเรา จึงจะเป็นหรือจะอะไรก็ได้ อย่างใจนึกคิด

หรือฟางว่านจะปลุกปั่นปั้นจิต ให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เป็นไปต่างๆ นานา นี่เป็นกรรมแล้วนะ

ลองพิจารณาดูว่า มันเกินขอบเขตไปหรือเปล่า

แต่ข้างบน เนื้อหาของกระทู้ ฟางว่านพิมพ์ออกมาได้ดีนะ

 

ต้องหาครูบาอาจารย์คอยแนะนำนะครับกันเราคิดไปเอง เราต้องมีครูบาอาจารย์
นะครับ

 

รู้สึกคุณ ฟางว่าน จะเป็นหลายอย่างแล้วนะครับ เดี๋ยวเป็นนู้้เป็นนี่ ไม่ไหวๆ

 

ตอบเเบบนี้

ตอบเเบบนี้ระวังจะโดนข้อหาปรามาส พระอรหันน๊าาาาาาา

 

นั่นสิ! เราไม่รู้ใครเป็นใคร? เฉยไว้ดีที่สุด

 

การที่เราจะไม่เห็นว่าเป็นตัวตนนั้น เราต้องเห็นตัวตนอย่างละเอียดก่อนนะครับ

ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ เพราะที่เข้าใจเขาพูดถึงยอดแล้ว ไม่ใช่ที่ฐาน ฐานต้องให้แน่นก่อน เข้าใจในตัวตนให้ดีก่อน

พิจรณาให้เห็นท่องแท้เสียก่อน ให้เกิดความเบื่อหน่ายเสียก่อน จึงจะวางสังขารร่างกายลงได้

ไม่ว่าการพิจรณาขันธ์5ก็ดี พิจรณาความตายก็ดี หรือพิจรณาความไม่สะอาดก็ดี เหตุก็เพื่อให้เห็นความเป็นจริงของสังขารร่างกายอย่างท่องแท้นั่นเอง

การที่เรามองยอดของผู้อื่นแล้วเข้าใจว่าการมองเห็นความไม่เที่ยงเป็นทางที่ถูก งั้นต้องถามตัวเองว่าที่มันไม่เที่ยงน่ะเราเห็นตามความเป็นจริงรึเปล่า

แต่หากเรามองถึงขันธ์5 เห็นสิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ และ ยังส่งกลิ่นที่เหม็น จนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงสภาวะธรรมจริงๆ นี่แหละ เราจะเห็นความไม่เที่ยงอย่างแท้จริง

หรือมองเห็นความตายที่เกิดขึ้นกับสัตว์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ หรือ สัตว์ เห็นบั่นปลายของชีวิต เห็นตั้งแต่เกิดขึ้นมา จนเข้าใจว่ามีชาติ มีภพ มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงๆ
จึงจะเห็นว่ามันไม่เที่ยงอย่างไร

แม้แต่ของไม่สะอาดที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สิ่งเหล่านี้ก็มีชีวิตและก็ยังต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันกับเรา หรือ จะบอกว่าเราต้องมีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายเพราะไม่อย่างนั้นเราก็อยู่ไม่ได้ หากเราไม่มีเชื้อโรคเหล่านี้ บางสิ่งบางอย่างก็เกื้อหนุนกันอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น แต่หากพิจรณากันจริงๆจึงจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง

ถ้าหากที่กล่าวมาทั้งหมดคุณมองเห็นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ความสงสัยลังเลก็จะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด การเห็น หรือ สำคัญว่าสังขารร่างกายเป็นของเราก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย และยังจะมองเห็นถึงความงมงายที่เกิดขึ้น หรือ มีอยู่ในโลกอย่างชัดเจน ตลอดจนเห็นว่าการถือศีลนั้นเป็นไปเพื่ออะไร แค่นี้คุณคงจะเข้าใจได้นะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ

 

อาจารย์ควรเป็นพระแท้ ไม่ใช่สักแต่ว่านุ่งเหลืองห่มเหลือง
แต่อาจารย์เป็นหมอดูนี่ตกลงเราเป็นนั่นเป็นนี่ เพราะเขาบอกว่าเราเป็นหรือว่าเราเป็นของเราจริงๆ ก็ลองพิจารณาดูนะครับ

 

ขอให้ท่านฟางว่านเสถียรสักทีนะ อะไรที่ผ่านๆมามันเป็นเพียงอดีต...

 

ขอบคุณ ฟางว่าน<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4883901", true); </SCRIPT> ที่แนะนำ ขอให้เจริญในธรรมครับ


.

 

เป็นฆราวาสถ้าสำเร็จอรหันต์ ไม่บวชภายในวันนั้นจะต้องนิพพานภายใน7วัน

 

ไม่มีอะไรครับ

ไม่มีอะไรครับ แต่ละคนก็มีความรู้ความสามรถต่างกัน ผมก็พิมพ์และอ่านของคนอื่นด้วย ศึกษาหลายสำนักครับ...

 

ถ้าจิตใจเป็นอรรถเป็นธรรม ก็ย่อมรู้ธรรมได้ ความรู้เป็นของเฉพาะตน พระอริยะท่านโดนด่าเยอะไป...

 

ยินดีที่จะสนทนาธรรมทุกเมื่อครับ ธรรมะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเป็นมงคลของชีวิตครับ

ขอให้เจริญในธรรม และ มีความสุข เช่นกันครับ

 

ผมเคยเห็นพระอรหันต์มาหลายองค์แล้วคุณเชื่อไหมครับ และความเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ล้วนมีความแตกต่างที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในโลกนี้ คนที่รู้ได้และเห็นได้อย่างน้อยๆที่สุดต้องมี อินทรีย์ทั้ง ๕ ค่อนข้างบริบูรณ์ และโดยเฉพาะมีศรัทธากับปัญญาเป็นอย่างดี อันนี้ใครบ้างก็พิจารณากันเอา แต่เชื่อไหมทุกๆองค์ที่ผมรู้จักมานั้นท่านไม่เคยเอ่ยขึ้นหรือแม้แต่จะหาอุบายมาเป็นเครื่องล่อให้ใครๆมาเชื่อว่าเป็นหรือไม่เป็น นั่นแหละจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริง อริยะสัจธรรม การที่จะเข้าถึงสัจธรรม อาศัยการเพียรสั่งสมอินทรีย์ก็ต้องควรจะมีจริง นี่เป็นเหตุผลความเป็นอะกาลิโก มีเหตุผลคงอยู่ตลอดกาลไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบเลื่อนลอยไร้ที่มาและที่ไป และไม่มีความศรัทธาใดขาดซึ่งปัญญาคุณดังนั้นความเป็นพระศาสดาผู้สอนสัตว์พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของความเชื่อ จึงไม่เคยคิดตรัสว่าต้องเชื่อเพราะพระองค์เป็นพระศาสดา แต่ให้เชื่อการกระทำของตนว่า หากประกอบด้วยเหตุคือความเจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยอินทรีย์และมีสัมมาทิฐิเป็นที่ตั้งแล้วย่อมเห็นหนทางแห่งความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร มีระยะความเพียรเป็นส่วนต่างๆ ตามที่ได้รู้จักกันมาตามตำราแล้วพาให้คนทั้งหลายเกิดความเพ้อฝันกันไป ถามว่าแบบนี้ศาสนาจะเป็นเช่นไรจะเสื่อมหรือคงอยู่ พอจะบอกว่าหากคนเราเพียงแค่คิดเอาแล้วเอามาเป็นตุเป็นตะเอาความฝันมาเป็นความจริงเอาความจริงไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น ไม่รู้ว่าเวลานี้ตื่นเวลานี้ฝัน มันคงจะเกิดแต่ความวุ่นวายน่าดู และสิ่งสำคัญของพระศาสนานี้และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังดำรงคงอยู่ได้ตราบนานเท่านานนั้นคือ รู้จักอยู่รู้จักใช้ชีวิต รู้จักกาละเทศะ ไม่โอ้อวดว่ามีว่าเป็น แม้จะมีแม้จะเป็น เพราะโลกวันนี้มันต่างกันมากกับเมื่ออดีตเหตุผลง่ายๆ ควรเข้าใจได้ว่าทำไม แต่หากเพื่อชักจูงผู้อื่นด้วยความหวังดีนั้นผมมีวิธีจะเสนอแนะไม่ฝืนความรู้สึกเลยสักนิดเดียว หากคนที่ไม่เชื่อมั่นว่าพระศาสนาสอนให้เราละวางกิเลสได้ แต่เชื่อว่าคนที่มีฤทธิ์เดชและอำนาจมาจากศาสนานี้ ก็ควรอย่าใส่ใจเลยเพราะหากทำไปจะหลงลืมตัวจนโงหัวไม่ขึ้นและมันจะย้อนทำลายตนเอง อำนาจทั้งหลายล้วนมีเหตุที่พึงมีตามกรรมตามวาระอย่าได้ฝืน มันจะเป็นการสร้างเวรกรรมเสียเปล่าๆ กลับมาหนักแน่นที่จุดเดิมดีกว่า ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา หมั่นสร้างกันเข้าไว้ ทำอะไรเชื่ออะไรไตร่ตรองดีแล้วหรือยัง เท่านี้แหละครับ
สาธุคั๊บ