ขอผู้ชี้ทางฝึกกายคตานุสสติกรรมฐาน,อาโปกสิณ,อาปาณาณสติ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 13 ธันวาคม 2012.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    #### ตอนนี้มีท่านผู้รู้ได้แนะนำให้ดิฉัน ฝึก กายคตานุสสติกรรมฐาน อาโปกสิณ อาปาณาณสติ ซึ่งตอนนี้ดิฉันไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดีคะ และ เราจะรู้ได้ยังไงว่าฝึกแล้วถูก หรือ ไม่ถูกกับจริตของเรา ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

    ..... ตัวเองนั้นแทบไม่เคยนั้งสมาธิได้นานเลย และ มีความรู้ไม่มากนัก บวกกับความสงสัยในการปฏิบัติ จำเป็นไหม๊ต้องทำในที่ ๆ เงียบ ๆ เพราะแถวบ้านบางวันมีเสียงดังทั้งคืน ประสบการเรื่องแปลก ๆ ที่เจอส่วนมากก็ไม่รู้ว่าคิดไปเอง หรือเปล่า .. อย่าง เช่น ดิฉันป่วยเป็นโรคประหลาดที่บริเวณ ลำคอ และ ใบหน้า มีลักษณะ "ผิวหนังเหมือนโดนของร้อน และ อักเสบขึ้นมา" ซึ่งแต่ก่อนมาไม่เคยเป็นพึ่งเป็นได้ สามปีกว่า ๆ นี้เอง รักษายังไงก็ไม่หาย โดยเฉพาะที่คอ และ ใบหน้าตรงแก้มด้านซ้าย หรือ เป็นเหมือนสิวหัวช้างใหญ่มากที่บริเวณเชิงผม น่ากลัวมาก ไปรักษาโรงบาลผิวหนังก็ยังเป็น ๆ หาย ๆ ก่อนเป็นตัวจะรู้สึกร้อนมาก ๆ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 31 ปี ดิฉันจะเป็นคนตัวเย็นมาก ๆ หลังจากนั้นมาก็เริ่มตัวร้อนเรียกว่ากลายเป็นคนตัวร้อนไปเลย .. ถ้าดิฉันฝึก กสินอาโปจะช่วยให้ดิฉันหายจากโรคนี้ได้ไหม๊คะ ..

    ... ภาพนี้เป็นภาพล่าสุดที่เป็นคะ แต่ก่อนหน้ากลัวกว่านี้คะ แต่พอสักพักจะหายไม่มีรอยแผลให้เห็นเป็นมานานทรมานมาก หมอก็บอกได้แค่ว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบ ทั้งที่ดิฉันไม่เคยเป็นเลยครอบครัวก็ไม่มีใครเป็น หรือ จะเป็นเพราะอายุมากร่างกายเลยปรับเปลี่ยนดิฉันก็ไม่แน่ใจ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_0001.JPG
      SAM_0001.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      616
    • SAM_0004.JPG
      SAM_0004.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      181
    • SAM_0003.JPG
      SAM_0003.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      197
  2. poppyrose

    poppyrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +11,525
    กายคตานุสสติกรรมฐาน
    กายคตานุสสติ แปลว่า พิจารณากายให้เห็นว่า ไม่สวยไม่งาม มีความโสโครก
    ตามกฎแห่งความเป็นจริงเป็นอารมณ์ กายคตานุสสตินี้เป็นกรรมฐานสำคัญที่พระอริยเจ้า
    ทุกองค์ไม่เคยเว้น เพราะพระอริยเจ้าก่อนแต่จะได้สำเร็จมรรคผล ทุกท่านนิยมพิจารณา
    ให้เห็นว่าไม่สวย ไม่น่ารัก น่ารังเกียจ เพราะมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนตามปกติเป็นอารมณ์
    และกายคตานุสสตินี้ เป็นกรรมฐานพิเศษกว่ากรรมฐานกองอื่น ๆ เพราะถ้าพระโยคาวจร
    พิจารณาตามกฎของกายคตานุสสติผลที่ได้รับจะเข้าถึงปฐมฌานแต่ถ้ายึดสีต่าง ๆ ร่างกาย
    ที่ปรากฏมีสีแดงของเลือดเป็นต้น ยึดเป็นอารมณ์ในการเพ่งเป็นกสิณ กรรมฐานกองนี้ก็มี
    ผลได้ฌาน ๔ ตามแบบของกสิณ
    การพิจารณาท่านเขียนไว้ใน วิสุทธิมรรค วิจิตรพิศดารมาก จะไม่ขอกล่าวตามจน
    ละเอียด ขอกล่าวแต่เพียงย่อ ๆ พอได้ความ หากท่านนักปฏิบัติมีความข้องใจ หรือสนใจ
    ในความละเอียดครบถ้วน ก็ขอให้หา หนังสือวิสุทธิมรรคมาอ่าน จะเข้าใจละเอียดมาก
    ขึ้นตามแนวสอนในวิสุทธิมรรค ท่านให้พิจารณาอาการ ๓๒ คราวละ ๕ อย่าง เช่น
    พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ รวม ๕ อย่างเป็นหมวดหนึ่ง ท่านให้พิจารณา
    ตามลำดับและ ย้อนกลับ เช่น พิจารณาว่า เนื้อ หนัง ฟัน เล็บ ขน ผม ย้อน จากปลาย
    มาต้น เรียกว่า ปฏิโลม คือถอยกลับ ให้พิจารณาทั้งสีและสัณฐาน สภาพตามความเป็น
    จริงว่าไม่มีอะไรสวยงาม เพราะมีความสกปรกโสโครกอยู่เป็นปกติ ต้องคอยขัดสีฉวีวรรณ
    อยู่เสมอ ๆ ทั้ง ๆ ที่คอยประคับประคองอยู่เพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ยังจะมีการแปดเปื้อนสกปรก
    อยู่เสมอ เช่น ผมต้องคอยหวี คอยสระชำระอยู่ทุกวัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่สนใจเพียง ๓ วัน
    เหงื่อไคลก็จะจับทำให้เหม็นสาบ เหม็นสาง รวมกายทั้งกายนี้ ท่านแสวงหาความจริงจาก
    กายทั้งมวลว่า มันสวยจริงสะอาดจริงหรือไม่ ค้นคว้าหาความจริงให้พบ กายทั้งกายที่ว่า
    สวยน่ารักนั้นมีอะไรเป็นความจริง ความสวยของร่างกายมีความจริง เป็นอย่างนี้ ร่างกาย
    ทั้งกายที่ว่าสวยนั้น ไม่มีอะไรสวยจริงตามที่คิด เพราะกายนี้เต็มไปด้วยสิ่งโสโครก คือ
    อวัยวะภายใน มีตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ กระเพาะ น้ำเลือด น้ำเหลืองน้ำหนอง
    น้ำดี อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล ที่หลั่งไหลออกมาภายนอกนั้น ความจริงขังอยู่ภายใน
    ของร่างกายที่มีหนังกำพร้าหุ้มห่ออยู่ ถ้าลอกหนังออกจะเห็นร่างนี้มีเลือดไหลโทรมทั่วกาย
    เนื้อที่ปราศจากผิวคือหนังหุ้มห่อ จะมองไม่เห็นความสวยสดงดงามเลย ยิ่งมีเลือดหลั่งไหล
    ทั่วร่างแล้ว ยิ่งไม่น่าปรารถนาเลย แทนที่จะน่ารักน่าประคับประคอง กลับกลายเป็นของ
    น่าเกลียด ไม่มีใครปรารถนาจะอยู่ใกล้ ถ้าลอกเนื้อออกจะแลเห็น ไส้ใหญ่ ไส้น้อย ปอด
    กระเพาะอุจจาระ กระเพาะปัสสาวะ และม้าม ไต น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง
    เสลด หลั่งไหลอยู่ทั่วร่างกาย มองแล้วอยากจะอาเจียนมากกว่าน่ารัก ถ้าจะฉีกกระเพาะ
    ออกภายในกระเพาะจะพบอุจจาระ ปัสสาวะอยู่ภายใน เป็นภาพที่อยากหนีมากกว่าเป็นภาพ
    ที่น่ารัก ถ้าเอาอวัยวะต่าง ๆ ออกหมด จะเห็นแต่ร่างโครงกระดูกที่มีสภาพเหมือนโครงบ้าน
    เรือนตั้งตระหง่านอยู่ โครงกระดูกทั้งสองร้อยท่อนนี้ ปะติดปะต่อกันอยู่เป็นท่อนน้อยและ
    ท่อนใหญ่ มีเนื้อและเลือดติดเกรอะกรัง ท่านคิดตามไป ท่านเห็นหรือยังว่า ส่วนที่มีเปอร์-
    เซ็นต์ที่เห็นว่า พอจะเป็นของสวยของงามมีนิดเดียวคือ ตอนหนังกำพร้าเท่านั้น หนังนี้ใช่
    ว่าจะเกลี้ยงเกลาเสมอไปก็หาไม่ ต้องคอยชำระล้างตลอดวันและเวลาเพราะสิ่งโสโครกภาย
    ในพากันหลั่งไหลมาลบเลือนความผุดผ่องของผิวตลอดวัน ถ้าไม่คอยชำระล้างเจ้าตัวปฏิกูล
    นั้นก็จะพอกพูนเสียจนเลอะเทอะแถมจะส่งกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางตลบไปทั่วบริเวณช่อง
    ทวาร อุจจาระ ปัสสาวะ ก็จะพากันหลั่งไหลออกมาตามกำหนดเวลาที่มันต้องออกสิ่งที่
    น่าคิดก็คือ ผู้นิยมตนเองว่าสวย หรือเทิดทูนใครก็ตามว่าสวย ต่อเมื่อสิ่งโสโครกหลั่งไหล
    ออกมาเขากลับไม่สนใจ ไม่พยายามมองหาความจริงจากของจริง กลับรอให้ชำระล้างสิ่ง
    โสโครกเสียก่อนจึงใคร่ครวญและสนใจ ต่างคนต่างพยายามหลบหลีก ไม่รับรู้ความเป็นจริง
    ของสังขารร่างกายในส่วนที่สกปรกโสโครก ทั้งนี้ เพราะกิเลสและตัณหาปกปิดความจริงไว้
    ทั้งๆ ที่อุจจาระหลั่งไหลออกมาทุกวัน เหงื่อไคลมีเสมอ เสมหะน้ำลายออกไม่เว้นแต่ละนาที
    แต่เจ้ากิเลสและตัณหามันก็พยายามโกหกมดเท็จ ปัดเอาความจริงออกมาจากความรู้สึก
    หากทุกคนพยายามสอบสวน ทบทวนความรู้สึกค้นคว้าหาความจริง ยอมรับรู้ตามกฎของ
    ความจริงว่า สังขารร่างกายนี้ไม่มีอะไรน่ารัก มีสภาพเป็นส้วมเคลื่อนที่ เพราะภายในมีสิ่ง
    โสโครกต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรารัก เราก็รักส้วม ถ้าเราประคับประคอง เราก็ประคับ
    ประคองส้วม ถ้าเราเทิดทูนเราก็เทิดทูนส้วม จะว่าส้วมปกติเลวแล้วความจริงส้วมปกติดีกว่า
    ส้วมเคลื่อนที่มาก เพราะส้วมปกติมันตั้งอยู่ตามที่ของมัน มันไม่ไปรบกวนใคร เราไม่เดิน
    เข้าใกล้ มันก็ไม่มาหาเรา ไม่รบกวน ไม่สร้างทุกข์ ไม่หลอกหลอน ไม่ยั่วเย้ายียวนชวนให้
    เกิดราคะ แต่เจ้าส้วมเคลื่อนที่นี่มันร้ายกาจ เราไม่ไปมันก็มา เราไม่มองดูมันก็พูดให้ได้ยิน
    เสแสร้งแกล้งตกแต่ง ปกปิดสิ่งที่น่าเกลียดด้วยสีผ้าที่หลาก กลบกลิ่นเหม็นด้วยกลิ่นหอม
    หาอาภรณ์มาประดับ เพื่อปกปิดพรางตากันเห็นสิ่งที่ไม่น่าชม เพื่อตาจะได้หลงเหยื่อ ติดใน
    อาภรณ์เครื่องประดับ ผู้เห็นที่ไร้การพิจารณา และมีสภาพเป็นส้วมเคลื่อนที่เช่นเดียวกัน
    เป็นส้วมที่ไร้ปัญญาเหมือนกัน ต่างส้วม ต่างก็หลอกหลอนกัน ปกปิดสิ่งโสโครกมิให้กันและ
    กันเห็นความจริงทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีครบถ้วนแทนที่จะเห็นตัว รู้ตัวว่า ข้านี้ก็เป็นผู้เลิศในความ
    เหม็น เลิศในส่วนของความสกปรกเหมือนเธอแทนที่จะเป็นอย่างนั้นกลับปกปิดพยายามชม
    ตนเองว่า ฉันนี่แหละยอดผู้ศิวิไลซ์ละ อนิจจา น่าสงสารสัตว์ผู้เมาไปด้วยกามราคะ มีอารมณ์
    หน้ามืดตามัวเพราะอำนาจกิเลสแท้ ๆ ถ้าเขาจะมองตัวเองสักนิดก็จะเห็นตัวเอง และจะมอง
    เห็นผู้อื่นตามความเป็นจริงพระอริยเจ้าท่านนิยมความจริง รู้จริง เห็นจริง ค้นคว้าจริงไม่
    หลอกหลอนตนเอง ท่านจึงได้บรรลุมรรคผลเพราะพิจารณาตนเองเป็นส่วนใหญ่ ขอท่าน
    นักปฏิบัติเพื่อความสุขของตัวทั้งหลาย จงพิจารณาตนเองให้เห็นชัด จนได้ นิมิตเป็น
    ปฏิภาคนิมิต สร้างสมาธิให้เป็น อัปปนาสมาธิ โดยพิจารณาสังขารให้เห็นว่า
    ไม่สวยงามนี้ เมื่อถึง อัปปนาสมาธิแล้ว จงยึดสีที่ปรากฏในร่างกายมีสีแดงเป็นต้น
    หรือจะเป็นสีอะไรก็ได้ ยึดเอาเป็นอารมณ์กสิณ ท่านจะได้ฌานที่ ๔ ภายในเวลา
    เล็กน้อย ต่อไปก็ยึดสังขารที่ท่านเห็นว่าเป็นของน่าเกลียดนี้ ให้เห็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง
    เพราะมีความเปลี่ยนแปลงทรุดโทรมไปทุกวันเวลาเป็นปกติ ทุกขังเพราะอาศัยที่มันเคลื่อน
    ไปสู่ความทำลายทุกวันเวลา มันนำความไม่สบายกาย ไม่สบายใจจากโรคภัยไข้เจ็บ และใน
    การกระทบกระทั่งทางอารมณ์ให้เกิดความเดือดร้อนทุกวันเวลา จึงจัดว่าสังขารร่างกายนี้เป็น
    รังของความทุกข์ ให้เห็นเป็นอนัตตา เพราะความเสื่อม ความเคลื่อน และในที่สุดคือความ
    ทำลายขันธ์ เราไม่ต้องการอย่างนั้น แต่มันจะต้องเป็นไปตามนั้นเพราะเป็นกฎธรรมดาของ
    ขันธ์ จะต้องเป็นอย่างห้ามไม่ได้ บังคับไม่อยู่ ยอมรับนับถือว่ามันเป็นอนัตตาจริง เพราะความ
    เป็นอนัตตาคือ บังคับไม่ได้ของสังขารร่างกายนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปล่อยอารมณ์
    ในการยึดถือเสีย เพราะจะยึดจะถือเพียงใดก็ไม่เป็นไปตามความต้องการ สังขารร่างกาย
    เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ไม่ว่าที่มีใจครอง หรือไม่มีใจครอง ตราบใดที่เรายังต้องการ
    สังขาร เราต้องประสบความทุกข์ ความทรมานเพราะสิ่งโสโครกที่เข้าประกอบเป็นขันธ์
    เราเห็นสภาพความจริงของสังขารร่างกายนี้ว่าเป็นของโสโครก ไม่น่ารัก ไม่น่าปรารถนา
    ควรปลีกตัวออกให้พ้นจริง เราเห็นสังขารร่างกายว่าเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนจริง เรา
    เห็นสังขารร่างกายว่า เป็นทุกข์จริง เราเห็นสังขารร่างกายว่า เป็นอนัตตาจริง ขึ้นชื่อว่า
    ความเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ การยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการ
    ความเกิดอีก เราไม่ปรารถนาชาติภพอีก เพราะชาติ ความเกิดเป็นแดนอาศัยของความ
    ทุกข์ โรคนิทธัง เรือนร่างของขันธ์ ๕ เป็นรังของโรค ถ้าร่างกายไม่มี โรคที่จะ
    เบียดเบียนก็ไม่มี เพราะไม่มีร่างกายให้โรคอาศัย ปภังคุนัง เรือนร่างมีสภาพต้อง
    ผุพัง ถ้าไม่มีเรือนร่าง เรื่องการผุพังอันเป็นเครื่องเสียดแทงใจให้เกิดทุกข์ก็ไม่มี เมื่อ
    ร่างไม่มีจะเอาอะไรมาเป็นอนัตตา เราไม่ต้องการทุกข์ที่มีความเกิดเป็นสมุฏฐาน เรา
    ไม่ต้องการความเกิดในวัฏฏะอีก เราต้องการพระนิพพานที่ไม่มีความเกิดและ
    ความตาย เป็นแดนเกษมที่หาความทุกข์มิได้ พระนิพพานนั้นพระพุทธเจ้าสอน
    ไว้ว่า ท่านที่จะไปสู่พระนิพพานได้ไม่มีอะไรยาก ท่านสอนให้พิจารณาให้เห็นความจริง
    ของร่างกายว่าโสโครก ถอนความรักความอาลัยในสังขารเสีย บัดนี้เราปฏิบัติครบแล้ว
    เราเห็นแล้ว เราตัดความเห็นว่าสวยงามในสังขารได้แล้ว เราเชื่อแล้วว่า สังขารร่างกาย
    เป็นทุกข์ เพราะอารมณ์ยึดมั่นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เราคือร่างกาย ร่างกาย
    คือเรา ความคิดเห็นอย่างนี้เป็นความเห็นของผู้มีอุปาทาน เรารู้แล้วเราเห็นถูกแล้ว คือ
    เราเห็นว่า สังขารร่างกายไม่น่ารัก มีความสกปรกน่าสะอิดสะเอียน ร่างกายไม่ใช่เรา
    ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราคือจิตที่มีสภาพไม่แก่ไม่ตาย
    ไม่สลายตัวที่เข้ามาอาศัยร่างกายที่ประกอบไปด้วย ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มี
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็น นามธรรม ๔ อย่าง เป็นเครื่องประกอบ
    เป็นเครื่องจักรกลที่บริหารตนเองโดยอัตโนมัติ ร่างกายนี้ค่อยเจริญขึ้นและเสื่อมลงมี
    การสลายตัวไปในที่สุด พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ตัด ฉันทะ ความพอใจในสรรพ-
    สังขารทั้งหมดเสียให้ได้ และให้ตัด ราคะ คือความกำหนัดยินดีในสรรพสังขารทั้งหมด
    คือ ไม่ยึดอะไรเลยในโลกนี้ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีอะไรในเรา เราไม่มีในอะไร
    ทั้งสิ้น เราคือจิตที่มีคุณวิเศษดีกว่าอัตภาพทั้งปวง เราเกลียดสรรพวัตถุทั้งหมด เราไม่
    ยอมรับสรรพวัตถุ แม้แต่เรือนร่างที่เราอาศัยนี้ว่าเป็นของเราและเป็นเรา เราปล่อยแล้ว
    ในความยึดถือ แต่จะอาศัยอยู่ชั่วคราวเพื่อสร้างสรรค์ความดี สังขารจะเปลี่ยนแปลงก็
    เป็นเรื่องของสังขาร สังขารร่างกายจะผุพังก็เป็นเรื่องของสังขารร่างกาย เราไม่รับรู้
    รับทราบ เราว่างแล้วจากภาระในการยึดถือ เรามีความสุขแล้ว เรามีพระนิพพานเป็นที่
    ไปในกาลข้างหน้า สร้างอารมณ์ ความโปร่งใจให้มีเป็นปกติ ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์
    ทำจนเป็นปกติ จิตยึดความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจนเป็นปกติ เห็นอะไร ได้อะไร
    มา คิดเห็นว่า นี่มันไม่ใช่ของเราจริง เขาให้ก็รับ เพื่อเกื้อกูลแก่อัตภาพชั่วคราว ไม่ช้า
    ก็ต่างคนต่างสลายทั้งของที่ได้มาและอัตภาพ ใครไปก่อนไปหลังกันเท่านั้น จนอารมณ์มี
    ความรู้สึกอย่างนี้เป็นปกติ จิตก็จะว่างจากอุปาทาน ในที่สุดก็จะถึงพระนิพพานสมความ
    มุ่งหมาย

    (อธิบายในกายคตานุสสติโดยย่อพอได้ความ ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้)

    อานาปานานุสสติกรรมฐาน
    อานาปานานุสสติ แปลว่า ระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์ กรรมฐานกองนี้เป็น
    กรรมฐานใหญ่คลุมกรรมฐานกองอื่น ๆ เสียสิ้น เพราะจะปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กองนี้ กอง
    ใดกองหนึ่งก็ตาม จะต้องกำหนดลมหายใจเสียก่อน หรือมิฉะนั้นก็ต้องกำหนดลมหายใจร่วม
    ไปพร้อมๆ กับกำหนดพิจารณากรรมฐานกองนั้นๆ จึงจะได้ผล หากท่านผู้ใดเจริญกรรมฐาน
    กองใดก็ตาม ถ้าละเว้นการกำหนดเสียแล้ว กรรมฐานที่ท่านเจริญ จะไม่ได้ผลรวดเร็วสม
    ความมุ่งหมาย อานาปานุสสตินี้ มีผลถึงฌาน ๔ สำหรับท่านที่มีบารมีเป็นพุทธสาวก ถ้าท่าน
    ที่มีบารมีใน วิสัยพุทธภูมิ คือท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์คือ ท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ ท่านผู้นั้น
    จะทรงฌานในอานาปาน์นี้ถึงฌานที่ ๕
    http://palungjit.org/smati/books/index.php?cat=269
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ขอบคุณคะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ผมขอแค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ.ถือว่าอ่านเล่นๆขำๆ.โดยขอเพิ่มเติมหน่อยบางส่วนหน่อยแล้วกัน..
    ถ้าคุณถึงขั้นจะใช้กำลังจากกสิณ..เพื่อที่จะรักษาอาการต่างๆในร่างกายได้นั้น..อย่างน้อยต้องฝึก กสิณให้ได้
    อย่างน้อย ๔ กองคือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ ซี่งเป็นส่วนประกอบของ ธาตุทั้ง ๔ นั่นเอง.เพราะการที่ร่างกาย
    ส่วนใดส่วนหนึ่ง.เจ็บป่วยหรือมีอาการต่างๆ.ถือว่ามีธาตุใด.ธาตุหนึ่งใน ๔ ธาตุนั้นเกิดความไม่สมดุลขึ้น.

    นอกจากจะต้องฝึกได้สำเร็จทั้งสี่กองแล้ว..ยังจะต้อง.เข้าใจลักษณะนามธรรมของกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และต้องฝึกบังคับและใช้ให้คล่องด้วยครับ.ซึ่งจะมาถึงต้องจุดนี้ กำลังสมาธิต้องสูงพอสมควร..ชนิดที่ว่าสามารถกำหนด.ให้เกิดพลังงานของกสิณขึ้นได้เลย ณ เวลาที่ต้องการ.ซึ่งมีคนทำได้นะครับ.
    ที่เคยสัมผัสมา คนแรกอยู่เพชรบูรณ์ อีกคนเป็น ญ หน้าตาน่ารักอายุยังไม่ถึง เบญจเพศเลย.


    ซึ่งการทดสอบพลังงานส่วนนามธรรมในเบื้องต้นให้ลองวางปากกาหรือแท่งกลมๆไว้บนมือดูซึ่ง
    การเริ่มต้นของพลังงานจะเหมือนกัน.ซึ่งพอพลังงานหมุนผ่านวัตถุไปไม่กี่รอบจะแสดงเอก
    ลักษณ์เฉพาะที่จะทำให้สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นกสิณ ดิน น้ำ ลม หรือ ไฟ และพอทำได้
    อย่างที่บอก ..ก็ต้องหัดมาวิเคราะห์ ด้วยตนเองด้วย..ว่าตำแหน่งที่เป็นโรคนั้นเพราะว่า ธาตุอะไรไม่สมดุลย์
    แล้วก็จะเสริม หรือ จะลดกสิณตัวไหนเข้าไปเพื่อปรับ ณ ตำแหน่งนั้น ถ้าสมดุลย์ได้เมื่อไร ก็จะทำให้หายได้ขาดทันที.เลยทำให้หลายๆคนมองว่าพิศดารหรือออกแนววิเศษเล็กน้อย...ไม่เหมือนกับการใช้วิธีจักระ ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก และก็ต้องไปยังตำแหน่งนั้นบ่อยๆด้วย..

    แต่ก็มีอีก ทางเลือกอื่นๆให้พิจารณาดูนะครับ..
    ๑.นั่งสมาธิด้วยอาปาฯ จนถึงขั้นที่สามารถแยกกายกับจิตได้ชั่วคราว​​ และที่สำคัญเลยต้องสามารถควบคุม
    จิตให้สามารถอยู่ในร่างกายได้..ชนิดที่ว่าจิตจะไปไหนไม่ให้ไป ณ จุดนี้ต้องพอมีกำลังสติจากการเจริญสติมาพอสมควร...แล้วให้จิตวิ่งไปดูตรงส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ ณ ตำแหน่งนั้น จะเกิิดการระเบิดดังกึกก้อง.แต่ผลที่ได้รับก็คือ ว่าอาการที่เป็นนั้น จะหายขาดและไม่เป็นอีกเลย..
    ๒.วิธีนี้ ส่วนตัวยังไม่เคยลอง แต่คุณ poppyrose น่าจะนำได้..คือ การขอบารมีพระครับ..ซึ่งแน่นอนว่า
    รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันปกติ.คงจะต้องส่งเสริมการที่ท่านจะสามารถส่งเคราะห์ได้..
    ๓.ขอให้พบบุคคลที่ท่านทำได้อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไว้ตอนต้นให้เจอ และให้ท่านนั้นเมตตารักษาให้ครับ..
    ๔.ฝึกอาโปกสิณให้สำเร็จ..ให้สามารถทำปฏิิภาคนิมิตรให้ได้..เพราะต่ำกว่านั้นยังสามารถเป็นกสิณโทษ
    และยังไม่สามารถใช้งานได้..หรือจนเห็นนิมิตรกสิณเป็นประกายผลึก บังคับได้..แล้วก็อฐิษฐานฤิทธิ์ด้วยการขอบารมีเพื่อรักษาอาการที่เราเป็นดู..
     
  5. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ขอบคุณพี่ nopphakan มากคะ .. ดิฉันคงต้องใช้เวลาพอสมควร หรือ อาจจะหลายปีถ้าถึงขั้นนั้น .. ตอนนี้ก็พยายามนึกถึงความเย็นของน้ำ พยายามพิจารณาน้ำในแบบต่าง ๆ นึกย้อนไปถึงสมัยตั้งแต่เด็กจนโตว่าเราชอบน้ำมากทำไมถึงชอบ เวลามองน้ำใจเรารุ้สึกยังไง ก็ประมาณนี้คะ เพราะดิฉันจะเป็นแบบคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่จึงต้องใช้เวลา .. ตอนนี้ก็ค้นคว้าหาข้อมูลการฝึกอาโปกสินคะ .. เอาแบบหลาย ๆ ความคิดเห็น เพื่อใช้ประกอบกับสิ่งที่ตนเองจะทำได้ถนัด ..

    ## หลังจากถ่ายรูปนี้สองวันมันก็หายไปแล้วคะ โดยส่วนตัวดิฉันคิดว่าในตัวตอนนี้ธาตุไม่สมดุลจริงคะ ธาตุไฟออกจะมากไป .. พยายามลดลงแล้วคะ .. เพราะอารมณ์มีผลต่อการทำงานของร่างกาย .. และ การไหลเวียนของของเหลวในร่างกาย แต่ก็ดีนะคะ อาโปกสิณมันทำให้เราเย็นลงได้มาก แค่เริ่มฝึกเท่านั้นเอง .. ขอบคุณจริง ๆคะ
     
  6. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    อนุโมทนา ในความมุ่งมั่นและอย่าได้ละทิ้งความตั้งใจนะครับ
    ค่อย ๆ หมั่นเพียร เจริญให้ยิ่ง ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
     
  7. Demi

    Demi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +571
    ขอโมทนาสาธุในการปฏิบัติด้วยค่ะ สาธุๆๆๆๆค่ะ
     
  8. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    สิ่งที่คุณต้องการฝึกนะจะไม่ได้อะไรเลยหากจิตยังคิดเพียงว่าต้องการปฏิบัติแค่พอให้อาการต่าง ๆ หายไป เปรียบดังว่าคุณมีความอยากได้ หากคิดอย่างนี้จะหลงทาง ทุกสิ่งที่เิกิดขึ้นยุ่อมมีที่มาและที่ไป ตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติสู่ธรรมะ อย่างแท้จริง แล้วคุณจะรู้ว่าที่เป็นอย่างนั้นคืออะไร (ไม่ต้องถามผมว่าเกิดจากอะไร ) เพราะผมก็ไม่รู้ รู้เพียงว่า ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมคุ้มครอง ขอใ้ห้ทุกท่านหลุดพ้นบ่วงกรรม ทุกอย่าง โดยเร็ววันเทอญ
     
  9. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ขอบคุณสำหรับคำให้กำลังใจ และ คำแนะนำดี ๆ จากทุกคนนะคะ .. โรคนี้อาจเกิดจากความไม่สมดุลธาตุหนึ่ง เวรกรรมที่เคยทำหนึ่ง ความผิดปกติของร่างกายหนึ่ง แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไร เรื่องของโรคมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้อยากฝึก ดิฉันไม่ได้หวังจะนิพพานเหมือนคนอื่น ถ้าหากดิฉันมีอภิญญา หรือ รู้แจ้งในธรรม ดิฉันอยากใช้มันช่วยคนอื่น ๆ มากกว่า เพราะดิฉันรู้สึกแย่เวลาที่เห็นคนอื่นทุกข์ หรือ ลำบากจากความไม่เป็นธรรม จากคนที่มีอำนาจแต่ใช้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ตั้งแต่เกิดดิฉันไม่เคยต้องการสิ่งที่มีมาทุกอย่าง มันเป็นสิ่งน่ากลัวสำหรับดิฉันมันทำให้ดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดไม่เหมือนคนอื่น ๆ เวลาพูดอะไรบอกอะไรใครไปเขาก็มองเราเหมือนตัวประหลาด แต่พอโตขึ้นมันสิ่งเหล่านั้นมันก้ค่อย ๆ น้อยลง แต่พอมาตอนนี้ดิฉันกลับคิดว่ามันน่าจะพอทำอะไรเพื่อคนรอบข้าง และ คนอื่น ๆ ได้บ้าง ดิฉันจึงคิดที่จะศึกษามันเรียนรู้มันดึงมันกลับมาเพื่อว่าสักวันฉันอาจจะพอช่วยเหลือคนอื่นได้บ้างจากสิ่งที่ดิฉันเรียนรู้มา ... แค่คนเดียวก็ยังดี อย่างน้อยดิฉันได้เกิดมาเป็นคนก็ได้ทำตัวมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่เดือดร้อนได้บ้างไม่มากก้น้อย .. อาจต้องใช้เวลาหลายปีหน่อยแต่ดิฉันก็จะทำ ได้แต่หวังเพียงความเมตตาจากท่านผู้รู้คอยแนะนำสั่งสอนให้ดิฉันในทางที่ถูกที่ควร ..
     
  10. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ถ้าบวช

    ปกติ อ. จะให้ท่องอากร 32 โดยจะท่องทีล่ะ 5 แล้วครึ่งเดือนถัดไปจึงเพิ่มขึ้น
    ต้องท่องไปท่องกลับได้ด้วย

    ผม - ขน - เล็บ - ฟัน - หนัง

    แล้วกลับ หนัง - ฟัน- เล็บ - ขน - ผม

    ถัดไป เนื้อ - เอ็น - กระดูก - เยื่อในกระดูก - ไต (วักกังคือไต หนังสือสวดมนต์ส่วนใหญ่ผิดไป เป็นม้าม)

    แล้วย้อนกลับ ไต -...-ผม

    วิธีบริกรรมกายานุสติ ก็ลองจินตนากการว่าถ้าผ่าตัวเองเลาะหนังออกแล้วจะเป็นยังไง?

    แบบคลิบนี้

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=D9MkgxBfp1Q]Anatomy for Beginners - Lesson 1: Movement [1/5] - YouTube[/ame]

    หรือไม่ก็คิดว่าจะเกิดโรคอะไรได้บ้าง ถ้าอวัยวะนี้ผิดปกติ

    ส่วนอานาปานสตินี้ให้รู้แบบไม่เกร็ง(เหมือนง่ายแต่ยากมาก) ในวินัยปิฎกกับพระสูตรเขียนไม่ตรงกัน ในพระวินัยบอกให้เริ่มจากลมหายใจออกก่อน ส่วนพระสูตรให้เริ่มจากลมหายใจเข้า (ผมเชื่อตามพระวินัย น่าจะมีการแปลผิดในพระสูตร)

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  11. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    กายคตานุสสติกรรมฐาน ก็คือการพิจารณาร่างกายว่ามันไม่ใช่แท่งทึบ
    ประกอบไปด้วยอาการ ๓๒ (เป็นต้น) มีผม ขน เล็บ ฟันหนัง ตับ ไต้ ไส้ ปอด
    อาหารใหม่อาหารเก่า ฯลฯ มีความสกปรกไม่สะอาด มีอาการที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
    เป็นกรรมฐานที่ง่ายที่จะน้อมนำเข้าสู่วิปัสสนาญาณ

    อาโปกสิณ ก็คือการเพ่งน้ำ ก็เอาน้ำมาขันหนึ่ง แล้วก็เพ่งจำรูปน้ำ
    แล้วก็หลับตานึกในใจ ให้เห็นภาพน้ำ เป็นกรรมฐานสร้างความเข้มแข็งของสมาธิ
    ยิ่งจับภาพในใจได้นานและชัดเท่าไหร่ สมาธิก็มีกำลังมากเท่านั้น

    อานาปานสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานพิจารณาลมหายใจเข้าออก
    ให้รู้ว่าเข้า ให้รู้ว่าออก ให้รู้อาการว่าลึกยาวสั้นอย่างไร
    เป็นกรรมฐานที่ง่ายในการฝึก เพราะทำที่ไหนก็ได้
    และควรจะเป็นกรรมฐานกองแรกที่ฝึก เพราะเป็นกรรมฐานที่ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน

    อนึ่ง... หาหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง มาอ่าน
    จะเข้าใจง่ายขึ้น เพราะเป็นการสอนสมถะควบวิปัสสนาในกรรมฐานทุกๆกอง

    ปล. ส่วนเรื่องความผิดปกติของร่างกาย... ผมไม่ทราบวิธีแก้ปัญหา
    และไม่แน่ใจว่ามันเป็นปัญหาหรือเปล่าด้วย
     
  12. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ขอบคุณนะคะ

    .. เมื่อเช้าตอนก่อนเข้านอนลองนอนสมาธิภาวนา พุท โธ เอามือวางไว้ตรงเหนือท้อง ประมาณ 5 นาที มันเริ่มนิ่ง แต่เหมือนร่างกายมันสั่นคะ พยายามสั่งเกตแต่ไม่ได้ฝืนอะไรนะคะก็ปล่อยไป พอสักพักลืมตามาก็เปลี่ยนเอามือมาวางไว้ตรงท้องแล้วเริ่มใหม่รอบนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำสักสิบนาทีก็นอนคะ

    .. ตั้งแต่ลองนอนภาวนาสมาธิมาสองคืนสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ คือ ถึงนอนแค่สามสีชั่วโมงแต่เหมือนเรานอนเต็มอิ่ม คือ มันสดชื่นคะ แต่ยังเบื่ออาหารเหมือนตอนพิจารณาชีวิต มันรู้สึกไม่มีอารมณ์ดีใจ เสียใจ มันเฉย ๆ ลองเปิดเพลงเศร้า ๆ ที่ฟังทีไรต้องร้องไห้มันก็เฉย ๆ อาการขี้ตกใจน้อยลง

    ... อยากให้หลังหายปวดเร็ว ๆ อยากลองนั้งสมาธิดูบ้างว่าจะเหมือนกันไหม๊ .. เพราะเดินจงกรมสถานที่ไม่สะดวกคะ .. ตอนนี้เอาบันไดขั้นที่หนึ่งไปก่อน .. เดี๋ยวจะลองไปหาดูนะคะ กรรมฐาน 40 ขอบคุณคะที่แนะนำ
     
  13. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    หากว่าคุณได้ลองปฏิบัติทุกอย่างแล้วยังไม่หาย
    ผมก็เสนอให้คุณลองทำฌานสมาบัติครับ คุณของฌานนั้นอย่างหนึ่งเป็นการป้องและรักษาโรคได้หลายชนิด
    วิธีปฏิบัติผมโพสต์ไว้ในหัวข้อพุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น -ฌานสมาบัติเป็นธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา ในเวปนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2013
  14. Gearknight

    Gearknight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2008
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +234
    จากที่ผมได้ลองฟังเสียงของหลวงพ่อฤาษีนะครับ คือผมฝึกกสินไฟ ผมนึกถึงเปลวเทียน ตอนแรกผมจับได้แค่รูปไฟเหมือนรูปถ่ายแต่พอมีสมาธิมากขึ้นมันจะกลายเป็นไฟ ที่มีชีวิตคือมันลุกโชนตลอดเวลา ประมาณนี่แหล่ะครับแล้วผมก็ออกจากสมาธิ ตอนนี้ฝึกพื้นฐานให้แน่นก่อน ถ้าเป็นกสินน้ำ ก็ลองนึกถึงหยดน้ำบนใบบัวดูนะครับ แล้วก็ตัดให้เหลือแต่หยดน้ำอย่างเดียว ถ้าเป็นกสินลมผมนึงถึงพายุหมุนทอนาโด กสินดินนี้ง่ายครับจับภาพก้อนดิน ทั้งหมดนี้มันแว๊บเข้ามาตอนที่ภาพไฟมันมีชีวิตครับผม ผิดถูกยังไงขอคำแนะนำด้วยนะครับเพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...