ขอถามเรื่องย้อนเวลาและความเกี่ยวข้องกับอภิญญา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย tniak, 21 กันยายน 2011.

แท็ก: แก้ไข
  1. tniak

    tniak สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +1
    ตามแนวคิดของไอสไตน์ที่ว่าห่ากเราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงจะสามารถย้อนเวลาไปในอดีตได้ ในส่วนนี้ในปัจจุบันมีการพิจสูจน์ว่าไม่สามารถเป็นไปได้ที่วัตถุจะเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง แต่เมื่อมาพูดถึงทางพุทธศาสนาจิตนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงทำให้สามารถย้อนเวลามองไปยังอดีต ไปยังสวรรค์ นรก ที่อยู่ต่างออกไปคนละมิติได้ ที่นี้ผมเลยเกิดความสงสัยครับว่าสมมุติว่าจิตนั้นสามารถย้อนไปยังอดีตและไปยังมิติต่างๆได้ด้วยกำลังของจิต แล้วถ้าพูดถึงผู้ที่สามารถฝึกอภิญญาได้ครบทุกอย่างอย่างเต็มขั้นจนสามารถพากายเนื้อไปยังสวรรค์ นรก อย่างที่มีอยู่ในพุทธประวัติได้ การไปแบบนั้น ก็เหมือนกับการพาร่างย้ายที่ด้วยความเร็วที่เหนือแสง ด้วยฤทธิของอภิญญา แบบนั้นแสดงว่าหากมีผู้ที่ฝึกอภิญญาครบจนสมบูรณ์ทุกหมวดหมู่ก็จะสามารถพาร่างย้อนไปในอดีตได้ ไม่ทราบว่าแนวคิดนี้เพื่อนๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ เกี่ยวกับความเร็วแสงกับการย้อนอดีตด้วยจิตและอภิญญาครับ
     
  2. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ไปทั้งร่างน่ะเหรอไปไม่ได้หรอก กฏของแสง , พลังงาน , สสาร มีไว้ว่า(สรุปแบบคร่าวๆนะ)
    ว่ากันว่า พลังงานและสสารจะไม่มีวันหมดหรือหายไป แต่จะเปลี่ยนจากสถานะหนีงไปเป็นอีกสถานะหนึ่ง เช่น น้ำละเหิยกลายไปเป็นไอน้ำ ไอน้ำที่ว่าก็จะออกเป็น H1อะตอม O2อะตอม หรือเป็นอย่างอื่นทดแทน เป็นต้น ฯลฯ

    เพราะทางทฤษฏีกล่าวไว้ว่า อนุภาคพื้นฐานในจักรวาลคือ โปรตรอน สสารและพลังงานเป็นอันเดียวกันสลับเปลี่ยนสถานะกันตลอดเวลา ( ทนอยู่ได้ยาก = ทุกขัง)

    คราวนี้ "จิต" ตามความเชื่อ จิตตัวนี้ยังไม่สามารถค้นพบได้ในทางกายภาพอาจจะเป็นไปได้ว่าจิตไม่มีมวล เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง(สมมติเอานะ)

    คราวนี้การเดินทางไปปรากฏตัวในภพภูมิต่างๆ อาจเป็นไปได้ว่าการไปในภพภูมินั้นๆ (มิติแทนด้วยภพภูมิ) คือไปด้วยจิต แล้วไปใช้พลังงานของจิตรวบรวมโปรตรอนของมิตินั้นๆเพื่อก่อธาตุต่างๆขึ้นมาเป็นรูปร่าง (หายตัวจากที่หนึ่งไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่ง) แต่ยังมีคนบอกว่าจะใช้พลังงานสูงหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็เพราะทฤษฏีติดอยู่การหาจิตไม่เจอ แต่กลับไปทดลองโดยการส่งอนุภาคที่เล็กมากๆในระดับอะตอมไปแทน


    ว่าด้วยการเดินทางแสงของดวงดาวที่เดินทางอันยาวไกล ที่รู้ๆกันว่าแสงเดินทาง 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที แต่เวลาบนโลกที่เห็นแสงเดินทางเข้าดวงตาของเป็นในปัจจุบันเป็นเวลาในอดีตของดวงดาวนั้น ถือว่าเราเห็นอดีตได้หรือเปล่า ?

    สมมติว่า ภาพมายาต่างๆในจักรวาลที่เห็นเปรียบเทียบกับเฟรมของโปรแกรม flash ด้วยเทคนิค motion tween จะเห็นได้ว่าภาพแต่ละภาพจะอยู่เป็นลักษณะเป็นภาพนิ่งในเฟรมแต่ละเฟรมพอเราเลื่อนให้เฟรมไหลไปเรื่อยๆเราจะภาพนั้นเคลื่อนไหวได้

    ความคิดเห็นส่วนตัวหากจะเทียบจิตเหมือนเครื่องบันทึกที่เก่าแก่จะยังเสถียรอยู่ตลอดไม่เสื่อม เพราะจิตไม่มีมวลและไม่ขึ้นกับแสงไม่เป็นทาสของไตรลักษณ์(หมายถึงอนุสัยจิต)
    จิตย่อมสามารถที่จะรับรู้ภาพในแต่ละเฟรมของชีวิตที่ผ่านมาได้ ในลักษณะของนิมิตก็คือภาพนิ่งของเฟรมแต่ละเฟรม และเมื่อจิตไม่มีมวลจึงสามารถบันทึกเรื่องราวแต่ภพชาติได้ในขนาดที่เล็กมากๆ (พูดเองก็งงเองครับ :cool: )

    เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับมันมาก อย่าไปคิดเรื่องจิตๆๆๆๆๆ มากเดี๋ยวจะวิปลาสเพราะคำถามมันจะไม่จบ เนี่ย..แค่นี้มันก็บันทึกไว้เยอะพอแล้ว หากจะย้อนดูอดีตต้องเลิกพฤติกรรม Recode เสียก่อน

    อนุโมทนาครับ
     
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ไปทั้งร่างน่ะเหรอไปไม่ได้หรอก กฏของแสง , พลังงาน , สสาร มีไว้ว่า(สรุปแบบคร่าวๆนะ)
    ว่ากันว่า พลังงานและสสารจะไม่มีวันหมดหรือหายไป แต่จะเปลี่ยนจากสถานะหนีงไปเป็นอีกสถานะหนึ่ง เช่น น้ำละเหิยกลายไปเป็นไอน้ำ ไอน้ำที่ว่าก็จะออกเป็น H1อะตอม O2อะตอม หรือเป็นอย่างอื่นทดแทน เป็นต้น ฯลฯ

    เพราะทางทฤษฏีกล่าวไว้ว่า อนุภาคพื้นฐานในจักรวาลคือ โปรตรอน สสารและพลังงานเป็นอันเดียวกันสลับเปลี่ยนสถานะกันตลอดเวลา ( ทนอยู่ได้ยาก = ทุกขัง)

    คราวนี้ "จิต" ตามความเชื่อ จิตตัวนี้ยังไม่สามารถค้นพบได้ในทางกายภาพอาจจะเป็นไปได้ว่าจิตไม่มีมวล เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่ตามองไม่เห็น แต่ในทางพุทธศาสนาสามารถเห็นได้ด้วยจิต

    คราวนี้การเดินทางไปปรากฏตัวในภพภูมิต่างๆ อาจเป็นไปได้ว่าการไปในภพภูมินั้นๆ (มิติแทนด้วยภพภูมิ) คือไปด้วยจิต แล้วไปใช้พลังงานของจิตรวบรวมโปรตรอนของมิตินั้นๆเพื่อก่อธาตุต่างๆขึ้นมาเป็นรูปร่าง (หายตัวจากที่หนึ่งไปปรากฏอยู่อีกที่หนึ่ง) แต่ยังมีคนบอกว่าจะใช้พลังงานสูงหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็เพราะทฤษฏีติดอยู่การหาจิตไม่เจอ แต่กลับไปทดลองโดยการส่งอนุภาคที่เล็กมากๆในระดับอะตอมไปแทน


    ว่าด้วยการเดินทางแสงของดวงดาวที่เดินทางอันยาวไกล ที่รู้ๆกันว่าแสงเดินทาง 3 แสนกิโลเมตรต่อวินาที แต่เวลาบนโลกที่เห็นแสงเดินทางเข้าดวงตาของเป็นในปัจจุบันเป็นเวลาในอดีตของดวงดาวนั้น ถือว่าเราเห็นอดีตได้หรือเปล่า ?

    สมมติว่า ภาพมายาต่างๆในจักรวาลที่เห็นเปรียบเทียบกับเฟรมของโปรแกรม flash ด้วยเทคนิค motion tween จะเห็นได้ว่าภาพแต่ละภาพจะอยู่เป็นลักษณะเป็นภาพนิ่งในเฟรมแต่ละเฟรมพอเราเลื่อนให้เฟรมไหลไปเรื่อยๆเราจะภาพนั้นเคลื่อนไหวได้

    ความคิดเห็นส่วนตัวหากจะเทียบจิตเหมือนเครื่องบันทึกที่เก่าแก่จะยังเสถียรอยู่ตลอดไม่เสื่อม เพราะจิตไม่มีมวลและไม่ขึ้นกับแสงไม่เป็นทาสของไตรลักษณ์(หมายถึงอนุสัยจิต)
    จิตย่อมสามารถที่จะรับรู้ภาพในแต่ละเฟรมของชีวิตที่ผ่านมาได้ ในลักษณะของนิมิตก็คือภาพนิ่งของเฟรมแต่ละเฟรม และเมื่อจิตไม่มีมวลจึงสามารถบันทึกเรื่องราวแต่ภพชาติได้ในขนาดที่เล็กมากๆ (พูดเองก็งงเองครับ :cool: )

    เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับมันมาก อย่าไปคิดเรื่องจิตๆๆๆๆๆ มากเดี๋ยวจะวิปลาสเพราะคำถามมันจะไม่จบ เนี่ย..แค่นี้มันก็บันทึกไว้เยอะพอแล้ว หากจะย้อนดูอดีตต้องเลิกพฤติกรรม Recode เสียก่อน

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    พลังงานและสสาร ถ้านึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงระบบบัญชี "งบดุล"

    สินทรัพย์ , หนีสินและส่วนของเจ้าของ

    ข้างไหนมากน้อยยังไง ตัวเลขมันต้องลงตัวไม่มีหายไปแบบไร้ล่องลอย ไม่มีเพิ่มมาแบบไม่ลงตัว มันต้องมีที่มาที่ไป
     
  5. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    แนวคิดแบบเดิมมันยังผิดอยู่ครับ มวลสสารเดินทางเร็วกว่าแสงได้ครับ แล้วก็ถึงจะเดินทางเร็วกว่าแสงจริง แต่ผลลัพธ์มันไม่ได้หมายความว่าจะย้อนเวลาหรือเดินทางไปในอนาคตได้โดยตรงนะครับ เพราะมวลที่เปลี่ยนตำแหน่งไม่ได้ถูกเปลี่ยนระดับพลังงานหลัก ดังนั้นถ้าจะเดินทางย้อนอดีตจะต้องปรับเปลี่ยนระดับพลังงานหลักของมวลครับ ไม่ใช่การเคลื่อนที่ แต่ที่มีผลพิสูจน์ออกมาเป็นแบบนั้นเพราะว่าภาพรวมของมวลเมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าแสงจะอยู่ในระบบที่จำกัดลักษณะนี้จะถูกต้องตามสมการตามทฤษฎี แต่เมื่อเร็วกว่านั้นมากๆ จนใกล้ความเร็วแสงกฎเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ผลเพราะเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบหรืออีกกฎธรรมชาตินึง มันจึงไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจอย่างในปัจจุบันครับ ส่วนคนหรือพระที่ได้อภิญญาไม่ต้องครบถึง 6 ก็ได้ครับที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ จิตมีความเร็วกว่าแสงมากครับ อย่างระยะสุดขอบของผู้สังเกตในเอกภพนี้อยู่ประมาณหมื่นล้านปีแสง หรือเป็นระยะเวลาประมาณหมื่นล้านปีก่อน แต่จิตเดินทางได้เร็วกว่าแสงมากอย่างน้อยที่ผมเคยเดาๆ ก็ประมาณ 10000 ปีแสงต่อวินาทีเป็นอย่างน้อย ดังนั้นแค่สุดขอบเอกภพที่ผู้สังเกตรับรู้แค่นั้น ยังไม่ใช่สุดขอบที่แท้จริงครับ เอกภพกว้างกว่านั้นเยอะ ก็มีพระที่ได้อภิญญาจะพิสูจน์หาที่สุดของจักรวาล ขนาดเหาะไปด้วยความเร็วของอภิญญา 100 ปียังไปไม่ถึงสุดเลยครับ นับประสาอะไรถ้าเราจะพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะอายุขัยไม่พอจะพิสูจน์เรื่องเหล่านี้เลย แต่ก็ไม่ใช่จะรู้ไม่ได้นะครับ ความจริงมันมีอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับเหตุผลความจริงเหล่านั้นได้ไหม

    สรุปตอบเลยแล้วกันนะครับ ย้อนอดีต หรือไปอนาคตโดยตรงทั้งกายเนื้อและดวงจิตเราเอง ไปจริงๆ ในอดีตโดยนับ ณ ขณะเวลาที่เราไปถึงเป็นปัจจุบันของเรานั้น ไม่สามารถเป็นจริงได้ครับ เหตุผลเพราะอดีต อนาคต ไม่ใช่แค่เส้นทางของเวลา แต่จริงๆ เป็นภาพรวมของนามธรรมที่สะท้อนภาพออกมาเป็นรูปมวลวัตถุต่างๆ ให้เรารับรู้ซึ่งกฎของการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นตัวแปลงสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจเหมือนกับว่าเวลาเดินทางเป็นเส้นตรง ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอดีตก็คือเรา ทุกอนาคตก็คือเรา ต่างกันที่เราจะเอาจุดไหนเป็นจุดสังเกตและเปรียบเทียบ ความต่างของเวลาของความหมายต่างๆ จึงเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะครับ สามารถทำได้ด้วยการเข้าถึงชั้นข้อมูลหลักของธรรมชาติโดยรวม ในระดับพลังงานชั้นนี้ไร้มวลสสาร แต่จะเป็นการคงอยู่ในสภาพของข้อมูลล้วนๆ ถ้าจิตเรามั่นคงพอจะสามารถเข้าไปสืบค้นเอาอดีต หรืออนาคต ณ ช่วงเวลาและตำแหน่งไหนก็ได้(ทุกภพภูมิ) อยู่ที่กำลังของจิตจะเข้าไปสืบค้นถึง แต่โดยปกติแล้วจะมีขอบเขตจำกัด คงจะมีแต่พระโพธิญานของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รับรู้ได้ครบถ้วนตลอดสายจริงๆ

    ที่ไม่มีคนที่ได้อภิญญามาเปิดเผยเรื่องพวกนี้มากนัก ส่วนนึงเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่อได้ยาก และโดยมากคนนอกจากไม่เชื่อเฉยๆ ก็ยังว่ากล่าวตำหนิต่างๆ นานา ผลดีกับคนที่เชื่อและเข้าใจได้มีน้อยกว่า ผลเสียกับคนที่ปรามาสมีมากกว่า ก็ต้องเลี่ยงไม่ให้คนส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน ก็เลยไม่มีใครมายืนยันเรื่องพวกนี้ด้วยกำลังของอภิญญากันหรอกครับ ก็เว้นเสียแต่จะมีสักยุคนึงทุกคนได้อภิญญากันทุกคนเป็นสาธารณะ เรื่องเหล่านี้คงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนก็พิสูจน์และรับรู้ได้ด้วยตนเอง จนเห็นเป็นเรื่องปกติ
     
  6. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    ก็มีพระที่ได้อภิญญาจะพิสูจน์หาที่สุดของจักรวาล ขนาดเหาะไปด้วยความเร็วของอภิญญา 100 ปียังไปไม่ถึงสุดเลยครับ นับประสาอะไรถ้าเราจะพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะอายุขัยไม่พอจะพิสูจน์เรื่องเหล่านี้เลย แต่ก็ไม่ใช่จะรู้ไม่ได้นะครับ ความจริงมันมีอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับเหตุผลความจริงเหล่านั้นได้ไหม


    เหาะกลับอีก100ปี... เหาะไป เหาะกลับ 200ปี แล้วกินข้าวที่ไหนเนี่ย ตายตอนอายุเท่าไหร่
    เฮ๊ย... ใครกันวะ โคตรเจ๋งเลย ยังอยู่หรือเปล่า เหาะกลับมาหรือยัง หรือโทรมาบอกว่ากำลังเหาะกลับ แต่ยังไม่ถึง

    โห... โลกนี้มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย

    เอ่อ... ผมว่า คนที่กลัวมนุษย์ต่างดาวมายึดโลกน่ะ เลิกกลัวได้แล้ว





    เฮ้อ... เป็นความจริงที่เกินสติปัญญาของเราจะรับได้จริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...