ของที่ได้โดยยาก พระธรรมเทศนาหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย หลับอยู่, 27 พฤษภาคม 2015.

  1. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +293
    7 พฤศจิกายน 2497
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
    <TABLE style="WIDTH: 274px; HEIGHT: 49px"><TBODY><TR><TD>ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ</TD><TD>พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ</TD></TR><TR><TD>ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ</TD><TD>สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภติ.



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงใน ทุลฺลภ สิ่งที่หาได้โดยยาก ทั้ง 4 ประการนี้ จะชี้แจงแสดงตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย กว่าจะยุติกาล ลงโดยสมควรแก่เวลา


    เริ่มต้นใน ทุลฺลภ ทั้ง 4 นี้ว่า ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ ความได้เป็นมนุษย์เป็นของได้ยาก เป็นประการแรก พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยาก เป็นประการที่สอง ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยเป็นของได้ยาก เป็น ประการที่ 3 สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ สัทธรรมเป็นของได้ยากยิ่ง เป็นประการที่ 4 ทุลฺลภ ทั้ง 4 ประการนี้ แปล เนื้อความของพระบาลีเป็นสยามได้ความเท่านี้


    ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายความเป็นลำดับไป
    อัตภาพเป็นมนุษย์ที่ได้ยากนั้นเป็นไฉน เพราะความบังเกิดขึ้นของมนุษย์ ต้องบริสุทธิ์ด้วยกาย บริสุทธิ์ด้วยวาจา บริสุทธิ์ด้วยใจ ไม่มีขาดตกบกพร่องเลย จึงจะได้อัตภาพเป็นมนุษย์


    ความบริสุทธิ์ด้วย กาย นั้น เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ทำลาย ชีวิตสัตว์ เว้นขาดจากถือเอาวัตถุที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมยและหลอกลวง ฉ้อโกงต่างๆ คือเว้นจากถือพัสดุที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยเป็นของตน ชักชวนบุคคลอื่นไม่ให้ถือ เอาพัสดุที่เจ้าของมิได้ให้ และยินดีในการที่ไม่ถือเอาพัสดุที่เจ้าของมิได้ให้ และสรรเสริญ การดำเนินเช่นนั้น นี้ได้ชื่อว่าไม่ถือเอาพัสดุที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นจากประพฤติผิดในกาม ด้วยตนของตน เว้นจากการชักชวนบุคคลอื่นให้ประพฤติผิดในกาม และไม่สรรเสริญ ผู้ดำเนินด้วยกายวาจาเช่นนั้น และไม่ยินดีพวกดำเนินประพฤติเช่นนั้นตลอดไป นี้ 3 ข้อ แยกออกเป็นข้อละ 4 ๆ เป็น 12 ข้อนี้ เว้นขาดจากใจ ไม่ได้มีการกระทบจิตใจ ในกาย วาจา ตลอดถึงใจของตนเลย ดังนี้ได้ชื่อว่า บริสุทธิ์กาย


    ส่วน วาจา ไม่พูดปด พูดแต่ถ้อยคำที่จริงด้วยตนของตน ชักชวนบุคคลผู้อื่นให้ พูดคำที่จริงเหมือนตน ยินดีพวกกล่าวถ้อยคำจริงเหมือนตน สั่งสอนและสรรเสริญพวกที่ พูดจริงเหมือนตน 4 ข้อนี้เป็นวาจาบริสุทธิ์ เว้นจากพูดกล่าวคำหยาบช้า ด่าชาติด่าตระกูล กล่าวคำไม่เป็นที่ไพเราะเสนาะโสต คำหยาบช้าทารุณเช่นนี้ ตัวเองเว้นได้ดี ชักชวนบุคคล ผู้อื่นให้เว้นด้วยเหมือนอย่างตนบ้าง ยินดีพวกเว้นจากคำหยาบเช่นนั้น สรรเสริญพวกดำเนิน ด้วยการไม่กล่าวคำหยาบเช่นนั้นบ้าง นี้เรียกว่าเป็นดีส่วนหนึ่ง กล่าวคำสมาน ไม่กล่าวคำ แตกร้าวฉาน แล้วกล่าวคำสมานให้กลมเกลียวสนิทชิดชมในกันและกัน แล้วชักชวนบุคคล ผู้อื่นให้กล่าวคำสมานเหมือนอย่างตนบ้าง ยินดีพวกกล่าวคำสมาน สรรเสริญพวกกล่าว คำสมาน นี่เป็นวาจาบริสุทธิ์ กล่าวคำเป็นหลักเป็นธรรมวินัย เมื่อต้องการหาความจริง สาวหาเหตุได้ ไม่ใช่ถ้อยคำเหลาะแหละเหลวไหล กล่าวคำเป็นหลักเป็นธรรมวินัยด้วยตน ของตนแล้ว ชักชวนบุคคลผู้อื่นให้กล่าวถ้อยคำเป็นธรรมเป็นวินัยเหมือนตนบ้าง ยินดีพวก กล่าวถ้อยคำเป็นธรรมวินัย สรรเสริญพวกกล่าวถ้อยคำเป็นธรรมเป็นวินัยเหมือนตน นี่ เรียกว่า วจีสุจริต อีกอย่างหนึ่ง บริสุทธิ์ทั้ง 4 ข้อนี้ รวมเป็นข้อละ 4 ๆ เป็น 16 ข้อ วาจา บริสุทธิ์ทั้ง 16 ข้อนี้แล้ว เรียกว่า วจีสุจริต


    ส่วน ใจ ก็ด้วยเหมือนกัน ไม่โลภ อยากได้ของเขา คิดจะให้สมบัติของเราเป็นเบื้อง หน้า คิดชักชวนบุคคลผู้อื่นให้สละสมบัติของตน ให้แก่บุคคลผู้อื่น นี่เป็นมโนสุจริต ไม่โกรธ ไม่พยาบาท เป็นคนเมตตาแก่ตนและบุคคลผู้อื่นทุกถ้วนหน้า รักใคร่ปรารถนาจะให้เขาเป็น สุข เขาเป็นสุขแล้วยินดีชอบอกชอบใจ แล้วก็ชักชวนบุคคลผู้อื่นให้ดำเนินเช่นนั้น สรรเสริญ พวกดำเนินเช่นนั้น ยินดีพวกดำเนินเช่นนั้น นี้เป็นมโนสุจริต ความเห็นผิดไม่กล่าว ความ เห็นผิดทางใจเลิกเสีย ให้ความเห็นถูก เห็นถูกด้วยตัวของตัวแล้ว ชักชวนบุคคลผู้อื่นให้ เห็นถูก ยินดีในการเห็นถูก สรรเสริญในการเห็นถูก 3 ข้อนี้ ข้อละ 4 ๆ เป็น 12 นี้เรียกว่า มโนสุจริต

    เมื่อบริสุทธิ์ ไม่พิรุธทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ 3 ประการนี้แล้ว เรียกว่า เป็นหลัก ประธานของการประพฤติธรรมที่จะทำให้เป็นมนุษย์ เมื่อบริสุทธิ์ ไม่มีพิรุธ แตกกายทำลาย ขันธ์จากมนุษย์ ได้กลับเป็นมนุษย์อีกทันที เมื่อประพฤติขึ้นไปกว่านี้ ประพฤติดีขึ้นกว่า บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ ประพฤติดีขึ้นไปกว่านี้ ก็ได้เป็นมนุษย์สูงขึ้นไปกว่านี้ เป็นมนุษย์เกินมนุษย์ขึ้นไป นี้กล่าวเฉพาะ ธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ เป็นของได้ยาก ดังนี้นะ
    เมื่อเราปรับกับตัวของเราแล้วละก็ ขาดธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์มากนัก ขาดธรรมที่ทำให้ เป็นมนุษย์จะไปเป็นอะไร เมื่อขาดธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์ละก้อ แตกกายทำลายขันธ์จาก มนุษย์ ต้องไปเกิดเป็นเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เกิดในนรก 456 ขุมบ้าง ขุมใดขุมหนึ่ง อบายภูมิทั้ง 4 ไม่เคลื่อนล่ะ ไม่พ้น พอเคลื่อนจากการเป็นมนุษย์แล้ว ก็เป็น ผู้ไปอบายภูมิทั้ง 4 ทีเดียว เพราะเหตุนี้ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของได้ยาก ไม่ใช่เป็นของได้ง่าย เกิดเป็นมนุษย์ต้องประพฤติถูกธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์จึงได้ง่าย ถ้าเคลื่อนจากธรรมที่ทำให้ เป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ไม่ได้


    เหตุนี้เราจะต้องคาดคั้นตัวเองเสียให้ดี ว่าเราได้อัตภาพเป็นมนุษย์ด้วยความบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วละก็ ต่อแต่นี้ไปเราจะเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ เราจะเป็นกับเขาอีก ต้องพินิจ พิจารณา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แค่เราเกิดนี้ยังเป็นมนุษย์ชั้นต่ำอยู่ หรือแค่เป็นมนุษย์ ชั้นกลาง หรือเป็นมนุษย์ชั้นสูง เราก็รู้ได้ เกิดเป็นมนุษย์ชั้นสูงก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็น ผู้ปกครองประเทศ เป็นเศรษฐี พวกโน้นเป็นมนุษย์ชั้นสูง ลดส่วนกว่านั้นลงมา
    มนุษย์ชั้น กลางๆ ลดส่วนจากพวกกษัตริย์ เศรษฐีลงมา เป็นมนุษย์ธรรมดา เขาเรียกว่าเป็นพลเมืองดี เป็นคนมั่งมี คหบดี มีทรัพย์สมบัติ มีบริษัทมีบริวารมาก เป็นคนสุจริตนั้น บริสุทธิ์สนิทดี เป็นมนุษย์ชั้นกลาง เป็นมนุษย์ชั้นต่ำ หาเช้ากินค่ำ หยุดทำงานไม่ได้ ข้าวสารไม่มีกรอกหม้อ พวกไหนหยุดทำงานไม่ได้ พวกไหนไม่มีงานทำ ไม่มีเวลาหยุด พวกนั้นแหละมนุษย์ชั้นต่ำ ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ หยุดทำงานไม่ได้ ข้าวสารไม่มีกรอกหม้อ นั้นเรียกว่ามนุษย์ชั้นต่ำ
    หรือต่ำลงไปกว่านั้น เป็นคนขอทานนั้นก็ต่ำมาก ชั้นต่ำก็ต้องจัดไปอีกมา มนุษย์ชั้นต่ำ ของต่ำ มนุษย์ชั้นต่ำของกลาง มนุษย์ชั้นต่ำของสูง สูงในชั้นต่ำ กลางในชั้นต่ำ ต่ำในชั้นต่ำ แยกออกไปดังนี้ มากมายนัก เราอยากเป็นมนุษย์ชั้นไหน เราต้องแก้ไขตัวของตัวเรา ใน เวลาเราจะเป็นมนุษย์อีก บริสุทธิ์ด้วยกายดังกล่าวแล้ว บริสุทธิ์ด้วยวาจาดังกล่าวแล้ว บริสุทธิ์ด้วยใจดังกล่าวแล้ว เราจะต้องมีมารยาทเพิ่มเติมอีก เราต้องการเป็นคนดี เมื่อเวลา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องใช้มารยาทให้เรียบร้อย เวลาจะ ให้ทาน ต้องใช้มารยาทที่นุ่มนวลเป็นที่น่าดูน่าชม ใครเห็นก็นิยม เมื่อเราอยากจะทำเช่นนั้น บ้าง เมื่อมีมารยาทเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเหตุให้เกิดสกุลสูง มันจะให้เป็นมนุษย์ที่มีมารยาทดี ต้องแก้ไขตัวของตัวเช่นนี้ ส่วนวาจาเล่า จะพูดจาปราศรัยกับบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด ผู้เฒ่าผู้แก่ สมณพราหมณาจารย์ ก็พูดแต่ถ้อยคำที่นุ่มนวลชวนสดับ ถ้อยคำที่กักขฬะชั่วช้าหยาบคาย อย่าเอาไปใช้ ถ้าใช้เข้าแล้วมันเป็นนิสัยติดไป จะไปเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้นบ้าง ให้ใช้วาจา ที่นุ่มนวลชวนสดับทีเดียว เวลาให้ทาน จำศีล ภาวนา เมื่อใช้อยู่จนกระทั่งเคยติดกาย ติด วาจา ติดใจ เช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นคนดีได้ต่อไปในภายหน้า


    ส่วนใจเล่า ใจก็ต้องให้นุ่มนวล ให้อ่อนโยน ต้องใช้ใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ใจเป็น อกุศลไม่เอาเข้ามาใช้ ใจที่เห็นผิด เข้าใจผิด อย่าเอามาใช้ ใจที่เห็นชอบ เห็นถูก ก็เอาเข้า มาใช้ อย่างชนิดนั้นเกิดไปในภายหน้าเป็นมนุษย์ชั้นสูง หรืออย่างต่ำพลาดพลั้งลงมา ก็ชั้น กลางของสูง พลาดพลั้งลงมาก็ชั้นต่ำของสูง เราจะไม่ตกไปเป็นมนุษย์ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ให้แก้ไขตัวดังนี้ ให้มั่นหมายทีเดียว ถ้าได้เช่นนั้นแล้วละก็ จะได้อัตภาพว่า เป็นมนุษย์ สมมาดปรารถนา

    สมด้วยบาลีว่า ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ ได้เป็นมนุษย์เป็นของได้ยาก เราก็ได้ เป็นมนุษย์ สมมาดปรารถนา
    พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า เป็นของได้ยาก ความบังเกิด ขึ้นของพระพุทธเจ้านะ บังเกิดอย่างไร เราฟังกันมานานแล้ว ความบังเกิดขึ้นของมนุษย์ เป็นของได้ยาก พุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระสิทธัตถราชกุมาร นานกว่าจะได้เป็น พระพุทธเจ้า ได้รับพยากรณ์แล้วนะ 4 อสงไขยแสนกัป ได้รับพยากรณ์เมื่อครั้งพระพุทธทีปังกรได้เสด็จเข้าไปเมืองอมรวดี ทอดตัวลงที่เปลือกตม อาราธนาให้พระพุทธทีปังกร ให้เดินเป็นสะพานไปให้ข้าม เหยียบตัวสุเมธดาบส ข้ามไปเป็นสะพาน พระสงฆ์แสนรูปก็ ข้ามไปเช่นกัน เหยียบตัวของสุเมธดาบสนั้น พอสุดหมดพระสงฆ์แล้ว มนุษย์หนึ่งแสนเดิน เหยียบไปได้ ถ้าว่าบารมีไม่แก่กล้าแล้ว ก็ตายคาเท้าเชียวนะ ไม่ใช่พอดีพอร้ายนะ มนุษย์ แสนหนึ่งนะ เอาไม้ไผ่มาเป็นแพๆ นะ วางไว้เกือบแหลกเชียวนะ เหยียบเสียเกือบแหลก เชียว ถึงแสนหนึ่งนะ ไม่ใช่น้อยนะ ที่ทนอยู่ได้ก็เพราะบารมี


    สุเมธดาบส แกมีฌานสมาบัติ แกเห็นจะต้องเข้าฌานสมาบัติเวลานั้น ถ้าไม่เข้า ฌานสมาบัติ กายแกจะแหลกแน่ แต่ว่าแกอยู่ในเปลือกตม เหยียบลงไปมันก็หยุ่นๆ มันไม่ แข็งแรงนัก อ้ายเปลือกตมมันรองรับอยู่ข้างล่าง เหมือนอยู่บนเบาะบนฟูกก็พอทนได้ พอข้าม ไปเสร็จแล้ว พระพุทธทีปังกรก็เสด็จหันพระพักตร์กลับมา พระสงฆ์กลับมาพร้อมกัน มาล้อม อยู่ที่สุเมธดาบสนั้น ทรงรับสั่งถามพระสงฆ์ทั้งหลาย
    พระสงฆ์ทั้งหลายรู้จักไหม ดาบสผู้นี้นะ คือใคร

    ไม่มีใครรู้จัก พระองค์ก็ทรงตรัสว่า ดาบสผู้นี้นะ น้องชายเราตถาคตนะ

    ต่อไปในภาย หน้าอีก 4 อสงไขยแสนกัป จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างเราเช่นนี้ ทรงรับสั่งเรื่อง พุทธมารดา พุทธบิดา พุทธอนุชา พุทธบุตร เสร็จทีเดียว พระสาวกซ้ายขวาเสร็จ เมื่อได้ พุทธพยากรณ์เสร็จแล้วเช่นนั้น ดีอกดีใจ สุเมธดาบสเหมือนจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันพรุ่งนี้ ทีเดียว มันหมายความเป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว ก็ตรึกนึกในใจว่า เออ! นี่เราได้รับพยากรณ์ แล้ว จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว แต่เรื่องความเป็นพระพุทธเจ้านะ เริ่มต้นเราจะทำอะไร กันเล่า จึงจะเริ่มต้นความเป็นพระพุทธเจ้า นี่ทำอย่างไรกัน พระองค์ฉลาดปรีชาสามารถรอบรู้ ทุกสิ่งทุกประการว่าเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ไปเกิดมาเกิดอยู่อย่างนี้อีก 4 อสงไขย แสนกัป ถ้าเราเลินเล่อเผลอตัวเมื่อไรแล้ว ต้องทนยากลำบาก ถ้าเราไม่เลินเล่อเผลอตัวแล้ว ละก้อ เราจะเป็นคนมั่งมี เราจะทำอย่างไรเล่า นี่เราจะต้องให้ทาน เริ่มต้นต้องให้ทาน ต้อง ให้ทานกันยกใหญ่ ใครขออะไรเราให้ทั้งนั้น ถ้าไม่ขอเราก็ให้คนจนคนยากเสมอไป เกิด ชาติใดภพใดไม่ขาดสายทีเดียว เรื่องให้ทานก็มั่นหมายด้วยพระทัยว่า เช่นนั้นพระโพธิสัตว์ จึงได้สร้างบารมีให้ทานเป็นเบื้องหน้า เกิดมาเป็นมนุษย์ให้ทานเป็นเบื้องหน้าทีเดียว ทาน นั่นแหละจะเป็นชนกกรรมนำไปเกิดในสกุลที่มั่งมีมาก เพราะผลทานส่งให้ เมื่อให้ทานแล้ว สมบูรณ์บริบูรณ์ ผู้ยากขัดสนก็สมบูรณ์ อ้ายความสมบูรณ์ที่ให้แก่เขานะ กลับมาเป็นของตัว มากน้อยเท่าใดกลับมาเป็นของตัวทั้งหมด ปรากฏว่าพระองค์ให้ถึงปัญจมหาบริจาค ให้ทาน วัตถุนอกกาย เงินทอง ข้าวของ ตึกร้านบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา เรือนแพ นาวา สมบัติ พัสถาน ทรัพย์ศฤงคาร บริวารให้หมด การให้เช่นนี้ เป็น ทานบารมี เท่านั้น ยังไม่เป็น ทานอุปบารมี
    ให้เนื้อ และ เลือดของตัวเองเป็นทานได้ นี้เป็น ทานอุปบารมี ให้ชีวิตเป็นทาน ได้นี้ เป็น ทานปรมัตถบารมี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +293
    เมื่อให้ทาน 3 ประการเช่นนี้แล้ว ยังไม่พอ

    ในชาติเป็นพระเวสสันดรหรือชาติใดๆ ก็ตาม ที่ให้ทาน ให้ลูกเป็นทาน ให้เมียเป็นทาน เมื่อชูชกไปขอกัณหาชาลีที่เขาวงกต พระราชทานกัณหาชาลีทั้งสองให้ชูชก นั้นเรียกว่า ปุตตบริจาค เป็นทานข้อคำรบ 4 พระอินทร์ เห็นว่าไม่ได้การ พระเวสสันดรนี้ใจกล้าหาญนัก เรื่องศรัทธาบารมีมีเต็มอยู่แล้ว

    ถ้ามี ผู้หนึ่งผู้ใดมาขอมัทรี จะให้เสียอีก ถ้าให้เสียอีก เธอก็จะลำบาก หาลูกไม้บริโภคเอง ถ้าหาก ว่ามัทรีอยู่ ก็จะได้หาผลหมากรากไม้มาให้ทรงเสวย พระอินทร์ก็แปลงเป็นพราหมณ์ลงมา ขอมัทรีเสียทีเดียว ขอก็ทรงพระราชทานพระมัทรีให้ แต่ว่าพราหมณ์ฉลาด ข้าพระพุทธเจ้า ได้ขอพระมัทรี พระองค์ได้ทรงพระราชทานแก่ข้าพระพุทธเจ้า เป็นสิทธิ์ของหม่อมฉันแล้ว ต่อแต่นี้ไปผู้หนึ่งผู้ใดมาขอ ให้ไม่ได้ แต่ว่าหม่อมฉันจะขอฝากพระองค์ไว้ กว่าเมื่อใด ต้องการจึงจะมาเอา ถ้ายังไม่ต้องการ จะให้ใครผู้หนึ่งผู้ใดเป็นไม่ได้ เป็นของหม่อมฉันแล้ว แกคาดคั้นไว้เสียเช่นนี้ ใครมาขออีกเท่าไรก็ไม่ได้แล้ว เพราะแกให้พราหมณ์ไปเสียแล้ว นี่ พระอินทร์มาสงเคราะห์พระเวสสันดร ให้พระมัทรีอยู่พิทักษ์รักษา จะได้ไม่ลำบากด้วย พระกระยาหารแต่อย่างหนึ่งอย่างใด นี้ได้ชื่อว่าให้ภรรยาเป็นทานอีกแล้ว จิตบริจาคอันหนึ่ง เป็น 5 เรียกว่า ปัญจมหาบริจาค ให้ทานจริงๆ เช่นนี้นะ ไม่ใช่พอดี พอร้ายนะ


    ถ้าให้ทาน ให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ของชอบใจไม่ให้เก็บเสีย ซ่อนเสีย ของไม่ดีที่ ไม่เสมอใจให้เสีย ให้อย่างนี้มันเลือกให้
    ให้ของไม่ดีเป็นทาน เป็นทาสทาน จัดว่ายังเข้าไม่ถึง สหายทาน เป็นทาสทานแท้ๆ เพราะเลือกให้

    หากว่ามีมะม่วงสัก 3 ใบตั้งขึ้นก็จะให้ใบเล็ก เท่านั้นแหละ เอามะม่วง 3 ใบเท่าๆ กัน ก็จะให้ใบที่ไม่ชอบใจนั่นแหละ เอามะม่วง 3 ใบ เสมอกัน ก็จะเลือกเอาอีกแหละ ลูกที่ไม่ชอบจึงให้ ลูกที่ชอบไม่ให้ หรือมันใกล้จะสุกแล้ว ไม่ให้ ให้ที่อ่อนๆ ไปอย่างนี้ อย่างนี้เป็นทาสทาน ไม่ใช่สหายทาน

    ถ้าให้สหายทานจริงแล้ว ก็ตัวบริโภคใช้สอยอย่างไร ให้อย่างนั้น เป็นสหายทาน

    ถ้าว่าสามีทานละก้อ เลือกหัวกระเด็นให้ เลือกให้ของที่ไม่ดีกว่านั้นต่อไป ถ้าเลือกหัวกระเด็น ให้เช่นนี้ละก็ เป็นสามีทาน ลักษณะโพธิสัตว์เจ้าให้ทานนะ ให้สามีทานนะ ให้สหายทาน สามีทานทีเดียว ทาสทานไม่ให้ นี้เราสามัญสัตว์ ชอบให้แต่ของที่ไม่ประณีต ไม่เป็นที่ของ ที่ชอบเนื้อเจริญใจละก็ให้ มันก็เป็นทาสทานไป เสมอที่ตนใช้สอยมัน ก็เป็นสหายทานไป ยิ่งกว่าตนใช้สอย มันก็เป็นสามีทานไป แต่ว่าพวกเราที่บัดนี้ เป็นสามีทานอยู่ก็มี เช่นเลี้ยง พระสงฆ์องค์เจ้า ตบแต่งสูปพยัญชนะเกินกว่าเราบริโภคทุกวันๆ ที่เกินใช้สอย เช่นนี้เป็น สามีทาน ประณีตบรรจงแล้วจึงให้ อย่างนี้เรียกว่า สามีทาน



    ทานนี่แหละเป็นข้อสำคัญนัก พระโพธิสัตว์จะได้เสด็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็อาศัยทาน นี้แหละ ไม่ให้ทานละก้อ เป็นไม่สำเร็จทีเดียว เพราะฉะนั้นบัดนี้วัดปากน้ำที่มีภิกษุสามเณร มารวมอยู่มาก ก็เพราะอาศัยเจ้าอาวาสบริจาคทาน บริจาคมานาน 37 ปี บริจาคมา บริจาคเรื่อย ไม่ได้ครั่นคร้ามนะ ถ้าว่าใครไม่มาบริจาค ก็บอกผู้หนึ่งผู้ใดมาบริจาคด้วยละ ก็ทำไป ถ้าว่าไม่พอละก้อ เท่าใดก็ให้ทีเดียว เป็นหนี้เป็นสินยอมทีเดียว เขาจะบริจาคทาน ทำบารมี ไปในอนาคตกาลข้างหน้ากันอย่างนั้น เรียกว่า ความเป็นพุทธเจ้า นะ ไม่ใช่เป็น ของได้ง่าย ของได้ยาก


    เมื่อพระสิทธัตถราชกุมารเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็เพราะอาศัยเบื้องต้นให้ทานทีเดียว ทั้งเป็นสุเมธดาบส ท่านกำหนดจะเป็นพระพุทธเจ้า นึกอยู่แต่ในใจ 7 อสงไขย แต่ออกวาจา ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ปรารถนาอย่างนี้แล้ว ก็อีก 9 อสงไขย ได้รับพยากรณ์แล้วเมื่อครั้งเป็นสุเมธดาบส เมื่อพระพุทธทีปังกรได้ทรง พยากรณ์ไว้เช่นนั้นแล้ว ต่อไปอีก 4 อสงไขยแสนกัป รวมทั้งหมด สร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขย หนึ่งแสนกัป ที่พระสิทธัตถราชกุมารได้ทำสูงขึ้นไปกว่านี้ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พิสดารออกไปแล้วก็ 8 อสงไขยแสนกัป นี้หลักการอย่างนี้เรียกว่า 16 อสงไขยแสนกัปนะ ต้องแยกพิศดารออกไปอีก ตามจำนวนอีกเท่าหนึ่ง เรียกว่าปรารถนาบารมีท่านสูง สามพวก นี้แหละที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่อย่างย่อลงไปก็ 4 อสงไขยแสนกัป 8 อสงไขยแสนกัป 16 อสงไขยแสนกัป สามจำนวนนี้ แต่ว่าสร้างบารมีกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่เป็น ของง่าย


    ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี เป็นทั้งนั้น
    ศีลบารมี ศีลอุปบารมศีลปรมัตถบารมี เป็นทั้งนั้น
    เนกขัมมบารมี เนกขัมมอุปบารมี เนกขัมมปรมัตถบารมี ปัญญาบารมี ปัญญาอุปบารมี ปัญญาปรมัตถบารมี วิริยบารมี วิริยอุปบารมี วิริยปรมัตถบารมี ขันติบารมี ขันติอุปบารมี ขันติปรมัตถบารมี สัจจบารมี สัจจอุปบารมี สัจจปรมัตถบารมี อธิษฐานความตั้งใจมั่น อธิษฐานบารมี อธิษฐานอุปบารมี อธิษฐานปรมัตถบารมี เมตตาบารมี เมตตาอุปบารมี เมตตาปรมัตถบารมี อุเบกขาบารมี อุเบกขาอุปบารมี อุเบกขาปรมัตถบารมี เต็ม 30 ทัศ


    แต่ว่าบารมีหนึ่งๆ กว่าจะได้เป็นบารมีนะ ไม่ใช่เป็นของง่าย ทานบารมีเต็มดวงนะ ดวงบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน ได้เป็นดวงบุญ ดวงบุญใหญ่โตเล็กเท่าไหร่ไม่ว่า สร้างไป เถอะ ทำไปเถอะ แล้วเอาดวงบุญนั้นมากลั่นเป็นบารมี ดวงบุญมากลั่นเป็นบารมีนะ บุญมี คืบหนึ่ง เต็มเปี่ยมเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทีเดียว เอามากลั่นเป็นบารมีได้นิ้วเดียว เท่านั้น เอง กลมรอบตัวเท่านั้นแหละ กลั่นไปอย่างนี้แหละทุกบารมี ไปจนกว่าบารมีนั้นจะเต็มส่วน แล้วก็บารมีที่จะเป็นอุปบารมี เอา บารมี นั้นแหละ คืบหนึ่งเต็มส่วนเอามากลั่นเป็นอุปบารมี ได้นิ้วเดียว แล้วเอา อุปบารมี นั่นแหละ คืบหนึ่ง กลมรอบตัว เอามากลั่นเป็นปรมัตถบารมี ได้นิ้วเดียว

    บารมี ก็ดี
    อุปบารมี ก็ดี
    ปรมัตถบารมี ก็ดี
    วัดผ่าเส้นศูนย์กลางกลมรอบตัวทุกบารมีไป มีทั้ง 30 ทัศ จึงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยากนักเรื่องนี้ยากนัก พระองค์จึงได้ทรงโปรด ออกพระโอษฐ์ว่า
    พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยาก
    ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ที่จะถึงด้วยทานมัย เป็นของได้ยากอีกประการหนึ่ง ถึงพร้อม ด้วยทานมัยเป็นอย่างใด พระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสขึ้นในโลกนี้ พูดถึงทานมัยนี้ เราไปเกิด เสียบ้านนอกเมืองดอนรอนแขมแรมไพร สิบวันพันปี ไม่พบภิกษุสามเณรผ่านไป ทางนั้น สักหนหนึ่ง นี่เป็นอขณสมัยเสียข้อหนึ่งแล้ว พระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดในโลกโน้น ไปเกิดเป็น สัตว์นรกเสีย ก็เป็นอขณสมัยเสีย ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย

    พระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้น ในโลก ก็เป็นอขณสมัยเสีย ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกายเสีย ก็เป็นอขณสมัยอีกเหมือนกัน

    พระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ก็ไปเกิดเป็นอรูปสัตว์ ชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น หรืออสัญญีสัตว์โน้น

    พระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกได้เสียกำเนิด นี้ก็เป็นอขณสมัย พระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดในโลก เขาเรียกว่าเป็นบ้าเสีย เอาเรื่องไม่ได้ นี้ก็ เป็นอขณสมัย

    พระพุทธเจ้ามาอุบัติในโลก เป็นคนดีบริสุทธิ์ ตัวกลับเฉลียวฉลาด พูดจา ปราศรัยไม่ได้กลัวใคร ไม่ได้ครั่นคร้ามผู้หนึ่งผู้ใด พระพุทธเจ้าก็ไม่กลัวเสียอีก กลับดูถูก ดูหมิ่นพระพุทธเจ้าไปเสียอีก หาว่าตัวฉลาดกว่าพระพุทธเจ้าเข้าไปเสียอีก พูดจาปราศรัย ไม่มีใครเทียมทันทั้งนั้น

    ผู้คนชนิดนี้เขาเรียกว่า เอฬมตฺตโก บ้าน้ำลาย เอาจริงไม่ได้ ดูถูก ดูหมิ่นคละไปเสียอีก เป็น เอฬมตฺตโก เป็นอขณสมัย เหมือนกับไม่พบพุทธศาสนา ไม่พบ พระพุทธเจ้าทีเดียวนั้นแหละ แบบเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเสีย ก็ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอขณสมัยเสียอีกเหมือนกัน ไม่เอาจริง พวกนี้เหลวไหลทั้งนั้น อขณสมัย พระพุทธเจ้า มาอุบัติตรัสขึ้นในโลก ตัวเองเป็นคนสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เลื่อมใสเหมือนภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ในบัดนี้ก็เหมือนกันละนะ ต่างพวกเป็นคนบ้าน้ำลายเหมือนกัน เอฬมตฺตโก ดีแต่พูดไม่จริงซักอย่างหนึ่ง ไอ้ชนิดนี้เขาเรียกว่าบ้าน้ำลาย เป็นอขณสมัย มาพบพุทธศาสนาไม่ได้อะไร เสียเวลาเปล่า ให้เป็นโทษเสียอีก

    ทว่าเลื่อมใสในศาสนาในพระศาสดาจริงๆ เหมือนกับ ท่านทั้งหลายที่ได้บริจาคทาน ได้ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ปรากฏอยู่เช่นนี้ ก็ได้ชื่อว่าถึงพร้อมด้วยขณะถึงพร้อมด้วย สมัย ไม่เสียทีที่เป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา ได้บริจาคทานในพุทธศาสนา ได้มารักษา ศีลในพุทธศาสนา โดยน้ำใสใจจริง ได้เจริญภาวนาในพระพุทธศาสนา ทำไมว่ามีเจริญ ภาวนา มี ธรรมกาย ขึ้น เรียกว่าเข้าถึงรัตนตรัย เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาทีเดียว มีธรรมกาย ขึ้นเหมือนวัดปากน้ำได้มีตั้ง 150 กว่าคน มีธรรมกายทั้งหญิงทั้งชาย ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มีธรรมกาย 150 กว่าคน ไปนรก ไปสวรรค์ ไปนิพพาน ได้อย่างนี้ ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ถึงพร้อมด้วยขณะ ถึงพร้อมด้วยสมัยแท้ๆ ทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วละก็ นี่ แหละที่พระองค์ทรงรับสั่งว่า ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ พร้อมด้วยขณะพร้อมด้วยสมัยเป็นของ ได้ยาก เป็นประการที่ 3

    สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ สัทธรรม เป็นของได้ยากยิ่ง สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างยิ่ง นะเป็นไฉน สัทธรรมคือธรรมเครื่องสงบระงับ แยกบทออกไปว่า สนฺโต ธมฺโม อันว่าธรรม ของผู้สงบระงับ ธรรมสงบระงับนั่นคือธรรมอะไร อยู่ที่ไหน กุศลธรรมสงบระงับเสียซึ่ง อกุศลธรรม หรือสงบระงับเสียซึ่งบาปชั่ว นี้สงบระงับเสียซึ่งชั่ว สุจริตสงบระงับเสียซึ่งทุจริต นี้ก็เป็นสัจจธรรมส่วนหนึ่ง ภายนอกศีล 5 เป็นสัทธรรมของทุกศีล ทั้งศีล 5 ศีล 8 เป็น สัทธรรมของทุกศีล ทั้งศีล 8 ศีล 10 เป็นสัทธรรมของทุกศีล ทั้งศีล 10 ศีล 227 เป็น สัทธรรมของทุกศีล ทั้ง 227 ข้อนั้น นี่เป็นสัทธรรมโดยย่อ ที่เรียกว่าเป็นสัทธรรมจริงแท้ แน่นอนเป็นไฉน

    สัทธรรม แปลว่า ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ทำให้สัทธรรมของพวกนรก สัตว์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ท่วมทับธรรมให้เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หายไป แทรกซอนเข้ามาไม่ได้ อยู่ด้วยความบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ใจ นี่เป็น สัทธรรมของมนุษย์

    ถ้าเป็นดวงใสบริสุทธิ์ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางกายมนุษย์ ใสเป็น กระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ด้ายกลุ่มขึงเส้นตึง ตรงกลางมาจรด กันนั่น “กลางกั๊ก” กลางกั๊กนั่นถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟอง ไข่แดงของไก่ ดวงธรรมดวงนั้นแหละได้ชื่อว่าเป็นสัทธรรมแท้ๆ เรียกว่า สัทธรรมของมนุษย์ ธรรมเครื่องสงบ ธรรมที่ทำให้เป็นอมนุษย์ไม่มีต่อไป เป็นมนุษย์ก็เกิดปรากฏขึ้นนั่นชั้นหนึ่ง
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด ที่นอนฝันออกไป 2 เท่าฟองไข่แดงของไก่ ธรรมดวงนั้นเป็นสัทธรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์สูงขึ้นไป
    ไปถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ 3 เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นเป็นสัทธรรมของ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด 4 เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นเป็นสัทธรรม ของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพรหม 5 เท่าฟองไข่แดงของไก่ กลมรอบตัว นั่นเป็น สัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด 6 เท่าฟองไข่แดงของไก่ กลมรอบ ตัว นั่นเป็นสัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม 7 เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นเป็นสัทธรรม ของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด 8 เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นเป็น สัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมหยาบ
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็น ธรรมกาย วัดหน้าตักเท่าหน้าตักธรรมกาย ใหญ่เท่าใด แต่ว่า หย่อนกว่า 5 วา สูง 5 วา นั่นเป็นสัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียด วัดเส้นผ่าศูนย์กลางกลมรอบตัว นี่เป็น สัทธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมกาย เป็นลำดับขึ้นไป
    เข้าถึงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดา นั่นเป็นพระสัทธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายละเอียด 5 วา กลมรอบตัว
    เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระโสดาละเอียด นั่นเป็นสัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้ เป็นกายพระโสดา
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคา เป็นสัทธรรมของดวงธรรมที่ทำให้เป็น พระโสดาละเอียด นั้นหนักจุขึ้นไป 10 วา กลมรอบตัว
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายพระสกทาคาละเอียด 10 วา นั่นเป็นสัทธรรมของ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคาหยาบ
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา วัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 วา กลมรอบตัว นั่นเป็น สัทธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายพระสกทาคาละเอียด
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียด 15 วา กลมรอบตัว เป็นสัทธรรมของ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาหยาบ
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัต 20 วา กลมรอบตัวเหมือนกัน นั่นเป็นสัทธรรม ของดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียด
    ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตละเอียด เป็นสัทธรรมด้วย ต่อเป็นลำดับขึ้นไป ทีเดียว
    นี่สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างนี้ นี่นะไม่ใช่เป็นของได้ง่าย พอดีพอร้าย วัดปากน้ำ ได้ค้นพบตลอดมาหลายแล้ว หลักฐานก็ชี้ได้แน่นอนแล้ว ได้ยากนัก พระสัทธรรมนี่เป็นของ ได้ยากยิ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +293
    พระฝรั่งวิลเลียม เป็นศาสตราจารย์ในลอนดอน เป็นผู้ได้มาบวชในโบสถ์วัดปากน้ำนี้ ผู้เทศน์นี้เป็นอุปัชฌาย์ ได้สั่งสอนให้พระวิลเลียมซึ่งเป็นฝรั่งนั้น ได้บรรลุธรรมจริงอย่างนี้ ที่เห็นจริงอย่างนี้นี่แหละ จะเอาไปประกาศในลอนดอน ประเทศอังกฤษ จะไปวันที่ 8 นี้ นี่วันนี้วันที่ 7 แล้ว บุ๊คเรือบินไว้เสร็จแล้ว แต่ว่าค่าโดยสารที่จะไปนั้นนะ และเครื่องใช้ไม้ สอยด้วย ผู้เทศน์นี้ได้บริจาคไว้แล้ว 30,000 บาท ผู้ใดจะทำบุญค่ารถค่าเรือของพระฝรั่งบ้าง จะได้เป็นนิสัยปัจจัยไป ท่านจะได้ไปประกาศศาสนา จะได้เป็นเนื้อนาบุญอันสำคัญ ต้องการ จะบริจาคละก้อ ให้ไปมอบกับนายประยูร ที่กุฏินั่นได้ สำหรับเป็นไวยาวัจกรงบประมาณ ในเรื่องนี้ สำหรับงบประมาณในเรื่องส่งพระฝรั่งไปประกาศศาสนาในประเทศฝรั่งโน้น ไปไม่ใช่ไปเลย ไปถ้าถึงปีหรือสมควรแก่เวลาทั้งนั้น แล้วก็จะกลับมาอีก นำเอาฝรั่งมาบวช อีก จะตั้งศาสนาในลอนดอนให้ได้ ให้เป็นวัดไทยจริงๆ กัน นี้เป็นข้อสำคัญอย่างนี้นะ เรื่อง วิชชาธรรมกายวัดปากน้ำนะ จะเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาลในยุโรปทีเดียว ให้อุตส่าห์ตั้งใจ บุญกุศลยิ่งใหญ่นะ ข้อนี้นะ นี้ก็ของหาได้ยากเหมือนกัน ในประเทศไทยหาได้เหมือนกัน ธรรมกายอย่างวัดปากน้ำ ธรรม 4 ประการนี้ก็หาได้ยากเหมือนกัน เราได้ฟังสมเจตนา เรื่องการกุศลนี้ก็หาได้ยากเหมือนกัน เราก็ได้ฟังสมเจตนาด้วยเหมือนกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +293
    ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่ นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา สมมติยุติธรรมีกถาโดยอรรถ นิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. หลับอยู่

    หลับอยู่ http://www.pramontien.com/shop.php?shop_no=185

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    928
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +293

แชร์หน้านี้

Loading...