ของขลังมีเต็มหัวใจ (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 22 พฤศจิกายน 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    ของขลังมีเต็มหัวใจ ทำไมไม่ดู
    โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    คนหาขลังแต่ข้างนอกๆ ตัวภายในตัวสำคัญมันไม่ได้หาไม่ได้ส่งเสริม มันจึงไม่มีอะไรขลัง ไม่ได้รับความอบอุ่นเย็นใจสบายใจเพราะความขลังของตน ขลังตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านเลิศตรงนี้ ขลังตรงนี้ ท่านไม่ได้ขลังว่าอันนั้นมีอย่างนั้น อันนี้มีอย่างนี้ อันนี้พวกที่มันแฝง ชาวพุทธกาฝากมันแฝงศาสนาอย่างนี้ ไปหาดีเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ ที่ท่านสอนไม่สนใจ แล้วผู้ท่านสอนอย่างนี้ก็มีน้อยอีกเหมือนกัน สอนตามหลักของพระพุทธเจ้า สอนให้เขาขลังๆ ละซีมันสำคัญ เพราะฉะนั้นเขาไปตรงไหนเขาจึงไปหาของขลังอย่างนี้มา นี่ศึกษาอบรมมาจากอาจารย์ขลังองค์ไหนไม่รู้จึงมาหาหลวงตาน่ะซี หลวงตาไม่ได้ขลังอย่างนั้นนี่วะ ควรดุๆ เอาบ้างให้รู้ตัว

    การเสาะแสวง (ของขลัง) อย่างนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดูความเคลื่อนไหวของจิตนี่อันดับแรก รากศาสนาอยู่ตรงนี้ มันจะเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลาจิตดวงนี้ เพราะมีสิ่งผลักดันออกไปๆ อยู่เฉยๆ ไม่ได้จิตนี่ เพราะมันมีอันหนึ่งที่ผลักดันออกภายใน ให้ดีดให้ดิ้นให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีใครเรียนรู้วิชาอันนี้ พูดให้เต็มยศก็คือ มีพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกพระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่รู้วิชานี้ แก้มันตกเรียบร้อยแล้วหาความยุ่งไม่มีเลย ตัวนี้ตัวสำคัญก่อกวนยุ่งเหยิง แหมมากที่สุด นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ให้พากันจำเอานะ แล้วกิเลสมีหรือไม่มีในหัวใจเรา สิ่งดังกล่าวนี้มีไหม เอ้า จ้อเข้าไปหัวใจเจ้าของ ที่จะลบล้างศาสนา ให้ลบล้างความจริงที่ศาสนาระบุถึงนี่เสียก่อนนะ จึงไปลบล้าง ว่าสิ่งเหล่านี้มีไหม

    ความโลภมีไหมในหัวใจเรา ความโกรธ ความเคียดแค้นทำลายกันให้พินาศฉิบหาย นี่ท่านเรียกว่ากิเลส มีไหมในหัวใจของโลก เอ้า จ้อลงไปอย่างนั้นซี ราคะตัณหาเป็นบ้าดีดดิ้นทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ให้หาความอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ เหล่านี้มีไหม นี่พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ จุดมหาภัยอยู่จุดนี้ ท่านสอนเป็นขั้นเป็นภูมิ ผู้ที่จะถอนรากถอนโคนทีเดียวเลย พระองค์ก็สอนให้ถอนรากถอนโคนไปเลยไม่ให้มีเหลือ แล้วจะไม่เหลือเชื้อแห่งทุกข์อยู่ในหัวใจตนเองๆ ถ้าผู้รับทั้งหลายไม่สามารถ ท่านก็ลดลงให้ตามขั้นตามตอน

    อย่างพวกเราเป็นฆราวาสท่านสอนให้มีความพอดี อย่าให้มันผาดโผน ความโลภอย่าให้โผนเกินไป ความโกรธให้ยับยั้งไว้บ้างและยับยั้งไว้อย่างดี ราคะตัณหาให้พอดีกับผัวเดียวเมียเดียว นี่บอกแล้ว ผู้นี้ละไม่ได้ให้อยู่ในกรอบอันนี้ จะเป็นสุขตามฐานะของตนๆ ที่เป็นฆราวาส นี่ที่ท่านว่ากิเลสมีอยู่ คืออย่างนี้ คำว่าธรรมมีอยู่ก็คือว่า เอาสติธรรม ปัญญาธรรม เข้ามาบังคับให้อยู่ในความพอดี นี่คือธรรมมาบังคับ สติปัญญาพิจารณาให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานไป มันจะเอาไฟเผาตนและเผาส่วนรวม เหล่านี้มีอยู่ในใจทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตรงกันข้ามความโลภไม่มี มีแต่ความเลิศ นั่นธรรมแล้วนะ ความโลภไม่มีมีแต่ความเลิศความเลอ ความโกรธไม่มีมีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ พิจารณาอย่างนั้นซี ราคะตัณหาไม่มีมีแต่ความสงสารสัตว์โลก ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี อย่าให้มันกำเริบเลยขอบเลยเขตไป นั่นละธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟๆ อย่างนี้

    ผู้ที่ไม่สามารถจะทำได้อย่างนั้น พระองค์ก็ให้ธรรมหรือให้ยาเป็นเครื่องรักษาเป็นลำดับๆ ประจำตัวเองๆ สำหรับชาวพุทธเรา นี่มันเตลิดเปิดเปิง ๆ ถ้าไปหาวัดก็ท่านดีทางไหนๆ ดังก็ดังแบบขลังๆ แล้วดีทางไหนๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นมาที่นี่จึงเหมือนกับว่าดีทางนี้ ทางขอเป็นบ้าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เราสอนโลกเราก็ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า มาสอน ไม่หาขลังภายนอกนะ อะไรๆ ก็ตามไม่สนใจเพราะไม่ใช่ของขลัง มีแต่ฟืนแต่ไฟ หลงมันเท่าไรยิ่งเป็นไฟเข้าไปสิ่งภายนอก รู้สิ่งภายในสำคัญมาก ต้นเหตุอยู่ภายใน นี่ท่านว่ากิเลสมี มีไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ เป็นฟืนเป็นไฟต่อโลก แล้วธรรมมีไหม ธรรมระงับดับสิ่งเหล่านี้ออกแล้วเลิศขึ้นเลย นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างซิ

    มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะเวลานี้ จนจะหาศาสนาจริง ๆ หาพระหาเณรจริงๆ หาวัดหาวาจริงๆ จะไม่เจอนะ แต่ไปที่ไหนมันเกลื่อนอยู่ด้วยวัดด้วยวาด้วยพระด้วยเณร แต่ทำไมจึงหาพระไม่เจอ หาวัดวาอาวาสไม่เจอ หาศีลหาธรรมไม่เจอ เพราะไม่มีอยู่กับพระกับเณร ไม่มีอยู่กับวัดกับวา เพราะฉะนั้นจึงไม่มี มีแต่กิเลสเป็นส้วมเต็มถาน เต็มพระเต็มเณร เต็มวัดเต็มวาทั่วไปหมด นี้เอาความจริงเรียกว่าภาษาธรรม เป็นอย่างนี้ เป็นยังไงต้องพูดตามความจริง อย่างที่เราพูดนี้ เราก็เป็นพระ เราเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนเราตลอดไปหมดเลยต่างหาก เมื่อไม่มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มีแล้ว ผลคือความดีงามสงบร่มเย็นจะมีมาจากไหน ความงามหูงามตามีมาจากไหน เพราะเหล่านั้นมีแต่เรื่องข้าศึกของธรรม มองไปดูใครมันก็เหมือนกัน มองดูเขาเหมือนกันดูเราเหมือนกัน แสดงเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจทุกคนๆ แล้วเอาความดีมาจากไหนความสุขมาจากไหน ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม

    ให้ดูหัวใจเจ้าของบ้างซิ มันเคลื่อนอะไรๆ ไป ตื่นนอนขึ้นมามันเคลื่อนเรื่องอะไรบ้าง พิจารณาให้ดี ร้อยทั้งร้อยมันจะออกทางผิดทางพลาด เพราะกิเลสไม่เคยถูก มีแต่ผิด ออกนิดก็ผิดนิด ออกมากผิดมาก ออกน้อยผิดน้อย ผิดไปโดยลำดับคือกิเลส เรื่องธรรมมีแต่ถูกล้วนๆ ออกนิดออกหน่อยออกเท่าไรถูกโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ระวัง สังเกตดูตัวเองเพื่อจะแก้ จะปัดมันออกด้วยการรักษาตัวเอง ต้องมีการระมัดระวังรักษาปัดเป่ากันออกซิอะไรไม่ดี แล้วก็จะเห็นความสุข ไม่ต้องไปหาที่ไหน

    ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นที่เราในหัวใจของเรานั่นเอง เมื่อชำระกิเลสตัวชั่วช้าลามกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ออกมากน้อย ความสุขคือธรรมพระพุทธเจ้า ชำระนั้นคือธรรมฝ่ายเหตุ ความสุขคือธรรมฝ่ายผล จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร เอ้า ที่นี่เมื่อต่างคนต่างสำรวมระวังเป็นศีลเป็นธรรมนี้ มองดูฆราวาส ฆราวาสก็มีธรรม มองดูพระดูเณรก็เป็นศีลเป็นธรรม มองดูวัดดูวาก็สง่างามไปหมดด้วยศีลด้วยธรรม นั่น งามอยู่ที่ผู้ทรงศีลทรงธรรมนะ ไม่ได้งามอยู่ที่อิฐ ปูน หิน ทราย ก่อขึ้นกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ อันนั้นเป็นอิฐเป็นปูนเป็นทราย ก่อถึงพรหมโลกก็คืออิฐ ทรายอยู่นั้นแหละ มันไม่เป็นของวิเศษวิโสอะไร มันเลวที่คน มันดีที่คนเลิศที่คน จึงปรับปรุงแก้ไขที่คนเข้าใจไหม

    นี่ศาสนาท่านสอนคน เราเป็นอะไรถามเราซิ คนอื่นถามมันสะเทือนใจ ดีไม่ดีเคียดแค้น แทนที่จะเกิดประโยชน์เกิดโทษขึ้นมา ให้เจ้าของถามเจ้าของเป็นธรรม ฝึกซ้อมเจ้าของตลอดเวลาจะเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ละที่ว่ามองดูที่ไหนมันไม่เห็นศีลเห็นธรรม ก็เพราะไม่มีใครเสาะแสวงหาศีลหาธรรม หาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟด้วยอำนาจของกิเลสเท่านั้น มันก็เป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน แล้วเวลานี้ท่านทั้งหลายหาดูที่ว่าที่ไหนเจริญในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุ คนที่มีตึกรามบ้านช่องสูงๆ นั้นเหรอเจริญ นั่นมันอิฐมันปูนมันหินมันทรายมันเหล็กมันหลาต่างหาก ความเจริญความเสื่อมไม่มี นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก ไม่มีในอิฐในปูนในหินในทราย มันมีในบุคคลเข้าใจไหม

    เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนที่บุคคล เมื่อสอนที่บุคคลแล้วไปสร้างตึกกี่ชั้นก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามีธรรมพาสร้างพาอยู่ พาจับจ่ายใช้สอยดีหมด ถ้าธรรมพาไป ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน ธรรมเป็นเครื่องเสริมจะสง่างามไปหมด นั่น ถ้าตรงกันข้ามไม่มีธรรมแหลก เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอย่างนั้นกันบ้างซิ นี่เราทนไม่ได้นะ เป็นยังไงเวลาพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายว่าหลวงตาบัวโกรธให้ท่านทั้งหลายเหรอ โกรธให้กิเลสมันอยู่กับท่านทั้งหลาย ฟาดหัวกิเลสมันก็ฟาดหัวคนละซิ เพราะกิเลสอยู่กับคน ตีหัวกิเลส แต่มันตีถูกหัวคนเข้าไป โอ๊ย หลวงตาบัวดุ นี่เห็นไหมกิเลสมันต่อสู้ มันไม่ยอมรับนะ มันต่อสู้ มันไม่ยอมถอยออกจากเก้าอี้คือหัวใจสัตว์โลก ตีลงไป มันปีนขึ้นมาแล้วมันไล่ตีเราอีกนู่น เข้าใจเหรอ

    เพราะฉะนั้น ถ้าพูดตามความจริงที่เป็นอยู่เวลานี้ ถ้าหากว่าจะฟังหากว่าจะสนใจนะ จะไม่มีโลกอยู่นะหลวงตาบัว เขาว่าเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์เผ็ดเทศน์ร้อนเทศน์สกปรกโสมม และทั้งๆ ที่ชำระสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรมๆ ตลอดเวลา เผ็ดร้อนก็เพื่อกำจัดอันนี้ที่มันรุนแรง ก็ต้องเอากันหนัก อันนี้สกปรกมากสุดใส่ลงไปชะล้างอันนี้มันก็หาว่าน้ำที่สะอาดนี้สกปรก มันหาว่ามูตรว่าคูถสะอาดไปเสีย เข้าใจไหม นี่กิเลสมันยอมผิดเมื่อไร ดูเอาซิท่านทั้งหลาย

    นี่ฟัดมาพอแล้วถึงได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาหลอกลวงนี่นะ มองไปไหนมันจะไม่เห็นแหละศาสนา ต่อไปนี้จะไม่มีแล้วนะ ค่อยหมดไปๆ แม้ที่สุดในพระในเณรในวัดในวาก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นที่บรรจุของกิเลสเกือบทั้งหมดแล้วเวลานี้นะ จะยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามศีลตามศีลตามธรรม ไปที่ไหนท่านมีวัด อยู่ในป่าท่านก็มีวัด อยู่ในถ้ำเงื้อมผาท่านมีวัด ท่านผู้มีวัดภายในใจ ถ้าไม่มีวัดภายในใจ มีแต่เทวทัตคือฟืนคือไฟได้แก่กิเลสตัณหาภายในใจ อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเทวทัตเผาตัวเองอยู่บนนั้นแหละ พากันจำเอานะ มันจะฉิบหาย

    เกิดมานี้กี่ปีแล้วได้ทดสอบเจ้าของดูบ้างหรือเปล่า ความดีความชั่วมีเท่าไร ความดีความชั่วมันติดอยู่ที่ใจนะ ตายแล้วสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเลย แต่ดีกับชั่วไม่ไปนะ ติดอยู่ในใจ ใครสร้างชั่วไว้แล้วพันกันลงไปเลย อย่าอวดเก่งกับพระพุทธเจ้านะ ศาสดาองค์เอกทุกๆ พระองค์สอน บาปบุญ นรก สวรรค์ เป็นอันเดียวกันหมด ใครจะไปลบล้างได้ ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมปราชญ์ลบล้างไม่ได้แล้ว เราเก่งกล้าสามารถมาจากไหนจะไปลบล้าง แล้วสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าซึ่งถูกลบล้างนั้นไม่ได้มีความกระทบกระเทือนเลย เวลากระทบกระเทือนเป็นฟืนเป็นไฟเป็นเถ้าเป็นถ่านคือพวกเราตัวเก่งๆ นี้นะ ให้พิจารณาให้ดี

    อู๊ย.มันน่าทุเรศจริง ๆ ไปที่ไหนต้องดูแบบหูหนวกตาบอดไป พูดจริงๆ นี่นะ หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าควรจะแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยก็สอนไปเสีย ผู้ควรจะเป็นประโยชน์บ้างแย็บออกๆๆ ถ้าไม่เป็นประโยชน์สอนไปทำไม เกิดประโยชน์อะไร นั่น ธรรมของมีคุณค่ามาก ไปเรี่ยราดกับสิ่งสกปรกโสมม ตามมูตรตามคูถเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์แล้วทำไปทำไม ชะล้างไปทำไม สอนไปทำไม นั่น

    มันจะไม่มีจริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นๆ เวลานี้ศาสนา เราถืออะไรเป็นศาสนาเวลานี้นะ เหอ ถือพระถือเณรเป็นศาสนา เอาวัดวาอาวาสเป็นศาสนาอย่างนั้นเหรอ ถ้าพระเณรเป็นธรรมเราก็เป็นพระได้ พระ แปลว่าอะไร แปลว่า ประเสริฐ นั่น ยกออกมาถึงธาตุวิภัตติปัจจัยก็ได้ นี่มหารู้ไหมนี่ เวลาจะยกก็ยกออกมาบ้างซิ มันแปลได้ทั้งศัพท์ ทั้งแปลทั้งธาตุวิภัตติปัจจัยนั่นถ้าจะแปลนะ แต่อันนั้นมันไม่เกิดประโยชน์ มันไม่ใช่กิเลส ธาตุวิภัตติปัจจัยไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่กับคน แปลเข้าหาคนละซิ เข้าใจไหม จึงไม่สนใจกับศัพท์กับแสงอะไร สนใจแต่กิเลสตัวเป็นภัย ฟาดหัวกิเลสลงไปแล้วไม่ต้องตั้งวิเคราะห์ ธาตุวิภัตติปัจจัย สบายไปเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ

    ให้ดูตัวของเรา อยากมีวัดมีวา อยากเป็นพระคือความประเสริฐ ธรรมประเสริฐภายในใจให้พากันสำรวมระวัง อย่าตื่นเกินไปนะตื่นโลก ตื่นไปเท่าไรยิ่งเป็นไฟ ใครอย่าว่าจะดิบจะดีจะเลิศจะเลอเพราะอำนาจของกิเลสหลอกลวงนะ จะหลอกลวงเพื่อจมโดยถ่ายเดียว มีดีดมีดิ้นมีเครื่องล่อลวงคือความหวังๆ ความอยากความทะเยอทะยาน อันนี้แหละมันดึงไปๆ แล้วก็วิ่งตามความอยาก วิ่งตามความหวัง วิ่งไปเลย ให้สมหวังบ้างเพียงนิดเดียว ผิดหวังนั้นมากต่อมาก มันไม่ให้เห็นโทษนะ แล้วดึงไปเรื่อยๆ จมไปเรื่อย ตายแล้วยังหวัง ไม่ทราบว่าหวังอะไรก็ไม่รู้นะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สร้างความดีงามเพื่อให้สมหวังไว้เลย แล้วจะเอาอะไรมา ดี ภพไหนก็ใจดวงนี้นะ ไปไหนมันตายเมื่อไหร่ใจดวงนี้ ไม่เคยตาย มีแต่ธาตุขันธ์ตาย เข้าไปอาศัยร่างใดก็เรียกว่าสัตว์ ว่าบุคคลขึ้นมา ใจดวงเดียวนี้ละเข้าไป เข้าไปร่างไหนก็เป็นสัตว์เป็นบุคคล เรียกว่าเกิด สัตว์เกิดสัตว์ตาย อันนี้หมดสภาพตายไป แต่ใจดวงนี้ไม่เคยตาย เรียนเข้าไปกระทั่งถึงใจดวงนี้​
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14967
     

แชร์หน้านี้

Loading...