ก ร ร ม นิ มิ ต - ค ติ นิ มิ ต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย chingchamp, 11 ตุลาคม 2008.

  1. chingchamp

    chingchamp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    788
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +504
    <TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>[​IMG]

    ก ร ร ม นิ มิ ต - ค ติ นิ มิ ต
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
    วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖

    กรรมในทางพุทธศาสนาท่านแสดงไว้ตามตำราหลายอย่าง ผู้สนใจศึกษาตามตำรับตำราก็พอเข้าใจและได้ความรู้กว้างขวาง เพราะท่านแสดงไว้ดีหมดทุกอย่าง วันนี้จะแสดงเฉพาะเรื่องกรรมที่ติดตามคน หรือกรรมที่จะนำคนให้ไปเกิดในคตินั้นๆ นั่นคือ กรรมนิมิต กับ คตินิมิต

    กรรม หมายความถึง การกระทำ คนเรานั้นกายกับใจเป็นเกลอกัน อยู่ร่วมกันสนิทสนมกลมเกลียวกันดีที่สุด จะทำอันใดพร้อมเพรียงกันทุกสิ่ง ไม่ว่าจะทำชั่วทำดี ทำบาปทำบุญ พร้อมเพรียงกันทุกประการ แต่เวลากายแตกดับ กายไม่ได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดจากการทำร่วมกันนั้น ใจเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว ที่ว่าไม่ได้รับผิดชอบในที่นี้หมายความถึงว่ากายไม่ได้รับกรรม เพราะเมื่อแตกดับหรือตายแล้วทอดทิ้งไว้ในดิน กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปตามเดิม เรียกว่ารูปสลายไปตามสภาพของมัน ไม่ได้รับรู้ด้วย

    ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กายกับใจร่วมกันทำงานก็จริง เช่น ไปฉ้อโกงลักขโมยของเขา ไปตีศีรษะเขา ทำทุจริตประพฤติผิดต่างๆ นานา แต่กายเป็นผู้ได้รับโทษให้ปรากฏ เมื่อถูกจับกุมมันก็ต้องจับที่กาย เอาไปติดคุกติดตะรางกายเป็นผู้ไปติดคุก หรือเขาจะเอาไปฆ่าไปประหาร เขาก็ประหารที่กาย ในขณะที่มีชีวิตอยู่ดูเหมือน ว่ากายรับภาระหนักกว่าใจ แต่ความเป็นจริงแล้วใจก็รับภาระหนักเหมือนกัน หากไม่มีใครเห็น ความทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจนั้นจะหนักยิ่งกว่ากายด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเขาเอากายไปประหาร ไปฆ่า ถ้าหากไม่มีใจมันก็ไม่รู้สึกอะไร ก็เหมือนกับตัดท่อนกล้วยหรือท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง กายไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับ ความเป็นอยู่ของมันเลย ฆ่าก็ฆ่าไป สับก็สับไป ตีก็ตีไป ผู้อาลัยอาวรณ์ ผู้เป็นทุกข์เดือดร้อนคือตัวใจ ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันจึงทำกรรมร่วมกัน และเวลารับผลกรรมก็รับร่วมกัน

    แต่เวลาแตกเวลาดับ คือใจหนีจากร่างแล้ว กายไม่ได้รับรู้อะไรอีก กรรมต่างๆ จะเป็นบาปหรือบุญ เป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม ใจเป็นผู้รับมอบไปคนเดียวหมด ในขณะที่หนีจากกัน ต่างคนต่างไม่อาลัยอาวรณ์กัน เวลาที่กายมันจะแตกดับ ใจก็หนีไปคนเดียว ไม่ได้ร่ำได้ลากันเลย หรือบางครั้งบางคราวกายจะหนีจากใจ เช่น รถชน ตายหรือฟ้าผ่า หรือเกิดอุปัทวเหตุด้วยประการต่างๆ ก็ดี เวลาดับเวลาตายก็วูบวาบไปประเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ร่ำได้ลากันเลย ทั้งๆ ที่อยู่มาด้วยกันตั้งแต่แรก สนิทสนมกลมกลืนกันตลอดมา เวลาจะจากกันจริงๆ จังๆ ต่างคน ต่างไปไม่อาลัยอาวรณ์กันและกัน ธรรมชาติของคนเรามันเป็นอยู่อย่างนี้ คนที่ไปยึดไปถือนั่นแหละท่านเรียกว่า กิเลส กิเลสอันนี้แหละนำให้เกิดการกระทำคือกรรม กรรมนี่แหละเป็นของมีผล มีกำลังมาก ไม่มีใครสามารถที่จะกีดกัน หรือต้านทาน หรือแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้

    ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่ทำกรรมชั่วประการต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลสแล้วคิดว่าจะแก้ไขทีหลัง หรือบางคนยังพูดดันทุรังไปอีกว่า ไปสู้กันอยู่ในนรกหรือแก้ไขกันกับนายยมบาล เป็นต้น ความจริงมันไม่มีหนทางแก้ไขเลย คนเราเวลาจะตายมันต้องมีเครื่องดึงดูดชักจูง คือกรรม ที่เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต

    คนจะตายมันจะต้องหมดความรู้สึก คือ ไม่รู้จักเจ็บปวด ใจทอดธุระกายแล้วจึงค่อยตาย ในขณะที่ใจทอดธุระกาย ไม่ยึดกาย ปล่อยวางกาย ยังเหลือแต่ใจ ตอนนั้นนิมิตจะเกิดขึ้นเป็นภาพของกรรม คือการกระทำต่างๆ จะมาปรากฏขึ้นในขณะนั้น ผู้ที่เคยทำดี ทำบุญสุนทาน สร้างกุศลมากมาย จิตใจอิ่มเอิบเบิกบาน ก็จะปรากฏภาพที่เราทำดีนั้นแหละ เช่น เราเคยสร้างกุฏิ เวลาเราสร้างก็ไม่เคยสร้างใหญ่โต ไม่สวยสดงดงามอะไรมาก แต่ว่าภาพที่มาปรากฏในขณะนั้นมันจะสวยงามวิจิตร เป็นของน่าเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยิ่ง และในขณะนั้นจิตจะต้องยึดเอาเป็นอารมณ์ คือเป็นอารมณ์แน่วแน่ในเรื่องนั้น นี่เรียกว่า กรรมนิมิต คือ นิมิตจากการกระทำ

    ส่วน คตินิมิต นั้นอาจจะปรากฏเห็นพวกเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามที่เป็นผู้มีความสุขสบาย แต่งกายงดงาม น่าเพลิดเพลินเจริญใจ มาเรียงรอบเรียกร้องอ้อนวอนขอให้ไปอยู่ด้วยในสถานที่โอ่โถงสวยงาม น่าอยู่น่าชม ซึ่งเราจะมองเห็นสถานที่เช่นนั้นด้วยตนเอง และเขามาแห่แหนอย่างสมเกียรติสมยศ ที่เขาเรียกกันว่าเทวดามารับคนมีบุญ เขาจะพูดว่าเทวดาอะไรก็ช่างเถิด แต่ว่านิมิตมันเป็นอย่างนั้นแหละ และเราเห็นชัดด้วยตนเอง คราวนี้เราก็เลยไปตามเขา เพราะความชอบใจมีมากก็ไปตามความชอบใจ อันนี้เรียกว่า คตินิมิต คติที่จะไป มองเห็นที่จะไปเป็นทางกรรมที่ดี

    ส่วนกรรมที่ชั่ว เราเคยทำบาปกรรม คิดชั่วช้าเลวทราม ฉ้อโกง ลักขโมย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดด้วยประการต่างๆ ในขณะที่จิตใจมันปล่อยวางกายนั้นจะปรากฏภาพที่เราทำความชั่วต่างๆ ให้เห็นชัดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจจะคิดนึกระลึกถึง เราลืมไปแล้วนานแสนนานทีเดียว ภาพจะแสดงขึ้นมาปรากฏในใจ หรือบางทีอาจแสดงออกมาภายนอกก็ได้ เช่น คนฆ่าหมูฆ่าวัว ในขณะนั้นจะแสดงอาการทางกาย ทำท่าทีปฏิกิริยาของการที่เราทำความชั่ว ฆ่าหมูฆ่าวัวนั้นให้ปรากฏแก่คนอื่นทั้งๆ ที่เรามีสติอยู่ แต่มันปรากฏขึ้นมา หรือว่าบางทีในขณะนั้นจะเผลอสติไปก็ได้ทำให้ปรากฏขึ้นมา อันนี้เรียกว่ายังไม่ทันแตกทันดับ คือกายกับใจยังรวมกันอยู่

    ถ้าหากเรายังเหลือแต่ใจอย่างเดียว คือมันทอดทิ้งกายแล้วดังอธิบายมานั้น มันจะปรากฏภาพความชั่วของตน ซึ่งเป็นเหตุให้วิตกวิจาร เดือดร้อน วุ่นวาย หรือหวาดเสียวน่ากลัวอย่างแสนสาหัส เช่น ปรากฏว่ามีคนใจอำมหิตโหดร้ายหน้าบึ้งหน้าเบี้ยวมาลากมาผูก มัดเอาไป กระชากขู่เข็ญด้วยประการต่างๆ จะขอร้อง อ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่มีใครจะช่วยเหลือได้ และก็ไม่ให้อภัยเสียด้วย หรือปรากฏเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว วิตก สะดุ้ง ตกใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ อันนี้เรียกว่า กรรมนิมิตในทางชั่ว

    ส่วนคตินิมิตนั่น อาจจะไปเห็นที่ซึ่งเราจะไปอยู่ เช่น เห็นหลุมถ่านเพลิงไฟลุกโซนอยู่ตลอดกาลเวลา กองไฟ ใหญ่โต หรือว่าเห็นสถานที่อันทุรกันดารอดอยากยากแค้น เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ เป็นสถานที่ซึ่งเขาจะเอาเราไปนั้น เกิดสะดุ้งหวาดกลัวสุดแสน แต่ไม่สามารถจะแก้ไขได้


    <HR><TABLE cellSpacing=20 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    [​IMG]



    กรรมนิมิต คตินิมิต ทั้งสองอย่างนี้ อันใดอันหนึ่งจะเกิดก่อนก็ได้ กรรมนิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ หรือคตินิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ แต่ว่าทั้งสองอย่างนี้แหละจะเป็นเครื่องดึงดูดและชักจูงเอาจิตใจของเราที่ทอดทิ้งจากกาย แล้วนั้นให้ไปเสวย



    อาจจะมีปัญหาถามว่า เมื่อกายกับใจยังปรอง ดองสามัคคีกันอยู่ การทำก็ไม่เห็นทารุณโหดร้าย สักเท่าใดนัก แต่เมื่อจิตคือใจนี้ทอดทิ้งกายแล้ว ทำไมจึงทำให้เกิดนิมิตโหดร้ายน่ากลัว แสดงอาการโหดร้ายเหลือเกิน นั่นเป็นธรรมดา ถึงเรื่อง ในใจของคนเรา ถ้ายังอยู่กับกายพร้อมเพรียง ก็ยังมีการที่จะปลดเปลื้องและแก้ไขได้ สมมติว่า เรานั่งหรือเรานอนเหนื่อย มันเหนื่อยที่ใจ เราก็พลิกกาย มันก็พอที่จะแก้ไขปลดเปลื้องกันได้ หรืออ่อนเพลีย หิวข้าว กระหายน้ำ เราก็ดื่มน้ำลงที่กาย ใจก็ค่อยสบายขึ้น นี่ช่วยกันแก้ไขได้



    แต่ถ้ายังเหลือแต่ใจอันเดียวแล้วมันหมดหนทาง ไม่มีหนทางแก้ไข เหตุนั้น เมื่อทุกข์จึงทุกข์แสนสาหัส สุขก็สุขแสนยิ่ง มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น เหลือใจสิ่งเดียว และก็เป็นของเบาอีกด้วย ของเบาๆ นั้น ไม่ว่าอะไร ลองพิจารณาของภายนอกก็แล้วกัน เช่น รถวิ่งตามถนนหนทาง ถ้าพลาดบางครั้งบางคราวไม่เหลือเกินก็พอมีหนทางแก้ไข คือ สามารถที่จะปลดเปลื้องแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้ ถ้าหากว่าเป็นว่าว เมื่อขึ้น ไปปลิวอยู่บนอากาศ มันเป็นของเบาๆ พอแฉลบ ก็วูบลงเลย ของเบาเป็นอย่างนั้น ใจเป็นของเบาเหมือนกัน ถ้ามันตกลงได้เอนไปทางไหนแล้วจะไปอย่างสุดขีดเลย เหตุนั้น สุขก็สุขอย่างสุดขีด ทุกข์ก็ทุกข์อย่างสุดขีด ดังนั้น เมื่อถึงตอนนี้จึงเรียกว่าไม่มีหนทางแก้ไข ที่บางคนว่าจะไปแก้ไข ตอนไปหรือตายไปแล้วจะไปแก้ไขนั้น อย่าไปหวัง ไม่มีทางแก้ไขเลย



    ที่ท่านเรียกว่า นรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือ สวรรค์ ได้ความสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล อยู่เฉพาะในขณะนั้นแหละ ในขณะที่จิตมันว่างทอดทิ้งร่างนั่นล่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนอากาศกลางหาวที่ไหน ขณะที่จิตมันถอนจากร่างแล้วเกิด กรรมนิมิต คตินิมิต ปรากฏเห็นนรก เห็นสวรรค์กันตรงนั้นเอง



    เหตุนั้นผู้ที่มาเข้าใจในเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว จะแก้ไขตนเองก็พึงแก้ไขเสียในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ คือ เมื่อกายกับใจยังร่วมกันอยู่นี้ จะประกอบกุศลให้มีคุณงามความดีเจริญงอกงามขึ้น ก็พากันพร้อมใจเจริญ รู้สึกตนแล้วยังแก้ไขได้ เมื่อทำดีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ไปได้ หากว่าใจทอดทิ้งกายแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเลย



    ผลของกายกับใจร่วมกันทำเรียกว่ากรรม มาส่อแสดงให้ปรากฏ กรรมเป็นของมีพลังอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะต้านทานหรือห้ามปรามไว้ได้ ไม่มีใครจะมาร้องขออ้อนวอนได้เลย กรรมให้ผลยุติธรรมอย่างยิ่ง ทำลงไปแล้วมากน้อยเท่าใดก็ได้ผลเท่าที่ตนทำนั่นแหละ



    ไม่เหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ กายกับจิตร่วมกันอยู่ปลิ้นปลอกหลอกลวงได้สารพัดทุกอย่าง จะโกหกมายาได้ทั้งนั้น หรือเอาเงินเอาทองมาแก้ไขความผิดอันนั้น คือมาจ้างทนายความก็ดี หรือว่าให้ค่าไถ่ค่าถอนเพื่อไม่ให้ผิดได้ทั้งนั้น



    ส่วนไปถึงตรงนั้นแล้วยังเหลือแต่ใจ ไม่มีอัฐไม่มีสตางค์ ไม่มีทนายความ ไม่มีใครจะอ้อนวอน ร้องขอได้ และไม่ให้อภัยกันเสียด้วย เมื่อถึงตอน นั้นแล้ว มีอย่างใดก็ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการยกเว้น กรรมตัวนั้นไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่มีน้อง ไม่มีญาติมีวงศ์ ไม่มีครูมีอาจารย์ เป็นเอกสิทธิ์ ของมันคนเดียว มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้น กรรมถึงได้ชื่อว่าเป็นของมีกำลังมาก



    กรรมได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก เราให้ไปเกิดในที่ชั่ว ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยก เรามาในทางที่ดี ในทางที่ชั่วหรือที่ดีนั้น คนอื่นจะมาแยกไม่ได้ สุขหรือทุกข์คนอื่นมาแยกไม่ได้ กรรมเท่านั้นเป็นคนแยก เราจะมาแก้ตัวและผลัดเปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น นั่นจึงเป็นของน่ากลัว เป็นสิ่งที่เราพึงสังวรและรู้สึกตัว รีบทำเสียตั้งแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่



    เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราละชั่วทำดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เป็นโชคลาภอย่างยิ่ง ถ้าหาก เรามาระลึกได้ถึงเรื่องนิมิตว่า กรรมนิมิต คตินิมิต เป็นสิ่งที่ไม่มีหนทางแก้ไขได้ เป็นสิ่งที่ควรจะกลัวและพยายามแก้ไขตนเสีย จึงจะไม่สายเกินกาล รีบแก้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยเหตุที่ผลของกรรมนำให้ไปเกิด ถ้าเราแก้ไขเสียได้แล้ว การเกิดการตายก็เรียกว่าสั้นเข้ามา คือว่าใกล้ที่จะสิ้นสุดลงไป


    เพราะฉะนั้น ให้พากันศึกษา พิจารณาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าดังที่อธิบายมานี้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน








    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "กรรมได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก เราให้ไปเกิดในที่ชั่ว ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยก เรามาในทางที่ดี"

    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...