กิเลสหลอกสัตว์โลก หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 2 เมษายน 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    กิเลสหลอกสัตว์โลก


    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

    เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘



    เมื่อวานนี้ไปหล่มสักฝนตกตลอดทางนะ ไม่มีฝนแค่หนองบัวมาอุดรนี่ ทางหล่มสักนั่นก็ตกหนักเกือบถึงกลางดงภูเขา พอออกมาชุมแพก็เริ่มตกหนักอีกจนกระทั่งเลยสีชมพูมาศรีบุญเรืองตกมาเรื่อยตกหนักอยู่เมื่อวานนี้ เลยศรีบุญเรืองมาไกลจนจะถึงหนองบัว..ฝน ทางโน้นได้ตกกล้ากันทำไร่ทำนากัน ทางอุดรเรานี้ยังแห้งผากอยู่ นี่ละโทษแห่งการทำลายป่าดูเอาก็รู้ ทำลายเอามากจริง ๆ ทำลายฟ้าฝนเสียหายหมด แห้งแล้งตลอดตั้งแต่ทำลายป่านี้มา ไม่เคยได้ทำนาสมบูรณ์พูนผลเลยนะ แห้งแล้งตลอด ต้องได้สูบน้ำไปตกกล้า ล่า ๆ ฝนถึงจะมาพอให้ปักดำได้ นี่ก็จะให้เขาสูบน้ำถึงเวลาตกกล้าแล้ว นี่ละโทษทำลายป่า

    คนสองสามคนเท่านั้นนะ จอมโลภ-โลภไม่พอโลภจนกระทั่งตายไม่เป็น แล้วทำลายหมด ไปตรงไหน ๆ แห้งแล้ง ๆ ตาม ๆ กันหมด ห้วยหนองคลองบึงจนไม่มีแล้ว ไม่มีน้ำไหลผ่าน น้ำหมด ๆ นี่ละอำนาจแห่งการทำลายป่า โห รุนแรงมากนะ ทำให้อดอยากขาดแคลนไปทั่วประเทศไทยเรา เพราะพวกจอมโลภเพียงสองสามคนเท่านั้นทำลายบ้านเมือง พูดตามความจริงนี่จะว่าไง

    นี่ตั้งแต่ตั้งบ้านตาดมาเราไม่เคยเห็นแห้งแล้งเลยนะ เราลูกบ้านตาดนี่ พอเดือนมีนา-เมษานี่ น้ำจะเต็มท้องนามาตลอดเลย ลงทำไร่ไถนาเมื่อไรได้ทั้งนั้น น้ำเต็ม ห้วยหนองคลองบึงไหลผ่านบึ่ง ๆ ตลอด ตั้งแต่มาสร้างวัดทีแรกฝนก็ดีอยู่ตลอดนะ น้ำท่วม ๆ ตลอด ๆ พอป่าถูกทำลายเท่านั้นละหมดเลย ตั้งแต่นั้นมาแห้งแล้งตลอดไม่ได้ทำไร่ทำนากัน นี่เห็นประจักษ์ทีเดียวนะ ทางดงใหญ่ศรีชมภูก็พูดเหมือนกัน อันนั้นก็แห้งแล้งอีกเหมือนกัน เห็นชัดเจนมากนะการทำลายป่านี่ โทษของมันรุนแรงมากเทียว เอาให้แห้งแล้งหมดทั่วประเทศไทยเรา ฝนตกเมื่อวานนี้ฟาดใส่ภูเขาเหมือนภูเขาถล่ม มันตกอยู่ภูเขาเท่านั้น พอออกมานอกภูเขาไม่มีฝน เมื่อวานนี้ตกมาก จนรถต้องเปิดไฟทั้งรถเขารถเราเพราะฝนตกหนัก

    นี่หลวงตาตายแล้วจะไม่มีใครว่าใครดุนะ เห็นพระอื่น ๆ ท่านดุที่ไหน ท่านไม่ได้ดุ แต่จะเอาความดีเพราะความไม่ดุของท่านจะเอาดีตรงไหนว่ามาซิ มันต้องแยกแยะกันซิ นี่เราไม่อยากว่าคุย ดุเท่าไรยิ่งดีนี่ ลูกศิษย์ลูกหาก็ค่อยดีขึ้นถ้าดุ ถ้าไม่ดุก็นอนตายไม่ตื่น ต้องเอาไม้หวดเอา ๆ ศาสนากระเทือนมาได้ ๒,๕๐๐ ปีนี้สัตว์โลกนอนไม่ตื่นเลย นี่ละอำนาจของกิเลสกล่อมสัตว์ นอนไม่ตื่น ไม่เห็นศาสนาเป็นของสำคัญเลย ศาสนานั่นแลจะรื้อขนสัตว์ออกจากกองทุกข์ของกิเลสมันครอบหัวเอาไว้ บีบบังคับเอาไว้ ศาสนานั่นแลจะเป็นผู้รื้อ กิเลสมันกล่อมไว้หมดไม่ให้มองเห็นศาสนาว่าเป็นของจำเป็นของสำคัญอะไรเลย เพราะฉะนั้นสัตว์โลกถึงนอนจมไม่ตื่นเนื้อตื่นตัวเลย เกิดมาทั้งชาติตายทิ้งทั้งชาติไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย อำนาจของกิเลส มีแต่บึกบึนตามกงจักรของมัน ๆ เรื่อย ๆ

    มองดูหน้าใด ๆ หัวใจใดมีแต่หมุนดิ้น ๆ ตามมัน ตามอำนาจความดึงดูดของกิเลสของกงจักรวัฏจักร พูดแล้วสลดสังเวชนะไม่ตื่นเนื้อตื่นตัวเลยจะทำยังไง เกิดมาทั้งชาติจะตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม มีแต่ขาดทุนสูญดอกเป็นการต่อวัฏวนวัฏทุกข์เพิ่มเข้าอีกเรื่อย ๆ เกิดในภพใดชาติใดมีแต่ก่อวัฏทุกข์วัฏวนให้ยาวเหยียดออกไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ตัดเข้ามา ๆ ด้วยอำนาจแห่งความดีที่รู้เนื้อรู้ตัวนี่นะ มันจะจมเอาหมดทั้งโลก เพียงศาสนาล่วงมาได้ ๒,๕๐๐ ปีเท่านี้เห็นชัดมากเทียวอำนาจของกิเลสนี้รุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ อำนาจของธรรมแทบจะไม่มี เหมือนดาวบนท้องฟ้ายิบแย็บ ๆ อยู่เท่านั้นอำนาจของศีลของธรรม อำนาจของกิเลสนี้เหมือนพระอาทิตย์แผดจ้าเผาตลอด

    เกิดมาในชาติหนึ่งถ้าไม่ได้สร้างความดีก็จะสร้างความชั่วคนเรา เพราะความชั่วมันดึงอยู่ตลอด ความดีเท่านั้นฉุดลากเอาไว้รั้งเอาไว้ ถ้าความดีอ่อนตัวนิดหนึ่งความชั่วมันดึงทันที เพราะมันดึงอยู่แล้วนี่ เหมือนสายยางไม่มีเวลาอ่อนตัวมันดึงตลอด พอเราอ่อนเมื่อไรมันดึงทันที ภพหนึ่งชาติหนึ่งของคนเราสัตว์เรามีแต่ความดึงดูดของฝ่ายต่ำดึงไปเรื่อย ๆ ความดีไม่ค่อยมี เกิดมานี้ตัดทอนผลประโยชน์ตัวเข้าไปอีก ต่อความยืดยาวของวัฏทุกข์ให้ยาวไปอีกมากมาย ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ตัดให้ย่นเข้ามา นั่นละความประมาททำลายเจ้าของอย่างนี้ละให้รู้เอา

    กิเลสมันก็เสกสรรปั้นยอเก่งนะ เครื่องล่อของมัน เสกนั้นขึ้นเสกนี้ขึ้น มนุษย์นี้ฉลาดแต่ฉลาดด้วยอำนาจของกิเลส เป็นบ้ากว่าเพื่อน โง่กว่าเพื่อนถึงถูก ดิ้นตายกับกิเลสมันหลอก อันนั้นดีอย่างนั้นอันนี้ดีอย่างนี้เสกสรรปั้นยอ ยิ่งยศถาบรรดาศักดิ์ได้สายสะพายมานี้เป็นบ้าเลยเทียว เป็นบ้าสด ๆ ร้อน ๆ นะบ้าสายสะพาย ประสาผ้า..สายสะพาย มันเหมือนบ้ามองดูแล้วเหมือนเด็ก เขายกยอกันให้สายสะพาย ทางนี้ก็เห่อ โห มนุษย์เราเป็นบ้าเป็นอย่างนี้เอง อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรมายุ่งมันสบายหรือไม่สบาย อันนี้แบกสายสะพายแล้วยังหยิ่ง นี่บ้าแบบหนึ่ง มีเงินทองข้าวของมาก ๆ บ้าแบบหนึ่ง คือไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    เราพูดถึงว่าไม่มีธรรมเข้าแทรก ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ตามมีธรรมเข้าแทรกไม่เสีย เป็นเครื่องส่งเสริมวาสนาบารมี ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกเป็นบ้าแบบนี้ ความดีทั้งหลายท่านแต่งตั้งขึ้นมา พระพุทธเจ้าของเราก็มีมาแล้วนี่นะไม่ได้มีเฉพาะสมัยปัจจุบันนี้ เช่น อย่างตั้งเอตทัคคะให้พระสงฆ์ พระสาวกของพระพุทธเจ้า ๘๐ องค์ได้รับเอตทัคคะทุกองค์ องค์นี้เลิศทางนั้น องค์นั้นเลิศทางนั้น ท่านตั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมเกียรติยศเกียรติคุณของท่าน แล้วก็สมพระพุทธเจ้าทรงตั้งเอง เพราะท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ท่านไม่หลง สมเกียรติจริง ๆ สมพระเกียรติของพระพุทธเจ้าที่ทรงตั้งให้จริง ๆ แต่พวกเรานี่ตั้งให้แล้วเป็นบ้าไปเลยไม่ได้สมพระเกียรติ มีอะไรมาเป็นบ้าไปหมด อยู่เฉย ๆ ก็คอยเป็นบ้าอยู่แล้วพอมีอะไรมาแย็บนิดนึงบ้าออกทันทีเลยเร็วยิ่งกว่าแย้วิ่งออกจากช่อง

    ใครอย่าว่าเราพูดประมาทโลกนะ เราไม่ได้พูดประมาทโลก เราพูดเรื่องของกิเลสมันแหลมมันคมมันเฉียบมันขาด ธรรมะไม่มีเข้าไปแก้ไขดัดแปลงกันเลยมันเป็นอย่างนี้ จมไปทั้งนั้นไม่มีใครดี มีแต่ไปตามกลลวงของกิเลสเรื่อย ๆ แล้วก็ต่อภพต่อชาติต่อความทุกข์ความทรมานให้ยืดยาวเรื่อย ไม่มีคำว่าตัดว่าทอนเข้ามาย่นเข้ามาเลย

    นี่วันที่ ๓๐ นี้เราก็จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาทั่วแดนโลกธาตุ ยั้วเยี้ย ๆ อยู่เต็มโลกธาตุจะให้ว่ายังไง อะไรจะไปมากยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายที่มีความจำเป็นเรียกร้องหาความช่วยเหลือเต็มไปหมด อันนี้ตาฝ้าตาฟางอย่างตาพวกเราไม่เห็นนั่นซิ ตาพระพุทธเจ้าตาท่านผู้วิเศษท่านเห็นนี่ จะไม่ให้ท่านพูดยังไงท่านเห็นอยู่ ถ้าเชื่อคนตาบอดมันก็จมไปด้วยกันหมด ไม่มีใครเชื่อใครได้แหละ พูดนี้ก็เป็นหยาบ ๆ นะ พูดถึงความรู้ด้วยกันเป็นเรื่องความหยาบ แต่เป็นเรื่องของความจริงเอามาพูดให้เป็นคติ ว่าความจริงเมื่อรู้อย่างเดียวกันแล้วค้านกันไม่ลง ความหมายว่างั้นนะ เหมือนพระสาวกพระพุทธเจ้ารู้ด้วยกันแล้วอะไร ๆ ค้านกันไม่ลง ไม่ว่าดีว่าชั่วเห็นด้วยกันรู้ด้วยกันแล้วค้านกันไม่ลง นี่เราก็เทียบ

    มีพระ ๒ องค์ สมัยปัจจุบันนี่นะไม่ใช่สมัยไหนแหละ แต่ไม่ระบุชื่อ พระธุดงคกรรมฐานท่านไปเที่ยวกรรมฐานเรื่องความจริงมันแสดง องค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำหนึ่ง ๆ ไปภาวนา ถ้ำหนึ่งมันมีเปรตมีผีตายทั้งกลมผู้หญิงตายทั้งกลมคนหนึ่งอยู่นั่น กามกิเลสหนักมากเทียว พระกรรมฐานท่านไปนั่งภาวนากวนท่านทั้งคืน แผ่เมตตามันไม่เอา คืนนั้นท่านไม่ได้นอนเลย คืนที่สองอีกเอาอีก ถึงสามคืนอยู่ไม่ได้ พระองค์นั้นเผ่นเลย ทำไมมาเร็วนักล่ะ จะอยู่ได้ยังไง เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ๆ เล่าให้ฟัง ถ้าอย่างนั้นผมไปดูน่ะเป็นยังไง ให้องค์นั้นไปอยู่ถ้ำนั้นแทน มาอยู่ ๓ คืนเหมือนกันเผ่น โอ๊ย ยอมแล้ว นั่นค้านกันที่ไหน โห ดื้อด้านจริง ๆ นะเปรตตัวนี้น่ะ แผ่เมตตาไม่เอาเลย

    จากนั้นก็ไปสอบถามญาติโยมเขาว่าถ้ำนั้นเป็นยังไง มีอะไร ๆ ไปสืบถามเขา ที่ไหนได้ผู้หญิงตายทั้งกลมอยู่ตรงนั้น ตายโหงตายทั้งกลมมันถึงรุนแรงมาก นั่นละมีสาเหตุอย่างนั้นแล้วเวลาไปถามคนเขาก็บอกมีผู้หญิงคนหนึ่งตาย ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรู้ท่านเห็นอะไรนะ ท่านถามว่าที่นี่มันมีอะไร ๆ บ้างไหมแล้วก็ถามเหตุถามผลถามไปถามมาก็ไปเจอเอาตรงว่านั่นแหละ ว่าผู้หญิงมาตายทั้งกลมตายโหงด้วยที่หน้าถ้ำนั้น ไม่ได้ไปเกิดที่ไหนยังเป็นเปรตเป็นผีอยู่นั่น นี่ละเรื่องอุทาหรณ์ เอาความจริงมาพูดนี้หยาบไปไหน เรื่องเป็นมา-เป็นมาก่อนแล้ว หยาบหรือละเอียดก็เป็นมาแล้ว พูดตามหลักความจริงสาธกเข้ามาเพื่ออรรถเพื่อธรรมผิดที่ตรงไหน

    เรื่องแปลก ๆ ต่าง ๆ นี่มีเยอะนะ นี้ยกมาเพียงเอกเทศ นักภาวนาเท่านั้นที่จะรู้จะเห็นสิ่งเหล่านี้ อันตาฝ้า ๆ ฟาง ๆ เหมือนพวกเรา ไม่เคยพุทโธภายในใจเลยไม่เห็นแหละ พระพุทธเจ้าเห็นด้วยวิธีภาวนานี่นะ พระสาวกทั้งหลายท่านเห็นด้วยวิธีภาวนา เราไม่มีอะไรเราจะเอาไปแข่งท่านได้ยังไงอันตาฝ้า ๆ ฟาง ๆ นี่ มันยั้วเยี้ย ๆ เต็มโลกธาตุอย่าว่าเต็มแผ่นดินนะ ไม่ใช่แผ่นดินก็ยั้วเยี้ย ไม่ใช่อยู่แต่โลกนะมันอยู่ได้หมดธรรมชาติอันนี้ มากยิ่งกว่ามากเอาอะไรมาเทียบไม่ได้ว่างั้นเลย จะเอาล้าน ๆ ๆ มาเทียบ อย่ามาเทียบไม่มีความหมาย ธรรมชาติที่มีอยู่มากขนาดไหนฟังแต่ว่าเอา ล้าน ๆ ๆ ไปเทียบไม่ได้ มันขี้ปะติ๋ว

    สัตว์โลกทั้งหลายที่เสวยกรรมได้รับความทุกข์ความทรมานด้วยอำนาจแห่งความคะนองของตน ไม่เชื่ออรรถเชื่อธรรมไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อแต่ความอยากความทะเยอทะยานที่กิเลสมันหลอก ๆ ต้มไปเรื่อย กิเลสมีแต่หลอกทั้งนั้นบอกแล้ว กิเลสมีแต่หลอกหนา ไม่ว่าทางตาทางหู ฯ ปัจจุบันนี้มันก็หลอกอยู่ตลอดเวลาก็รู้อยู่นี่ ตาเห็นอะไรมีแต่เรื่องจะหลอกทั้งนั้นไม่ใช่เห็นเรื่องของจริงนะตาเห็น หูได้ยินอะไรสัมผัสสัมพันธ์มีแต่เรื่องกิเลสหลอกออกก่อน ๆ ทั้งนั้นแหละ

    สติปัญญาทางภาคปฏิบัติเท่านี้ก็พอ สติปัญญาทันแล้วจะรู้ทันที ๆ อะไรเคลื่อนไหวเร็วกว่า สติปัญญาที่แก่กล้าสามารถแล้วคอยจ้องหรือไม่จ้องก็เป็นหลักธรรมชาติอยู่แล้ว พออันนั้นแย็บพับรู้กันแล้วนั่นทันกันแล้ว ถ้าอันนี้ตายอยู่นี้อันนั้นออกกี่ห้าทวีปก็ไม่รู้ เวลามันรู้กันทันกันเป็นอย่างนั้น แย็บตรงไหนรู้ทันทีสังหารทันที ๆ เลย เพราะฉะนั้นมันจึงเกิดไม่ได้กิเลส เมื่อถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วกิเลสผลิตตัวไม่ได้เลยพังทั้งนั้น เพราะความรวดเร็วของสติปัญญานี้รุนแรงมันทันกัน นี่ละอำนาจของธรรมเวลาแก่กล้าเป็นอย่างนั้น เหมือนกับกิเลสแก่กล้าเราตั้งเนื้อตั้งตัวไม่อยู่นะ กิเลสเอาไปกินหมด ๆ

    เพราะฉะนั้นคนเราถึงชั่วถึงเลวทรามได้ คนเราไม่อยากต่ำช้าเลวทราม แต่อำนาจแห่งความดึงดูดของความชั่วนั้นมันรุนแรงเกินกว่าที่สติสตังจะตั้งได้หักห้ามกันได้มันถึงเลวกันได้คนเรา เสียเนื้อเสียตัวไปมากมายก็เพราะอันนี้เอง อำนาจมันรุนแรง ทีนี้เวลาอำนาจของธรรมรุนแรงทันกันแล้วก็เป็นอย่างนั้นละ กิเลสผลิตตัวออกมาไม่ได้ แม้หลบซ่อนอยู่ไหนยังจะพังมันจะผลิตลูกผลิตหลานออกมาได้ยังไง พังด้วยกันทั้งนั้น นั่นละธรรมของพระพุทธเจ้า นี่เรียกว่าธรรม เรื่องที่มันพาสัตว์โลกหมุนเป็นบ้ากันอยู่นี้ เกิดแก่เจ็บตายกี่กัปกี่กัลป์มันยังเหมาเอาอีกว่าตายแล้วสูญอีก

    นี่ละกิเลสประเภทนี้มันหมุนของมัน หมุนอยู่ตลอดเวลาไม่มีเวลาอ่อนตัวนะ ถ้าหากว่าเป็นวัตถุแล้วเราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า กงจักรของมันมันจะหมุนอยู่นี้ตลอดไม่มีวันมีคืน กี่กัปกี่กัลป์ธรรมชาตินี้หมุนอยู่ในหัวใจของสัตว์ แต่ยกมาด้านวัตถุนี้ นี้คือวัฏจักร นี้คือธรรมจักร ธรรมจักรก็หมุนแต่หมุนช้า อันนี้หมุนเร็วมาก ฟังแต่ว่าเร็วมากกับช้าต่างกันอย่างไรบ้าง ท่านจึงให้สร้างความดี อันนี้ละอันจะมาทำลายตัวนี้นะ

    คนเราไม่มีความดีนี้จะพ้นไปไม่ได้เลยเป็นอันขาด ฟังแต่ว่าเป็นอันขาด ต้องมีความดีเท่านั้น คุณงามความดีที่สร้างมามากน้อยสั่งสมตัวเข้าไป ๆ ค่อยรั้ง ๆ กงจักรของตัวเองนั่นแหละค่อยรั้งให้ช้าลง ๆ ที่ยาวก็ให้ค่อยสั้นเข้ามา ที่เร็วก็ให้ช้าลงไป ที่รุนแรงก็ให้เบาลงไป ๆ เพราะอำนาจแห่งความดี ทีนี้เมื่อความดีมีมากแล้ววัฏจักรนี้จะหมุนช้าลง ๆ ทางธรรมจักรก็หมุนเร็วเข้า ๆ เปลี่ยนกันนะที่นี่ ต่อจากนั้นทางนี้ก็หมุนติ้วเลย ทางนั้นช้าเอื่อย ๆ โผล่มาอันไหนขาด ๆ นี่อำนาจของธรรม นั่นละท่านว่าธรรมกับโลกไม่เหมือนกัน อยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน เหมือนผู้หญิงกับผู้ชายมองดูพับก็รู้ทันที

    นี่ละธรรมกับโลกไม่เหมือนกันอย่างนี้ อยู่ด้วยกันมีเป็นคู่เคียงกันมา แต่ธรรมนี้มาเป็นกาลเป็นเวลา ธรรมในหลักธรรมชาติมีอยู่ดั้งเดิมอันนี้ไม่ไปไหน แต่เมื่อไม่นำมาใช้แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนแก้วแหวนเงินทองของเราทั้งหลายไปทิ้งไว้ในหีบก็เป็นแก้วเป็นทองคำอยู่งั้นไม่ได้เป็นเครื่องประดับอะไรเลย อันนี้ธรรมเมื่อไม่รื้อฟื้นขึ้นมาก็อยู่อย่างนั้นละ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละครั้ง ๆ นั้น นั่นละฟื้นธรรมขึ้นมาออกมาทำประโยชน์ให้โลก ธรรมก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์วิเศษขึ้นมาจากผู้ครองธรรม นี่ละธรรมมาเป็นยุคเป็นกาลเป็นสมัย

    เวลานี้ก็ยังมีอยู่ในพระพุทธเจ้าของเรา ความเชื่อความเลื่อมใสของคนจะมีอยู่แค่ห้าพันปี นอกนั้นกิเลสเอาไปกินหมดนะ คือกิเลสกลืนไปเรื่อย หนักเข้าไปเรื่อย หนักข้อเข้าไปเรื่อย กลืนเข้าไปเรื่อย วันนี้ ๕ คนวันหลัง ๑๐ คน วันหน้า ๒๕ คน วันหลัง ๓๐ คน ระวังจะเข้าในพวก ๓๐ นะจะว่าไม่บอก มันกลืนเรื่อยกิเลสกลืนหนักเข้าไปทุกที ๆ ธรรมไม่ทัน พอหมดศาสนา คำว่าหมดศาสนาคือหมดความเชื่อว่าบาปบุญมีนรกมีสวรรค์มี ไม่นึกว่าบาปว่าบุญว่าอะไรทั้งนั้น ในหัวใจมีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นนี้เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ที่นี่หมุน เมื่อศาสนาไม่มีแล้วมีแต่หมุนอย่างเดียว

    วันนี้เทศน์เท่านี้ละ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     
  2. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านหลวงปู่สำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...