กินเพื่อสุขภาพ

ในห้อง 'เมนูอาหารและวิธีการทำอาหาร' ตั้งกระทู้โดย paang, 13 เมษายน 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>
    กินอย่างไรไม่กระทบระบบย่อยอาหาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ทำไมบางคนถึงปวดท้องบ่อย หรือชอบมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารบ่อยๆ แต่ทำไมบางคนจึงไม่เป็น?

    เรื่องนี้ บอกได้เลยว่าพฤติกรรมการกินอาหารเป็นส่วนสำคัญของสาเหตุที่ว่ามานี้ อย่างเช่น คนที่ชอบท้องอืดท้องเฟ้อ อาจเป็นเพราะกินอาหารมากไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้น้ำย่อยที่มีอยู่ไม่พอที่จะย่อยอาหารได้หมด สิ่งที่ควรทำคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมากินให้บ่อยขึ้น รวมทั้งเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นด้วย และการกินอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ ก็จะทำให้กระเพาะทำงานช้าลง และทำให้ความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย

    การดื่มชากาแฟก็มีส่วนทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนการสูบบุหรี่จัดจะส่งผลให้กระเพาะบีบตัวไม่ดี หูรูดของกระเพาะปิดเปิดได้ไม่ดี ทำให้กรดในกระเพาะล้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ และการดื่มน้ำน้อยไป หรือกินอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยก็จะทำให้ท้องผูกด้วย

    ปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ดีกว่า เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหาอีกต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    6 อาหารลดคอเลสเตอรอล

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> คอเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญอย่างที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งโรคหัวใจ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว หนทางที่ดีที่สุดที่จะลดคอเลสเตอรอลได้คือการลดอาหารจำพวกไขมันลง และนอกจากนั้น
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    อันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เชื่อว่าคงมีหลายคนที่นิยมชมชอบของทอดแบบที่แม่ค้าพ่อค้ารถเข็นทั้งหลายชอบทำขายกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นทอด ไก่ทอด ทอดมัน และสารพัดของทอดทั้งหลาย ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไร (นอกจากความอ้วนและคอเลสเตอรอล) แต่หากน้ำมันที่ใช้ทอดนั้นเป็นน้ำมันเก่าทอดแล้วทอดอีกจนดำขุ่น นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นปัญหา

    องค์การอาหารและยา (อย.) บอกว่า จากการศึกษาในสัตว์ทดลองแล้วพบว่า น้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้งนั้น จะมีคุณภาพเสื่อมลง และสารบางชนิดที่เกิดจากการเสื่อมสลายของน้ำมันจากการทอดอาหารนั้น จะเป็นสารก่อกลายพันธุ์ที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังในสัตว์ทดลอง และสารนั้นสามารถก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ในเชื้อแบคทีเรีย และเป็นสาเหตุให้เกิดเนื้องอกในตับ ปอด และก่อมะเร็งในเม็ดเลือดขาวของสัตว์ทดลองนั้นด้วย

    แม้เราจะไปบังคับให้พ่อค้าแม่ค้าทิ้งน้ำมันเก่าแล้วทอดอาหารให้เราด้วยน้ำมันใหม่ๆ ทุกครั้งไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้ก็คือ หากเห็นว่าน้ำมันที่ทอดนั้นทั้งดำ ทั้งขุ่น มีฟอง เหม็นหืน เหนียวข้น และเหม็นไหม้ไอน้ำมันแล้วละก็ เลิกกินเสียดีกว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพของเรา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ภัยเงียบจากสารอะฟลาทอกซิน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ภัยเงียบที่จะพูดถึงในวันนี้ คือภัยเงียบที่มากับอาหาร เป็นภัยที่ชื่อว่า "สารอะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin) มาแบบเงียบๆ แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงไม่ใช่เล่น โดยก่อให้เกิดมะเร็งได้ทีเดียวเชียว อันนี้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) เขาเตือนมา

    สารอะฟลาทอกซินนั้น เป็นสารพิษที่สร้างขึ้นโดยเชื้อราบางชนิด มีสีเขียวหรือสีเขียวแกมเหลือง มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สารพิษนี้ไม่เพียงพบในถั่วลิสงเท่านั้น ยังพบบ่อยในเมล็ดข้าวโพด หอม กระเทียม พริกแห้ง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี และมันสำปะหลังอีกด้วย เป็นอาหารที่เรากินกันบ่อยๆ ทั้งนั้นเลย

    สารพิษตัวนี้หากกินในปริมาณมากๆ ก็จะทำให้เกิดอาการท้องเดิน อาเจียน หรือถ้ากินน้อยๆ แต่สะสมไปนานๆ ก็จะเป็นการยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้างโปรตีน ส่งผลให้ร่างกายสร้างเซลล์ที่ผิดเพี้ยน จนกลายเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ

    ความน่ากลัวอีกอย่างของมันก็คือ สามารถทนความร้อนสูงๆ ได้ ไม่ว่าจะต้มหรือทอด สารอะฟลาทอกซินนี้ก็จะยังอยู่ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องระมัดระวังเวลากิน หรือซื้ออาหารเหล่านี้ ให้เลือกดูที่สดๆ ใหม่ๆ ไม่มีคราบดำๆ หรือลองดมดูว่ามีกลิ่นอับหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่ควรซื้อ และถ้าซื้อมาแล้วใช้ไม่หมด ก็ควรเก็บในที่แห้งหรือตากแดดให้แห้งก่อนเก็บ แต่ถ้านานมากๆ ก็ทิ้งไปเลยดีกว่า อย่าเสียดาย
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กินบัวสายดับร้อน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>ดอกบัว</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> อาหารไทยนั้นประกอบด้วยพืชผักสมุนไพรหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ เรียกได้ว่ากินก็อิ่มท้องแถมให้สรรพคุณทางยามากมาย อย่างดอกบัวหลวงที่เราชาวพุทธคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เวลามีงานเวลามีงานพิธีทางศาสนาก็ใช้ดอกบัวนี่แหล่ะนำไปไหว้พระ เนื่องจากสายบัวหลวงมีก้านแข็ง มีความคงทนและสวยงาม ทำให้บัวสายหลวงคนไม่กินกัน ได้แต่ดูอย่างเดียว ส่วนบัวสายที่ขึ้นอยู่ตามน้ำลึกนั้นถือได้ว่านอกจากจะเป็นอาหารตาแล้ว ยังนำมาประกอบอาหารให้คุณประโยชน์มากมาย

    ส่วนที่นำมาประกอบอาหารของบัวสายที่นิยมได้แก่ส่วนก้าน สามารถกินได้ทั้งสดๆแต่ควรล้างให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยเลาะเปลือกออกแล้วหักเป็นท่อนๆ จะกินแกล้มกับน้ำพริก ส้มตำหรือลาบก็กรุบกรอบ ชื่นใจดี แต่หากไม่ชอบกินแบบสดๆก็สามารถนำก้านบัวสายมาประกอบในอาหารที่ชอบได้ตามต้องการ อาทิ แกงส้มสายบัว ผัดสายบัวใส่หมูหรือกุ้งก็อร่อยสุดๆ

    นอกจากจะอร่อยแล้วในบัวสาย 100 กรัมจะพบแคลเซียม 8 มิลลิกรัม วิตามินซี 15 มิลลิกรัม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันของเราให้แข็งแรง และมีสารเบต้าแคโรทีน ที่ต้านโรคมะเร็งในลำไส้ สำหรับสรรพคุณยาไทยนั้นพบว่า บัวสายมีรสจืด ช่วยบรรเทาความร้อนในร่างกาย ส่วนดอกบัวสายพบว่าช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้แช่มชื่น บำรุงกำลัง แก้ไข้ร้อนใน

    หน้าร้อนนี้หาบัวสายมากินดับร้อนคงจะช่วยคลายความร้อนระอุได้อีกโข
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กิน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>ไฟเบอร์

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โลกทุกวันนี้ยิ่งเจริญก้าวหน้าเพียงใด ก็ดูเหมือนว่าชีวิตจะต้องเร่งรีบเพื่อตามวิวัฒนาการของโลกและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆให้ทัน แต่รู้ไหมว่ายิ่งเร่งรีบเท่าไหร่ เรากลับใส่ใจในอาหารน้อยลง จนบางคนถึงกับรีบๆกินเพื่อจะได้รีบๆไปทำงาน จนลืมไปว่าสิ่งที่เอาเข้าปากนั้นบางครั้งก็มีแต่แป้ง แป้งและน้ำตาล ทำให้หลายคนอ้วนโดยไม่รู้ตัว

    แต่ยังไม่สายเกินไปหากจะหันมาหาอาหารจำพวกผัก-ผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จึงได้ค้นพบว่า แม้ว่าไฟเบอร์จะไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อยทั้งในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่เมื่อเดินทางมาถึงลำไส้ใหญ่ มันก็จะถูกแบคทีเรียที่มีอยู่มากมายในลำไส้ใหญ่ช่วยกันย่อยสลาย จนได้สารเคมีที่ร่างกายนำไป ใช้ประโยชน์ได้ เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล และนอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งด้วย

    โดยไฟเบอร์สามารถแบ่งหลักๆออกเป็น 2 ประเภทคือแบบละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ สำหรับไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ เมื่อละลายน้ำจะมีลักษณะเป็นเมือกใสๆ หรือขุ่นคล้ายยาง พบมากในผลไม้ พืชตระกูลถั่ว และข้าวโอ๊ต ไฟเบอร์ชนิดนี้มีประโยชน์ ในการลดคอเลสเตอรอล ลดความอ้วน และควบคุมเบาหวาน

    ส่วนไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำ จะมีลักษณะเป็นกากใย เช่น เสี้ยนผักต่างๆ เป็นต้น พบมากในข้าวซ้อมมือ รำข้าว และผักต่างๆ ซึ่งไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำนี้ มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร

    รู้ประโยชน์มากมายของไฟเบอร์แล้ว อย่าลืมหาผัก-ผลไม้มาประดับในมื้ออาหารนะจ๊ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    บรรเทาโรคข้ออักเสบด้วย "ขิง"

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น สภาพร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ด้วยโรคต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "โรคข้ออักเสบ" ซึ่งจะพบมากในวัยผู้สูงอายุ

    "ขิง" เป็นสมุนไพรไทยที่นำมาประกอบเป็นเครื่องปรุงเป็นอาหารได้สารพัด เพราะจะช่วยดับกลิ่นคาวในอาหารได้ดี ตามตำราสมุนไพรไทยบอกสรรพคุณของส่วนต่างๆ ของขิงไว้ว่า ใบใช้บรรเทาไข้ ปัสสาวะขัด แก้อาการท้องอืด ลำต้นใช้บรรเทาอาการปวดท้อง ท้องเสียหรือแม้กระทั่งรากก็ยังทำให้เสียงหวาน ทำให้อยากอาหาร บรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ เป็นต้น

    ส่วนหัวซึ่งอยู่ใต้ดินที่เรามักนำมาใช้ประกอบอาหารนี้ ก็มีสรรพคุณในการช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม และทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ นอกจากนั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบอีกด้วย เพราะขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้

    และถ้าใครอยากจะต้มน้ำขิงให้คุณพ่อหรือคุณแม่ที่กำลังปวดไขข้ออักเสบอยู่ละก็ ง่ายๆ แค่เอาขิงที่ไม่แก่จัดนักมาล้างทำความสะอาด แล้วทุบพอแตกใส่หม้อต้มกับน้ำจนเดือด แล้วค่อยๆ ลดไฟลง เคี่ยวจนน้ำเป็นสีเหลืองอ่อน เคี่ยวต่อไปสัก 15 นาทีแล้วผสมน้ำตาลทรายแดงดื่มร้อนๆ ชุ่มคอดี แต่อย่าลืมว่าจะกินน้ำขิงอย่างเดียวก็ไม่สามารถรักษาโรคไขข้ออักเสบได้ทันที ต้องควบคู่กับการรักษาจากแพทย์ไปด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    อาหารกับวันนั้นของเดือน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    รู้ไหมว่า เวลาที่ผู้หญิงมีประจำเดือนครั้งหนึ่ง ร่างกายของเราต้องเสียเลือดดีไปเป็นจำนวนถึง 150-350 ซีซี ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย (1,000 ซีซี = 1 ลิตร) ทำให้บางคนรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร เพราะร่างกายสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ไปพร้อมกับประจำเดือนด้วย

    ดังนั้น ช่วงก่อนวันนั้นของเดือนจึงเป็นช่วงที่ต้องบำรุงร่างกายกันหน่อย โดยผู้หญิงเราควรจะเน้นกินอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารเหล่านี้จะมีธาตุเหล็ก วิตามินบี 6 และบี 12 รวมทั้งกรดโฟลิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเลือด และนอกจากนั้นก็ควรกินผักผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากๆ เพื่อจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ประจำเดือนมาอย่างปกติ

    นอกจากนั้นยังมีสมุนไพรจีนอยู่ตัวหนึ่ง นั่นก็คือ "ตังกุย" ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีผลต่อมดลูกโดยตรง ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต บำรุงเลือด และช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ รวมทั้งยังช่วยแก้ปวดท้องประจำเดือนอีกด้วย และใครที่ปวดท้องอยู่บ่อยๆ อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ก็จะช่วยให้ร่างกายทนต่อความเจ็บปวดได้ดีขึ้น เป็นวิธีลดความปวดอย่างหนึ่ง
     
  9. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    วิธีง่ายๆ กับการหลีกเลี่ยงสารเคมีในผัก

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>ผัก</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> รู้กันอยู่ว่าผักนั้นเป็นอาหารหนึ่งในห้าหมู่ที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง แต่ปัญหาก็คือ ในผักมักจะสารเคมีตกค้าง หากล้างไม่ถูกวิธีร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้นเข้าไปด้วย ซึ่ง มีวิธีง่ายๆ ในการหลีกเลี่ยงสารพิษเหล่านี้มาฝาก นั่นก็คือการกินผักตามฤดูกาล เพราะการปลูกพืชผักตามฤดูกาลนั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากเท่ากับการปลูกผักนอกฤดู เพราะพืชจะแข็งแรง ทนต่อโรคและแมลงได้มากกว่า ส่วนฤดูไหนจะกินผักอะไรนั้น มาดูกัน

    สำหรับฤดูร้อนในเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม พืชผักอย่างคะน้า กวางตุ้ง แตงกวา บวบ ผักกาดหอม ชะอม ผักบุ้ง ดอกแค กำลังงามเลยทีเดียว ส่วนในฤดูฝน ช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน ผักคะน้า กวางตุ้ง แตงกวา บวบ ผักกาดหอม ชะอม ผักบุ้ง ตำลึง หน่อไม้ ถั่วฝักยาว มะระ ต้นหอม ผักชี ก็วางขายอยู่เต็มตลาดไปซื้อหากันได้

    ในช่วงฤดูหนาว ช่วงที่ปลูกผักอะไรก็งามไปหมด ในเดือนธันวาคม-มกราคม ก็จะมีผักอย่างฟักทอง ฟักแฟง กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดขาว หัวไชเท้า สลัดแก้ว ผักกาด หัวไชเท้า สลัดแก้ว ถั่วแขก ถั่วพู ดอกกะหล่ำ บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง มะเขือเทศ ถั่วลันเตา หอมหัวใหญ่ กระเทียม พริกชี้ฟ้า พริกหวาน ให้เลือกกินกัน

    นอกจากจะกินผักตามฤดูกาลแล้ว การกินผักพื้นบ้านของไทยเราอย่าง กระถิน กระเพรา ขมิ้น ข่า ขิง ขี้เหล็ก ชะพลู ผักหวาน ฯลฯ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการหลีกเลี่ยงสารพิษในอาหารได้ด้วย เพราะสามารถปลูกได้ง่าย ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง เช่นกัน แต่ถ้าจะให้ปลอดสารพิษแน่ๆ ก็ลองปลูกผักกินเองเสียเลยเป็นไง เป็นการประหยัดเงินได้อีกต่างหาก
     
  10. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    คลายเครียดด้วย "ขี้เหล็ก"

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=347 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=347>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลายคนคงจะเคยกินแกงขี้เหล็ก เมนูเด็ดที่ปรุงด้วยพริกแกงและกะทิ มีรสชาติกลมกล่อมหวานมันซ่อนขมเล็กน้อย ซึ่งรสขมๆ ของขี้เหล็กนั้นช่วยทำให้เจริญอาหาร ส่วนใบอ่อนและดอกตูมของต้นขี้เหล็ก จะมีสารที่ชื่อว่า แอนไฮโดรบาราคอล (anhydrobarakol) ซึ่งมีสรรพคุณช่วยในการคลายความเครียดและมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ อีกด้วย ส่วนสารอัลคาลอยด์ในใบขี้เหล็ก มีฤทธิ์กล่อมประสาททำให้นอนหลับสบายขึ้น

    นอกจากนั้นดอกขี้เหล็กยังมีซึ่งมีคุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยม อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี ช่วยบำรุงสายตา เหงือก ฟัน กระดูก และผิวพรรณ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

    เบต้าแคโรทีนที่มีอยู่ในขี้เหล็ก ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ส่วนใบขี้เหล็กก็มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูก ฟันให้แข็งแรง ช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท และมีธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี1 บี2 และไนอาซีน รวมทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรท ไขมันและเส้นใยอาหาร ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ลดความ

    คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่า ที่ไม่ว่าจะกินอะไรก็จะต้องเรียกหาพริกน้ำปลาเสียทุกที เป็นการเพิ่มรสชาติความเค็มให้กับอาหารจานนั้นๆ

    แต่รู้ไหมว่า การกินอาหารที่มีรสเค็มมากไปนั้น มีแต่ผลเสีย ลองสังเกตเวลาที่เรากินอะไรที่เค็ม ๆ ดูสิ อย่างแรกที่จะรู้สึกก็คือหิวน้ำบ่อย เนื่องจากหากร่างกายมีปริมาณโซเดียมสูงเหมือนน้ำทะเลที่เค็มจัด ร่างกายจึงต้องการน้ำในจำนวนมาก เพื่อทำให้ความเค็มเจือจางอยู่ในระดับที่สมดุล และจริงๆ แล้ว ตามปกติคนเราควรจะได้รับปริมาณเกลือเพียงแค่ 230 มิลลิกรัม หรือแค่ประมาณ 1/10 ช้อนชาเท่านั้น แต่ปริมาณเกลือที่เรากินกันเข้าไปส่วนใหญ่นั้น สูงกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นกว่า 6-10 เท่าเลยทีเดียว

    อาหารส่วนใหญ่ที่เราพบเจอนั้นล้วนแต่มีเกลือเป็นส่วนผสมในปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องแกงสำเร็จรูป ไส้กรอก และบรรดาขนมกรุบกรอบต่างๆ ซึ่งการกินอาหารที่มีรสชาติเค็มติดต่อกันเป็นเวลานานนี้ จะเป็นสาเหตุของบรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความโลหิตสูง โรคอัมพฤกษ์ โรคไต ทำให้เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดศีรษะ(ไมเกรน) หรือเกิดผื่นแดงตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ และปริมาณเกลือในร่างกายที่มากเกินไป จะทำให้น้ำของเนื้อเยื่อภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการบวม และเกิดอาการเส้นเลือดคั่ง และหัวใจวายได้

    รู้อย่างนี้แล้วก็น่าจะลดเกลือลงมาหน่อย ลองกินอะไรจืดๆ ดูบ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีไปนานๆ
     
  12. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ลด ละ เลิก อาหารรสจัด

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เป็นเหมือนกันไหม ที่เวลากินก๋วยเตี๋ยวทีไรแม้จะยังไม่ได้ชิมรส แต่มือก็เอื้อมไปหยิบเครื่องปรุงมาใส่โดยอัตโนมัติ ใส่นู่นใส่นี่ทั้งพริก น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้ม เมื่อลองชิมแล้วก็ยังไม่ถูกใจ ต้องใส่เพิ่มเข้าไปอีกจนรสชาติก๋วยเตี๋ยวมีครบทั้งหวานเค็มเปรี้ยวเผ็ด รสชาติจัดจ้านถูกใจ

    แต่การกินอาหารรสจัดจนเป็นนิสัยนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก โดยเฉพาะผู้ที่ชอบกินรสหวานจัด และเค็มจัดนั้น ต้องหันมาฟังทางนี้ก่อน

    สำหรับรสหวานนั้นเป็นรสที่ติดง่าย แม้ในอาหารคาวก็ต้องเติมน้ำตาลลงไป การกินอาหารรสหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมหวาน น้ำอัดลม ลูกอม หรือในอาหาร จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น และสำหรับเด็กๆ หากกินรสหวานมากเกินไปจะทำให้ความอยากอาหารลดลง แถมทำให้ฟันผุเร็วขึ้นอีกต่างหาก จึงควรจำกัดการใช้น้ำตาล ให้ได้รับไม่เกิน 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนในผู้ใหญ่หากกินหวานมากๆ ก็ต้องระวังโรคอ้วนด้วย และอาจพัฒนาไปเป็นเบาหวานได้อีกต่างหาก

    ส่วนรสเค็มนั้นได้จากการเติมน้ำปลาและการใช้เกลือแกง นอกจากนั้นก็ยังพบในอาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักดอง ไข่เค็ม ปลาเค็ม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขนมขบเคี้ยวที่เด็กๆ ชอบกินนั้น จะมีส่วนผสมของเกลือมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากกินอาหารรสเค็มจัดหรือเกลือแกงมากกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือมากกว่า 1 ช้อนชาขึ้นไป จะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุ

    การกินอาหารแบบธรรมชาติซึ่งไม่ปรุงแต่งมากมายนับว่าดีที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็พยายามลดความหวานความเค็มลงมาหน่อย เพื่อสุขภาพของตัวเราเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กินอาหารบำรุงผิว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=220>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หลายคนคงจะทราบแล้วว่า การบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีนั้น เรื่องอาหารการกินมีส่วนช่วยมากทีเดียว หากกินอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณแล้วก็ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อครีมหรือโลชั่นแพงๆ มาใช้ก็ยังได้ วันนี้ ก็เลยนำเอาอาหารที่ทั้งช่วยทำลาย และช่วยบำรุงผิวสวยๆ ของเรามาฝากกัน

    สำหรับอาหารที่ทำลายความสดใสของผิวพรรณอย่างแรกก็คือ ไขมันอิ่มตัวในอาหารจำพวกเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม เนยสด โดยในการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรมลง และหากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะจะไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผิวตึงกระชับ ดังนั้นหากกินมากไปส่งผลให้ผิวหนังหย่อนยานก่อนวัยได้นะ

    กาแฟที่เรามักจะดื่มกันตอนเช้าๆ วันละแก้วสองแก้วนี่ก็ทำลายผิวเราได้เหมือนกัน เพราะคาเฟอีนจะเป็นตัวดึงความชุ่มชื้นจากผิวเราออกไป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายก็เช่นกัน ดังนั้นหากดื่มสองสิ่งนี้เข้าไปเมื่อไร ก็อย่าลืมดื่มน้ำแก้วโตๆ ตามเข้าไป เพื่อป้องกันผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้น

    ส่วนใครที่อยากผิวดีจากอาหารการกินก็ไม่ยาก เพียงแต่กินอาหารจำพวกเนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย น้ำมันมะกอกซึ่งมีกรดไขมันชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเต็มไปด้วยวิตามินเอและอีก็ช่วยให้ผิวสวยได้ ส่วนธัญพืชต่างๆ ก็ให้วิตามินอีซึ่งช่วยรักษาความแข็งแรงของเซลล์ ที่ขาดไม่ได้คือผักสดผลไม้สด รวมทั้งน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วด้วย เท่านี้ผิวก็สวยได้แล้ว
     
  14. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    กินอาหารแทนยา

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=288 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=288>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    บร็อคโคลี่
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทุกวันนี้มีโรคภัยไข้เจ็บแปลกๆ เกิดขึ้นหลายอย่างเหลือเกิน ทำเอาบางคนต้องกินยากันเป็นว่าเล่น ถึงจะเป็นยารักษาโรคก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าไม่ใช่ของธรรมชาติแล้วก็ไม่ใช่สิ่งดีต่อสุขภาพอยู่ดีจึงมีอาหารที่กินแทนยามาฝากกัน

    อย่างแรกก็คือ บร็อคโคลี่ ผักในตระกูลกะหล่ำที่มีชื่อในเรื่องการป้องกันมะเร็ง ให้วิตามินซีสูง กำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน โรคหัวใจ ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตได้ นอกจากนั้นยังมีสารเบต้าแคโรทีนบำรุงสายตาอีกด้วย

    อย่างที่สองคือ กระเทียม ซึ่งฤทธิ์คล้ายกับยาแอสไพริน ช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้เหมือนกับยาเพ็นนิซิลิน โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บคอ กินบ่อยๆ ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านมได้ ต่อมาคือ ถั่วแดง ซึ่งมีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ อุดมด้วยกรดโฟลิคช่วยบำรุง โลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดี

    นมพร่องมันเนย ให้แคลเซียมสูงปลอดไขมัน ซึ่งป้องกันภาวะกระดูกพรุน และยังมีสารโปตัสเซียมและแมกเนเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิตสูง ส่วนส้ม ผลไม้ที่มีวิตามินซี สูง เส้นใยอาหารสูง ช่วยป้องกันหวัด ลดระดับคลอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดนิ่วในไต ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยฟื้นฟูอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=220>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปลาแซลมอน มี Omega-3 หรือน้ำมันปลา ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบ และสำหรับคุณผู้หญิง ปลาแซลมอนยังช่วยลดอาการปวดรอบเดือน และอาการต่างๆ ก่อนมีรอบเดือนได้ด้วย และช่วยระงับอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย

    ต่อด้วย เต้าหู้ เหมาะสำหรับผู้หญิงในวัยทอง เพราะมีสารเอสโตเจนธรรมชาติจากพืช ป้องกันโรคกระดูกพรุนจากการขาดแคลเซียม ป้องกันมะเร็งเต้านม และสำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในวัยทองก็ควรกินเช่นกัน เพราะช่วยให้ไตทำงานได้ดี และช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอล ซอสมะเขือเทศก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์มากมาย เช่น ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และสาร lycopene ในมะเขือเทศก็ยังเป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ กำจัดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณผ่องใสขึ้นด้วย

    และสุดท้าย แม้ไม้ใช่อาหาร แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้อาหารเลยทีเดียว นั่นก็คือ น้ำสะอาด เพราะน้ำถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย เราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว หากดื่มได้อย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย การเป็นตะคริว ป้องกันการเกิดนิ่ว และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วย
     
  15. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    คุณค่าจากดอก "อัญชัน"

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ได้รู้จักกับดอกอัญชันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ในบทเรียนที่ต้องทำการทดลองเรื่องความเป็นกรด-ด่าง ที่ต้องใช้ดอกอัญชันก็เพราะว่า ในดอกสีน้ำเงินนี้จะมีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเมื่อโดนกรด และนอกจากจะเป็นสารทดสอบความเป็นกรด-ด่างแล้ว ดอกอัญชันยังมีประโยชน์อีกมากมาย ที่เห็นได้บ่อยๆ อย่างหนึ่งก็คือการเป็นสีผสมอาหาร โดยเฉพาะในขนมไทย เช่น ขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ หรือน้ำดอกอัญชันดื่มแก้กระหาย เป็นต้น

    สารแอนโธไซยานินที่มีอยู่มากในดอกอัญชันนี้ มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ เช่น ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น เนื่องจากสารตัวนี้จะไปเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดเล็กๆ เช่น หลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้กลไกที่ทำงานเกี่ยวกับการมองเห็นแข็งแรงขึ้น เพราะมีเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงมาขึ้น ในขณะนี้ก็มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก เกี่ยวกับความสามารถของสารแอนโธไซยานิน ในการเพิ่มประสิทธิภาพของตา เช่น ตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น

    และสารแอนโธไซยานินที่ว่านี้ ก็ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วย นอกจากนั้น ในตำรายาไทยยังได้กล่าวถึงสรรพคุณของอัญชันไว้ว่า รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย ช่วยบำรุงสายตา แก้ตาอักเสบ ตาฟาง ตาแฉะ นอกจากนี้ยังมีการนำรากอัญชันมาถูฟันแก้ปวดฟัน ทำให้ฟันคงทนแข็งแรงได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ไทยๆ อีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าไม่น้อยเลยทีเดียว
     
  16. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    จัดการกับ "ร้อนใน" ด้วยสมุนไพรไทย

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=420 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=420>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อพูดถึง "แผลร้อนใน" แผลเล็กๆ ในปากที่มักจะขึ้นมาเวลาที่เราเครียดกับการทำงาน นอนดึก นอนไม่พอ หรือท้องผูก เชื่อว่าทุกคนก็คงต้องเคยเป็นกันมาหมดแล้ว ซึ่งเจ้าแผลร้อนในนี้ก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร เพียงแค่ทำให้รู้สึกเจ็บๆ แสบๆ บ้าง และทำให้กินข้าวไม่สะดวกอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ก็จะหายไปเอง แต่ถ้าไปกัดซ้ำแผลตรงเดิมละก็ ถึงกับน้ำตาเล็ดได้เลยล่ะ

    สมัยนี้ก็มียาทารักษาแผลร้อนในอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน แต่หากใครสนใจจะใช้สมุนไพรช่วยรักษาละก็ วันนี้ ก็มีวิธีมาฝากกัน วิธีแรก ให้เอาใบต้นเสลดพังพอนตัวเมียมาคั้นเอาแต่น้ำ แล้วนำมาทาแผลร้อนใน และอีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้กินฝรั่งสดวันละ 2-3 ลูก และหลังจากกินอาหารแล้วให้นำใบฝรั่งมาเคี้ยว และพยายามให้ใบฝรั่งโดนบริเวณที่เป็นแผล ทำอย่างนี้วันละ 2-3 ครั้ง หรือหลังมื้ออาหารทุกมื้อเลยก็ได้ ไม่นานร้อนในที่ว่าก็จะลาจากไปแต่โดยดี

    หรือถ้าใครมีเวลาว่างๆ จะทำยาลูกกลอนจากใบฟ้าทลายโจรก็ได้ โดยการน้ำเอาใบฟ้าทลายโจรตากแห้งมาบดให้เป็นผง นำมาผสมกับน้ำเชื่อมแล้วปั้นให้เป็นก้อน กินวันละ 2-3 ครั้ง แก้ร้อนในได้ และที่สำคัญ ขอแนะนำให้ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อลดความร้อนในร่างกายด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    ดูแลเหงือกและฟันด้วยการกิน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>ฟัน</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปากของเราเป็นด่านแรกที่อาหารจะต้องผ่านเข้าไป แต่ลองคิดดูสิว่า หากในปากเราไม่มีเหงือกและฟัน การกินอาหารคงจะหมดรสชาติไปไม่น้อยเลยทีเดียว

    ฟันถือเป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกาย แต่ก็ยังผุกร่อนได้เพราะการกินอาหารไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่เหงือกนั้นสำคัญยิ่งกว่าฟันเสียอีก เพราะเป็นอวัยวะที่ละเอียดอ่อน มีหน้าที่หุ้มรากฟัน ทันตแพทย์มักจะบอกเสมอว่า รักษาโรคเหงือกยากกว่ารักษาโรคฟันเสียอีก

    สำหรับฟันของเรานั้น ต้องการสารอาหารประเภทแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมทั้งวิตามิน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นตัวประกอบให้ฟันเราแข็งแรง โดยปกติแล้ว ถ้าเรากินอาหารครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ฟอสฟอรัสเพียงพอจากการกินอาหาร แต่อาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีแคลเซียมเสมอไป ร่างกายเราจึงมักขาด ดังนั้นจึงต้องเสริมด้วยอาหารจำพวกน้ำนม เนยแข็ง หรือผักประเภทกะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง ผักโขม ตำลึง ใบมะกรูด ใบกระเพาขาว ใบแค ใบบัวบก ใบยอ ใบ ไข่แดง ปลา ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก และสำหรับน้ำอัดลมนั้นถือเป็นศัตรูของฟันเลยทีเดียว เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนมาก

    ส่วนเหงือกนั้น ก็ควรบำรุงด้วยการกินผลไม้สด ผักสด ที่ให้วิตามินซี เช่น ส้มต่างๆ มะนาว มะเขือเทศ มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด กะหล่ำปลี ผักกาดหอม หัวหอม ซึ่งอาหารประเภทนี้จะ ให้วิตามินสูง เหงือกของเราจะได้สีสดใส ไม่คล้ำหรือซีด ดูเป็นคนสุขภาพดี ไม่เป็นโรคเลือดออกตามไรฟันด้วย

    คนที่เคยเป็นโรคเหงือกหรือโรคฟันคงจะเข้าใจถึงความทรมานได้ดี เพราะฉะนั้นเรามาดูแลอวัยวะสำคัญสองสิ่งนี้ของเราไว้ก่อนจะสายเกินไปดีกว่า
     
  18. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    จะทำยังไง...เมื่อคนผอมอยากอ้วน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=216 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=216>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เดี๋ยวนี้เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนอยากผอม ดูโฆษณาทางทีวีทีไรก็เห็นมีแต่ผลิตภัณฑ์ขายความผอม แต่ ก็รู้นะว่ายังมีคนผอมอีกหลายคนที่อยากจะเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้าง แต่กินยังไง้...ยังไงน้ำหนักก็ไม่ขึ้นเสียที

    ผู้ที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเพราะว่าเป็นคนที่ใช้พลังงานมาก แต่พักผ่อนน้อย กินน้อย แถมเลือกกินอีกต่างหาก หรือสำหรับบางคนอาจเกิดจากปัญหาทางร่างกาย เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานมากเกินไป ทำให้อาหารถูกเผาผลาญมาก หรือลำไส้ดูดซึมอาหารไม่ดี เป็นโรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น อันนี้ก็ต้องปรึกษาแพทย์กันไปตามอาการ

    แต่ถ้าอยากอ้วนขึ้นด้วยการกินละก็ กองโภชนาการ กรมอนามัย เขาแนะนำมาว่า จะต้องกินอาหารให้ได้แคลอรี่วันละ 3,000-3,500 โดยกินอาหารที่ให้พลังงานสูงอย่าง เนย ไอศกรีม ขนมหวาน ผลไม้ที่ให้พลังงานสูงๆ และต้องกินอาหารจำพวกโปรตีน เช่น นม ไข่ ถั่ว เนื้อสัตว์ให้มากกว่าปกติ อย่ากินอาหารที่มันจัด หรือหวานจัด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง แล้วถ้าใครยังเบื่ออาหารอยู่อีกละก็ ต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ ทำให้ได้อย่างนี้แล้วน้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นได้
     
  19. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    สอนลูกกินผักให้เป็น

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=270 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=270>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ชอบผักๆๆ กินผักๆๆ... บางคนกินผักได้อย่างเอร็ดอร่อย แต่บางคนแค่เห็นก็ถึงกับส่ายหน้า ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมกินและให้เหตุผลว่า...ไม่ชอบกินผัก เรื่องแบบนี้เป็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นใครที่ไม่อยากให้ลูกเป็นคนเลือกกินละก็ ต้องหัดให้ลูกกินผักไว้ตั้งแต่เด็กๆ เลยเป็นดี

    เด็กจะสามารถเริ่มกินผักได้ตั้งแต่อายุ 5 เดือนขึ้นไป ในช่วงนี้ต้องเริ่มให้เด็กกินผักนิ่มๆ อย่างใบตำลึง ผักกาดขาว ฟักทอง เป็นต้น ส่วนผักที่มีกลิ่นฉุนอย่างผักชี ต้นหอมนั้น สามารถให้ลูกกินได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 8-9 เดือน เพราะในช่วงนี้เด็กจะยังไม่รู้จักกลิ่นและรส เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะหัดให้กินผัก

    การทำรูปลักษณ์ของผักให้น่ากินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ อยากกินผักมากขึ้น เช่น ผักที่แกะสลักเป็นรูปต่างๆ หรือผักชุบแป้งทอด แต่ที่สำคัญที่สุด คือ พ่อและแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ ด้วยการกินผักให้ลูกเห็น หรือกล่าวชมเชยเวลาที่ลูกกินผักได้เอง และอย่าใช้วิธีบังคับให้กินให้ได้ เพราะเด็กจะเกิดความรู้สึกต่อต้าน

    อย่าลืมว่าผักเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่สำคัญมากๆ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากใครกำลังมีลูกเล็กๆ ก็มาหัดให้ลูกกินผักให้เป็นกันดีกว่า จะได้มีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดูเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมากอีกด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...