กำหนดการ 99 ปี วันครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายวันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559

ในห้อง 'กฐิน - ผ้าป่า - งานวัด' ตั้งกระทู้โดย common good fon, 13 กันยายน 2016.

  1. common good fon

    common good fon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,035
    กำหนดการ 99 ปี วันครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายวันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559วันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ณ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี

    ภาคเช้า
    6.40 น. พิธีตักบาตร ณ บ้านแก้วเรือนทอง

    ภาคสาย
    9.30 น. ปฏิบัติธรรม
    11.00 น. พิธีกล่าวคำถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน

    ภาคบ่าย
    12.15 น. รายการสู้ต่อไป
    13.30 น. พิธีจุดเทียนใจไฟนิรันดร์อนันตชัย / ปฏิบัติธรรม
    14.40 น. พิธีบูชาครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
    15.25 น. พิธีสักการะรูปหล่อทองคำพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    15.40 น. พิธีถวายปัจจัยบูชาธรรม / ประธานสงฆ์กล่าวให้โอวาท
    16.30-16.45 น. กิจกรรมสืบสานวัฒนธรรมคุณยายอาจารย์ฯ
    17.30 น. พิธีบูชาพระมหาธรรมกายเจดีย์และบูชามหาปูชนียาจารย์ ณ มหารัตนวิหารคด 32
    18.00 น. พิธีสวดมนสต์บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และพิธีเวียนประทักษิณ รอบพระมหาธรรมกายเจดีย์เนื่องในวันพระ ณ มหารัตนวิหารคด
    19.00 น. เสร็จพิธี

    หมายเหตุ

    1. เปิดให้เข้าสักการะรูปหล่อทองคำ ณ มหาวิหารพระมงคลเทพมุนีฯ เวลา 11.00-12.30 น.
    2. งดให้เข้าสักการะรูปหล่อทองคำ ณ มหาวิหารคุณยายอาจารย์ฯ


    คัดลอกข้อมูลจาก Dhamma Meditation Peace Buddha ธรรมกาย กฎแห่งกรรม การนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้า ธรรมะ
    ***********************************************

    ความลึกซึ้งของ ... “ วิชชาธรรมกาย”


    เล่าโดย จิตอารีย์( วิทยากร สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ปัจจุบันคือ วัดหลวงพ่อสดฯอ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี )

    “ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา” “ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”

    พุทธวจนะบทนี้....ข้าพเจ้าเพิ่งจะมาเข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
    เมื่อได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรม ตามแนววิชชาธรรมกาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เรียนรู้ เข้าถึง ... “วิชชาธรรมกายชั้นสูง”
    อาทิเช่น ยุทธวิธี และ ยุทธศาสตร์ของการสะสางธาตุธรรมชั้นสูง ฯลฯ

    บัดนี้เมื่อได้เจริญภาวนารุดหน้าเรื่อยไป...โดยไม่ถอยหลังกลับ
    ตามคำสั่งดั้งเดิมของ “หลวงพ่อสด”
    บ่อยครั้ง....ที่ข้าพเจ้าเกิดความปีติ
    คละเคล้ากับความเลื่อมใสศรัทธา....ที่มั่นคงทวีขึ้น
    เมื่อได้เรียนรู้ลึกซึ้งเข้าไปใน “วิชชาชั้นสูง” ... ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

    ความรู้สึกอัศจรรย์ใจในความซับซ้อน ละเอียดประณีต...จนสุดประมาณ
    ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้นั้น...มีบ่อยครั้งที่สุด
    และเมื่อได้รู้ ได้เห็น เข้าไปมาก ๆ แล้ว
    ความรัก ความเคารพ...ในองค์ “หลวงพ่อสด”
    จึงเกิดพอกพูนขึ้นในจิตใจอย่างไม่หยุดยั้ง

    ข้าพเจ้าจึงมักรำพึงกับตัวเองว่า....
    เหมาะแล้ว ควรแล้ว กับความเป็นยอดอัจฉริยะของหลวงพ่อสด
    และสมแล้วที่ท่านเป็น “ธาตุธรรมส่วนหนึ่งของ ... องค์ต้นธาตุ”
    มิฉะนั้นคนรุ่นเรา คงจะไม่มีโอกาส ได้รู้ ได้เห็น และ เป็น ...เช่นนี้เลย

    นับตั้งแต่ได้ “เข้าถึงธรรม” มาแต่ครั้งกระนั้น
    กิจวัตรของตนเองก็คือ พยายามรักษาใจ...
    มิให้ตกไปอยู่ในอำนาจของ ฝ่ายอกุศลาธัมมา และ อัพยากตาธัมมา
    แต่ก็มีบ้าง...ที่ได้เผลอไผล
    ย่อหย่อนในการทำความเพียร...ตามตารางที่ตั้งใจไว้อยู่เหมือนกัน

    คราใดก็ตามที่เป็นเช่นนั้น
    พอได้เวลาปฏิบัติภาวนา และเมื่อเข้าถึงที่สุดละเอียดแล้ว
    จึงมักถูกหลวงพ่อดุ
    และสอนผ่านศูนย์กลางกายอยู่บ่อย ๆ
    ข้าพเจ้าจึงได้พัฒนามรรคาแห่งจิตขึ้นเรื่อย ๆ

    แม้ในยามปกติ ก็ยังมีโอกาสได้แก้ความสงสัยบางประการ
    จาก “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    รวมทั้งหลายครั้งหลายหน ที่ได้รับความกระจ่างในวิชชา
    จาก “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)( ปัจจุบันคือ พระเทพญาณมงคล )

    ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเตือนตนเอง... ให้จรดใจให้อยู่ในศูนย์อยู่เสมอ
    ยิ่งเมื่อจะออกจากบ้านไปทำธุระ หรือ ไปทำงาน ... ยิ่งต้องทำให้มาก
    บางครั้งก็ “เดินวิชชาชั้นสูง” ไปเลย
    ในยามที่จะต้องยืน เดิน หรือ ในขณะนั่งทำงานนั้นแหละ

    เพราะได้ตั้งตารางไว้ว่า …..
    วันหนึ่ง ๆ จะต้องเดินวิชชา เข้าจนถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    และเดินเร็วเป็นสิบ – ร้อย – พันเขต เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไป
    .....ทับทวีโดยไม่หยุดอยู่กับที่

    และด้วยผลของการปฏิบัติธรรมตามขั้นตอน...ตามหลักวิชชา
    ที่ครูบาอาจารย์ได้สอนไว้ดังกล่าวข้างต้นนี้เอง
    จึงบังเกิดผลเป็นอานุภาพแห่งธรรม ปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้า
    ให้พ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ มาหลายครั้ง

    มิใช่แค่เรื่องความปลอดภัย ในการเดินทางเท่านั้น
    แม้สิ่งของที่หายไป...โดยการขโมย
    ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยวิชชา ตรวจสอบและติดตาม
    จนรู้ว่า...ใครเป็นคนหยิบไป ? เมื่อไหร่ ? ของนั้นยังอยู่ ?
    เปลี่ยนมือไปแล้วหรือยัง ? ผู้ที่ขโมยไปนั้น ตั้งใจจะขายต่อเมื่อใด ?

    และด้วยอานุภาพแห่ง...วิชชาธรรมกาย
    ทำให้ผู้ที่ขโมยของไป ต้องแอบนำของกลับมาคืนไว้ โดยไม่ให้คนในบ้านเห็น

    นี่ก็เป็นเพราะ ข้าพเจ้าได้ใช้วิชชา (เบื้องต้น) ผ่านไปในสมาธิ
    และสั่งสอนอบรมเข้าไปในจิต ในวิญญาณส่วนละเอียดของผู้นั้น
    ให้มีความสำนึกในความผิด รู้โทษในสิ่งที่ตนได้ทำลงไปว่า...
    เป็นบาป ที่จะเผาลนจิตใจให้เร่าร้อน

    จนกระทั่ง เขาบังเกิดความละอายใจขึ้นมา
    จนต้องนำของที่ขโมยไป...กลับมาส่งคืน

    การทุ่มเทจิตใจ...ฝึกเจริญภาวนาธรรมอย่างจริงจังของข้าพเจ้า
    ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
    ได้บังเกิดผลแห่งการปฏิบัติ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

    คำพูดของ “หลวงพ่อสด” ที่ว่า
    “ ธรรมกายยังไม่ถึง ๑๐ ปี ยังนับว่าใช้ไม่ได้ ”
    ข้าพเจ้าได้เข้าใจในความหมายของประโยคนี้...อย่างลึกซึ้ง
    จากประสบการณ์ในการเจริญภาวนา เช่น

    ข้าพเจ้าเคยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง
    ในการนั่งทำวิชชา เข้าถึงสุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรมหนึ่ง ๆ นั้น

    ในเวลาต่อมา เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น
    ก็สามารถทำวิชชา คำนวณวิชชา ได้เร็ว แรง และละเอียดประณีตมากขึ้น
    ถึงเป็น อณุ – ปรมาณู ที่สุดละเอียดของเขตธาตุเขตธรรม
    .....นับอสงไขยอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน

    เพราะเข้าใจหลัก และ เคล็ดลับของวิชชาดีขึ้น
    จากที่นั่งเจริญภาวนา คำนวณวิชชา เป็นสิบเขต ใน ๑ ชั่วโมง
    ก็เป็น ร้อย – พัน – หมื่น จนนับไม่ถ้วน
    เป็นอสงไขยเขตธาตุเขตธรรม...เลยทีเดียว

    ประสบการณ์ในการเจริญภาวนาทุกครั้ง
    ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความรอบรู้มากขึ้น และ สำรวมมากขึ้นด้วย

    ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้านั่งเจริญภาวนาอยู่ให้องพระ
    เมื่อเดินวิชชา ... ตามลำดับขั้นตอนไปพักใหญ่
    จนได้เข้าถึง “ปราสาททำวิชชา ของ หลวงพ่อสด” ...ในอายตนะนิพพาน
    ข้าพเจ้าเข้าไปในกลางของกลาง “องค์ต้นธาตุ”
    ปักใจดิ่งสู่กลางในกลาง ทับทวีจนสุดละเอียด
    พร้อมกับตรึกขอดู “ผังจริง” ในพระพุทธศาสนา

    ฉับพลันนั้นเอง
    ภาพที่ปรากฏชัดเจน ยิ่งกว่าเห็นด้วยตาเนื้อ...ก็ปรากฏขึ้น
    ท่ามกลางความสว่างไสว และ ละเมียดละไมไปด้วยอณูของความสงบเย็น
    .....ที่ประณีตมาก จนประมาณไม่ถูกนั้น

    ข้าพเจ้าได้เห็นว่า.....
    ตรงกลางนั้น เป็นตำแหน่งของ “องค์ต้นธาตุต้นธรรม”
    ..... ที่มีลักษณะเหมือน “หลวงพ่อสด”
    เป็นธาตุธรรมที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งองค์...จนเป็นประกาย
    รัศมีโชติช่วง เปล่งปลั่งยิ่งนัก

    ส่วนที่อยู่รอบ ๆ องค์ท่านนั้น
    ต่างก็นั่งสงบ ในท่าสมาธิ...เป็นระเบียบสวยงาม
    ในลักษณะคล้าย ธาตุ ๖ ที่เคยเห็นมา
    คือ มีซ้าย – ขวา – หน้า – หลัง

    ที่อยู่ใกล้ “องค์ต้นธาตุ” ก็เป็น ..... “องค์กลางธาตุ”
    และที่ห่างออกไป จึงเป็น ... “ปลายธาตุ”
    ล้อมรอบท่านเป็นวงกลม เป็นชั้น เป็นชุด ออกไปเป็นปริมณฑล...กว้างใหญ่มาก

    มีบุคคลมากมาย ทั้ง “พระ” และ “แม่ชี” ตลอดจนฆราวาส...เต็มไปหมด
    ในส่วนหน้า ๆ นั้น ... ส่วนมากจะเป็น “พระสงฆ์”
    “แม่ชี” และ “อุบาสิกา” จะอยู่ข้างหลังท่าน ... เป็นส่วนใหญ่

    ทั้งหมดนี้เป็นการยืนยันว่า.....
    วิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ... ที่ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ”
    ได้สั่งสอนถ่ายทอดมายัง “หลวงพ่อวีระ คณุตฺตโม”
    (รองเจ้าอาวาส และ พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)

    และถ่ายทอดต่อมาถึง “หลวงป๋า” (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    (เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี)
    รวมทั้งที่ได้ถ่ายทอดต่อมา...ถึงศิษยานุศิษย์ในปัจจุบันนี้

    เป็นวิชชาที่สามารถ...เข้าถึงได้จริง ทำได้จริง เป็นได้จริง

    ความจริงวิชชาในพระพุทธศาสนา
    มิได้สอนกันอยู่เพียง วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา
    อันมี...อาสวักขยญาณ เป็นที่สุดเท่านั้น

    เพราะ พระเดชพระคุณ “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ได้เคยกล่าวยืนยันถึง
    ความเป็นจริงในวิชชาของพระพุทธศาสนาว่า…
    เป็นข้อที่ลุ่มลึกมาก...เกินกว่าที่จะคาดคะเนด้วยปัญญาของคนทั่วไป

    ดังเช่นที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ
    ได้เคยกล่าวว่า.....

    “ ต่อแต่นี้ไป เราจะต้องเข้าให้ถึงที่สุด
    เข้าไปในกายที่สุดของเราให้ได้ เป็นกาย ๆ ออกไป
    เมื่อเป็นกาย ๆ เข้าไปแล้ว ถ้าทำเป็นแล้ว ไม่ใช่เดินท่านี้
    เดินในไส้ทั้งนั้น ในไส้เห็น ไส้จำ ไส้คิด ไส้รู้
    ในกำเนิดดวงธรรมที่ทำให้เป็นสุดหยาบสุดละเอียด
    (เถา – ชุด – ชั้น – ตอน – ภาค – พืด .....ฯลฯ)

    เดินในไส้ (หยุดในหยุด กลางของหยุดในหยุด)
    ไม่ใช่เดินทางอื่น เดินในกลางดวงปฐมมรรค มรรคจิต มรรคปัญญา
    เดินไปในกลางดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    นั่นเป็นทางเดินของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

    เดินไปในไส้ ไม่ใช่เดินไปในไส้เพียงเท่านั้น
    ในกลางว่างของดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
    ของดวงศีล ดวงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    ว่างในว่างเข้าไป เหตุว่างในเหตุว่าง เหตุเปล่าในเหตุเปล่า
    เหตุดับในเหตุดับ เหตุลับในเหตุลับ เหตุหายในเหตุหาย
    เหตุสูญในเหตุสูญ เหตุสิ้นเชื้อในเหตุสิ้นเชื้อ
    เหตุไม่เหลือเศษในเหตุไม่เหลือเศษ ...ฯลฯ

    หนักเข้าไปไม่ถอยหลังกลับ
    นับอสงไขยไม่ถ้วน นับชาติอายุไม่ถ้วน
    ไม่มีถอยกลับกัน เดินเข้าไปอย่างนี้นะ

    พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ใช่เดินโลเลเหลวไหล
    ที่เรากราบ ที่เราไหว้ เรานับถือนะ ท่านวิเศษวิโสอย่างนี้
    นี่แหละเป็นผู้วิเศษแท้ ๆ นี่แหละเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกแท้ ๆ
    ถ้าเป็นผู้รู้จริง เห็นจริง ได้จริง เราจึงเอาเป็นตำรับตำราได้...”

    การเดินตามรอยบาทของ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์
    เราจะต้องทำวิชชา...เข้าไปถึงขนาดนั้น
    ก็เพราะเหตุผลที่หลวงพ่อว่า ...

    “ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็ไปถึงที่สุดเหมือนกัน
    ถ้าใครยังไปไม่ถึงที่สุด ก็ยังไม่ฉลาดเต็มที่
    ต่อเมื่อเข้าไปถึงที่สุดกายของตัวต่อไปแล้วละก็ ฉลาดเต็มที่แน่

    ต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้
    เมื่อไปถึงที่สุดของตัวได้ละก็
    รักษาตัวได้เป็นอิสระ ไม่มีใครมาบังคับบัญชา

    ที่บังคับเรา ให้เกิด ให้แก่ ให้เจ็บ และให้ตายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
    พวกมาร บังคับให้เป็นไปตามนั้น
    ส่วนพวกพระ บังคับไม่ให้เกิด ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตาย
    นี่พวกพระ พวกมาร บังคับกันอย่างนี้

    เวลานี้พวกพระ บังคับไม่ให้รบกัน
    แต่พวกมาร บังคับให้รบกันหนักขึ้น ”

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    ผู้ปฏิบัติธรรม...ตามแนววิชชาธรรมกาย
    ก็ต้องมาหาความหมายที่ว่า ... “ที่สุดของตัว” นั้นคืออะไร ?
    * เรียบเรียงบางตอนจาก
    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๔
    เมษายน – มิถุนายน ๒๕๓๐

    นิตยสารธรรมกาย ฉบับที่ ๑๐
    ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๓๑
    __________________

    สติปัฏฐานภาวนา ( แสดงโดย พระอาจารย์ เทสก์ เทสรังสี


    ***********************************************

    แรงบันดาลใจเกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาวิชชาธรรมกายที่บริสุทธิ์


    ในข้อนี้มีความสำคัญอยู่ถึง 2 ประการด้วยกัน
    ประการแรก:ก็คือว่า หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร(ปัจจุบัน พระราชพรหมเถระ) รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของอาตมภาพนี้ ท่านได้เป็นศิษย์ผู้หนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มาเองโดยตรง ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถรยังเป็นฆราวาส แล้วภายหลังต่อมา ก็ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นองค์อุปัชฌาย์ และก็ได้รับการฝึกทำวิชชาธรรมกายชั้นสูงกับหลวงพ่อมาอย่างใกล้ชิดโดยตลอด จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มรณภาพลง แล้วภายหลังจากนั้น ก็ได้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชชาธรรมกายนี้แก่ศิษยานุศิษย์ สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ นับว่าหลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร เป็นศูนย์รวมหรือคลังแห่งวิชชาธรรมกาย ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง และยังเป็นที่รวมวิชชาธรรมกายชั้นสูง ที่ศิษย์ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่เป็นพระเถระรุ่นพี่ ได้จดทำบันทึกไว้ ก็ยังได้มารวมตกแก่หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถร องค์ปัจจุบันนี้อีกด้วย

    จึงเห็นว่าวิชชาธรรมกายทุกระดับทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง ควรจะต้องมีการรวบรวมขึ้น เป็นหลักฐานอ้างอิงที่สำคัญต่อไป เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง จะได้ศึกษาและปฏิบัติต่อไปอย่างถูกทางและสมบูรณ์ ตามที่พระเดช พระคุณหลวงพ่อได้ถ่ายทอดไว้

    ในประการที่สอง: หากจะพิจารณาในเหตุผลและจากประสบการณ์ที่อาตมาเคยได้รับได้รู้เห็นมากพอสมควรแล้ว ก็จะพบว่า อาจจะมีผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายในสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ที่มีภูมิรู้ไม่เท่ากัน และทั้งอาจได้ยินได้ฟังมาไม่เท่ากัน ก็ย่อมจะได้รับวิชชาความรู้ไปได้ไม่เท่ากัน และอาจจะมีบางท่านที่สำคัญผิดและรับรู้ไปผิดเพี้ยนบ้างก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีพื้นความรู้ทางปริยัติมาน้อย ก็อาจจะมีความสำคัญในธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมาผิดๆ และก็อาจถ่ายทอดสืบต่อๆ กันไปผิดๆ ได้ นอกจากนี้ยังอาจจะมีผู้ที่ค้นคว้าวิชชาไปเอง โดยที่ยังมิได้ผ่านการกลั่นกรองและอนุมัติจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสียก่อน แล้วนำออกใช้และเผยแพร่สืบทอดต่อๆ กัน ไปอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไปบ้าง ซึ่งก็อาจจะมีได้เป็นได้ ตราบใดที่อวิชชายังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน ก็ยังอาจจะถูกอภิสังขารมาร ได้แก่ ลาภสักการะและฐานะอันสูงส่ง หรือแม้โลกิยวิชชานั้นเองหลอกลวงได้โดยง่าย ผู้ที่มีสมาธิดีที่มิใช่พระอริยะ ซึ่งสามารถเจริญโลกิยวิชชาที่อาจจะใช้ได้ผลดีในบางครั้งบางคราว ก็ยังอาจจะหลง เพราะถูกมารเขาหลอกให้เห็นผิดเป็นชอบได้ อย่างเช่นพระเทวทัต ซึ่งเคยมีโลกิยวิชชา ถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อกิเลสคือ โลภะ โทสะ และโมหะเข้าครอบงำ ก็ถึงกับทำสังฆเภท ยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยกกัน และกระทำโลหิตุปบาทแก่พระพุทธเจ้า เป็นอนันตริยกรรมได้ จึงต้องไปเสวยวิบากกรรมในอเวจีมหานรก นั่นแหละ เพราะอย่างนี้ผู้ที่มิใช่อริยบุคคลแต่เจริญโลกิยวิชชาได้ หากหลงในอภิสังขารมารหรือโลกิยวิชชาเมื่อใด ก็อาจจะถูกมารเขาหลอกให้เห็นผิด จึงรู้ผิดคิดผิด พูดผิดทำผิดและแนะนำผู้อื่นผิดๆ ต่อไปเป็นโทษทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นได้มาก

    หลักการศึกษาและปฏิบัติธรรมของอาตมาและศิษยานุศิษย์ ในสำนักนี้ จึงต้องอิงหลักปริยัติตำรับตำรา และครูอาจารย์ที่เชื่อถือได้ และที่เป็นกัลยาณมิตรจริงๆ จนกว่าจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว นั่นแหละจึงจะวางใจได้ ความจำเป็นที่จะต้องรวบรวมวิชชาธรรมกายทุกระดับ ออกมาเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่เชื่อถือได้ เพื่อไว้อ้างอิงเป็นตำรับตำราแก่อนุชนรุ่นหลัง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คณะผู้บริหาร โครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และ โครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ได้จัดตั้งสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกายแห่งนี้ขึ้น เพื่อให้เป็นองค์กร หรือ แหล่งที่รวบรวมสรรพตำราตามแนววิชชาธรรมกาย ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะสามารถกระทำได้ โดยคณะบุคคลผู้ซึ่งได้รับถ่ายทอดวิชชาธรรมกาย จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรงที่เชื่อถือได้ และศิษยานุศิษย์ผู้มีทั้งในหลักธรรมปฏิบัติและในหลักปริยัติสัทธรรมมาดีพอสมควร เพื่อพิทักษ์รักษาวิชชาธรรมกายอันบริสุทธิ์นี้ไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ได้รู้จักวิชชาธรรมกายที่ถูกต้องตรงตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้ถ่ายทอดเอาไว้ และก็เหตุนี้แหละที่องค์กรนี้ได้ชื่อว่า “สถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย”(วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม)




    พระเทพญาณมงคล(หลวงป๋า)
    สติปัฏฐานภาวนา ( แสดงโดย พระอาจารย์ เทสก์ เทสรังสี )

    ***********************************************

    บันทึกเรื่องกสิณ ของหลวงพ่ออุตตมะ ที่สอดคล้องกับแนววิชชาฯ

    ***หลวงพ่ออุตตมะกล่าวถึงเรื่องกสิณ***
    ..
    เราต้องเพ่งกสินจนกว่ากสิณจะปรากฏขึ้นมา
    แล้วเราก็รวมกสิณจับจิตทั้งหมดให้มาอยู่ในดวงกสิณ
    เราไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตเราอยู่ในดวงกสิณ เป็นสมาธิเป็นกุศลจิตอย่างเดียว ด้วยอานุภาพของกสิณ
    ..
    กสิณเราก็จะแข็งขึ้นๆ เราก็พยายามไปทุกวันทุกเวลาให้กสิณเราแข็งขึ้น ไม่ให้แตกออกไป เราจับไว้ด้วยสมาธิ
    แล้วเราก็รวมอารมณ์ทั้งหลาย
    จิตทั้งหลายทั้งที่เป็นอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา)
    และอนิฏฐารมณ์ (อารมณ์อันไม่น่าปรารถนา) ให้มาอยู่ในกสิณ
    เราก็จะแยกจิตเหล่านี้ที่ไม่ดีต่างๆ
    เราจะดับจิตที่ไม่ดีต่างๆ ลงไป ด้วยอานุภาพของกสิณ
    ..
    กสิณนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นฤาษีเขาก็ปฏิบัติกัน
    กสิณนี้เป็นสมถะ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดเราต้องจับกสิน ๑๐ ประการให้ได้
    เมื่อกสินปรากฏแล้ว เราก็ดึงกรรมฐานอย่างอื่นเข้ามา เช่น
    กายคตาสติ , อานาปานสติ เราก็รวมให้มาอยู่ในกสิณ
    ...
    แต่กสิณนี้ทำได้ยากเหลือเกินที่จะทำให้ดวงกสิณปรากฏขึ้นมาเป็นดวงแก้วขึ้นมาให้อยู่ในตัวเรา
    เราต้องอุตสาหะพยายามกันมากเหลือเกิน
    ต้องทำกันเป็นปีๆ ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน
    ..
    ..
    จากหนังสือ ๘๔ปี หลวงพ่ออุตตมะ
    หน้า ๕๔๙ ตอน แนวปฏิบัติตามธุดงควัตร

    ***********************************************
    เห็นดำ ทำให้ขาว (1)

    ถ้าใครนึกให้เห็นลูกแก้ว หรือ "ดวงแก้ว"
    หรือดวงขาว แต่ยังไม่ใส
    แล้วเห็นจุดกึ่งกลางเป็น "สีดำ"
    หรือเห็นจุดสีขาว มีขอบสีดำ
    นี้ท่านเห็น เจตสิกธรรม
    คือธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตใจ ของจริงแล้ว
    ให้เข้าใจไว้

    แต่เป็นธรรมชาติของจริง "ฝ่ายธรรมดำ"
    หรือ "ภาคดำ" ที่เรียกว่า "อกุสลาธัมมา"

    ธาตุธรรมดำนั้น
    กรณีที่เห็นนี้เป็นได้ ๒ ประการคือ
    ประการที่หนึ่ง คือ เป็น “อวิชชา”
    เป็นอวิชชานิวรณ์ที่ห่อหุ้ม “ดวงรู้” ของผู้ที่เห็นนั้น
    ไม่ให้ขยายโตขึ้น

    ที่เรียกว่า “ใจ” นั้น ประกอบด้วย
    ดวงเห็น, ดวงจำ, ดวงคิด, และดวงรู้
    ซึ่งขยายส่วนหยาบออกมาจาก
    ธาตุละเอียดของ นามขันธ์ ๔ คือ
    เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
    ที่ตั้งซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เข้าไป ณ ภายใน
    ตรงกลางธาตุละเอียด ของรูปขันธ์
    ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งตั้งอยู่ตรง
    "ศูนย์กลางเหนือระดับสะดือ ๒ นิ้วมือ"

    ต้องใช้ "อุบาย" กำจัดเสีย คือ
    ถ้าเห็นจุดเป็น "สีดำ"
    ให้นึกอธิษฐานจิต ละลายธาตุธรรมนั้นเสีย
    เสมือนหนึ่งว่า จุดเล็กใสนั้นถูกห่อหุ้มด้วยควันดำ
    หรือว่าหมอกดำ หรืออะไรสีดำก็แล้วแต่
    ที่เราต้องชำระล้างด้วยน้ำใส ล้างด้วยน้ำกรดใส
    ... สมมุติอย่างนั้น

    ให้ปรากฏเห็น "ใสบริสุทธิ์" เหมือนเพชรลูก
    หรือแก้วเจียรนัย ที่ใสบริสุทธิ์
    แล้วจึงจรดใจนิ่งลงไปที่ ...
    "กลางของกลาง" จุดเล็กใสนั้น
    นิ่งเฉยๆ อธิษฐานให้จุดเล็กใสนั้นขยายออก
    จะมี "จุดเล็กใส" ขึ้นมาอีก
    แล้วก็นิ่งไป "กลางจุดเล็กใส" นั้น
    ขยายออกแล้วจะเห็น "ดวงใสสว่าง" ปรากฏขึ้น

    แต่ถ้ายังเห็นสีดำอยู่อีก
    ให้อธิษฐานละลายธาตุธรรมดำนั้น
    จนกว่าจะเห็นใสขึ้นมา
    บางทีบางท่านอาจจะเห็นเหมือนกับ
    มีน้ำชำระล้างดวงนั้น ให้ใสขึ้นๆ ก็มี
    หรืออาจจะนึกเห็นจุดเล็กใสที่เห็น อยู่ลึกลงไปกว่านั้น
    แล้วให้กำหนดใจไป "หยุด" ที่จุดเล็กใสนั้น
    ขยายศูนย์กลางที่ใสออก
    มลทิน คือ "ความดำ" นั้นก็จะหายไป

    เรื่องนี้สำคัญมาก !

    * พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี

    เห็นดำ ทำให้ขาว (2)

    เรื่องนี้สำคัญมาก !
    คุณหมอและทุกท่าน จงจำไว้เชียว
    ที่เห็นเป็น "สีดำ" นั้นน่ะคือ
    ธรรมชาติฝ่ายธาตุธรรมดำ เรียกว่า “อกุสลาธัมมา”
    อันได้แก่ อวิชชา, กิเลส, ตัณหา เป็นต้น

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นเป็นสีดำๆ
    ไม่ดำสนิทนักหุ้ม “ดวงเห็น”
    เป็น "ปฏิฆานุสัย"

    และที่หุ้ม “ดวงคิด” หรือจิตนั้น
    เป็น "กามราคานุสัย"

    และส่วน อวิชชานิวรณ์อันเกิดแต่ "อวิชชานุสัย"
    ที่หุ้ม “ดวงรู้” อยู่ ไม่ให้ขยายโตเต็มธาตุเต็มธรรมได้
    ก็เพราะเจตสิกธรรม คือ ธรรมชาติฝ่ายธรรมดำนี้แหละ
    ที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตใจ เป็นของจริงนะ ไม่ใช่ของปลอม
    เป็นตัว “สมุทัยสัจจะ” ทีเดียว

    ประการที่สอง
    ทีนี้คุณหมอเป็นนายแพทย์ต้องรู้ต่อไปอีก
    นี้นอกวิชาหมอละ
    ถ้าเห็นเป็น "ดวงดำสนิท" เหมือนถ่าน
    ก็ให้พึงรู้เถอะว่านั่นเป็น "โรคภัยไข้เจ็บ"
    ให้รีบกำจัดเสียอีกเช่นกัน

    แต่ถ้าเห็นเป็น "ดวงดำมันเลื่อม"
    ต้องรีบแก้ไขกำจัดดวงดำนั้นโดยพลัน
    ถ้าว่ายังไม่ใส ก็ต้องเพียรกำจัดให้ใสทีเดียว
    ถ้ายังไม่ใส ก็ไม่หยุดละ ต้องทำให้ใสให้ได้
    เพราะเป็นตัว “ทุกขสัจจะ”

    กล่าวคือ ที่เห็นเป็นสีดำๆ แต่ไม่ดำสนิทนัก
    หุ้ม "เห็น-จำ-คิด-รู้" อยู่นั้นคือ
    ปฏิฆานุสัย กามราคานุสัย และ อวิชชานุสัย
    เป็นตัว “สมุทัยสัจจะ”

    แต่ถ้าเห็นเป็น "ดวงดำสนิทเหมือนถ่าน"
    นั้นเป็น “ดวงเจ็บ”
    คือมี หรือกำลังจะมี "โรคภัยไข้เจ็บ"
    ให้รีบแก้ไข ให้ผ่องใสเสีย

    ถ้าเห็นเป็น "ดวงดำมันเลื่อม" เหมือน "สีนิล" ละก็
    นั่นเป็น “ดวงตาย”
    ถ้าดวงตาย มาจรดนานซักระยะหนึ่ง
    ให้ดวงธรรมของมนุษย์ ขาดจากของกายทิพย์แล้ว
    คนนั้นจะตายทันที นี่คือ “ทุกขสัจจะ”
    ได้แก่ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย"

    ตามที่รู้เห็นกันใน "วิชชาธรรมกาย"
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละตัว "ทุกขสัจจะ" เลยทีเดียว
    เรื่องนี้สำคัญนัก
    ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    ท่านเจริญภาวนา แก้โรคภัยไข้เจ็บ
    ก็แก้ที่ "ธาตุละเอียด"
    ของธาตุน้ำ-ดิน-ไฟ-ลม ของผู้ป่วยนั่นเอง

    * พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี


    ***********************************************
    ทำไมเมื่อสะสางธาตุธรรม เก็บธาตุธรรมภาคดำและภาคกลางๆ จนใสเหมือนเพชรแล้ว ต่อไปยังเห็นมีธาตุธรรมภาคดำ ภาคกลางๆ อยู่อีก ?

    ตอบ:

    เพราะว่า

    1. เรายังละกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งรวมเรียกว่า สังโยชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) ที่ได้เคยสะสมมาแต่อดีต นับภพนับชาติไม่ถ้วน ยังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน ต่อเมื่อใดเราได้บำเพ็ญบุญบารมี อุปบารมี ถึงปรมัตถบารมี เต็มส่วน (ตามอธิษฐานบารมีเป็นพระอรหันตสาวก หรือเป็นพระอรหันต-ปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันตสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือถึงต้นธาตุต้นธรรม) ปฏิบัติธรรม ตรัสรู้พระอริยสัจจธรรม จนละสังโยชน์ ได้ทั้งหมด (10 ประการ) โดยเด็ดขาด เป็นพระอรหันตขีณาสพ ตามระดับบุญบารมีที่อธิษฐาน (บารมี) ไว้แล้ว ทั้งธรรมกายตรัสรู้ ชื่อว่า “พระนิพพานธาตุ” และกายมนุษย์พิเศษของพระอริยเจ้านั้นจึงโตใหญ่ เต็มธาตุเต็มธรรม และใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างอยู่อย่างนั้น (ไม่มีมัวหมองและไม่กลับเล็กลงอีก) พระนิพพานธาตุ และกายมนุษย์พิเศษ นั้นแหละจะเชื่อมเป็นอันเดียวกัน เป็นอมตธรรม ที่มีสภาพเที่ยง เป็นบรมสุข และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ยั่งยืนของพระอริยเจ้านั้น

    เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญบุญบารมีและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงบรรลุพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุขนั้นเถิด

    2. เพราะธาตุธรรมของสัตว์โลกเกี่ยวเนื่องถึงกัน เมื่อเราทำวิชชาสะสางธาตุธรรมของเรา ก็เกี่ยวเนื่องถึงธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นๆ ด้วย

    วิชชาธรรมกายชั้นสูงเป็นวิชชาสะสางธาตุธรรมของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม เพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพาน เมื่อเราเข้าถึงแล้ว จึงได้วิชชานี้มาเพื่อสะสางธาตุธรรมของเราเองด้วย และเพื่อช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมในสายธาตุธรรมเดียวกัน คือธาตุธรรมสายขาวหรือฝ่ายพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า และ พระพุทธเจ้า คือธรรมกายนั้นเอง จะได้รับผลก่อนและมากกว่าสายอื่น (คือธาตุธรรมสายกลางๆ และธาตุธรรมสายดำ) ซึ่งจะค่อยๆ ได้รับผล เมื่อผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลก หมดทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั่วทั้งจักรวาล ตามศักดิ์แห่งบุญบารมี และพลัง คือทั้งจำนวน (ปริมาณ) และระดับภูมิธรรม (คุณภาพ) ของผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย และได้ฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 และวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่ได้ผลดี คือที่บริสุทธิ์ และมั่นคงดีแล้ว ที่มีมากขึ้น และแก่กล้าขึ้นตามลำดับ

    เพราะเหตุนั้น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ในสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จึงมีนโยบายและโครงการที่จะ “สร้างพระในใจตน” และ “ช่วยสร้างพระในใจคน(อื่น)” ให้ได้คุณภาพและปริมาณที่ดีให้มากที่สุด เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น โดยมีหลักว่าเท่าที่กำลังสติปัญญาความสามารถ ภูมิธรรม และกำลังทรัพย์ สามารถและที่สามารถจะช่วยผู้อื่นได้ นี้เป็นงานช้าง (งานหนัก) แต่เราทำเท่าที่สามารถทำได้ตามกำลังของเรา แต่เราต้องช่วยตนเองและผู้อยู่ในสายธาตุธรรมที่ใกล้ชิดกันเอง คือผู้ปฏิบัติธรรม ที่ทำหน้าที่รบ ทำงาน ตรวจงาน เผยแพร่ กองเสบียงก่อน ให้มีกำลังกล้าแข็งพอที่จะขยายความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่อยู่ห่างสายธาตุธรรม วิชชาธรรมกาย และนอกพระพุทธศาสนาออกไป

    เพราะเหตุนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงกล่าวว่า “ธรรมกาย นั้นแหละ คือที่พึ่งของสัตว์โลก” ใครผู้ใดขัดข้อง คิดและกระทำการ ทำลายธรรมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฯ และศิษยานุศิษย์ท่านสอนให้ปฏิบัติ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพาน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงมีผลดุจดังเด็กกำถ่านเพลิง และดุจดังคนโง่ทุบหม้อข้าวตนเองฉันใด ฉันนั้น

    คัดลอกมาจากกระทู้ : เรียนเชิญ-ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

    ***********************************************
     

แชร์หน้านี้

Loading...