การเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย วิทย์, 2 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ภูมิมนุษย์ในโลกนี้ และ โลกหน้า
    [​IMG] มนุษย์ภูมินั้นเป็นโลกที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาโลกทั้งหก กล่าว คือ เป็นโลกที่สัตว์ฯ (มนุษย์) จะได้รับอภิสิทธิ์อันสูงสุดที่พึงจะได้รับอัน ได้แก่ อายุ วรรณะ (ผิวพรรณ) ความคิดวิจารณญาณ ภาษาวัฒนธรรม ฯลฯ เหนือสิ่งอื่นใดที่เป็นข้อแตกต่างจากโลกอื่นอย่างสิ้นเชิงคือ สัตว์ฯ (มนุษย์) เหล่านี้สามารถประพฤติธรรมและสร้างคุณงามความดีได้อย่าง ไร้ขีดจำกัด อันเป็นสิ่งที่ปรารถนาในสัตว์ทุกหมู่เหล่า แต่ทว่าโอกาส เช่นนี้ธรรมชาติอำนวยให้เฉพาะมนุษย์ภูมิเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง การ เกิดมาได้ร่างเป็นมนุษย์จึงเป็นเรื่องยากและเป็นสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายต่าง รอคอยและเป็นความหวังอันสูงลุด เพราะเป็นโอกาสที่สัตว์เหล่านั้น สามารถสร้างความดีเพื่อเป็นเครื่องไถ่บาปให้กับตนนั่นเอง
    ถือกำเนิดมาจากมนุษย์ และ ถือสัญชาติไปเป็นมนุษย์
    สัตว์ที่จะมาถือกำเนิดในมนุษย์ได้นั้นจักต้องมีคุณสมบัติของ มนุษย์ กล่าวคือ เป็นบุคคลที่ปฏิบัติตนประกอบด้วยการมีมนุษยธรรม เช่น เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ตระหนักในบาปบุญคุณโทษ รู้จักแยกแยะ ความผิดชอบชั่วดี เป็นผู้รู้จักควบคุมสัญชาติญาณในความต้องการ ของตนเองให้อยู่ภายในขอบเขตแห่งศีลธรรมจรรยาขนบธรรมเนียมฯ เป็นผู้รู้จักเห็นอกเห็นใญผู้ยื่น ไม่เยารัดเอาเปรียบ ไม่สร้างความเดือด ร้อน ประพฤติตนเป็นผู้มีสัมมาคารวะ ฯ
    บุคคลมีความประพฤติประกอบด้วยคุณสมบัติดีงามเหล่านี้ มี ความเจริญธรรม ย่อมเป็นสุขทั้งกายและใจ เป็นที่สรรเสริญแก่มนุษย์ ด้วยกัน เช่นนี้จึงจัดได้ว่าเป็นบุคคลที่ถือกำเนิดมาจากมนุษย์ และถือ สัญชาติไปเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปนั่นเอง
    ผู้ไม่ประพฤติธรรมยากเกิดมาเป็นมนุษย์
    [​IMG] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนทุ่น (ห่วง) ไปในมหา สมุทร ทุนนั้นถูกลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก ถูกลมตะวันตก พัดไปทางทิศตะวันออก ถูกลมเหนือพัดไปทางทิศใต้ ถูกลมใต้พัดไป ทางทิศเหนือ มีเต่าตาบอดอยู่ในมหาลมุทรนั้น ล่วงไปร้อยปีจึงจะผุด ขึ้นมาหายใจครั้งหนึ่ง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน เต่า ตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้าที่ทุ่นนั้นได้บ้างไหมหนอ ฯ
    ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าจะเป็นไปได้บ้างในบางครั้งบางคราว ก็โดย ล่วงระยะกาลอันยาวนานแน่นอน ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอดตัวนั้นจะพึงเอาคอสวมเข้า พอดีที่ทุ่นโน้นได้ ยังจะเร็วกว่า... แต่คนพาลผู้ไปสู่วินิบาตคราวหนึ่ง แล้วจะพึงได้ความเป็นมนุษย์ยังยากกว่านี้ นั่นเพราะเหตุไร เพราะใน ตัวคนพาลนี้ไม่มีความประพฤติธรรม ความประพฤติสงบ การทำกุศล การทำบุญ มีแต่การกินกันเอง การเบียดเบียนคนอ่อนแอ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้นนั่นและถ้าจะมาสู่ความเป็น มนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่ว่ากาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลอันยาว นาน ก็ย่อมเกิดในสกุลต่ำ คือ สกุลคนจัณฑาล สกุลพรานล่าเนื้อ สกุลคนจักสาน สกุลช่างรถ หรือสกุลคนเทขยะ ในบั้นปลายอันเป็น สกุลคนจน มีข้าวน้ำและอาหารน้อย มีชีวิตเป็นไปลำบาก ซึ่งเป็น สกุลที่จะได้ของกินและเครื่องนุ่งห่มโดยฝืดเคือง และเขาจะมีผิวพรรณ ทราม น่าเกลียดชัง ร่างม่อต้อ มีโรคมาก เป็นคนตาบอดบ้าง เป็น คนง่อยบ้าง เป็นคนกระจอกบ้าง เป็นคนเปลี้ยบ้าง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกใม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และ เครื่องตามประทีป เขาจะประพฤติแต่ความทุจริต ครั้นแล้วเมื่อตาย ไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ภูมิของคนพาลครบถ้วนบริบูรณ์ ฯ
    ศาสดาพยากรณ์
    พระพุทธองค์ตรัส
    "... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง มีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลาง เรือนทั้ง ๒ หลังนั้น พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังเดินมาบ้าง กำลังเดินไป บ้าง ฉันใด
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล เราย่อม มองเห็นหมู่สัตว์กำลังตาย กำลังเกิด ด้วยทิพยจักษุอัน ล่วงจักษุของมนุษย์ เราย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป ตามกรรมได้ว่า สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ฯ เมื่อตายไป แล้ว... เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็มี
    บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี
    เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี
    เข้าถึงกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานก็มี
    เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรกก็มี"

    คนตายแล้วส่วใหญ่ไปเกิดเป็นอะไร?
    พระพุทธองค์ตรัส
    "สัตว์ที่จุติ (ตาย) จากมนุษย์
    กลับมาเกิดในมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย
    ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก
    เกิดในสัตว์เดรัจฉาน
    เกิดในเปรตวิสัยมากกว่าโดยแท้"

    เดียรัจฉานภูมิ
    ภูมิเดียรัจฉานในโลกนี้ และ โลกหน้า
    [​IMG] เดียรัจฉานภูมิเป็นโลกที่บรรดาสัตว์รวมทั้งมนุษย์เวียนมาเกิด กล่าวคือ เมื่อครั้งสมัยเป็นมนุษย์ ไม่ได้สร้างคุณความดีเพื่อเป็นพลว ปัจจัยในโลกหน้า หลังจากสิ้นชาติจากกำเนิดมนุษย์แล้ว จีงต้องมารับ กรรมในร่างของเดียรัจฉานอันได้แก่ เป็ด ไก่ สุนัข หมู วัว ควาย ฯลฯ เพื่อชดใช้บาปกรรมที่ได้สร้างไว้ในอดีตเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ คือเป็นผู้ที่มี จริตสันดานเถื่อน ประพฤติตนผิดศีล ไร้คุณธรรม จิตใจต่ำช้า เช่นนี้ ในโลกเดียรัจฉานจึงไม่มีความยุติธรรมให้เรียกร้อง ไม่มีศีลธรรม ไม่มี การบูซา ไม่มีการสร้างบุญกุศล ฯลฯ อันเนื่องมาจากตนนั้นได้ทำลาย ความดีงามในธรรมชาติที่มีอยู่เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ชาตินี้จึงถูดริดรอน อภิสิทธิ์เหล่านี้ไปจนหมดสิ้นนั่นเอง
    ถือกำเนิดมาจากเดียรัจฉาน และ ถือสัญชาติไปเป็นเดียรัจฉาน
    สัตว์มาถือกำเนิดในเดียรัจฉานภูมิด้วยเหตุประพฤติตนผิดศีล ไร้คุณธรรม ซึ่งไม่อยู่ในความปกติของความเป็นมนุษย์ อันได้แก่
    - เบียดเบียนผู้อื่น ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ถูกใช้แรงงาน ถูกฆ่า ถูกทรมาน
    - ใช้อำนาจบาตใหญ่ข่มเหง ไปเกิดเป็นสัตว์ดุร้ายใช้กำลัง
    - หมกมุ่นกับการเสพกาม ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ออกไข่ได้ทุกฤดู
    - หลอกลวงโป้ปดมดเท็จ ไปเกิดเป็นสัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา
    - ติดสุรายาเมา ไปเกิดเป็นสัตว์ที่กินอุจจาระและขยะเป็นอาหาร
    บุคคลดังกล่าวต้องไปเกิดในเดียรัจฉานก็เนื่องจาก ไม่สามารถ ควบคุมความประพฤติของตนเองให้อยู่โนครรลองของมนุษย์เหล่านี้ อันได้แก่ ไม่รู้จักธรรมจรรยามารยาท ไม่รู้จักวัฒนธรรม ไม่รู้จักเลี้ยง ชีพโดยชอบ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักสร้างคุณความดี ไม่รู้จัก เผื่อแผ่แบ่งปัน ไร้ยางอายไม่กลัวบาป หาความสุขให้ตนเองกับการ กินอยู่หลับนอนและเสพกามอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่สนและหลงลืมที่ จะสร้างความดี เหล่านี้ล้วนเป็นเดียรัจฉานประพฤติทั้งสิ้นมนุษย์จำพวก นี้จึงจัดว่ามีกำเนิดมาจากเดียรัจฉานและถือสัญชาติไปเป็นเดียรัจฉาน ในชาติต่อไปนั่นเอง
    วิบากกรรมของอิสิกาสีโพธิเถรี
    [​IMG] "... เมื่อก่อนดิฉันเป็นนายช่างทอง มีทรัพย์มาก เป็นคนมัวเมา เพราะความมัวเมาด้วยความเป็นหนุ่มได้คบซู้ภรรยาของบุคคลอื่น ดิฉัน จุติ (ตาย) จากชาตินั้นแล้วต้องหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดกาลนาน
    ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้วเกิดในท้องแห่งนางวานร พอคลอดได้ ๗ วัน วานรใหญ่ที่เป็นนายฝูง ก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของดิฉันเสีย นี่เป็น ผลกรรมของดิฉันที่ได้คบชู้ภรรยาของชายอื่น
    เมื่อดิฉันสิ้นชาติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว เกิดในท้องนางแพะ ตาบอด ทั้งขาก็ฉิ่ง ในแคว้นสนธู อยู่มาได้ ๑๒ ปี ก็ถูกเด็กตัดอวัยวะ สืบพันธุ์เสีย ต่อมาเป็นโรคถูกหมู่หนอนฟอนที่อวัยวะสืบพันธุ์ นี่เพราะ โทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาของชายอื่น
    ดิฉันสิ้นชาติจากกำเนิดแพะนั้นแล้วเกิดในท้องแม่โคของพ่อค้า คนหนึ่ง เป็นลูกโค มีขนแดงเหมือนสีครั่ง เมื่อล่วงได้ ๑๒ เดือนก็ถูก ตอน ดิฉันถูกเขาใช้เทียมไถและเข็นเกวียน ชาติต่อมาเกิดเป็นโคตา บอด เป็นโคกระจอก เป็นโคขี้โรค นี่เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาของ ชายอื่น
    ดิฉันสิ้นชาติจากกำเนิดโคนั้นแล้ว เกิดในเรือนของนางทาสี (ทาส) ในถนน จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง นี่เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ กับภรรยาของชายอื่น... ดิฉันมีอายุได้ ๓๐ ปี ก็ถึงแก่กรรมแล้วมาเกิด เป็นลูกหญิงในสกุลช่างสานเสื่อ เป็นสกุลขัดสน มีทรัพย์น้อย ถูกแต่ เจ้าหนี้รุมทวงอยู่เป็นนิจ ต่อมาภายหลังที่ดิฉันมีอายุครบ ๑๖ ปี บุตร ของพ่อค้าเกวียนได้เห็นดิฉันเป็นสาวกำลังรุ่น มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ขอไป เป็นภรรยา แต่เขามีภรรยาอยู่แล้วซึ่งเป็นคนมีศีลทรงคุณสมบัติ ทั้งมี ยศ รักใคร่สามีเป็นอย่างดียิ่ง ดิฉันบังคับให้สามีขับไล่ภรรยาของตน ออกไปจากเรือน" (เมื่อนางได้สิ้นชาติจากสกุลช่างสานเสื่อนั้นแล้ว ต่อมา ได้เกิดเป็นนางอิสีทาสี เป็นคนมีสกุล มีทรัพย์มาก แต่วิบากกรรมที่เคยทำไว้ นางจึงถูกสามีคนแรกและคนที่ ๒ ทิ้งไป ก่อนทีสามีคนที่ ๓ ซึ่งเป็นขอทาน ทิ้งนางไปอีกคน)
    "ด้วยเหตุนี้ สามีทุกคนจึงได้หย่าร้างดิฉันผู้บำรุงอยู่เหมือนนาง ทาส นี่เป็นผลกรรมที่คบชู้ภรรยาของชายอื่น และบังคับสามีให้ขับไล่ ภรรยาตนออกจากเรือน ที่สุดแห่งบาปกรรมนั้นดิฉันได้ชดใช้แล้ว"
    (หลังจากนั้นนางอิสิทาสีได้พบภิกษุณีชินทัตตา ผู้ทรงไว้ซึ่งวินัย เป็น พหูสูต มีศีลสมบูรณ์ นางมีความปรารถนาจะบวชและได้ขออนุญาตบิดาจน ได้ออกบวช บวชได้ ๗ วันก็บรรลุเป็นอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา)

    เทวภูมิ
    ภูมิเทวในโลกนี้ และ โลกหน้า
    [​IMG] เทวภูมิเป็นที่พำนักพักอาศัยของสัตว์ผู้กอปรด้วยกุศลกรรม กล่าวคือ บุคคลผู้มีใจเป็นบุญเป็นกุศล ปฏิบัติตนอยู่ในความเป็นผู้ เพียบพร้อมไปด้วยกุศลกรรมบถ คือ กาย วาจา ใจ จึงจะถูกชักนำให้ ไปเกิดยังโลกสวรรค์ ไปเสวยทิพยสมบัติ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความ สุขล้วน มีกายเป็นทิพย์ เพลิดเพลินไปด้วยโลกียารมณ์ คือกามคุณ ๕ ทุกวันเวลา ซึ่งเป็นรางวัลแห่งความดีที่ได้ทำไว้สมัยครั้งเป็นมนุษย์ แต่เมื่อสิ้นสุดวาระการเสวยผลบุญแล้ว จักต้องเวียนมาเกิดในมนุษย์อีก ถึงอย่างไรก็ดี แม้จะมาถือกำเนิดในมนุษย์ อานิสงส์แห่งความดีนั้นก็ ยังอำนวยผลให้มาเกิดในชนชั้นสูง บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติอยู่ใน คฤหาสน์โอ่โถง ใหญ่โต พรั่งพร้อมด้วยบรรดาญาติลูกหลานและบริวาร แม้จะเดินทางสัญจรไป ณ ที่แห่งใดก็มีรถยนต์ เรือยนต์ เครืองบิน ให้ความสะดวกสบาย นี่คือผลแห่งคุณความดีที่ได้ สร้างไว้เมื่อครั้งเกิด มาเป็นมนุษย์นั่นเอง
    ถือกำเนิดมาจากเทพเทวา และ ถือสัญชาติไปเป็นเทพเทวา
    ผู้ใดอุดมด้วยหิริโอตตัปปะคือ มีความเกรงกลัวละอายต่อบาป ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเทวธรรม กล่าวคือ เป็นธรรมของเทวดาอันได้แก่
    - อุดมด้วยเมตตาคือ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ทานทำบุญ แก่บรรดาสัตว์หรือมนุษย์ผู้ตกยากด้วยปัจจัย ๔ บริบูรณ์
    - อุดมด้วยกรุณาคือ จิตบังเกิดความสงสาร และช่วยปลดเปลื้อง สัตว์หรือมนุษย์ผู้ประสบเคราะห์เหล่านั้นให้พ้นจากความทุกข์
    - อุดมด้วยมุทิตาคือ พลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นเขาได้ดี โดยไม่มีจิต คิดอิจฉาริษยาไม่ว่าต่อหน้าและลับหลังแม้แต่น้อย
    - อุดมด้วยอุเบกขาคือ สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในขอบเขต ทั้งที่พึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนา
    บุคคลใดกอปรด้วยกุคลกรรมและพรหมวิหารธรรมเหล่านี้ จึง จัดได้ว่าบุคคลนั้นถือกำเนิดมาจากเทพเทวา และถือสัญชาติไปเป็นเทพ เทวาในชาติต่อใปนั่นเอง

    อสูรภูมิ
    ภูมิอสูรในโลกนี้ และ โลกหน้า
    [​IMG] อสูรภูมิเป็นที่อาศัยของสัตว์ที่มีขันธสันดานดุร้ายน่ากลัว กล่าว คือ บุคคลที่มีความเหี้ยมเกรียมอำมหิตผิดต่อมโนธรรมสำนึกด้วยโทสะ อารมณ์เป็นเหตุ มนุษย์ที่มาเกิดในภูมินี้ถูกเรียกว่า อมนุษย์ ยักษ์ มาร ปีคาจ ซาตาน อสุรกาย อสูรเกิดความบันเทิงใจเมื่อตนได้กระทำการ ทรมานให้ผู้อื่นเดือดร้อน ด้วยเหตุนี้ อสูรจึงเข่นฆ่าทำร้ายกันเอง เมื่อ ตายแล้วก็ยังฟื้นขึ้นมารบพุ่งเข่นฆ่ากันได้อีก
    อีกประการหนึ่งคืออสูรในโลกนี้ ก็บุคคลจำพวกหนึ่งเมื่อถูก อารมณ์โทสะครอบงำแล้วจะแสดงพฤติกรรมโฉดเป็นเครื่องระบาย อารมณ์ ตัดสินด้วยการทำร้าย ซกต่อย ตบตี ยกพวกตีกัน วางแผน ลอบทำร้าย ซึ่งบางครอบครัวพี่น้องต้องเข่นฆ่ากันเอง ยิ่งไปกว่านั้น คือการเปิดศึกสงคราม ใช้อาวุธร้ายแรงที่คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมารบพุ่ง ปะทะกัน เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็ยังไม่ยุติจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะพ่าย แพ้หรือยอมจำนน เหล่านี้คือบุคคลที่รับอสูรคติอยู่ในเมืองมนุษย์เรา ปัจจุบันนั่นเอง
    ถือกำเนิดมาจากอสูร และ ถือสัญชาติไปเป็นอสูร
    บุคคลใดลุ่มหลงมัวเมามักมากในโทสะ กล่าวคือ คิดร้าย คิด ทำลาย คิดจะด่า คิดจะฆ่า คิดจะเอาคืน ปองร้าย พยาบาท ฯลฯ ผู้ที่ทำให้ตนโกรธ เอาชนะด้วยการใช้อารมณ์เพราะพ่ายแพ้ในเหตุผล ไม่ให้อภัย ไม่ขออโหสิ เป็นคนขี้อิจฉาริษยาเป็นนิสัย คือ อิจฉาความ สวย อิจฉาความรวย อิจฉาความสุข อิจฉาความสามารถคนที่เหนือ กว่าที่ทำให้ตนตกเป็นรอง สีหน้าจึงหม่นหมองเพราะเป็นทุกข์อยู่ตลอด อย่างไรก็ดีบุคคลเหล่านั้นจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเห็นความผิดหวัง เห็นผู้อื่นประสบความพินาศหายนะ ย่อยยับวอดวาย สามีภรรยาหย่า ร้าง พี่น้องทะเลาะวิวาทบาดหมาง ยุให้รำตำให้รั่ว เห็นใครทำชั่วแล้ว เห็นดีด้วย เป็นต้น บุคคลเหล่านี้จัดได้ว่าถือกำเนิดมาจากอสูร และถือ สัญชาติไปเป็นอสูรในชาติต่อไปนั่นเอง

    เปรตภูมิ
    ภูมิเปรตในโลกนี้ และโลกหน้า
    [​IMG] เปรตภูมิเป็นดินแดนทุคติของสัตว์ผู้ประกอบอกุศลกรรม กล่าว คือ ความโลภเป็นเหตุชักนำสัตว์ให้ไปเกิดในอบายภูมิโลกเปรตนั้น ลักษณะของเปรตจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ กายผอมสูง หนังหุ้มกระดูก ลำคอเล็กเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้ บางจำพวกกินน้ำเหลืองน้ำหนอง หรืออุจจาระ ปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายไว้เป็นอาหาร เพราะความอดข้าว อดน้ำมานาน จึงเดินโซเซเปะปะเร่ร่อนไปมา ต้องหิวโหยอดอยาก ทรมานอยู่ในเปรตภูมิ
    อีกประการหนึ่งคือเปรตในโลกมนุษย์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ คือบุคคลที่มีร่างกายทุพพลภาพ ไม่สามารถประกอบอาชีพ ต้องอาศัย การขอทาน มีความอดอยากลำบากกาย ได้อาหารกินไม่อิ่มท้อง มนุษย์ที่เกิดมามีอาการที่น่าสังเวชเช่นนี้ ก็เนื่องด้วยอกุศลกรรมวิบาก แต่อดีตชาติจัดสรรบันดาลมาคือ มนุษย์ที่รับเปรตคติอยู่ในเมืองมนุษย์ เราปัจจุบันนั่นเอง

    ถือกำเนิดมาจากเปรด และ ถือสัญชาติไปเป็นเปรต
    บุคคลบาปคนในโลกนี้ประกอบอกุศดกรรมด้วยความโลภเป็น เหตุ กล่าวคือ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้ในทุกอย่าง หิวกระ หายออกนอกหน้าให้เห็น รีดไถ เก็บส่วย ใจคอคับแคบ ไม่รู้จักการ ทำบุญทำกุศล กลับปฏิเสธเมื่อถูกชักชวน ลบหลู่พระธรรมเพราะเชื่อ ว่าผลแห่งทานในโลกหน้าไม่มี ขัดขวางกีดกันการให้ทาน ให้ร้ายผู้ ปฏิบัติธรรม ประพฤติทุจริตด้วยการส่อเสียด โกหกหลอกลวง ชอบ พูดจาหยาบคาย ปากคอเราะร้าย ด่าพ่อล่อแม่ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ จัดได้ว่าเป็นผู้ถือกำเนิดมาจากเปรตและถือสัญชาติไปเป็นเปรตนั่นเอง

    นรกภูมิ
    ภูมินรกในโลกนี้ และ โลกหน้า
    [​IMG] นรกภูมิ เป็นที่จำขัง กักกัน ทรมานผู้ที่กระทำบาปสถานหนัก กล่าวคือ ความผิดบาปของสัตว์ทางศีลธรรมเมื่อครั้งสมัยเป็นมนุษย์ โดยอาศัยร่างที่เป็นกายหยาบรับโทษ เช่น ถูกเลื่อยกาย หั่นร่างเป็น ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกโยนลงในบ่อหอกดาบ ถูกไฟครอก นาบเสาทอง แดง ถูกตำด้วยสาก อสรพิษเหล็ก อีกาเหล็ก สุนัขเหล็กกัด ถูก โยนใส่กระทะน้ำเดือด ปีนต้นงิ้ว เป็นต้น โทษทัณฑ์ที่บรรดาสัตว์โนนรก เหล่านั้นจะได้รับ หนักเบาขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่ตนได้ก่อไว้
    มนุษย์จำพวกหนึ่งกำลังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ที่รับนรกคติ ละม้ายคล้ายคลึงกับพฤติการณ์ในเมืองนรก เช่น ผู้ที่ถูกจองจำ คุมขัง ตีตรวนอยู่ในเรือนจำจำพวกหนึ่ง อีกจำพวกหนึ่งต้องต่อสู้กับความทุกข์ ทรมานจากภัยต่างๆ ได้แก่ ถูกฆ่าตายด้วยอาวุธปืนผาหน้าไม้มีดหอก ดาบ ถูกไฟครอกตาย ถูกรถชนร่างแหกละเอียด ทรมานเพราะความ หนาวเหน็บ ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลซึ่งกำลังเป็นทุกข์จากโรคร้าย สัตว์ ที่ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณในตลาดสดหรือโรงฆ่าสัตว์ซึ่งเป็นสภาพนรก ที่สามารถหาดูได้ในเมืองมนุษย์นั่นเอง

    ถือกำเนิดมาจากนรก และ ถือสัญชาติไปเป็นสัตว์นรก
    บุคคลจำพวกนี้เรียกว่า มนุสสนรกลักษณะ แปลว่า มนุษย์ที่มี นรกเป็นเครื่องหมาย กล่าวคือการกระทำของคนที่มักนำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาสู่ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ด้วยการละเมิด ต่อศีลธรรมด้วยความหลงผิด หวังแต่ผลประโยชน์ตนฝ่ายเดียว มีนิสัย ดุร้ายทารุณโหดเหี้ยม ขาดความเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีนิสัยสันดานเป็นคนเผด็จการประจำใจ ตัดสินด้วยการฆ่าฟัน พอใจ ขอบใจในการฆ่าโดยไม่ละอายต่อบาป ที่นี่ไม่กลัวต่อผลของบาป อีก ประเภทหนึ่งคือบุคคลที่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอบายมุข ชอบคลุกคลีและ มั่วสุมอยู่กับเรื่องผิดศีลธรรม ผิดกฏหมาย เหล่านี้จัดว่าเป็นบุคคล ที่ถือกำเนิดมาจากนรก และถือสัญชาติไปเป็นสัตว์นรกนั่นเอง

    ที่มาจาก:-
    http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=315
     
  2. toya

    toya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    186
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,010
    อนุโมทนาครับ
    รีบทำดี ปฏิบัติดีและคิดดีเสียแต่วันน จะได้หยุดเกิดในวัฏสงสารเสียที
     
  3. cheterk

    cheterk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +1,568
    กล่าวไว้ดีแล้ว ดังเพรชแท้ที่ประกายแสงแล้วนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...