การเพ่งเทียนแบบพุทธภูมิที่หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีมาสอน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]


    เรื่องเทียนที่ครูบาอาจารย์นำมาสอนเป็นทั้งกรรมฐาน 40 และสติปัฏฐานพร้อมตัดอวิชชาไปพร้อมๆ กัน ด้วยเทียนที่เพ่งเพียงเล่มเดียว

    นำเทียนมาแท่งหนึ่ง จุดและเพ่ง - พิจารณาด้วยจิตใจที่แน่วแน่และมั่นคง พร้อมอธิษฐานบุญในอดีตและอนาคต

    1. ความแข็งของเทียน กำหนดเป็น ปฐวีกสิณ หรือ ธาตุดิน
    2. เทียนสีแดงกำหนดเป็นโลหิตกสิณ
    3. ไส้เทียนสีขาว (ก่อนจุด)กำหนดเป็น โอทาตกสิณ
    4. จุดเทียนแล้วไส้เป็นสีดำกำหนดเป็นนีลกสิณ
    5. เปลวเทียนเป็นสีเหลือง กำหนดเป็น ปิตะกสิณ หรือ เตโชธาตุ
    6.น้ำตาเทียนกำหนดเป็นอาโปกสิณ หรือ อาโปธาตุ
    7. ลมพัดเปลวเทียนไหวไปมาเป็นอาการไม่เที่ยงกำหนดเป็น วาโยกสิณ หรือ วาโยธาตุ
    8. เทียนที่จุดแล้วคือชีวิตที่เคลื่อนตัวไปช้าๆ กำหนดเป็นอาการของขันธ์ 5 บางครั้งทุกข์บางครั้งสุข, บางครั้งพลัดพรากจากของรักของหวง, บางครั้งป่วยไข้ไม่สบาย
    9. เทียนเปรียบเหมือนกายและชีวิตค่อยๆ เคลื่อนตัวไปสู่ความเสื่อมสลายผุพังในที่สุด
    10. ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นมาก็คล้ายเทียนที่จุด ก้าวไปสู่ความเสื่อมสลายผุพังและดับสิ้นไปจากโลกนี้ในที่สุด
    11. ชีวิตนี้ไม่เที่ยง กายเป็นที่อาศัยของจิตเพียงชั่วคราว
    12. อย่างไรเสียเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายในที่สุด
    13. ก่อนตายเราจะมุ่งทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อฤาษีฯ นำมาสอนให้ได้มากที่สุด

    (สรุป)
    จิตเห็นเปลวเทียนสงบนิ่ง เป็นสมถะ
    จิตเห็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสมถะ
    ส่วน จิตเห็นอาการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิปัสสนาญาณ
    จิตเห็นอาการของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นวิปัสสนาญาณ
    จิตเห็นและเข้าใจในทุกข์และภพภูมิไม่เที่ยงเป็นพุทธวิชา
    จิตไม่เข้าใจเหตุผลและภพภูมิไม่เที่ยง เป็นสมุทัยสัจจ
    จิตดับขันธ์ 5 เป็นนิโรธสัจจ
    จิตรู้วิธีปล่อยวาง เป็นมรรคสัจจ

    เทียนเพียงเล่มเดียวที่จุดเพ่ง ถ้าบุญเก่าเกื้อหนุน(ถ้าฉลาดพอ) ก็สามารถเช้าถึงอารมณ์อรหัตผลได้ไม่ยาก การได้ครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นสิ่งล้ำค่ามากของผู้บำเพ็ญบารมีมาจริงๆ ย่อมได้รับการถ่ายทอดที่ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

    ตามที่พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อฤาษีฯ สอนให้มากที่สุด เพื่อจะได้พ้นภัยจากวัฏสงสารตลอดไป ซึ่งมีเหตุมาจากดับความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ตามที่พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อฤาษีฯ สอน ทุกข์ก็จะดับ (คล้ายการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ท่านก็ดับความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 อย่างเดียว)

    (หมายเหตุ) จะปฏิบัติให้ได้ผล แม้เทียนเพียงเล่มเดียวที่เราเพ่ง-พิจารณา ก็มีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลจากที่หลวงพ่อฤาษีฯ นำมาสอน สิ่งที่หลวงพ่อฤาษีฯ สอนนั้นท่านเน้นธรรมในส่วน :-
    1. ปฏิบัติให้สั้นๆ
    2. พิจารณาตามง่ายๆ
    3. แต่ให้มีผลมากๆ
    เพียงเทียนเล่มเดียว เมื่อเปรียบเทียบชีวิตก็มีค่าอย่างยิ่งในการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นของจิตที่ยึดกายไม่เที่ยง เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าจิตวางกายไม่เที่ยงได้ ทุกข์ดับ
    มีขันธ์ 5 เป็นทุกข์
    ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 เป็นเหตุเกิดทุกข์
    ดับความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 เป็นเหตุดับทุกข์
    มีขั้นตอนในการดับขันธ์ 5 เป็นมรรค

    ธรรมต่างๆ ตามที่หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีฯ และพระพุทธเจ้าพาไปเรียนกับพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ข้อคิดเพื่อให้เกิดปัญญาในการตัดอวิชชาแบบง่ายๆ
    1. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี แต่ความโง่ทำให้เห็นว่าเรามี เราเป็น ในโลกมนุษย์ ในเทวดา พรหม อรูปพรหม
    2. ต่อไปเราจงคิดว่า เราไม่มี ไม่เป็น ทุกๆ อย่างในโลกมนุษย์ในเทวดา พรหม อรูปพรหม
    3. โลกมนุษย์เต็มไปด้วยภาพลวงตา แดนเทวดา พรหม อรูปพรหมยังมีภาพลวงใจ
    ต่อไปเราจงใช้ปัญญาวางความไม่มี ไม่เป็นในโลกมนุษย์ ในเทวดา พรหม อรูปพรหม (ใจจะถึงนิพพานได้ง่ายมากขึ้น)
    4. เราคือจิต ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
    ไม่มีมิตร ไม่มีศัตรู
    ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ
    มีแต่จิตที่สว่าง สะอาด บริสุทธิ์ เป็นจิตตานุปัสสนาและธัมมานุปัสสนาฯ

    (หมายเหตุ) นี่เป็นการที่หลวงพ่อฤาษีฯ นำมาสอนผลเข้าถึงนิพพานได้ง่ายๆ คำพูดของหลวงพ่อฤาษีฯ ที่สอนมาในหัวข้อเว็บไซด์นี้ ไม่ใช่มโนมยิทธิ แต่จะทำให้จิตบริสุทธิ์ได้ง่ายโดยไม่ติดโลกและธรรมสมมติ ใครปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็เข้าถึงนิพพานได้ง่าย เพราะเป็นคำสอนของพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีเต็มมาแล้วทั้ง 33 ทัศ ที่ว่า 33 ทัศ เพราะเติมศรัทธาบารมีที่ขาดหายไป อีกทั้งพระพุทธเจ้าก็มี 3 ประเภทคือ พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ พระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ พระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ถ้าตัดบารมีสำคัญของพระพุทธเจ้าประเภท 2 ออกไป จะทำให้ชาวธรรมจำนวนมากปฏิบัติธรรมไม่ขึ้น จึงต้องเพิ่มเติมบารมีธรรมให้ครบตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ เคยสอนผมไว้ บารมีธรรมทั้ง 33 ทัศมีดังนี้คือ
    1. ปัญญาบารมี บารมีของพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ
    2. ศรัทธาบารมี บารมีของพระพุทธเจ้าศรัทธาธิกะ ที่นำมาเพิ่มเติม
    3. วิริยะบารมี บารมีของพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ
    4. สัจจะบารมี ตั้งสัจจะที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าประเภทใดประเภทหนึ่ง
    5. อธิษฐานบารมี อธิษฐานทำบารมีเพื่อเป็นสาวกหรือเป็นพระพุทธเจ้าประเภทใดประเภทหนึ่ง
    6. เนกขัมมบารมี ใจถือบวช, บวชใจ เป็นอุดมการณ์ทางพระวินัยตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ นำมาสอน
    7. ศีลบารมี กำหนดอานาปาฯ รักษาอารมณ์ทางกาย วาจา ใจ เพื่อให้จิตลงกรรมฐานได้ละเอียดขึ้น
    8. เมตตาบารมี ใจรักและเป็นห่วงเพื่อนร่วมทุกข์ หวังสงเคราะห์เค้าให้พ้นทุกข์
    9. ขันติบารมี มีความอดทน อดกลั้นต่อผู้ขัดขวางในการเผยแพร่ธรรมและความฟุ้งซ่านรำคาญใจต่างๆ ในการเผยแพร่ธรรม
    10. อุเบกขาบารมี วางเฉยในเหตุสุดวิสัยแต่ใจยังคิดสงเคราะห์ให้เขาได้พ้นทุกข์ได้ถูกต้อง
    11. ทานบารมี วางกายไม่เที่ยงและสภาพจิตที่ยึดถือภพภูมิไม่เที่ยงให้ได้ เพื่อจะได้รู้จักและจิตสถิตย์นิพพานตลอดไป

    ถ้าเป็นสาวกภูมิก็ให้ตั้งปรารถนานิพพานในชาติปัจจุบันและทำบารมี 11 ทัศ เพียงชั้นเดียวเท่านั้น

    ถ้าต้องการเป็นอัครสาวก, พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ให้ทำบารมี 11 ทัศ ซ้ำกัน 2 ชั้นตามที่ผู้เป็นพระพุทธเจ้าแนะนำ แต่ถ้าต้องการเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องทำเอาเอง

    สำหรับผู้ต้องการเป็นพระพุทธเจ้าประเภทใดประเภทหนึ่งก็เน้นการทำบารมี 11 ทัศ 3 ชั้น โดยปฏิญาณตน 3 ข้อตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ และพระพุทธเจ้าแนะนำคือ
    1. เราจะเป็นห่วงสัตว์โลกทั้งหลายมากกว่าห่วงชีวิตตัวเอง
    2. เราจะสงสารสัตว์โลกทั้งหลายมากกว่าสงสารภรรยาและบุตรตัวเอง
    3. เราจะรักสัตว์โลกทั้งหลายมากกว่าเสียดายชีวิตตัวเอง

    อุดมการณ์อย่างนี้ ผมได้มาจากหลวงพ่อฤาษีฯ โดยตรง ใครจะว่าหลวงพ่อฤาษีฯ ลา,ไม่ลาก็เป็นเรื่องของเขา แต่ในเมื่อผมได้ความรู้มาแบบนี้ ผมก็อธิบายได้แบบนี้ ส่วนใครคิดว่าหลวงพ่อฤาษีฯ ลาพุทธภูมิแล้ว ก็ต้องหาหลักฐานให้ได้หลายเรื่องดังนี้ คือ

    1. สอนมโนมยิทธิเต็มกำลังแบบโลกุตระและอริยประเพณีแต่ละขั้นให้ได้เสียก่อน
    2. สอนผลของอริยประเพณีเบื้องต้น ให้ตรงกับพระพุทธเจ้าสอนพระอัญญาโกณฑัญญะให้ได้เสียก่อน (คือสอน ให้เทวดา พรหม มากราบไหว้ลูกศิษย์ตัวเองถ้าหากเขาเข้าถึงผลของการเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นจริงๆ)
    3. ตัวเองต้องมีอารมณ์พระอรหันต์จริงๆ เสียก่อน จึงจะทำได้

    (หมายเหตุ) ถ้าใครก็ตามบอกว่าหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นพระอรหันต์แล้วหรือเป็นอย่างอื่นที่นอกเหนือจากความเป็นพระพุทธเจ้า แบบแผนนี้ก็ไม่น่าจะสอนยากเกินวิสัย แต่ในปัจจุบันไม่ใช่ดูถูกครูสอนกรรมฐานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพระ, ฆราวาส เพราะอารมณ์เห็นและไปนิพพานในอิริยาบถเดินก็ไม่เห็นมีใครนำมาสอน ทั้งๆ ที่ประกาศตนเองว่ากำลังจบ ป.3 และป.4 (คือพระอนาคามีและพระอรหันต์) นี่เป็นข้อคิดให้เฉพาะลูกศิษย์ที่เป็นครูสอนกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีฯ คิดเท่านั้น อีกทั้งใครจะมาบอกว่าหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นอย่างอื่น ก็ให้แสดงแบบแผนมาให้ดู ไม่ใช่ค้านและอธิบายลอยๆ เพราะนั่นย่อมไม่ใช่วิสัยของผู้บำเพ็ญเค้าทำกัน และถ้าจะอ้างว่าสนิทกับพระวัดท่าซุงที่กำลังดังๆ ในเวลานี้ พวกนี้ก็มีแผลกันทั้งนั้น อย่าคิดว่าเรากลัว เพราะเราก็ไม่ได้กลัวใครมานานแล้วและเราก็มีหนังสือภายในด่าพระชั่วในสายฯ ไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ติดตามดูภายในสายฯ กันเอาเอง!



    [​IMG]


    สังโยชน์ 10 เมื่อทำบารมี 11 ทัศได้ถูกต้องแล้ว หลวงพ่อฤาษีฯ บอกว่าอารมณ์สังโยชน์จะขาดง่าย

    1. สักกายทิฐิ ตัดได้ง่ายเพราะเราเชื่อมั่นในคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ และพระพุทธเจ้าว่ามีความรู้ทางธรรมอย่างแท้จริงก็เป็นการใช้ปัญญาบารมีมาตัด
    (หมายเหตุ) จริงๆ แล้วนักปฏิบัติถ้าใช้ปัญญาบารมีก็ตัดได้แล้ว สังโยชน์ 10 จริงๆ ก็มีข้อเดียวคือสักกายทิฐิ แต่เวลาปฏิบัติมีผู้บำเพ็ญฯ หลายประเภทจึงขยายออกเป็น 10 ข้อ เป็นการเพิ่มรายละเอียดในฐานะเป็นศาสดาเอกของโลก

    2. วิจิกิจฉา ถ้าหากเราไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อฤาษีฯ เราปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัดทุกๆ เรื่อง ใช้ศรัทธาบารมีมาตัดรวมทั้ง 10 ข้อได้ทันทีไม่ยาก ถ้าหากเชื่อว่าหลวงพ่อฤาษีฯ มีบุญจริง รู้ธรรมในส่วนนิพพานที่แท้จริง เพราะเราเชื่อและปฏิบัติแบบโง่ๆ เพียงแค่นี้ก็เป็นพระอรหันต์ได้ไม่ยาก (ที่จบกิจไปแล้วก็มีมากมายแต่ไม่มีใครรู้จักและทำบุญด้วย)

    3. สีลัพพตปรามาส เมื่อเรามีปัญญา ความศรัทธาและความเพียรต่อครูบาอาจารย์ ทุกอย่างจะไม่ติดขัด จิตจะคล้อยตามในการตัดกิเลสได้ง่ายมาก เพราะเคยทดสอบมาแล้วก่อนที่จะเขียนบันทึกฉบับนี้ ใช้เวลาเพียง 5 - 10 นาที, ภายในเวลาลัดนิ้วมือเดียวก็สอนให้เห็นภพภูมิต่างๆ และนิพพานได้ชัดเจนกว่าในสายมโนมยิทธิที่สอนกันในปัจจุบันเรียกว่า พิสูจน์มาแล้วจึงเขียน
    4 และ 5 กามฉันทะและปฏิฆะ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 4 และ5 อันที่จริงสังโยชน์คู่นี้หลวงพ่อฤาษีฯ และพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ชนะใจหมู่สัตว์มาแล้วจำนวนมาก สัตว์โลกทั้งหลายที่จองจมอยู่ในวัฏฏะก็เพราะสังโยชน์คู่นี้ จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ละสังโยชน์หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอนให้ดับนิวรณ์ 5 ก็เป็นพระอรหันต์ได้เหมือนกัน ต ัดสังโยชน์คู่นี้ใช้ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หรือพรหมวิหาร 4 และกายคตานุสสติฯ พร้อมจับอริยสัจเหตุให้เกิดทุกข์ หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านบอกว่าทำได้ การปฏิบัติบำเพ็ญไม่จำเป็นต้องถือตำราเสมอไป เอาตามประสบการณ์จะง่ายกว่าและก็มีอารมณ์พระอนาคามีได้ง่ายกว่า แม้กายวิ่งจิตก็ไปนิพพานได้เพราะอารมณ์เข้าถึงสังโยชน์ 4 และ 5 กายและจิตจะแยกกันได้ทั้ง 4 อิริยาบถ

    6 และ 7 รูปราคะและอรูปราคะ สังโยชน์ 2 ข้อนี้ ถ้าอาศัยปัญญา ศรัทธา สัจจะและอธิษฐานที่มั่นคงต่อคำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์จะไม่มีใครติดฌานและอรูปฌานต่างๆ นอกจากพวกปัญญาบารมีไม่พอ ไม่เคยมีอารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์มาก่อน ถึงคิดจะลาพุทธภูมิอย่างไรก็ลาไม่ได้ แต่ถ้าเคยมีอารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์มาแล้วในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การตัดอวิชชา 2 ข้อนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินวิสัย

    8 และ 9 มานะและอุทธัจจะ สังโยชน์ 2 ข้อนี้ เมื่อผ่านอารมณ์พระอนาคามีมาแล้ว ศีลจะคงตัวมาตั้งแต่สังโยชน์ 3 แล้ว สมาธิ, อธิจิตก็ตรงตัวมาตั้งแต่สังโยชน์ 4 และ 5 แล้ว ฉะนั้นการถือตัวถือตนมันอ่อนตัวมาตั้งแต่สังโยชน์ 5 แม้ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ มันก็อ่อนตัวมาตั้งแต่สังโยชน์ 5 เช่นกัน เพราะตัดอวิชชาจริงๆ เค้าก็ตัดสักกายทิฐิเพียงข้อเดียว มิฉะนั้นแล้วพระพุทธเจ้าจะสอนพระสาวกภายในลัดนิ้วมือเดียวเป็นพระอรหันต์จำนวนแสนโกฏิไม่ได้
    10. อวิชชา ตัวนี้หลวงพ่อฤาษีฯ แยกออกเป็นรายละเอียด 2 ข้อคือ ฉันทะและราคะ โดยสภาพจิตแล้ว ถ้าเป็นปัจเจกฯ ลา จะไม่ตัดอวิชชาตรงนี้เพราะไม่มีบริวารจึงผ่านง่ายและยิ่งได้สมาบัติ 8 หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอนว่าแค่เคี้ยวหมากแหลกก็ตัดอวิชชาเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิลาและมีบริวารน้อยก็ตัดไม่นาน แต่ถ้าเป็นพุทธภูมิลามีบริวารมาก ก็ตัดอวิชชานานหน่อย แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ฝึกตรัสรู้ เพียงแค่พรหมอรหัตมรรคและพระนิพพาน ซึ่งห่างกันเพียงชั้นเดียวก็ไม่ได้ถึงนิพพานได้ง่าย

    ฉันทะ คือ ยังพอใจในพรหมอรหัตมรรคเพราะพระโพธิสัตว์จำนวนมากก็ยังมาพักจุดนี้เพียงชั่วคราว นับเวลาเป็นอสงไขยฯ ก่อนที่จิตจะลงมาอยู่ที่เทวดาชั้นดุสิต, ทำหน้าที่จดบันทึกบุญให้ผู้บำเพ็ญในโลกธาตุ ฉะนั้นจิตจึงเคยชินสัญญาเดิมเมื่อจิตเข้ามาถึงตรงนี้แล้ว พระโพธิสัตว์หลายท่านยังคิดว่าเป็นนิพพานก็มี
    ราคะ ด้วยพรหมอรหัตมรรคนี้มีความสว่าง สะอาด บริสุทธิ์ และคล้ายนิพพานมาก แม้จะใกล้นิพพานก็จริงถ้าดูตามไตรภูมิ แต่โดยสภาพจิตนั้นห่างกันมากกว่าแดนอรูปฌานทั้ง 4 เสียอีก พุทธภูมิใหญ่รู้จักนิพพานได้ยากถ้าหากบริวารมีมาก แต่ถ้าบำเพ็ญบารมีมาดีแล้วแม้จะติดพรหมอรหัตมรรคแล้วก็จริง แต่ก็ไม่นานเพราะอาศัยพระโพธิสัตว์รุ่นพี่ที่เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วเคยพาไปนิพพานในระหว่างเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยกัน ถึงจะตัดก็ตัดไม่นานถ้าบารมีธรรมมีมากพอ แต่ถ้าหากบารมีธรรมมีไม่พอ จะตัดอุปาทานหลายเรื่องก็มีมากเช่น นิพพานสูญ นิพพานเย็น นิพพานไม่มีทั้งรูปและนาม การเถียงกันอย่างนั้นเป็นการเถียงตามสภาวะของโลกไม่ใช่สภาวะจิตที่บำเพ็ญบารมีมาถูกต้องจริงๆ
    (หมายเหตุ) ใครบำเพ็ญบารมีมาจริงก็ได้พบครูบาอาจารย์ในโลกมนุษย์ที่ชี้ทางให้ไปนิพพานให้ได้จริงๆ

    ใครบำเพ็ญบารมีมาไม่จริงก็ได้ของปลอมมาเป็นครูถึงเข้ามาในสายดี, เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีฯ ก็ไม่เข้าถึงธรรมที่ละเอียดจริงๆ ได้ เรื่องนี้หลวงพ่อฤาษีฯ บอกว่าเป็นเรื่องของบุพกรรมฯ ของการบำเพ็ญเท่านั้น จะมาเสแสร้ง, ปรุงแต่งอะไรไม่ได้ นิพพานจึงเป็นเรื่องของผู้บำเพ็ญมาจริงๆ เท่านั้น จะมาเสแสร้ง, ปรุงแต่งอะไรไม่ได้ นิพพานจึงเป็นเรื่องของผู้บำเพ็ญมาจริงๆ เท่านั้นที่จะรู้ได้ เห็นและเข้าถึงได้ถูกต้องจริงๆ เมื่อรู้แล้วโดยอริยประเพณี, พุทธประเพณีจะสามารถสอนให้คนวางอารมณ์จิตเข้าไปรู้เห็นลักษณะนิพพานได้ถูกต้องเหนือคำบรรยายใดๆ ในโลกธาตุ เพราะนิมิต อาการ อารมณ์ เข้าถึงนั้นมีคุณค่าทางใจ ในการสิ้นทุกข์ในวัฏสงสารของตนเองและผู้ได้รับการสอนเหนือคำบรรยายใดๆ ในโลกมนุษย์


    วิปัสนูปกิเลส 10

    1. โอภาสใจเห็นแสงสว่างอันที่จริงแล้ว กสิณทั้ง 10 กองเมื่อเพ่งจนเข้าถึงระดับฌานก็มีแสงสว่างทั้งหมด แต่ถ้าหากเราไม่ยึดถือ หลวงพ่อฤาษีท่านบอกว่าก็ไม่ใช่วิปัสนูปกิเลส แต่ถ้าคิดว่าเราบรรลุมรรคผลแล้ว ตรงจุดนี้ก็เป็นการหลงตัวเองทันที(ถ้าบารมีมาก ก็ไม่หลง ถ้าบารมีน้อย หลงได้)

    2. ญาณ ญาณคือการรู้เห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ ในโลกมนุษย์ แม้นรก สวรรค์ ก็เป็นเรื่องปกติของผู้บำเพ็ญที่จะเห็น แต่ถ้าหากเรายังไม่ยึดถือว่า เรายังไม่บรรลุมรรคผลก็ไม่เป็นไร (ถ้าบารมีแก่กล้า ก็ไม่ถูกหลอก ถ้าบารมีอ่อน ก็ถูกกลลวงทางจิตได้ง่าย)

    3. ปีติ ความอิ่มกาย อิ่มใจ จริงๆ แล้วในเรื่องขององค์ประกอบของสมถะ วิปัสสนา สัมมาสมาธิก็ยังมีอยู่, แม้ในองค์ประกอบโพชฌงค์ 7 และองค์ฌานสมาบัติก็มีแต่ไม่ยึดถือเหตุเริ่มต้น (ถ้าบารมีแก่กล้าจริงๆ ก็ไม่ติด ถ้าบารมีอ่อน ก็ติด)

    4. ปัสสิทธิ สงบกาย สงบใจ ข้อนี้ในโพชฌงค์ 7 ก็มีอยู่ (ถ้าบารมีแก่กล้า ก็ไม่ติด ถ้าบารม ีอ่อน ก็ติด)

    5. สุข เยือกเย็นกาย เยือกเย็นใจ อันที่จริงแล้วสุขนั้นมีตั้งแต่ สมถะที่ 1 หรือฌาน 1 ในวิปัสสนาญาณและสัมมาสมาธิก็มี แต่สุขมันต่างกัน โดยสภาพของอารมณ์จิต สุขในสมถะ 40 สุขในพรหมวิหารธรรม และสุขในสัมมาสมาธินั้นแตกต่างกันมากในเรื่องอารมณ์ (ใครบารมีแก่กล้า ก็ไม่ติดสุข ใครบารมีอ่อน ก็ติดสุข)

    6. อธิโมกข์ การน้อมใจเชื่อ สรุปมาจากข้อ 1 ถึงข้อ 5 (ถ้าบารมีแก่กล้าพอ ก็ไม่ติด ถ้าบารมีอ่อน ก็ติดมาก)

    7. ปัคคหะ มีความเพียรอย่างแรงกล้า ในวิริยะบารมีก็มี ในโพชฌงค์ 7 ก็มี ในพละ 5 ก็มีแยกยาก ตรงจุดนี้เริ่มเข้าใจยาก โดยเฉพาะพวกที่ชอบอดข้าวอดน้ำหรือพวกพระที่ชอบธุดงค์ รวมความแล้ว ถ้านำผลจากข้อ 1 ถึงข้อ 6 มารวมในข้อ 7 ส่วนใหญ่หลวงพ่อฤาษีฯ บอกว่า หลงตัวเองมากกว่ารู้ เพราะเหตุปัจจัยหลายอย่างมันเอื้ออำนวยให้หลง

    8. อุปัฏฐาน ความมีสติแก่กล้า สตินี้ในสติปัฏฐานก็มีอยู่ จุดนี้หลวงพ่อฤาษีฯ บอกว่าก็รู้ยาก ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ที่ดีก็แก้ยากมาก เพราะถ้ารวมข้อ 1 มาถึงข้อ 8 ยิ่งหาทางแก้ได้ยาก ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ที่ใกล้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ จะแก้ได้ยากมาก(เพราะหลวงพ่อฤาษีฯ ก็ไม่เคยสอนคนที่บำเพ็ญมายังไม่ถึงให้รู้ได้)

    9. อุเบกขา ใจอยู่ฌานและอรูปฌานได้นาน กิเลสก็หายไป ไม่ตรวจสอบกันให้ดีก็รู้ยาก ยิ่งได้ญาณทัสสนะรู้เห็นและไปถึงนิพพาน เพราะนิพพานนั้นในสมถะ 40 ก็มีคือ อุปสมานุสสติฯ ในวิปัสสนาญาณ 9 ข้อที่ 8 ก็มีคือ ใจวางเฉยในกายและภพภูมิไม่เที่ยง คือใจวางเฉยในกายและภพภูมิไม่เที่ยงได้ ใจก็เริ่มเห็นและไปนิพพานได้ แต่ในสัมมาสมาธิเบื้องต้นตั้งแต่อารมณ์พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามีก็เห็นและไปนิพพานได้ สำหรับผู้ฝึกมโนมยิทธิ แต่อย่าลืมว่า จากพระอนาคามีจะเข้าสู่พระพรหมอรหัตมรรค เค้าให้วางฌานและอรูปฌาน การวางฌานและอรูปฌานก็วางได้ยาก ถ้าบำเพ็ญบารมีมายังไม่พอและไม่เคยมีอารมณ์เทียบเท่าพระอรหันต์มาก่อนจะแก้ไขฌานและอรูปฌานให้เป็นสัมมาสมาธิก็คงไม่เข้าใจ สรุปแล้วถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์ที่ใกล้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ตรงจุดนี้เข้าใจได้ยากมาก

    (หมายเหตุ) มีครั้งหนึ่งในชีวิตหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านไปเยี่ยมพระอาจารย์ทางสายเหนือ โดยมีท่านป่องโกษา ได้ทำบันทึกชื่อ “ล่าพระอาจารย์ฯ” จริงๆ แล้วถ้าคนฉลาดพอตีคำพูดนี้ได้ไม่ยาก (ถ้าโง่ก็ตีไม่ออก) หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านให้ชี้จุดลงให้ผู้บำเพ็ญที่ติดอยู่ได้รู้จักนิพพานให้ถูกต้อง อุเบกขานี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก เพราะอุเบกขาในบารมีธรรม ในโพชฌงค์ 7 ก็มี ในฌานแต่ละฌานก็มีอยู่ ในอรูปฌานก็มีอยู่และอุเบกขาในวิปัสสนาญาณก็มีอยู่ จุดนี้หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านให้ถือพุทธพยากรณ์เป็นหลัก แต่ก็ต้องระวังโดนหลอก เพราะโจทย์ต่างๆ ของการบรรลุธรรมมีมากเกินกว่าชาวธรรมจะคิด

    10. นิกกันติ มั่นใจว่าตนเป็นพระอริยเจ้าแล้ว รวมจากข้อ 1 ถึงข้อ 9 ทุกอย่างมันรวมตัว ทำให้เชื่อและรู้และคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ในส่วนปัจเจกภูมิและพุทธภูมิที่คิดว่าลาได้แล้วและหลงตัวเองว่าใกล้จะเป็นพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ไม่น้อย โจทย์ทางธรรมนั้นมีมากมายมหาศาล ถ้าพลาดและหลงตัวเองก็มีนรกเป็นที่อยู่ นักปฏิบัติธรรมจำนวนมาก พอได้มโนมยิทธิเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่ครูสอนกรรมฐานและพระทุกๆ สายฯ แล้วก็ตาม ครูบาอาจารย์ก็บอกว่าโอกาสที่จะรอดจากวิปัสนูปกิเลสก็ยากมาก อีกทั้งพระพุทธเจ้าองค์ปฐมท่านก็บอกว่า พวกปัจเจกภูมิบารมีอ่อนส่วนมากมักหลงตัวเองเข้ามาทำหน้าที่แทนพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม ท่านทั้งหลายลองตรวจดูให้ดี ทุกอย่างจะหลงตัวเองมากกว่าจะได้ ถ้าไม่อาศัยการบำเพ็ญพุทธบารมีมาอย่างยาวนานและถูกต้อง ที่เขียนว่าพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ใช้เวลาบำเพ็ญ 20 - 40 - 80 อสงไขยฯ นั้นก็เป็นเพียงตัวเลข จริงๆ แล้วยังไม่ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าองค์ปฐมท่านบอกว่า ท่านก็เห็นพวกปรารถนาพุทธภูมิจำนวนมากตั้งแต่ท่านตรัสรู้ใหม่ๆ จนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแม้มีพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลมาแล้วก็ตาม ท่านเปรียบว่า ทรายทั้งหมดใน 4 มหาสมุทรมีเกิน 1,000 ล้านๆๆๆๆๆ จริงๆ แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ถึง 1 กระสอบ ท่านผู้บำเพ็ญพุทธภูมิทั้งหลายลองคิดดู ที่เราเถียงกันเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา, ใครเป็นพระโพธิสัตว์ 10 ท่าน เราเอาความรู้อะไรมาเถียงกัน โจทย์ทางธรรมในยุคศาสนาของพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะนั้นมันแพงมากๆ เพราะท่านพยากรณ์พุทธศาสนาไว้ว่า คนจะลงนรกเหมือนขนวัว ขึ้นสวรรค์เหมือนเขาวัว ถ้าหากผมจะตั้งคำถามตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสอนว่าพวกอธิบายธรรมทั้งหมด แม้พวกดูถูกการบำเพ็ญของหลวงพ่อฤาษีฯ ก็ดี ใครเป็นผู้อัญเชิญให้ออกมาพูดและแสดงธรรม เพราะวิปัสนูกิเลสนั้นแก้ได้ยากมาก ถ้าบารมีธรรมบำเพ็ญมายังไม่พอก็คงอธิบายได้เพียงคำพูด แต่ทำแบบแผนจริงๆ ไม่ได้ และก็ไม่กล้ารับผิดชอบฯ

    กรรมใดเป็นการฝืนกฎแห่งการบำเพ็ญ ถ้าข้าพเจ้ารู้ธรรมไม่จริง ขอให้ปรับโทษข้าพเจ้าให้ร้ายแรงยิ่งกว่าที่เคยปรับโทษพระเทวทัตและผู้กระทำความผิดที่ร้ายแรงที่สุดของทุกๆ พุทธศาสนาในอดีตทั้งหมดด้วยเทอญฯ

    หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านสั่งไว้ว่า เมื่อท่านมรณภาพเกิน 13 ปีแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อเองจะทำผิดจากหลักการที่ท่านสอนและวิธีปฏิบัติ (จนกรรมฐานไม่ก้าวหน้า) แต่ชาวธรรมจำนวนมากก็จะดูไม่ออก ความจริงแล้วเพียงแค่ไปพบพระอรหันต์วิชา 8 ท่านก็สอนมโนมยิทธิแบบโลกุตระและอริยประเพณีแต่ละขั้นได้แล้ว (แสดงถึงว่าถึงนิพพานไม่จริง เพราะทำอะไรข้ามวิสัยอยู่เรื่อย) ในปัจจุบันหลักสูตร 1 ถึง 70 ก็ยังไม่ผ่านแต่โดดข้ามวิสัยไปพูดถึงหลักสูตรที่ 71 และหลักสูตรที่สูงกว่านั้นจนไปอ้างถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐม

    ท่านชาวธรรมทั้งหลายจงพิจารณาดูให้ละเอียด ความรู้ต่างๆ ที่ผมได้มานั้นก็ได้มานานแล้วในสมัยตั้งแต่ปลายปี 2525 เป็นต้นมา แต่การทำงานให้พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อนั้นทำได้ยากเพราะ พุทธภูมิโตช้าอีกทั้งทำในเรื่องสำคัญๆ ทั้งหมดจะต้องรับผิดชอบด้วยอนันตริยกรรมฝ่ายลบของอริยวงศ์ถ้าอธิบายธรรมในส่วนอริยประเพณีและพุทธประเพณีต้องรับอนันตริยกรรมฝ่ายลบสูงสุดของพุทธประเพณีด้วย ฉะนั้นงานที่ครูบาอาจารย์สั่งไว้จึงเป็นเรื่องยาก ที่ว่ายากนั้นต้องรับผิดชอบฯ แม้ผมเขียนบันทึกมาผมก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 7 ปีข้างหน้า (ปี 2555) ถึงจะสอนให้บ้าง เวลานี้กำลังพัฒนาครูก่อน เพราะครูสอนกรรมฐานแบบพุทธภูมินี้มันหายาก อีก 7 ปีคงพัฒนาครูสอนได้บ้าง
    กรรมใดเป็นการฝืนกฎแห่งการบำเพ็ญ ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งเหลวไหลไร้ปัญญาอีกทั้งหลงตัวเองว่าเป็นผู้รู้ ขออำนาจความเป็นทิพย์สูงสุดของธรรมจักรพุทธวงศ์จงลงโทษข้าพเจ้าให้ร้ายแรงยิ่งกว่าผู้กระทำความผิดในส่วนพิเศษทางธรรมของทุกๆ พุทธศาสนาในอดีตทั้งหมดด้วยเทอญ



    จากคุณ มโนมยิทธิ เมื่อวันที่ 19/10/2548 0:21:41


    ที่มา : http://www.konmeungbua.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...