การสวดมนต์เป็นบุญมาก

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 28 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]



    ทานเป็นสิ่งที่ดี หนึ่งในสามของหลักการปฏิบัติธรรม คือ ทาน, ศีล, ภาวนา ทว่า แม้ดีเท่าใดก็ตาม ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดี จะต้องพอดีพอควร คือ ทำเพื่อให้จิตฝึกละการยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์เป็นเบื้องต้น เมื่อเจริญภาวนาปล่อยวางจิตก็จะเคยชินกับอาการการละวาง ปล่อยวาง จากการทำทานที่สั่งสมมานั่นเอง สำหรับพระโพธิสัตว์ก็อาศัยทานบารมี เป็นบารมีที่ช่วยให้บรรลุธรรมได้ เช่น ในพระโพธิสัตว์บางองค์ เพียงทำทานจนหมดตัวแล้ว แทบไม่ต้องเทศนาอะไรมาก ท่านก็เข้าถึงธรรมได้ง่าย อย่างนี้ก็มี ดังนั้น หน้าที่ของทาน จึงมิใช่เพื่อการผูกมัด เป็นเครื่องร้อยรัด เครื่องหลอกล่อให้คนปรารถนาเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้น เช่นนั้น คงมิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่มุ่งเน้นให้หลุดพ้นเป็นแน่ ทานจึงมีหน้าที่ไม่ใช่ผูกมัด แต่เพื่อปล่อยวาง เพื่อหลุดพ้น ทว่า การทำทานที่ผิดวิธี ก็ทำให้ได้ผลตรงกันข้าม คือ กลายเป็นเครื่องร้อยรัด เครื่องผูกมัดบุคคล ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปรับบุญมากมาย เช่น บุญจากการสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ นั้นต้องรับประมาณถึงห้าร้อยชาติทีเดียว พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการทำบุญ สำหรับพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาโพธิญาณ มีกำลังมากพอเอาตัวเองรอด และช่วยเหลือมวลสัตว์ได้ แต่ไม่ได้ทรงสนับสนุนให้ผู้มีกำลังน้อยเอาเยี่ยงอย่างแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่ทรงสอนให้สาวกของพระองค์กระทำบุญใหญ่อะไรเลย ครองแต่ธรรมวินัยก็พอ ไม่ต้องไปทำอะไรมากมาย แต่ท่านสรรเสริญการทำบุญใหญ่ของพระโพธิสัตว์ไว้ นั้น เพราะต่างกรรมต่างวาระ ต่างบุคคลกัน การสื่อสารย่อมแตกต่างกันนั่นเอง ดังนั้น ท่านจึงสอนง่ายๆ ว่า มีน้อยทำน้อย มีมากทำมากได้ ตามแต่กำลัง มิได้ว่าน้อยหรือมากจะดีกว่ากันเลย จึงขอสรุปก่อนเบื้องต้นว่าการทำทาน ไม่ได้แปลว่าต้องให้มากๆ จึงจะดี แต่ต้อง “พอดีแก่กำลังตนเอง”




    อนึ่ง ในทาน, ศีล, ภาวนา นั้น ย่อมให้อานิสงค์ผลบุญได้ทั้งสามประการ ทว่า ภาวนานั้นมีอานิสงค์สูงสุดในสามสิ่งนั้น ทานให้ผลไม่เท่าศีล, ศีลให้ผลไม่เท่าภาวนา ดังนี้ การภาวนามีหลายวิธี การสวดมนต์ก็เป็นวิธีหนึ่งของการภาวนา เรียกว่าเจริญจิตภาวนาด้วยการสวดมนต์ เพราะมนต์ที่สวดกันนั้น ก่อนมีพระพุทธเจ้า เรามีมนต์พราหมณ์ การสวดยังได้บุญน้อย จึงต้องสวดมาก บำเพ็ญมาก แต่เดี๋ยวนี้ เรามีบทสวดที่เกิดจากพระธรรมที่ท่านตรัสรู้แจ้งแล้ว บุญจึงมากมายนัก ไม่อาจเทียบกับอดีตได้เลย ไม่ใช่เพราะเราสวดดี แต่เพราะบทสวดมาจากพระพุทธเจ้านั่นเอง บุญจึงมากมายนัก เมื่อบุญจากการสวดมนต์มีมากอย่างนี้ ก็กลายเป็นว่า “อาจมากเกินพอดี” ก็มีเป็นไปได้ คำว่ามากเกินพอดีเป็นไฉน เช่น เราสวดทุกวันทุกที่ ไม่ได้เลือกที่สวดเลย บางครั้ง สวดมนต์ร่วมกับคนมีกรรมมากบ้าง เช่น คนบางคนค้ายาเสพติดก็ไปเข้าวัดสวดมนต์พร้อมกับเราได้ เราก็ไม่ทราบ บางครั้งก็สวดร่วมกับคนมีบุญมาก เช่น คนบางคนปรารถนาพุทธภูมิ จะตรัสรู้เป็นองค์ที่สิบอย่างนี้ เราไปสวดมนต์กับเขาเข้า บุญเชื่อมสัมพันธ์กันทำให้ต้องไปนิพพานในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่สิบโน่นเชียว นี่คือ “สวดมนต์มากเกินพอดี” ทำให้ต้องเสวยผลบุญมากเกินไป ก็จะได้นิพพานช้า แทนที่จะได้นิพพานในศาสนาพุทธยุคนี้เลยก็ไม่ได้ อดเลย นี่ก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ได้นิพพานแน่ๆ จึงเลี่ยงการเข้าคลุกคลีกับใคร โดยเฉพาะในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำกว่าร้อยปี พระปัจเจกพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ในช่วงยุคที่มนุษย์อายุน้อยอย่างนั้น และสร้างแบบอย่างการดำรงชีพที่เหมาะสมกับผู้ทรงธรรมเอาไว้ ทว่า ปัจจุบัน อายุขัยมนุษย์ต่ำกว่าร้อยปี คนที่มีกรรมมากๆ ก็มาเกิด คนที่มีบุญบารมีมากๆ ก็มาเกิด อย่างนี้ เราไม่ระวังตัว เต็มไปด้วยความ “ประมาทในธรรม” ไม่ระวังธรรมชาติรอบตัว ก็พัวพันบุญและกรรมเข้ากับคนเหล่านี้ การจะได้นิพพานก็ช้าเนิ่นนานไปอีก การภาวนาด้วยการสวดมนต์นั้น ไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้ามากเกินไปก็ใช่ว่าจะดี ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้าเราเกิดในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยสักแปดหมื่นปี เช่น ยุคพระศรีอาร์ฯ นั้น เราคงไม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาและระมัดระวังกรรมกันมากอย่างนี้ เพราะยุคนั้น คนที่เกิดก็พร้อมจะได้นิพพานได้ง่ายๆ แต่ยุคนี้นั้นไม่ใช่เลย การคลุกคลีด้วยคนจำนวนมากล้วนเป็นภัยมหันต์โดยที่เราไม่รู้ตัว แม้แต่การทำตู้บริจาค เราไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีคนที่มีกรรมมาก, บุญมากมาร่วมกับเราทำให้ผูกบุญสัมพันธ์กันไปหรือไม่





    การสวดมนต์ที่ปลอดภัยต่อความปรารถนานิพพาน




    ๑) ถ้าสวดประจำควรสวดคนเดียวเป็นเบื้องต้น อย่าได้ไว้ใจใครมาก ว่าเขาจะผูกพันรักใคร่เรา ช่วยเหลือเราไปตลอด บางคนสวดมนต์กับลูกหลาน ภายหลังลูกหลานไปทำชั่วมา ก็ต้องไปเจอกันอีก เพราะบุญกรรมพัวพันกันไม่ขาดกันได้




    ๒) ถ้าสวดไม่ประจำ ต่างถิ่น ควรเลือกที่คนน้อย ที่ที่สงบคนไม่พลุกพล่าน คนที่สวดเป็นคนที่สวดกันประจำ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ยกตัวอย่างเช่น ชาวบ้านตำบลพระพุทธบาทห้วยต้ม จะไม่ร่ำรวยมีชีวิตสมถะ แต่สวดมนต์กับเสมอแทบทุกเย็น




    ๓) ถ้าสถานการณ์บังคับให้สวดร่วมกับคนไม่ดี ให้อธิษฐานว่าขอผลบุญจากการสวดมนต์นี้จงเป็นไปเพื่อนิพพานดับชาติภพ เพื่อความสุขแท้ เพื่อปลดทุกข์ เพื่อหลุดพ้น เพื่อละวาง ตัดเวรตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้หมดสิ้นไป




    ๔) ก่อนสวดมนต์ให้ตั้งจิตอธิษฐานตรงต่อนิพพาน คือ อธิษฐานว่าขอผลบุญจากการสวดมนต์นี้จงเป็นไปเพื่อนิพพาน เพื่อความสุขแท้ เพื่อปลดทุกข์ เพื่อหลุดพ้น เพื่อละวาง ตัดเวรตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้หมดสิ้นไป




    ๕) ก่อนสวดมนต์ของพระพุทธเจ้าให้อัญเชิญเทวดาก่อน คือ สวดบทอัญเชิญเทวดา เพื่อบอกสัมภเวสีทั้งหลายว่าต่อไปนี้จะมีการสวดมนต์ให้เทวดา ท่านที่มีกำลังจิตต่ำเช่น เปรต จะทรมานขอให้หลีกทางไปให้เทวดามาร่วมสวดมนต์ก่อน






    การสวดมนต์ส่งผลบุญให้ผู้อื่น



    ต้องเข้าใจว่าการสวดมนต์ส่งให้กันนั้น มีผลมาก พระพุทธเจ้าเคยได้กล่าวว่าภาวนาเป็นทานสูงสุด หากท่านเพ่งด้วยตาทิพย์จะเห็นไอพลังคล้ายรัศมีแสงจางๆ เวลาเราสวดมนต์ส่งให้ใคร ไอปราณนี้จะแผ่ส่งไปถึงยังคนผู้นั้นได้ สามารถทำให้เขามีจิตใจที่สงบเย็นลงได้ถ้าพลังจิตที่เราส่งไปเป็นพลังเย็น พลังขาว อนึ่ง เมื่อส่งพลังจิตไปมากระดับหนึ่ง พลังงานนี้จะรวมกันมากพอเรียกว่าเป็น “กระแสปราณ” ได้ กล่าวคือ เหมือนหมอกจางๆ ที่เริ่มจากน้อย เมื่อรวมตัวกันเข้าก็กลั่นเป็นสายฝน รวมกันเป็นสายน้ำ ฉะนั้น การเกิดขึ้นของมวลปราณจากการสวดมนต์ก็เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้ ทว่า จิตของคนเรานั้น ฝึกมาไม่เหมือนกัน บางคนฝึกสายดำ บางคนฝึกสายขาว บางคนฝึกวิชชาสายร้อน บางคนฝึกวิชชาสายเย็น คนที่รับพลังจิตจากการสวดมนต์ของคนจำนวนมากไปพร้อมๆ กันในคราวเดียวนั้น อันตรายมากที่จะถูกกระแสลมปราณที่แตกต่างกันทะปะกันภายในได้ การถ่ายลมปราณให้คนๆ เดียว แต่ใช้คนหลายคนที่มีลมปราณแตกต่างกันก็ไม่ได้ผลดี วิทยาการปัจจุบันมีมาตรฐานในการรักษาด้วยพลังจิตมากขึ้น เรียกว่า “ออร่าบำบัด” หรือการรักษาด้วยพลังจิต, พลังปราณ, พลังภายใน นักปรจิตวิทยาชาวรัสเซีย จะทำการถ่ายออร่าของผู้ที่จะทำการรักษาก่อน เขาจะวิเคราะห์ด้วยความชำนาญว่าคนผู้นั้น มีคุณสมบัติในการรักษาผู้อื่นหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ไม่อาจเป็นหมอออร่าบำบัดได้ เขาจะคัดเลือกอย่างดี คนที่ผ่านได้ต้องฝึกจิตมาอย่างดี มีพลังจิตขาวสว่าง หรือสีทอง หรืออย่างน้อยสีเขียวสว่าง


    http://www.buddhayan.com/
     
  2. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,684
    ค่าพลัง:
    +9,239
    "อนึ่ง เมื่อส่งพลังจิตไปมากระดับหนึ่ง พลังงานนี้จะรวมกันมากพอเรียกว่าเป็น “กระแสปราณ” ได้ กล่าวคือ เหมือนหมอกจางๆ ที่เริ่มจากน้อย เมื่อรวมตัวกันเข้าก็กลั่นเป็นสายฝน รวมกันเป็นสายน้ำ ฉะนั้น การเกิดขึ้นของมวลปราณจากการสวดมนต์ก็เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้ "

    ขออนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...