การปรารถนาพุทธภูมิกับสาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติต่างกันอย่างไร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 19 มีนาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    [​IMG]

    ปุจฉา
    การปรารถนาพุทธภูมิ และ สาวกภูมิ มีหลักปฏิบัติอย่างไร

    วิสัชนา
    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องมีการสะสมบารมีทั้ง 10 เต็มครบสมบูรณ์ต้องมีจิตเปี่ยมล้นด้วยเมตตา ต้องมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีเนกขัมมะ การออกบวช มีวิริยะ ความพยายามตั้งใจจริง มีสัจจะ ตั้งจิตอธิษฐาน ประกอบด้วยขันติ มีความอดทน พร้อมด้วยปัญญา และ อุเบกขา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถปฏิบัติให้เข้าถึงพุทธภูมิได้

    ในการปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติทีละอย่าง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือไม่ก็ปฏิบัติทีละหลายๆ อย่าง ในการปฏิบัติแต่ละครั้ง ก็ตั้งความปรารถนาไว้ ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่เรา ขอเราจงเข้าสู่พุทธภูมิ ขอพระโพธิญาณจงมีแก่เรา ขอเราจงสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณในอนาคตกาลต่อไป

    ข้อสำคัญของ พระโพธิสัตว์ ต้องมีจิตเมตตา มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ และ มีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลายในโลก นี่เป็นหลักสำคัญของพระโพธิสัตว์

    ในการบำเพ็ญเพียรต้องใช้เวลาหลายอสงไขยกัป เช่น พระมหากัจจายนะ เดิมทีท่านปรารถนาพุทธภูมิทุกชาติ แต่ละชาติมีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน บางชาติก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน บางชาติก็เป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ท่านก็ทำความเพียรเวียนไปเพื่อจะเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ถึงชาติสุดท้าย พอได้ยินได้ฟังจากปากคำพระศาสดาว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องสะสมบารมีถึง สึ่หมื่นอสงไขย กับแสนมหากัป พระมหากัจจายนะร้องโอ้โฮ นี่ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญมาถึงขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ซึ่งความจริงบารมีของพระมหากัจจยนะเต็มเปี่ยมแล้ว ฝ่าเท้าท่านมีกงจักรเต็มไปหมด มีรูปกายสวยงามเหมือนกับพระพุทธเจ้า และ มีลักษณะอาการคล้ายพระพุทธเจ้า จนทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ยามท่านเดินไปไหน คนจะคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมีรัศมีเหมือนกัน

    สุดท้ายท่านเห็นว่า การจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ต้องรออีกไกล ถ้าสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ เราเป็นสาวกภูมิก็ทำได้ไม่ยาก แล้วก็สามารถสำเร็จได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วย ก็เลยทำการกราบลาพระโพธิญาณ ลาพุทธภูมิ แล้วอธิษฐานตัวเองให้มีร่างกายอ้วนเตี้ย เพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สำเร็จเป็นองค์อรหันตเจ้า เปลี่ยนเป็นสาวกภูมิในชาตินั้น

    ในการบบำเพ็ญเพียรเพื่อ พุทธภูมิ นั้น จะต้องมีการตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาให้สัจจะอธิษฐานเฉพาะองค์สมเด็จพระศาสดา ตั้งจิตปรารถนาเปล่งวาจาทุกครั้งที่มีการทำบุญ ทำความดี

    การจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นแล้วยิ่งใหญ่ เป็นแล้วมีอำนาจบริสุทธิ์ สามารถนำสัตว์ทั้งหลายในโลกให้พ้นทุกข๋ได้

    เพราะการเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับ การสร้างเรือขนาดใหญ่สำหรับขนสัตว์ทั้งหลาย ให้พ้นจากโอฆะสงสาร ข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง เรือลำนี้จึงต้องใช้เวลาสร้างอย่างพิถีพิถันประณีต เพื่อไม่ให้ล่มไม่ให้รั่วกลางทาง จะได้ไม่เป็นเหยื่ออาหารของสัตว์ทะเลในขณะที่ขับเรือ หรือ นำเรือล่อง เพื่อขนสัตว์ไปถีงฝั่งอมฤตนิพพาน การสร้างเรือจึงต้องใช้เวลานาน ต้องใช้ปัญญา ใช้อุปกรณ์ ใช้สิ่งของต่างๆ มากมายมหาศาล การปฏิบัติจึงต้องใช้ความเพียรอย่างสูง

    ส่วนการเป็นสาวกภูมิ อย่างน้อยๆ ต้องมีศีลบริสุทธิ์ ในการปฏิบัติครั้งใด ทำความดีครั้งใด ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญ ให้ทาน บริจาคสิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ ทรัพย์สมบัติ หรือ การทำศีลให้มีในตัว จงทำความรู้สึกแห่งอารมณ์ใจว่า เราปรารถนาเพื่อเป็นสาวกของพระศาสดา จะปฏิบัติตามคุณธรรมที่องค์สมเด็จพระศาสดาท่านสอนไว้ทุกอย่างทุกประการ ครบถ้วน ความสำเร็จจะเริ่มเกิดขี้นตั้งแต่ปรารถนาสาวกภูมิไป จนกระทั่งความดีเต็มเปี่ยมแล้ว เพราะการตั้งจิตเพื่อจะ หวังดี เป็นความสมบูรณ์และถูกต้อง เปรียบเหมือนน้ำหยดลงตุ่ม การตั้งจิตบ่อยๆ นั้น ก็คือ การหยดน้ำลงตุ่มบ่อยๆ หยดเรื่อยๆ หยดนานๆ และหยดทุกครั้ง สุดท้ายก็เต็มตุ่ม เราก็สามารถใช้น้ำในตุ่ม ทำประโยชน์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญ ก็เช่นกัน

    การตั้งความปรารถนา เป็นแรงดลบันดาล เป็นผลส่งให้กระแสของจิตมีกำลังมีอำนาจ และมีความสามารถที่จะทำให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลได้ เป็นเสมือนตราที่สักหรือตีไว้ให้รู้ว่า คนๆ นี้แหละ คือ ผู้ปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาพุทธภูมิ หรือ สาวกภูมิ

    หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะมีอาการโดดเด่นเป็นสง่า มีความเป็นอยู่อย่างอิสระ ต่างจากคนเหล่าอื่นๆ และในบรรดาภูมิต่างๆ ภูมิที่มีอาการมีเกียรติยศ ภูมิที่เป็นใหญ่มีความประเสริฐสุด มีความโดดเด่นเป็นสง่าราศีมากที่สุด ก็คือ ภูมิแห่งพระโพธิสัตว์



    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 กรกฎาคม 2546 18:42 น.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BUDDHA.jpg
      BUDDHA.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.4 KB
      เปิดดู:
      885
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2010
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    . ผู้ที่ปารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
    ผู้ที่ปารถนา เป็นพระอสิติ เป็นพระมหาสาวก เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็น

    พระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
    - ผู้ที่ปารถนาไว้ แต่ยังไม่แน่นอนคือยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ไดองค์หนึ่งมาก่อน

    ท่านเหล่านี้ถ้าได้พบกับพระพุทธศาสนา และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนถึงสังขรุเบกขาญาณ ถ้าเลิกล้มความปารถนา
    และไม่มีอกุศลกรรมหนักอื่นมาขวางขั้น ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในชาตินั้น
    - ผู้ที่ปารถนาไว้แล้ว และได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อน

    ท่านเหล่านี้เมื่อยังมีบารมีไม่แก่กล้าครบถ้วนสมบูรณ์ แม้จะได้พบกับพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา
    และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมอย่างมีความเพียรภาวนาเพียงใด ก็ไม่สามารถถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน

    เมื่อบารมีและระยะเวลายังไม่สมบูรณ์ ถึงแม้ท่านจะมีความเบื่อหน่ายในวัฎจักร์สังขารเพียงใด
    แม้จะเอาชีวิตเข้าแรกในการปฏิบัติอย่างไร ก็ไม่สามารถถึงมรรคผลนิพพานได้
    แต่จะต้องมีเหตุการณ์หรือมหากุศลที่ฝังอยู่ไต้สุดภายไต้จิดสัานึก กระตุ้นเตือนออกมาเป็นระยะ

    ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะลืมหรือทำเป็นไม่สนใจ หรือปารถนาจะละกิเลสอันเป็นทุกข์อย่างที่สุด
    ก็ไม่สามารถบรรลุได้แต่กลายเป็นการสร้างบารมีให้เพิ่มขึ้น และมหากุศลที่ฝังอยู่ไต้จิตสำนึกของท่านเหล่านั้น

    ก็คอยกระทุ่นเตือนเป็นระยะตามช่วงบารมี ที่ปฏิบัติสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐาน จนต้องอธิฐานสร้างบารมีต่อ
    แต่ตามวิสัยของผู้ได้รับพยากรณ์แล้วเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ไม่ว่าจะไปอธิฐานแล้วหรือมีผู้อื่นยืนยัน

    ทั้งที่เป็นคนหรือเทวดามายืนยันแล้วว่าได้รับพยากรณ์มาแล้ว แต่ไม่ได้รับทราบจากโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง
    ท่านผู้มีปัญญาเหล่านั้นก็จะไม่ละจากการปฏิบัติวิปัสสนา ยังทำการพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา
     
  3. linake119

    linake119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +578
    อนุโมทนาครับ และขอยืนยันตามที่คุณศรีอารยะ (Sriaraya) กล่าวไว้
    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...