การปฏิบัติทางอริยมรรค ต้องมีการถึงจุดจบ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 13 สิงหาคม 2021.

  1. ฟ้ากับเหว

    ฟ้ากับเหว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2020
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +372
    แมวเน่า แก้ให้นิดนึงนะ แก้ใหม่คำข้างบน
    พระศาสดาสมณโคดมผู้สัพพัญญูในอริยะสัจธรรมนั้น เสาะแสวงหาแนวทางเพื่อเวไนยสัตว์อันมีมาก อาทิ แมวเน่าไม่เข้าเรื่องเป็นต้น ให้ปฏิบัติประพฤติตาม ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหาหรือตั้งทฤษฎีอะไรใหม่ ใบไม้ที่พระศาสดารู้ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องรู้ ถ้ารู้อยากเห็นเหมือนพระศาสดาต้องยอมทำใจเอาไว้ด้วยว่า จะไม่ใช่พระเอกเสมอไป ในอดีตพระศาสดาเคยผ่านมาหมด แมวเน่าคิดจะเป็นแบบไหน ค้นหาทุกใบหรือเลือกใบที่พระศาสดาอยากให้รู้ แมวเน่าว่า อันไหน
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ผู้ใดได้พบใจจริงสักครั้ง
    ก็จะพบว่า
    ใจที่ไม่ปรุงแต่งในท่ามกลางความ
    ปรุงแต่งของจิตสังขารนั้น คือความ
    สงบที่มีอยู่จริง
    และความปรุงแต่งของจิต
    สังขาร
    ย่อมปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
    ทุกรูปขันธ์นามขันธ์
     
  3. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    หัวใจของการปฏิบัติ

    "อย่าดูถูกการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    ตัวนี้เป็นหัวใจของการปฏิบัติ
    การทำในรูปแบบ
    เหมือนการฝึกซ้อม เหมือนซ้อมมวย
    ซ้อมมวยให้เก่งยังไงก็ไม่เป็นแชมป์โลก
    ต้องชกมวย มันถึงจะเป็นแชมป์โลก
    เพราะฉะนั้นอย่างเราทำในรูปแบบ
    คือการฝึกซ้อมจิตใจให้คล่องแคล่ว
    ให้สติให้สมาธิมันชำนาญ
    สภาวะอะไรเกิดขึ้น สติคอยรู้
    ในขณะที่รู้ จิตก็ตั้งมั่นเป็นคนดู
    แล้วความเข้าใจ คือตัวปัญญาจะเกิด

    เพราะฉะนั้นเวลาเราทำในรูปแบบเป็นการซ้อม
    เหมือนซ้อมมวย ซ้อมเก่งแค่ไหน
    ก็ไม่มีทางเป็นแชมป์หรอก
    มันต้องชกจริงก็คือ มาอยู่ในชีวิตจริงนี้แหละ"

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    วัดสวนสันติธรรม
    4 มกราคม 2563
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ไม่ว่าในรูปแบบ หรือ นอกรูปแบบ มันก็คือ ชกจริงหมดนั่นแหล่ะ แฟนต้า

    ในสมัยพุทธกาล พระที่ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าเสร็จ พระพุทธเจ้าท่านก็จะบอกว่า

    นั่นป่าช้า นั่นเรือนร้าง นั่นโคนไม้
    ไม่นานก็บรรลุธรรม


    พอมาหลังๆ

    สมัยเรา

    คนอยู่บ้านอยู่กรุง ที่ภาวนาไม่เป็น ก้จะไปตำหนิ คนเข้าป่าธุดงค์ ว่า ไปทำไม ธรรมอยู่ที่ตัว

    คนที่ชอบไปป่าไปธุดงค์ ที่ภาวนาไม่เป้น ก็จะไปตำหนิ คนที่อยู่บ้านอยู่กรุง ว่าเต็มไปด้วยกิเลสจะไปภาวนาได้ยังไง

    แต่ถ้าคนที่ภาวนาเป็น ไม่ว่าจะเข้าป่าธุดงค์ หรืออยู่บ้านอยู่กรุง ก็ภาวนาได้
    ตามความสมควร ที่เหมาะกับตนเอง


    ฉะนั้น จะภาวนาในรูปแบบหรือนอกรูปแบบ มันคือรบจริงทั้งนั้น

    อายตนะการกระทบ มีอยู่ไม่ว่างเว้นไม่ขาดสาย
    ไม่ว่าจะอยู่กับคนอื่นเป็นกลุ่ม หรืออยู่วิเวกคนเดียว

    การเกิดตับ ของกายใจ สัญลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    มันแสดงให้เห็นอยู่ทุกวินาที ทุกลมหายใจ
     
  5. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คนที่มี สติ หรือ มีสัมมาสติประกอบ นั่นแหล่ะ
    จึงจะรู้จัก ความสงบในความวุ่นวายสักครั้งนึง

    เรียกว่า เจอผัสสะบริสุทธิ์ เจอสังขารที่เป็นวิสังขาร

    นี่เขาเรียกว่า ต้นทางของการภาวนาที่ทำให้ปัญญาเดิน ก้าวแรกคือตรงนี้

    เทียบลงกับพระสูตรได้เป๊ะ ไม่มีขัดแย้ง
    ที่ว่า
    ผู้ใดเห็นธรรมปัจจุบัน พึงเจริญธรรมนั้นให้แจ้ง


    ........


    แต่ถ้า ความหมายลุง เห็นใจสักครั้ง ไอ้ใจตัวนั้นของลุง มันไม่เกิดไม่ดับ

    คือเห้นแค่ครั้งเดียว จบแล้วจบเลย นิพพานปรากฎ
    ใจกลายเป็นเพียงไวพจน์ของนิพพาน
    เป็นธรรมธาตุ แล้วแต่จะเอ่ยในมุมไหน


    แต่!!!.
    หากความหมายลุงแมว เห็นใจสักครั้ง
    แล้วยังบอกว่า เป็นใจที่ไม่เกิดไม่ดับเป็นนิพพาน
    แล้ว ยังต้องให้มาเห็นอีก
    อันนี้ คือ หลงทาง คิดเอาเองว่าเห็น มโนไปเองไม่ได้สัมผัสจริง
     
  6. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ในมุมมองแนน การฝึกในรูปแบบก็จำเป็นมากค่ะ เพียงแต่ระหว่างฝึกมันจะปิดการรับรู้ไปบางส่วน อาจจะทำให้เห็นสภาวะจริงได้ไม่ครบรอบด้านเท่าตอนใช้ชีวิตประจำวัน แต่พอฝึกเจริญสติในรูปแบบแม่นๆ สติมันจะกริ๊กเร็วขึ้น พอมาอยู่สถานการณ์จริงขยับตัวนิดเดียวก็รู้มันไวขึ้นจริงๆ

    ฝึกในรูปแบบเหมือนเราลับมีดพร้อมใช้งานแล้ว พร้อมฟาดฟัน
     
  7. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ตายังลืมไม่เต็มไงเลยมองเห็นไม่ครบ

    อายตนะ มีอยู่ ตลอด

    ตาที่เห็นผ่านลูกกะตา มันเป็นของหยาบ
    เรียกว่า วิญญาญทางตาอาศัยลูกกะตาของร่างกายเป็นตัวผ่าน
    อาศัยร่างกาย เป็นตัวผ่าน ให้ได้รับอายตนะของหยาบๆ

    แต่ตาที่เห็นผ่านวิญญาณทางตาเมื่อเปิดได้สมบูรณ์
    จะไม่อิงอาศัยลูกกะตาหรือเครื่องมือ ของกายหยาบ เช่นลูกกะตา ใบหู รูจมูก ลิ้น
    ผิวสัมผัมผัส พวกนี้

    แต่จะลึก ของความละเอียด ในการสัมผัส ที่เป็นอายตนะ

    ฉะนั้น แม้อยู่ คนเดียว อายตนะก็มีอยู่ครบ อายตนะไม่ได้ถูกปิดแม้แต่อย่างเดียว


    แต่หากจะยก กรณีของพระโปฐิละ

    กรณี ปิดอายตนะทั้ง5 เหลือ อายตนะเดียว

    นั่นคือ ข่มด้วยกำลังสมถะ แล้วพุ่งเป้า ที่อายตนะเดียวคือ ใจกับธรรมมารมณ์
    นี่ก็ยังเรียกว่า รบจริง

    รบแม้ในอายคนะเดียว ไม่นาน ก็บรรลุธรรม รบในรูปแบบ บรรลุในรูปแบบ
     
  8. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ตอนฝึกในรูปแบบ แนนรู้สึกว่ามันสงบ แต่รับรู้สภาวะที่เกิดขึ้นอยู่นะคะ เพียงแต่มันเห็นไม่หลากหลาย ไม่วิจิตร เท่าตอนที่อยู่ในโหมดชีวิตประจำวันอาจจะเพราะมันเป็นจังหว่ะที่พ้นเจตนาจะในการฝึกด้วยมั้ง

    แนนเลยมักเห็นอะไรตอนอยู่สภาวะปกติมากกว่าในรูปแบบ

    เห็นไม่ใช่ตาเห็นนะคะ แต่มันเป็นการรับรู้ ความรู้สึก
     
  9. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    อุปนิสัย สัปปายะ ของคน ไม่เหมือนกัน

    อินทรีภาวนาไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องเฉพาะตน

    ฉะนั้น ไม่ว่าจะฝึกในรูปแบบ หรือ นอกรูปแบบ
    มันจะสนับสนุนส่งเสริม กันทั้งนั้น ไม่แยก ว่า นี่ รบจริง นี่ซ้อม

    สมกับคำที่ว่า ธรรมะเป็นอกาลิโก
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    อย่าหลงสงสัยในความเป็นพุทธะในตน
    ว่ามีจริงหยอ เพราะทุกรูปนาม
    (ตัวตน)มีความ
    เป็นพุทธะ
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ลุงแมวพูดก้ถูกส่วนนึง

    แต่อย่าลืมว่า หมาแมว สัตว์นรก ก็มีรูปนาม เป็นสังขารที่มีใจครอง

    อย่าลืมว่า สังขารที่มีใจครองประเภทใด ที่สามารถฝึกอบรมให้ความเป็นพุทธะปรากฎได้

    พระพุทธเจ้าก็สอนชัดเจน

    แม้จะฝึกในรูปแบบหรือนอกรูปแบบ
    การเห็นแจ้งของความเป็นพุทธะก็จะเห็นเหมือนกัน
    เห็นด้วยความรู้สึก บางทีก็เรียกเห็นด้วยปัญญาจักษุ หรือ ตาปัญญา
     
  12. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    piccola รับรู้ทาง มโน ครับ ซึ่งก็เป็น อายาตนะ อย่างหนึ่ง
    แต่ต้องมีกำลังสมาธิพอควร ถึงจะรับรู้ได้ว่าเห็น


    ท่านมาทาง วิชชา 3 ครับ ต่อไปจะเห็นสีของ เจตสิก ตอนเกิด ราคะ โทสะ โมหะ หรือ อื่นๆได้ครับ
    ลองเพิ่ม อาโลกสิณ สักวันละ 5 นาที
     
  13. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    แนวกสิณเป็นความรู้ที่แนนไม่มีเลยค่ะ น่าจะต้องเริ่มนับ 1 กันเลยทีเดียว อาโลกสิณ น่าจะหมายถึง กสิณแสง รึเปล่า
     
  14. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คันนิ้ว..

    เจตสิกมีสี

    ธรรม 3ประการที่ควรเจริญที่เป็นไปแก่การสำรอกกิเลส

    มี
    สุญตสมาธิ
    อนิมิตตสมาธิ
    อัปปณิหิตสมาธิ

    สมาธิสามอย่างนี้ จะทำให้แยกรูปนามเป็นปริเฉทได้ พ้นสมมุติบัญญัติ
    รับรู้ด้วยความรู้สึก หรือปัญญาจักษุ

    แต่ถ้า เจตสิกมีสี นี่ยังไม่เข้าข่ายสมาธิสามประเภทนี้เลย
    ยังอยู่ในสมาธิโลกียะล้วนๆ ยังไม่ข้ามนิมิต
     
  15. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ขอถามเป็นความรู้ ศัพท์สมาธิสามอย่างนี้ คืออะไรคะ ต่างกันยังไงบ้าง
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เป็นชื่อเรียก ประเภทสมาธิ ที่จัดเข้าในส่วนวิปัสนาล้วนๆ
    จะเรียกว่า เป็นไปเพื่อ พ้นทุกข์ พ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง

    คือ
    ถ้าจิตตัดสินผล ด้วยอนัตตา จะ เรียกว่า สุญตสมาธิ

    ถ้าจิตตัดสินผล ด้วยอนิจจัง จะ เรียกว่า อนิมิตตสมาธิ

    ถ้าจิตตัดสินผล ด้วยทุกขัง จะ เรียกว่า อัปปณิหิตสมาธิ

    สามประเภทนี้ เป็นผลงาน ที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน
    หรือจะเรียกว่า เหตุ ที่ทำให้เกิด สมาธิชนิดนี้ ก็คือ การเจริญสติปัฏฐานนั่นแหล่ะ

    หรือ ตราบใดที่มีการสร้างเหตุ ด้วยการเอากายเคลื่อน จิตไหว ของตนเอง
    มาเป็นเครื่องมือฝึก

    ธรรม 3 ประการ หรือ สมาธิ 3 ประเภทนี้
    จะปรากฎ อย่างใดอย่างนึง ในการบรรลุ
    ไม่ใช่ ว่าเกิดพร้อมกันทั้งสามประเภท

    เมื่อ ฝึกเจริญสติปัฏฐาน โดยมีกายใจตนเองเป็นเครื่องมือ
    ก้ได้ชื่อว่า
    กำลังประกอบ สมาธิทั้งสามอย่างนี้

    บางทีก็จะเรียกภาษาบ้านๆว่า สมาธิพุทธ

    บางทีก็จะบอกว่า สมาธิพุทธเป็นสุญตา นั่นคือ สมาธิที่ว่างจากกิเลส

    ไม่ใช่ว่า ว่างแบบไปตั้งใจทำให้ว่าง แล้วก็บอกว่า นี่ว่างๆ ว่างๆ นี่เป็นสุญญตา
    เป็นอวกาส เป็นเนื้ออวกาสอะไรนั่น
    ถ้าไปเห็นความหมายหรือข้อความแบบนี้ คือ เข้าใจผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2021
  17. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    คำว่าบรรลุธรรม คือสามารถเกิดปัญญา
    ในการสิ้นยึดตัวตนได้ในปัจจุบันขณะ
    โดยการรู้แจ้งอริยสัจจ์ตาม โดยปัญญา
    ของพระพุทธเจ้า
    ซึ่งมีอยู่ในทุกตัวตน
    ซึ่งการบรรลุหรือรู้แจ้งว่าตัวตนไม่ได้
    มีอยู่จริงนี้
    ความเป็นพุทธะในทุกนิกายย่อมต้อง
    บรรลุได้ฉับพลัน หรือในปัจจุบันขณะจิต
    ใดขณะจิตเดียว
    นั่นคือขณะจิตที่หมดความหลง
    ในการยึดมั่นถือมั่น
    ในตัวตน(กายกับจิตที่ไม่มีอยู่จริง)ไม่ว่า
    เซนหรือไม่เซน
    คับ
     
  18. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    อ๋อ สมาธิทั้ง 3 คือ สัมมาสมาธิ นี่เอง แตกต่างกันที่มุมมองการเห็นลักษณะ

    งั้นสุญตวิหารธรรม นั่นก็คือ การกำหนดรู้ ลักษณะ เห็นความที่ไม่มีตัวตน เป็น อนัตตา จนกว่าจะไปถึง ความว่างที่เป็นสมาธิพุทธ
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ถ้าเชื่อคำสอนว่าตัวตน
    (กายและจิต)เป็นอนัตตา
    เป็นสิ่งเกิดดับ ไม่มีอยู่จริง
    ดังนั้น อวิชชา ตัณหา
    อุปปาทาน ย่อมไม่มีอยู่จริง
    ด้วย
    แต่เพราะเข้าใจผิดว่าตัวตนมีอยู่จริง อวิชชา ตัณหาอุปปาทาน
    เลยมีตามมาเป็นพรวน คับ
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ศัพย์พวกนี้มันเป็นผลงานเฉยๆ

    แต่ในวิธีฝึก ก้คือ อยู่ใน สติปัฏฐานหมด

    บางทีอาจจะเห็น นักตำรา ท่านมหาฯต่างๆ เอามาพูดเท่ห์ๆ แต่ไม่เคย สัมผัส
    คำว่าสุญตา
    หรือไม่เคย สัมผัส ความว่างจากกิเลส มีเยอะแยะมากมาย

    นักอภิธรรมเอย ที่ไม่เคยสัมผัส เยอะแยะ แต่ท่องจำชื่อศัพย์ได้

    ยกตัวอย่าง วิญญาณทางตา ถ้าท่องจำแต่ตำรา

    ก้จะหมายเอา ลูกกะตาเป็นวิญญานทางตา
    ซึ่งมันก้ถูก แต่มันถูกในส่วนที่เป็นของหยาบ

    ของหยาบมีอะไร
    ตัวอย่างง่ายๆ ก็รูปกาย อวัยวะของอาการ32

    ซึ่ง ของหยาบพวกนี้ก็ เป็นสัญลักษณ์ของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน

    สำหรับพวกอินทรีภาวนา ที่เหมาะกับของหยาบ
    ก้อาศัยของหยาบพวกนี้ ทำให้บรรลุธรรมได้เช่นกัน

    ทีนี้ สำหรับพวกอินทรีภาวนาที่ละเอียดไปกว่านั้นอีก

    มันไม่หยุดแค่ลูกกะตาที่เป็น วิญญาณทางตา

    เพราะ เมื่อ เคยสัมผัส กายแยกเป็นสอง กายนึงคือร่างกายเหมือนนอนตายอยู่
    กายนึงคือวิญญาณ รูปร่างหน้าตาจะเหมือนกัน ต่างแต่ความละเอียด

    ภาษาบ้านๆก้คือ วิญญาณออกจากร่างกาย กลายเป็นอีกกายนึงที่ มีความละเอียดกว่า

    การมองเห็น ก้เห้นผ่านดวงตาของกายละเอียด หูจมูก กายสัมผัสก็มีครบเหมือนกายหยาบ
    มีความนึกคิด พิจารณา ได้ครบ เพียงแต่เป็นกายละเอียด นี่หากภาวนาได้สัมผัสจุดนี้ จึงจะเห้นความต่าง
    ทำให้เข้าใจเรื่อง ขันธ์ 5 มากยิ่งขึ้น
    ว่าแม้ไม่มีกายหยายหรือร่างกายที่นอนตายอยู่
    วิญญาณ ที่ออกไป มันมีขันธ์5 อยู่ครบ ถ้าไปเข้าใจว่า กายหยาบคือขันธ์ ที่เป็นรูปขันธ์
    มันก้เข้าใจถูก แต่ มันเป็นแค่รูปหยาบ รูปขันธ์ของจริง มันไปรวมกันที่รูปละเอียด
    ส่วนนี้ก้เป็นพวกอินทรีภาวนาอีกอย่างนึง

    เหตุนี้ อายตนะ การกระทบ มันจึงมีอยู่ไม่ว่างเว้น ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่เป็นกลุ่ม


    มีแต่ใน สติปัฏฐาน ที่สอน การกำหนดรู้ ของที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นก้คือ
    กายใจเราเองนั่นแหล่ะ

    ในเมื่อ กำหนดรู้ กายใจของเรา ก้ได้ขึ้นชื่อว่า
    กำหนดรู้ลักษณะ ของที่มันเป็น อนิจจังทุกขังอนัตตา นั้นแล

    ส่วนผลงาน ที่จิตมันจะตัดสิน ก้อยู่ที่ว่า
    ตัดสิน ข้อใดข้อนึง ก้เลยกลายเป็น สมาธิทั้ง3อย่าง
    ที่ถามมาในเบื้องต้นนั่นละ

    เมื่อผลมันเกิด ความเป็น วิชชา3 เตวิชโช ฉฬภิญโย สุขวิปัสโก ปฏิสัมภิทา
    จะมาเมื่อเป็นที่ผลสำเร็จแล้ว

    ไม่สามารถ รู้ได้ ว่า
    คนนี้จะเป็น วิชชา3นะ
    คนนี้จะเป็น เตวิชโชนะ
    ฉฬภิญโยนะ
    หรือ
    ปฏิสัมภิทานะ
    ไม่สามารถรู้ได้ มีแต่พระพุทธเจ้า ที่จะบอกได้
    กับคนที่บรรลุแล้วรู้ได้เฉพาะตน

    หากเราไปพยากรณ์ คนนั้นคนนี้ ก้เท่ากับว่า พูดจาโกหกไปเรื่อย

    ข้อสังเกตุพวกนี้ ดูได้ง่าย จากตัวอย่าง กรณีพระจูฬปันถก

    พี่ชายเป็นถึง พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทา ยังไม่สามารถสอนน้องชายได้
    ยังพยากรณ์น้องชายไม่ได้ แต่สุดท้ายพอน้องชายบรรลุ ก้ได้เป็นปฏิสัมภิทาอภิญญา6
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...