การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย paang, 7 ธันวาคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <O:p[​IMG]
    </O:p


    <O:p
    การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
    <O:p</O:p
    <O:p
    การทำทาน
    <O:p</O:p
    ทาน คือ เครื่องแสดงน้ำใจของมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ด้วยการให้ การเสียสละแบ่งปันมากน้อยตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หือวิทยาทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด นอกจากกุศล คือความดีที่ได้จากทานนั้น เป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าของานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น อภัยทานควรให้แก่กัน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน

    <O:p
    คนมีทานย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชน เป็นที่เคารพรักในหมู่ชน จะตกอยู่ทิศใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลน จะมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์ ผู้มีทานประดับตนย่อมไม่เป็นคนล้าสมัย บุคคลทุกชนชั้นไม่รังเกียจ ผู้มีทานย่อมเป็นผู้อบอุ่น หนุนโลกให้ชุ่มเย็น การเสียสละจึงเป็นเครื่องค้ำจุนหนุนโลก การสงเคราะห์กัน ทำให้โลกมีความหมายตลอดไป ไม่เป็นโลกที่ไร้ชาติขาดกระเจิง เหลือแต่ซากแผ่นดินไม่แห้งแล้ง แข่งกับทุกข์ตลอดไป

    <O:p
    การรักษาศีล<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศีล คือ รั้วกั้นความเบียดเบียน และทำลายสมบัติ ร่างกายและจิตใจของกันและกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศีล คือพืชแห่งความดีอันยอดเยี่ยม ที่ควรมีประจำชาติมนุษย์ ไม่ปล่อยให้สูญหายไป เพราะมนุษย์ไม่มีศีลเป็นรั้วกั้น เป็นเครื่องประดับตัว จะไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน
    <O:p</O:p
    แม้โลกเจริญด้วยวัตถุจนกองสูงกว่าพระอาทิตย์ แต่ความรุ่มร้อนแผดเผาจะทวีคูณยิ่งกว่าพระอาทิตย์ ถ้ามัวคิดว่าวัตถุมีความมากกว่าศีลธรรม
    <O:p</O:p
    ศีลธรรมเป็นเพียงสมบัติของมนุษย์ พุทธเจ้าผู้ค้นพบและนำมาประดับโลกที่กำลังมืดมิด ให้สว่างไสวร่มเย็นด้วยอำนาจศีลธรรมเป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของมนุษย์ผู้มีกิเลส ผลิตอะไรออกมาทำให้โลกร้อนจะบรรลัยอยู่แล้ว ยิ่งปล่อยให้ความคิดตามอำนาจโดยไม่มีศีลธรรมช่วยเป็นยาชโลมไว้บ้าง จะผลิตยักษ์ใหญ่ทรงพิษขึ้นมากว้านมนุษย์จนไม่มีอะไรเหลืออยู่บ้างเลย
    <O:p</O:p
    ความคิดของคนสิ้นกิเลสที่ทรงคุณอย่างสูง คือพระพุทธเจ้า มีผลให้ โลกได้รับความร่มเย็น ซาบซึ้ง กับความคิดที่เป็นกิเลส มีผลให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนจนคาดไม่ถึง ผิดกันอยู่มาก ควรหาทางแก้ไข ผ่อนหนักให้เบาลง ก่อนจะหมดทางแก้ไข ศีลจึงเป็นเหมือนยาปราบโรค ทั้งโรคระบาด และเรื้อรัง

    <O:p
    บทความที่เกี่ยวข้อง .....อานิสงค์ของการรักษาศีล<O:p</O:p
    <O:p
    การเจริญภาวนา<O:p</O:p
    <O:p
    ภาวนา คือ การอบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผลของอรรถธรรม รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและสิ่งทั้งหลาย ยึดการภาวนาเป็นรั้วกั้นความคิดฟุ้งซ่านของใจให้อยู่ในเหตุผลอันจะเป็นทางแห่งความสงบสุข ใจที่ยังมิได้รับการอบรมจากภาวนา จึงเปรียบเหมือนสัตว์ที่ยังมิได้รับการฝึกหัด ยังมิได้รับประโยชน์จากมันเท่าที่ควร จำต้องมีการฝึกหัดให้ทำประโยชน์จึงจะได้รับประโยชน์ตามควร
    <O:p
    ใจจึงควรได้รับการอบรมให้รู้เรื่องของตัว จะเป็นผู้ควรแก่การงานทั้งหลาย ทั้งส่วนเล็กส่วนใหญ่ภายนอกภายใน ผู้มีภาวนาเป็นหลักใจ จะทำอะไร ชอบใช้ความคิดอ่านเสมอ ไม่เลี่ยงและไม่เกิดความเสียหายแก่ตนและผู้ที่เกี่ยวข้อง การภาวนาจึงเป็นงานเพื่อผลในปัจจุบันและอนาคต การงานทุกชนิดที่ทำด้วยใจของผู้มีภาวนา จะสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อย ทำด้วยความใคร่ครวญ เล็งถึงประโยชน์ที่จะได้รับเป็นผู้มีหลักมีเหตุผล ถือหลักความถูกต้องเป็นเข็มทิศทางเดินของกาย วาจา ใจ ไม่เปิดช่องว่างให้ความอยากอันไม่มีขอบเขตเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะความอยากดั้งเดิมเป็นไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ซึ่งไม่เคยสนใจต่อความผิดถูก ดี ชั่ว พาเราเสียไปจนนับไม่ถ้วน ประมาณไม่ถูก จะเอาโทษมันก็ไม่ได้ ยอมให้เสียไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าไม่มีสติระลึกบ้างเลยแล้ว ของเก่าก็เสียไป ของใหม่ก็พลอยจมไปด้วย ไม่มีวันฟื้นคืนตัวได้ ฉะนั้น การภาวนาจึงเป็นเครื่องหักล้างความไม่มีเหตุผลของตนได้ดี วิธีภาวนานั้น ลำบากอยู่บ้าง เพราะเป็นวิธีบังคับจิตใจ
    <O:p
    วิธีภาวนาก็คือ วิธีสังเกตตัวเอง สังเกตจิตทีมีนิสัยหลุกหลิก ไม่อยู่เป็นปกติสุข ด้วยมีสติตามความรู้สึกความเคลื่อนไหวของจิต โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่งเป็นคำบริกรรม เพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวได้ด้วยความสงบสุขในขณะภาวนา ที่ไห้ผลดีก็มี อานาปานสติ คือ กำหนดจิตตามลมหายใจเข้าออกด้วยคำภาวนา พุทโธ พยายามบังคับจิตใจให้อยู่กับอารมณ์แห่งธรรมบทที่นำมาบริกรรม ขณะภาวนาพยายามทำอย่างนี้เสมอ ด้วยความไม่ลดละความเพียร จิตที่เคยทำบาปทาบทุกข์อยู่เสมอ จะค่อยรู้สึกตัว และปล่อยวางไปเป็นลำดับ มีความสนใจหนักแน่นในหน้าที่ของตนเป็นประจำ จิตที่สงบตัวลงเป็นสมาธิ เป็นจิตที่มีความสุขเย็นใจมากและจำไม่ลืม ปลุกใจให้ตื่นตัวและตื่นใจได้อย่างน่าประหลาด
    <O:p
    เมื่อพูดถึงการภาวนา บางท่านรู้สึกเหงาหงอยน้อยใจว่า ตนมีวาสนาน้อย ทำไม่ไหว เพราะกิจการยุ่งยากทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน ตลอดงานสังคมต่างๆ ที่ต้องเป็นธุระ จะมานั่งหลับตาภาวนาอยู่ เห็นจะไม่ทันอยู่ทันกินกับโลกเขา ทำให้ไม่อยากทำประโยชน์ที่ควรได้จึงเลยผ่านไป ควรพยายามแก้ไขเสียบัดนี้ แท้จริงการภาวนา คือ วิธีแก้ความยุ่งยากลำบากใจทุกประเภทที่เป็นภาระหนัก ให้เบาและหมดสิ้นไป ได้อุบายมาแก้ไขไล่ทุกข์ออกจากตัว การอบรมใจด้วยการภาวนาก็เป็นวิธีแห่งการรักษาตัว เป็นวิธีที่เกี่ยวกับจิตใจของผู้เป็นหัวหน้างานทุกด้าน
    <O:p
    จิต จำต้องเป็นตัวรับภาระแบกหาม โดยไม่คำนึงถึงความหนักเบา ว่าชนิดใดพอยกไหวไหม จิตต้องรับภาระทันที ดี ชั่ว ผิด ถูก หนัก เบา เศร้าโศกเพียงใด บางเรื่องแทบเอาชีวิตไปด้วย ขณะนั้นจิตใจยังกล้าเอาตัวเข้าเสี่ยงแบกหามจนได้ มิหนำซ้ำยังหอบเอามาคิดเป็นการบ้านอีก จนนอนไม่หลับ รับประทานไม่ได้ก็มี คำว่าหนักเกินไป ยกไม่ไหว เกินกำลังใจจะคิด และต้านทานนั้นไม่มี งานทางกายยังมีเวลาพักผ่อนนอนหลับ และยังรู้ประมาณว่า ควรหรือไม่ควรแก่กำลังของตนเพียงใด ส่วนงานทางใจไม่มีเวลาได้พักผ่อนเอาเลย พักได้เล็กน้อยขณะหลับเท่านั้น แม้เช่นนั้น จิตยังอุตสาห์ทำงาน ด้วยการละเมอเพ้อฝันต่อไปอีก ไม่รู้จักประมาณว่าเรื่องต่าง ๆ นั้น ควรแก่กำลังของใจเพียงใด เมื่อเกิดอะไรขึ้น ทราบแต่ว่าทุกข์เหลือทน ไม่ทราบว่าทุกข์เพราะงานหนัก และเรื่องเผ็ดร้อนเหลือกำลังใจจะสู้ไหว ใจคือนักต่อสู้ ดีก็สู้ ชั่วก็สู้ สู้จนไม่รู้จักหยุดยั้งใตร่ตรอง สู้จนไม่รู้จักตาย หากปล่อยไปโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งคงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง
    <O:p
    ธรรม เป็นเครื่องปกครองสมบัติและปกครองใจ ถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ความอยากของใจจะพยายามหาทรัพย์ได้เท่ากองภูเขา ก็ยังหาความสุขไม่เจอ ไม่มีธรรมในใจ เพียงอย่างเดียว จะอยู่ในโลกใด กองสมบัติใดก็เป็นเพียงโลกเศษเดน และกองสมบัติเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่จิตใจแม้แต่นิด ความทุกข์ทรมาน ความอดทน ทนทานต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่างๆ ไม่มีอะไรจะแข็งแกร่งเท่าใจ ถ้าได้รับความช่วยเหลือถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจต่อเรื่องทั้งหลายทันที
    <O:p
    จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะ ก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต คือ นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่าคิดอะไรบ้าง ในวันและเวลาที่นั่ง ๆ มีสารประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดผิดถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขารภายนอก ว่ามีความเจริญขึ้นหรือลง สังขารร่างกายมีอะไรใหม่ หรือมีความเก่าแก่ชราทรุดลงไป พยายามเตรียมตัว เตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ
    <O:p
    ให้ท่องอยู่ในใจเสมอว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ป่าช้าอันเป็นที่เผาศพภายนอก และป้าช้าที่ฝังศพภายในคือตัวเราเอง เป็นป่าช้าร้อยแปดพันเก้าแห่งศพ ที่นำมาฝังหรือบรรจุจะอยู่ในตัวเราตลอดเวลา ทั้งศพเก่าศพใหม่ทุกวัน พิจารณาธรรมสังเวช พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ย่อมมีทางถอดถอน ความเผลอเย่อหยิ่งในวันในชีวิต และวิทยฐานะต่างๆ ออกได้ จะเห็นโทษความบกพร่องของตัว และพยายามแก้ไขได้เป็นลำดับมากกว่าจะไปเห็นโทษของคนอื่นแล้วมานินทาเขา ซึ่งเป็นความไม่ดีใส่ตน นี่คือการภาวนา คือวิธีเตือนตน สั่งสอนตน ตรวจตราดูความบกพร่องของตน ว่าควรแก้ไขจุดใด ตรงไหนบ้าง ใช้ความพิจารณาอยู่ทำนองนี้เรื่อยๆ ด้วยวิธีสมาธิภาวนาบ้าง ด้วยการรำถึงอิริยาบถต่างๆ บ้าง ใจจะสงบเย็น ไม่ลำพองผยองตัว และความทุกข์มาเผาลนตัวเอง เป็นผู้รู้ประมาณในหน้าที่การงาน ที่พอเหมาะพอดีแก่ตัว ทั้งทางกาย และทางใจ ไม่ลืมตัวมั่วสุมในสิ่งที่เป็นหายนะต่างๆ คุณสมบัติของผู้ภาวนานี้มีมากมาย ไม่อาจพรรณนาให้จบสิ้นได้เ
    <O:p
    ทาน ศีล ภาวนา ธรรมทั้ง ๓ นี้ เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์และเป็นรากเหง้าของพระศาสดาผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องเป็นผู้เคยสั่งสมธรรมเหล่านี้มา อยู่ในนิสัยของผู้ที่จะมาสวมร่างเป็นมนุษย์สมบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติอย่างแท้จริง

    <O:p
    โอวาทพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต<O:p
    ที่มา คัดลอกจากหนังสือมุตโตทัย การทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา<O:p
    หน้า 32-38 พิมพ์เผยแพร่โดย ธรรมสภา<O:p

    <O:p
    การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง การรับธรรมะและนำไปปฏิบัติย่อมชนะการรับทั้งปวงเช่นกัน<O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...