การฆ่าตัวตายนั้น ไม่ทำให้พ้นทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 21 กันยายน 2013.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    [​IMG]


    คำสารภาพของวิญญาณบาป
    เรื่องที่ ๖
    อัตวินิบาตกรรม

    นพ. อาจินต์ บุณยเกตุ
    โพสท์ในเวบธรรมจักร ลานหนังสือธรรมะ โดย TU 27-07-2547
    http://www.dhammajak.net/webboard/show.php?Category=d_book&No=305&page=3


    ผมมีความอยากรู้อยากทราบเหมือนกับหลายๆ คน ที่อยากทราบในขณะนี้ว่า ก็รู้ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การทำให้ชีวิตผู้อื่นได้รับความทุกข์ความทรมานนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้ามในศาสนาพุทธ แต่ก็ยังมีการกระทำชนิดนี้อยู่ในแวดวง อาทิ การจับปลา ฆ่าสัตว์น้ำ ทั้งน้ำเค็มน้ำจืด การฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เพื่อความสนุก ความเพลิดเพลิน หรือฆ่ามาเป็นอาหาร ทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการละเว้นศีลข้อแรกนั้น ก็เป็นคนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับผม แต่ก็อ้างว่า ไม่บาป เพราะมันเป็นอาหาร ไม่ฆ่าก็ไม่มีกิน เพราะคนเราเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชทั้งเนื้อ

    แต่พอวันพระหรือไปวัดที ก็รับศีลทุกที พอรับแล้วก็ทำการละเมิดต่อไปอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย นอกจากจะห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตใดก็ตามแล้ว ท่านยังทรงสอนให้แผ่เมตตา ให้อภัยแก่ทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย ด้วยกันนี้อีกด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้แหละจะทำให้โลกทั้งโลกเป็นสุขสว่างว่างเว้นจากการเบียดเบียนกัน

    เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นดังนี้ ผมมีโอกาส จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อในเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ได้รับคำตอบจากท่าน คือ

    บาปทั้งนั้น ไม่มีเว้น แม้แต่เพียงทำให้เขาบาดเจ็บทนทุกข์ทรมานมากน้อย หรือไม่เพียงไรก็ตาม แม้แต่การฆ่าตัวของตัวเอง ก็บาป และก็บาปมากด้วย แต่มันก็เป็นเวร เป็นวิบากของเขา ที่ต้องเกิดมาเป็นสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ชนิดใด มันเป็นอบายทั้งสิ้น คือ ตัดความเจริญ ตัดทางบุญทางกุศล

    มนุษย์เท่านั้นที่มีโอกาสทำบุญ ทำกุศล ซึ่งอาจจะทำจนถึงที่สุด คือ ไม่มีอะไรจะเป็นบุญเป็นกุศลให้ทำต่อ นั่นคือ สำเร็จอรหัตผล

    แต่สัตว์นั้นไม่มีโอกาส แม้จะฉลาดแสนรู้เพียงไร เขาก็ยังเป็นสัตว์ ที่ไม่มีโอกาสจะบำเพ็ญความดีได้ จะเป็นชาติก่อน สัตว์อาจจะประกอบกรรมอะไรไว้ วิบากจึงส่งให้มาเกิดเป็นสัตว์อีก สัตว์หาความสุขไม่ได้ เขาอาจจะเกิดเป็นช้าง ม้า วัว ควาย อูฐ ฯลฯ ให้เขาใช้งานหนักตลอดชีวิต หรือ มิฉะนั้นก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหาร สัตว์อาจจะฆ่ากันเอง กินกันเองอย่างที่เห็นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมของเขาที่ต้องให้เกิดเป็นสัตว์ เขาก็ต้องถูกฆ่าใช้กรรม

    ยกตัวอย่างปลา วันหนึ่งๆ อาจจะต้องถูกฆ่าเป็นล้านๆ ตัว หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ วัว ควาย วันละกี่ล้านตัว เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ทำให้เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์อย่างนี้ นี่อย่างหนึ่ง คือเขาเกิดมาใช้กรรม วิบากส่งมาให้เป็นอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะเขาเกิดมารับกรรม มาใช้กรรม นี่ในด้านของสัตว์ที่เกิดมาถูกฆ่า ถูกทารุณถูกใช้งานหนักต่างๆ

    ทีนี้งานของมนุษย์ที่ทำปาณาติบาต คือ เข่นฆ่า ทำลายชีวิต หรือเบียดเบียนสัตว์ที่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายด้วยกัน ยังไงๆ เขาก็ต้องตาย ไม่ต้องไปฆ่าเขา จะถือว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตใจไม่ได้ ทุกชีวิตย่อมรักและหวงแหนชีวิตของตน ไม่มีชีวิตใดที่อยากตาย การอยากตายนั้นมันมี แต่มันมีสาเหตุ มีปัจจัยการฆ่าตัวตายจึงเกิดขึ้นทั้งคนและสัตว์

    เมื่อทุกชีวิต กลัวความตาย ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย การให้เขาต้องตายตกไปนั้น จะไม่บาปได้อย่างไร อย่างนี้ต้องคิดถึงตัวเราเองว่า เรากลัวเจ็บ กลัวตายไหม

    การฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ของมนุษย์เรา เมื่อมากๆ เข้า หนักๆ เข้า วิบากก็ส่งผลให้เกิดการตายหมู่เสียทีหนึ่ง อย่างการสู้รบกัน การสงคราม มันก็ฆ่ากันเองก็จะมากขึ้นๆ จนถึงล้างโลกไปเลย

    นอกจากนั้น ธรรมชาติยังเป็นผู้ตัดสินกรรมนั้นเสียอีกด้วย อาทิ แผ่นดินไหว แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม พายุกระหน่ำ น้ำท่วม ฟ้าผ่า อุบัติเหตุตายหมู่ต่างๆ คนเราก็ตายกันทีละมากๆ อย่างภูเขาไฟระเบิด แต่ละทีผู้คนก็เดือดร้อน สูญเสียชีวิตกันมากๆ ในแต่ละครั้ง ดังนี้เป็นต้น นี่คือ วิบากที่มาตอบสนองมนุษย์ที่เข่นฆ่ากันเอง ฆ่าสัตว์ต่างๆ ไว้มาก

    เพราะฉะนั้น การช่วยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า จึงได้กุศล เหมือนกันกับหลวงพ่อที่ช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มกุฏิ ทั้งบนกุฏิและใต้ถุนกุฏิ

    หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ย่อมทำให้มีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ไม่ทำกาลกิริยาตายด้วยอาการอันทุกข์ทรมานไร้สติ

    การเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตต่างๆ ย่อมปลอดภัยในทุกที่ ไปไหนมีแต่มิตร ยิ่งมีเมตตาประกอบด้วย แม้จะไปในป่าพงดงดิบอย่างไรก็ปลอดภัย เพราะการไม่เบียดเบียนและการมีเมตตานี้ จะเป็นเกราะกำบังภยันตรายทั้งปวง”

    ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า “ก็แล้วการที่คนเราฆ่าตัวตายล่ะขอรับ ไม่ได้เบียดเบียนชีวิตใคร เขาทำของเขาเอง จะมีผลอย่างไรขอรับกระผม”

    หลวงพ่อตอบว่า “มีซิ และก็เป็นบาปมากด้วย เพราะชีวิตเขาก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน คนที่ฆ่าตัวตายนั้น มันเป็นอกุศลกรรม วิบากติดตัว ก็จะต้องฆ่าตัวตายอีกทุกชาติทุกภพ”

    ผมกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า “ก็ถ้าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ ไม่อาจจะทำมาหากินหรือช่วยตัวเองได้ ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หรือต้องทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างสุดที่จะทนทานได้ เขาเหล่านั้นจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพื่อให้พ้นการทนทุกข์ทรมานนั้น จะเป็นบาปหรือไม่ขอรับ”

    หลวงพ่อตอบว่า “นั่นเขาหนีวิบากมากกว่า วิบากกรรมยังไม่หมด ไม่สามารถทนกับวิบากได้ เขาก็ตัดสินใจหนีไป วิบากที่เหลือก็ต้องติดตามข้ามชาติข้ามภพกันต่อไป ไปใช้ผลแห่งกรรมนั้นๆ ที่ตนได้ประกอบไว้ ไม่ว่าชีวิตไหน เพราะฉะนั้น การฆ่าตัวตายหนีทุกข์ หนีกรรม จึงไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด อย่าว่าแต่อกุศลวิบาก คือผลกรรมชั่วเลย แม้แต่กุศลวิบาก คือผลแห่งกรรมดี มันก็เหมือนกัน ติดตามไปสนองผู้ประกอบกรรมดีนั้นตลอดไปเหมือนกัน ถ้าชาตินี้ยังเก็บเกี่ยวผลบุญไม่หมด บุญก็ยังตามสนองในชาติภพต่อไปอีกจนหมด ไม่ว่าจะไปเกิดในภพในภูมิใด”่

    ผมกราบเรียนถามท่านว่า “แล้วผู้ที่ทำชั่วแต่ได้ดี มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ข้าทาสบริวารมากมายล่ะขอรับ..... มันเป็นได้อย่างไร”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2013
  2. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,048
    หลวงพ่อกรุณาให้ความสว่างว่า............

    “ต้องแยก กรรมที่ทำไว้เก่า คืออดีตกรรมและกรรมที่ทำในปัจจุบัน ผลบุญที่ทำไว้ในอดีตตามมาสนองยังไม่หมด เรียกว่า บุญเก่า กับกรรมปัจจุบันที่ทำในขณะนี้ในชาตินี้

    กรรมมันไม่หักล้างกัน ทำไว้อย่างไร ก็ได้อย่างนั้น เมื่อผลแห่งกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีต ไม่ต้องชาติปางก่อนหรอก ชาตินี้ก็เถอะ ยังตอบสนองไม่หมด ผลบุญคือความสุข อันประกอบด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ติดตามมาสนอง ทำให้นึกว่า ทำชั่วได้ดี มันไม่ใช่หรอก เมื่อผลบุญจางลง ผลแห่งอกุศลธรรมก็โผล่ให้เห็น ผลมันตรงกันข้าม กับที่เคยได้รับทุกประการ ทำให้บางคนทนวิบากนี้ไม่ได้ ถึงได้คิดหนีวิบาก คิดฆ่าตัวตาย หนีควานทุกข์ ความอัปยศ แต่มันหนีไม่พ้นหรอก

    เหมือนคนโดดลงไปในน้ำ จะไม่ให้ตัวเปียกน้ำได้อย่างไร ใครโดดลงไปคนนั้นก็เรียกก็เปียกก็เปื้อน คนที่ไม่ได้กระโดดลงไป จะเปียกจะเปื้อนด้วยก็หาไม่ จะอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงมาช่วยให้หายเปื้อน หายเปียกนั้นน่ะ ไม่มีหรอก โดดลงไปเองตัวก็เปื้อนเอง จะให้ใครช่วยน่ะ ไม่มี มันเฉพาะตัวของตัว

    ก็มีมากมายหลายรายที่เคยมีสุขมีบุญวาสนา ร่ำรวย แต่ต้องมาติดคุกติดตะราง นั่นเป็นเพราะหมดผลบุญและผลบาปตามมาสนอง ทำดีมันก็ดี ทำชั่วมันก็ชั่ว สุดแต่ว่าจะช้าจะเร็วเพียงใดเท่านั้น”

    ผมได้โอกาส จึงกราบเรียนถามท่านถึงการฆ่าตัวตาย ที่ท่านเคยเอ่ยถึงทันทีว่า

    “คนที่ฆ่าตัวตายนั้น ฆ่าเพราะหนีวิบาก แล้วคนที่โดดน้ำตายเมื่อเร็วๆ นี้ โดยศพอืดขึ้นลอยมาวนเวียนอยู่หน้าบ้านผู้ตาย ที่ท้องคุ้งโน้นล่ะขอรับ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงขอรับ”

    ท่านพยักหน้าแล้วว่าจะเล่าให้ฟัง..........

    ณ ที่แห่งนั้น จิตวิญญาณสุดจะคณานับ ทั้งเกิดใหม่ทั้งดับ วนเวียนอยู่ เพื่อรอรับวิบากแห่งตน จิตวิญญาณใหม่อีกดวงหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาในกลุ่มอย่างช้าๆ.....

    “อ้าว มาแล้วหรือ อยู่ด้วยกันหยกๆ หายหน้าไปหน่อยเดียว มาอีกแล้วไปไหนมาล่ะ” จิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม

    “ก็ไม่หน่อยนะ ไปเกิดอยู่บนโลกมนุษย์มา ไปอยู่โน่นมาร่วม 30 ปี”

    “30 ปีโลกมนุษย์นี่ มันไม่กี่อึดใจของพวกเราที่นี่เลย” ดวงจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่กำลังรับวิบากแห่งกรรมเอ่ยขึ้น

    “นี่น่ะ เราต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆ อย่างนี้ มานับด้วยเดือน ด้วยปีที่นี่แล้ว เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมเสียทีก็ไม่รู้”

    “แล้วไปโลกมนุษย์น่ะ ทำอะไรไว้เหรอ” จิตวิญญาณนั้นถาม

    “ก็มันสุดที่จะทนทุกข์ทั้งกายทั้งใจได้ ฉันก็ต้องฆ่าตัวตายหนีทุกข์อีก ทีนี้วิบากก็เอาตัวมา ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับกรรมที่นี่นานเท่าไหร่อีก”

    “เรื่องมันเป็นอย่างไรล่ะ” จิตวิญญาณนั้นถามและอีกหลายๆ ดวงที่เร่เข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังคำบอกเล่า คำสารภาพของวิญญาณดวงนี้

    “ฉันหมดเวรหมดกรรมจากการทนทุกข์ทรมานที่นี่แล้ว ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่เนื่องด้วยบุญเก่ามีน้อย แม้จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่อับโชค อับวาสนา ไปเกิดเป็นลูกเมียน้อยเขา แม่น่ะอยากให้เกิดมาเป็นลูก แต่พ่อไม่อยากให้เกิด เพราะถ้าเกิดมามันก็จะยุ่งยากกับครอบครัวใหญ่ของเขา พ่อจึงเอายาฆ่าเด็กในท้องมาให้แม่ฉันกิน

    แม่ฉันไม่ยอมกินยาที่พ่อให้ ก็ถูกบังคับเคี่ยวเข็ญทุกวัน จนที่สุดแม่ก็ต้องกิน กินด้วยความขมขื่นใจ แต่เผอิญฉันฟักตัวอยู่ในท้องหลายเดือนแล้ว ยาทำอะไรได้ไม่มาก แต่มันก็รบกวนเอาอยู่ สุดท้ายเมื่อฉันเกิดมาก็ไม่สมประกอบเท่าไรนัก ความเฉลียวฉลาดก็น้อยกว่าพี่ๆ หน้าตาก็ขี้เหร่กว่า แต่แม่ฉันก็รักใคร่ทะนุถนอมดังดวงใจมาตลอด

    ฉันไม่ถึงกับพิกลพิการจนแลเห็นชัด แต่มันพิการทางสมองมากกว่า กว่าฉันจะพูดได้ก็อายุเกือบ 2 ปีเหมือนกัน แถมยังพูดไม่ชัด เหมือนคนปากแหว่งเสียด้วย

    หมอดูคนหนึ่ง ดูให้พ่อแม่ฉัน เขาบอกว่า “เด็กที่เกิดมานี้จะนำลาภมาให้”

    พอฉันเกิดมาไม่นาน ฐานะของพ่อก็ดีขึ้นๆ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น คุณหลวง เงินเดือนก็มากขึ้น หน้าที่การงานก็สูงขึ้น แถมยังได้รับมรดกเป็นที่นา ที่อำเภอบางปะหัน มากมายอีกด้วย

    แต่ทั้งนี้ตัวฉันเอง กลับถูกดูถูกเหยียดหยามตลอดเวลาจากพวกพี่ๆ และแม่บ้านใหญ่ เขาแกล้งฉันต่างๆ เวลาพ่อไม่อยู่ เขาใช้ฉันยิ่งกว่าทาสทั้งๆ ที่ฉันอายุเพียง 5 ขวบเท่านั้น ฉันต้องทำงานหนักเหลือเกิน ตรงกันข้ามกับพี่ๆ 3 คน ลูกบ้านใหญ่ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เรียนหนังสือที่วัดข้างบ้าน พอเสร็จกลับบ้านก็เล่นทั้งวัน ฉันต้องหาบน้ำ ผ่าฟืน ถูบ้าน กวาดบ้าน แล้วก็ยังโดนหาเรื่องให้ถูกเฆี่ยนตีทุกเมื่อเชื่อวัน

    เขาทารุณกับฉันที่สุด แม่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ได้แต่ร้องไห้ พ่อฉันก็ไม่รู้ พ่อฉันก็โชคดีอยู่เรื่อยๆ เงินทองไหลมาเทมาจนเป็นเศรษฐีในบางนั้น หมอดูก็มาเตือนว่า “ฉันนี่แหละเป็นตัวนำโชคมาให้”

    พ่อเริ่มสงสารฉัน แบ่งเงินไว้ก้อนหนึ่ง มันก็มากพอดู เพื่อเอาไว้ให้ฉัน เงินนี้ฝากไว้ที่แม่ แล้วก็จะโอนที่นาให้ฉันอีก 50 ไร่ เอาไว้กินค่าเช่าเลี้ยงตัว เพราะฉันความรู้น้อย ทำมาหากินไม่ได้

    ต่อมา แม่ก็ตาย แม่ตายฉันอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้นเอง

    ช่วงที่ฉันมีอายุได้สิบกว่าขวบก็แอบไปเรียนหนังสือ ที่วัดข้างบ้านที่พี่ๆ เขาเรียนกัน ท่านพระครูท่านสงสาร ท่านก็สอนให้ สอนอยู่หลายปี พออ่านออกเขียนได้ แต่ฉันก็ถูกแม่บ้านใหญ่เฆี่ยนทุกวัน หาว่าฉันไม่ทำงานหนีไปเล่น ความจริงฉันไปเรียนหนังสือที่วัดน่ะ

    ฉันก็ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้เรื่อยมา พอแม่ตาย พ่อฉันก็เอาเงินที่ฝากแม่ไว้ไปเก็บ กลัวฉันทำหาย หรือไม่ก็กลัวถูกเขาโกง พอฉันอายุได้ราวๆ 18 ปี พ่อฉันก็ตายอีก ทรัพย์สมบัติที่พ่อให้ถูกแม่บ้านใหญ่เก็บหมด ฉันไม่ได้อะไรเลย ที่ดินที่พ่อจะให้ก็ไม่ได้ กลายเป็นของพี่ๆ ลูกบ้านใหญ่หมด พี่น้องฉันไม่มี ต้องอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่ตัวคนเดียวแท้ๆ ฉันต้องทำงานบ้านหนักยิ่งกว่าลูกจ้าง โดนดุโดนด่าทุกวัน

    พอว่าง มีเวลาที่แม่บ้านใหญ่ไม่อยู่ ฉันก็แอบไปหา ไปร้องไห้กับท่านพระครูที่วัด ซึ่งท่านก็ไม่ทราบว่าจะช่วยอย่างไร ได้ปลอบโยนไปว่า “กรรมของเอ็ง”

    พอต่อมา พี่บ้านใหญ่ทั้ง 3 คน เขาเป็นหนุ่มขึ้น เขาก็เที่ยวเตร่ใช้เงินอย่างสบาย ส่วนฉันต้องกินทีหลัง กินข้าวเหลือเขา มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

    เวลาผ่านไปจนฉันอายุได้ 20 กว่าปี ทำอะไรก็เหนื่อย เดินก็เหนื่อย อยู่เฉยๆ ก็หอบ ฉันทนไม่ไหว ท่านพระครูท่านสงสาร ก็พาไปหาหมอ หมอตรวจอาการแล้วบอกว่าฉันเป็น โรคหัวใจรั่ว มาตั้งแต่เกิดไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้ ได้แต่จ่ายยามาให้พอบรรเทาอาการเหนื่อย ฉันไม่มีเงินจะให้ค่ายาค่าหมอ ก็ได้ท่านพระครูท่านเมตตา ช่วยจ่ายค่ายาให้ ให้ฉันมาต้มกินเอง เป็นยาหม้อใหญ่พอดู

    ฉันกินๆ ยาไป มันก็ดีหรอก แต่ที่ทำให้ฉันลำบากก็คือ เขาให้นอนพักนิ่งๆ ไม่ให้ทำอะไรที่มันจะเหนื่อย แต่ฉันทำไม่ได้ ลองนอนพักอยู่วันเดียวเท่านั้น แม่บ้านใหญ่ตวาดเสียบ้านแทบแตกว่า “วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่กินกับนอน เลี้ยงหมายังดีกว่า มันยังเห่ายังหอนได้”

    ฉันไม่มีปัญญาจะบอก จะกล่าวว่าไม่สบาย เพราะถึงแม้จะพูดอย่างไรๆ เขาไม่เชื่อ แถมยังจะไล่ฉันออกจากบ้านเสียอีก กรรมของฉันแท้ๆ เหนื่อยแสนเหนื่อย หอบจนใจจะขาด ก็ยังต้องผ่าฟืน หาบน้ำจากท่าน้ำหน้าบ้านมาใส่โอ่ง ใส่ตุ่ม แกว่งสารส้มให้เขา เสร็จแล้วก็ยังต้องมากวาดบ้านถูเรือน บ้านก็ 2 ชั้น ใหญ่โต คนใช้อื่นก็มี แต่เขาไม่ใช้ ไม่วานเพราะกลัวว่าพวกนั้นจะขโมยของบนบ้าน

    หนักเข้าๆ ฉันก็ทนไม่ไหว ต้องนอนหอบอยู่ห้องใต้บันได ที่เขาให้หมาอยู่ แต่ก็มีพี่คนหนึ่งเมตตามาดูแล หาข้าวให้กินหาน้ำมาให้ แต่ก็โดนแม่บ้านใหญ่ดุด่าว่า “ไปทำอะไรให้คนมารยา” แล้วแกก็เดินมา เอาข้าวเอาน้ำที่พี่เขาเอามาให้ลาดทิ้งหมด แล้วว่า “ให้หมากันยังดึกว่า.....”

    “กรรมอะไรล่ะ เราทำอะไรไว้ล่ะ จึงต้องมารับวิบากอย่างนั้น”

    “ไม่รู้เหมือนกันแต่ว่าในชาติก่อนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก่อนชาติสุดท้ายนี้ ฉันเองก็ทำชั่วไว้เยอะ มารู้ตัวเอาตอนใกล้ๆ จะตาย คือชาติก่อนโน้นฉันเป็นนายอากร มีหน้าที่เก็บเงินค่าส่วยต่างๆ ให้หลวง ฉันอยู่กับเงินเห็นเงินทุกวัน มันก็โลภ ก็ทำฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาของหลวงมาเป็นของตัวเองเสียแยะ ทำบุญก็ไม่เคยทำ เขาฝากเงินทองไปทำบุญ ฉันก็งุบงิบเอาเสีย ไม่รู้ล่ะ อะไรพอที่จะโกงได้ ฉันเอาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่ผ่านมา ฉันจึงถูกเขาโกงหมด ถูกเขาเม้มทรัพย์ที่ควรได้ก็ไม่ได้

    นอกจากนี้ ฉันก็รังแกสัตว์ไว้แยะเหมือนกัน ตีไก่ กัดปลา เอาทั้งนั้น ฆ่าสัตว์มากินบ้างไม่กินบ้าง มากมาย

    ที่เล่ามายังไม่หมดนะ ต่อมาฉันเกิดปวดขาปวดแขนขึ้นอีก หัวเข่าบวมปวด เหยียดไม่ได้ เดินไม่ได้ แขนก็ปวด ไหล่ก็ปวด นอนร้องอยู่คนเดียว ฉันว่ามันก็กรรมอีกน่ะแหละ เห็นจะเป็นเพราะเมื่อฉันจับปูนา จับกบได้มา ฉันก็จับมันหักแข้งหักขากันมันหนีแล้วก็ใส่ข้องไว้ เห็นจะเป็นกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานป่วยไข้ เป็นทั้งโรคหัวใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งหอบ เป็นทั้งโรคข้อ ปวดบวม แตะไม่ได้เลย พอถูกเข่าเท่านั้นปวดใจจะขาด ฉันก็ต้องเขยิบเอา ถัดเอา ไปหาข้าวกินเวลาหิวจัด ก็กินที่เหลือๆ เขานั่นแหละ

    ตอนนี้แม่บ้านใหญ่เห็นแล้ว ไม่ใช้ฉันทำอะไรมากแล้ว ใช้แต่ให้ถูเรือนเท่านั้น เวลาทำงานมันก็ปวดสิ้นดี เขาไม่ใช้ฉันมาก มีแต่แช่งว่า “เมื่อไหร่ไอ้ง่อยนี่จะตายๆ เสียทีนะ”

    นอกจากเขาจะไม่ให้อาหารกิน นอกจากจะหาที่เหลือๆ กินเอง ไม่เหลียวแล ไม่รักษาให้แล้ว ยังด่าว่ายังแช่งทุกวัน พี่น้องฉันก็ไม่มี เงินทองทรัพย์สมบัติของฉันก็มี แต่เขาโกงเอาไปหมด ไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องเอากับใคร

    บางทีฉันก็นั่งร้องไห้ คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อฉัน ถ้าพ่อแม่ฉันอยู่ ฉันคงไม่เป็นอย่างนี้ นี่เป็นเพราะวิบากชัดๆ อกุศลวิบากนี่แหละ

    จิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งว่า “เห็นจะเป็นวิบากกรรมแต่ชาติก่อนๆ ที่ยังรับวิบากไม่หมด กรรมนก็ข้ามชาติมาให้ชดใช้ นึกออกไหมล่ะว่าก่อนๆ นี่เราทำบาปทำกรรมอะไรไว้อีกล่ะ มันถึงได้เป็นอย่างนี้”

    “ก่อนที่จะเกิดมาเป็นคนพิการในชาติที่ผ่านมานี้ ฉันเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่เคยได้ทำบุญทำกุศลอะไรเลย วัดวา พระเจ้า ไม่รู้จัก รู้แต่อบายมุข ทั้งดื่ม ทั้งกิน ทั้งเล่น ทั้งเที่ยว ไม่เคยทำบุญทำกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ทำแต่บาปกรรม ซึ่งมันง่าย ทำเมื่อไหร่ก็ได้ หนักๆ เข้าก็ชิน ชินกับการทำอกุศลกรรม ศีลทั้ง 5 ข้อไม่รู้จัก เอาละฉันจะสารภาพให้ฟัง.....

    ฉันหมดเวรหมดกรรมแล้วชดใช้วิบากไปแล้ว แต่กิเลสกรรมยังอยู่เพราะยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ฉันจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ในชาติก่อนนี้ฉันตั้งจิตอธิษฐานขอให้เกิดเป็นเจ้าคนนายคน มั่งมีศรีสุข เวลาทำบุญให้ทานทุกครั้ง ฉันจะอธิษฐานอย่างนี้ ตั้งจิตอย่างนี้เสมอไป

    ในที่สุดฉันก็ได้เกิดมาเป็นลูกผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ในหมู่บ้านตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งสมัยนั้นการไปมาหาสู่กันลำบาก การที่จะไปหาญาติพี่น้องที่อำเภอตรอน หรืออำเภอลับแล ต้องเดินทางกันเป็นครึ่งวันค่อนวัน พ่อฉันเป็นคนอำเภอท่าปลา แต่แม่เป็นคนอำเภอลับแล ญาติพี่น้องจึงมีทั้ง 2 ทาง

    ฉันมีพี่น้องอีก 3 คน รวมทั้งฉันด้วยก็เป็น 4 คน ชายสอง หญิงสอง ฉันเป็นคนกลาง มีพี่ชายคนหนึ่งแล้วก็มีน้องสาวอีก 2 คน ต่อมาพี่ชายแต่งงานไป มีไร่มีนาทำ พ่อแบ่งให้ น้องสาวอีก 2 คนก็มีครอบครัวไปทำมาหากินร่ำรวย ทั้งค้าขายของป่าและทำไร่นา มีฉันคนเดียวที่ยังไม่มีครอบครัว ก็อยู่กับพ่อแม่ไปเรื่อยๆ

    ต่อมาพรรคพวกวนไปเข้าป่าหาของป่ามาขาย เมื่อไปแล้วก็เลยเข้าป่าล่าสัตว์ไปด้วยในตัว คือไปล่าหมี ล่ากระทิง ล่าเสือ ในดงดิบระหว่างอำเภอตรอนกับลับแลนั่นแหละ สัตว์ชุมมาก ซึ่งไปแรกๆ ก็ไม่ได้สัตว์เท่าไหร่ ได้แต่สัตว์เล็กๆ เช่น เก้ง อีเห็น เพื่อนๆ บอกว่า การล่าสัตว์นี้เท่ากับมาขอชีวิตข้ารับใช้ของท่านเจ้าป่า ต้องขออนุญาตบนบานศาลกล่าวเสียก่อน ฉันน่ะไม่เชื่อถืออะไรหรอกไม่ได้ก็ไม่ได้ สัตว์มันไม่ถึงฆาต มันไม่มาให้เราฆ่า ตัวไหนถึงฆาตมันก็มา แต่เพื่อนๆ เขาเชื่อ ก่อนจะออกล่าสัตว์เขาทำพิธีไหว้เจ้าป่ากันทุกที

    เพราะการดื้อดึงแบบนี้กระมังฉันจึงเคราะห์ร้าย ไม่เคยได้สัตว์สักตัว ทั้งที่เพื่อนๆ เขาได้เก้ง ได้กระทิง เขาแล่ทำเนื้อเค็มกันเป็นหลัวๆ พวกลูกหาบยังงี้บ่นอุบ มันหนัก เพราะเนื้อเค็มที่ทำไว้มันมาก

    ไปๆ ฉันก็ไปพบหมีเข้าจนได้ มันเป็นหมีควายตัวใหญ่มาก เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว หมีนี้ขึ้นต้นไม้เก่งเหมือนกัน ใครว่ามันไม่ขึ้นฉันนั่งหนีหมีอยู่บนต้นไม้อยู่นาน ปืนผาหน้าไม้ทิ้งไว้โคนต้นหมด

    พอพลบค่ำ หมีมันออกเดินไปพอกะว่าห่างแล้ว ฉันจึงลงมาจากต้นไม้เก็บอาวุธต่างๆ แบบรีบจ้ำๆ จะกลับที่พักในป่า ซึ่งฉันเองก็ออกจะหลงๆ ทางอยู่เหมือนกัน

    พอเดินไปสักพัก ฉันก็พบอีก ตัวสีดำๆ ใหญ่ๆ อยู่ข้างหน้าฉันนะ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเจ้าหมีควายตัวนั้น ฉันยกปืนแก๊ปขึ้นเล็งไปที่เป้าหมายทันที โดยนั่งยิงเอาตัวบังต้นไม้ไว้หน่อย

    พอฉันลั่นไกโป้งออกไป ก็พอดีได้ยินเสียง โป้ง ดังมาทางฉัน ฉันเสียวแปลบที่หัวไหล่ นึกได้ทันทีว่า ฉันถูกยิงเสียแล้ว อาจจะเป็นพรานอื่นแอบมาซุ่มยิงก็ได้

    ทั้งๆ ที่เจ็บอย่างนั้นแหละ ฉันก็ออกวิ่งไปที่เป้าหมายแรก ที่ฉันนึกว่าเป็นหมีทันที ปรากฏว่าไม่ใช่ แต่เป็นคน ถูกลูกปืนฉันที่หน้าอก พอวิ่งไปใกล้ๆ ที่ไหนได้ กลายเป็นพรรคพวกเดียวกันนั่นเอง เขาเห็นว่าฉันเป็นหมีเพราะมันพลบค่ำแล้ว แล้วฉันก็แต่งตัวมอๆ สีน้ำเงินคล้ำๆ เสียด้วย ทำยังไงได้ เขาไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็ไม่ได้เจตนาจะยิงเขา

    พอฉันเดินเข้าไปใกล้ๆ เสียงเจ้านั่นพูดว่า “ไอ้แช่ม มึงยิงข้าทำไม” “ฉันยังไม่ทันตอบ มันก็ขาดใจตายเพราะบาดแผล”

    เจ้าอยู่กับ ฉันนี่เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกันเสียด้วยไปไหนไปด้วย ตายด้วยกัน ตายแทนกัน แต่แล้วฉันเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้ฆ่าเขา ยิงเขา คำสาบานยังแว่วๆ อยู่ตลอดเวลา “เราไม่ทิ้งกัน ตายด้วยกัน..... ตายแทนกัน”

    ฉันเดินโซซัดโซเซ กุมหัวไหล่ที่ถูกยิง แบกปืนพะรุงพะรังกับมีดยาวอีกหนึ่งเล่ม เดินกลับที่พัก บังเอิญ..... บังเอิญจริงๆ เดินทางทิศที่พรรคพวกเขาขัดห้างอยู่ ตอนนี้ยุงชุมเพราะเป็นหัวค่ำ ไฟที่เหลือจากการทำอาหาร เขาก็สุมไว้ไล่ยุง ไล่สัตว์ร้ายไปพลางๆ ฉันเดินมา พอเห็นแสงไฟเท่านั้น กำลังใจมาสักกระบุง ทั้งๆ ที่เพลียจากเลือดไหลไม่หยุดเจ็บแผลด้วย หิวด้วย อยากน้ำด้วย ฉันก็รีบก้าวๆ ไปหาจุดหมายคือกองไฟนั้นจนได้....

    “ไอ้แช่ม ไอ้แช่ม มาแล้ว นึกว่าเอ็งถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว เห็นไอ้อยู่ไหม..... มันไปกับเองหรือเปล่า.....”

    คำถามต่างๆ พรูๆ ออกมาจากพรรคพวก แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พรรคพวกฟังจนหมดสิ้น ทุกคนฟังด้วยความสลดใจ สำนึกในบาปกรรมในการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    สำหรับเจ้าอยู่นั้น เป็นพรานป่ามานาน ฆ่าสัตว์มากนักต่อนัก กรรมมันก็ตามทัน แถมกรรมมันยังเล่นงานฉันเข้าด้วยคือ ถูกยิงเจ็บ แล้วจะกลับบ้านไปแจ้ง ไปบอกกับลูกเมียมันยังไง บ้านเมืองเขาจะไม่เอาไปตัดหัวรึ ฉันกลุ้มเป็นกำลัง เพื่อนๆ ก็เลยพลอยกลัดกลุ้มไปด้วย

    ฉันน่ะกลุ้มใจมาก เสียใจมากแทบจะเป็นบ้า หรือเหมาะๆ เป็นบ้าไปหน่อยๆ แล้วก็ได้ เพราะตาหูมันฝาดมองเห็นเป็นเจ้าอยู่เดินมาหาบ่อยๆ พอใกล้เข้าก็หายไป โดยเฉพาะตอนพลบๆ โพล้เพล้ๆ จะเห็นเจ้าอยู่เดินอมยิ้มมา หน้าตาทะเล้น อย่างเคยตามวิสัยของมัน ยิ่งกว่านั้น หูก็ยังฝาดได้ยินเสียงเจ้าอยู่มาเรียกบ่อยๆ

    “แช่ม..... แช่มโว้ย” พอฉันหันหน้าไปมองตามเสียง ก็่ไม่เห็นมีอะไรแถมเวลานอน ยังฝันถึงมันเสียอีกด้วย ฝันว่ามันชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน ไปด้วยกันตามคำสาบาน

    ฉันเล่าเรื่องต่างๆ ให้พรรคพวกฟัง พวกนั้นมันก็ว่า ฉันเพ้อไปเอง ทุกคนต่างก็ช่วยแก้ให้แล้วว่า เจ้าอยู่แยกเดินไปต่างหาก โดนเสือจับเอาไปกิน ส่วนเอ็งยังถูกเสือตะปบที่หัวไหล่ ลากไป เนื้อหายไปหน่อย ใครๆ เขาก็ไม่สงสัยแล้ว เอ็งวางใจได้

    ข้อนั้นฉันวางใจแล้ว แต่อีกใจหนึ่งของฉันยังนึกอยู่เสมอว่า “เราฆ่าเจ้าอยู่ เพื่อนร่วมสาบานกับมือของเราเอง”

    ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็กินเหล้าหนักขึ้นๆ ให้มันหายกลุ้ม วันหนึ่งๆ ได้แต่กินเหล้าเมาวันยังค่ำ พ่อแม่ฉันล่ะก็เอือมเต็มที แต่ท่านไม่รู้หรอกว่า ที่ฉันกินเหล้านี่เพราะอะไร

    จนที่สุดวันหนึ่ง ขนาดกินเหล้าเมาๆ อย่างนี้แหละ หลับไปยังเห็นเจ้าอยู่มายืนกวักมือเรียก ส่งเสียงร้องโย้อยู่ข้างๆ ตัว “ไอ้แช่มไปด้วยกันสิ สบายออก ไปตามคำสาบานสิวะ ไม่ยากหรอก ปืนนั่นแหละ อมปลายมันเข้าไป เอาตีนเหนี่ยวไกเข้า โป้งเดียวก็ไปกับข้าได้ เอาสิวะๆๆ”

    เสียงนี้ก้องหูอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด ฉันก็ทำตามอย่างทีมันบอก เอาปืนแก๊ปกระบอกนั้นแหละ ใส่ลูกเข้า ใส่ดินปืนเข้า แล้วก็อมปากกระบอกปืนไว้ เอามือยึดให้มั่น เอานิ้วหัวแม่เท้าใส่เข้าไปในโกร่งไกปืน พอเหมาะ ก็กระดิกนิ้วเท้า เขี่ยไก ปั๊บเดียว ได้ผลปืนลั่นดังโป้งทะลุปากเข้าหัวขมอง ขมองกระจุย ได้ไปพบกับเจ้าอยู่เดี๋ยวนั้นเอง.....

    ฉันฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายเพราะขาดสติ ขาดความเหนี่ยวรั้ง ฆ่าเพราะขาดศีล ถ้าไม่กินเหล้า ไม่เมาจนประสาทเสีย ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ ฉันตายไม่ใช่เพราะความสมใจ แต่ตายเพราะวิบากกรรมที่ทำเอาไว้แยะ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แถมยังฆ่าเพื่อน จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่ก็ฆ่าเพื่อนร่วมสาบานไปแล้ว มันคงเป็นการบีบคั้นทางใจ ทางออกของฉันจึงเป็นอย่างนี้

    เมื่อฉันตายแล้ว จิตวิญญาณฉันก็ได้พบกับเจ้าอยู่ดังหวัง เพราะเจ้าอยู่กำลังรับวิบากกรรมข้อที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อประมาทมัวเมาจากการดื่มน้ำเมา ฉันกับเขาอยู่พบกันนิดเดียว ก็ต้องจากกัน เพราะกรรมฉันที่ทำไว้มันน้อยกว่าเจ้าอยู่ ที่เป็นพรานมานับสิบปี พวกเสือ พวกหมี กระทิง แรด กำลังทึ้งมันอยู่ ส่วนฉันนั้นไม่เท่าไหร่ เพิ่งจะเริ่มเป็นพราน และที่หนักหน่อยก็ดื่มของมึนเมา ตีไก่ กัดปลา ไม่ได้ทำบุญทำกุศลใดๆ เลย แต่การฆ่าตัวตายนั้นน่ะ มันก็เป็นกรรมหนักมากเหมือนกัน

    ฉันรับกรรมอยู่ในแดนวิบากนั้นจนเบาแล้ว จึงได้มาเกิดใหม่ ก็มาเกิดเป็นลูกเมียน้อยคุณหลวง ที่เป็นพ่อฉันนี่แหละ แต่กรรมยังไม่หมด วิบากยังข้ามชาติข้ามภพมา ให้เกิดเป็นลูกเมียน้อย เป็นคนพิการ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ถึงจะมีก็ถูกเขาปล้น เขาโกงไป

    ก็ผลที่ตอนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้ดิบได้ดี เป็นถึงนายอากรเก็บส่วย เก็บอากรส่งเข้าหลวง ฉันก็ฉ้อฉล เอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัวเสีย เอาตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์รีดนา ทาเร้น เรียกร้องทรัพย์สินเงินทองของคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แม้คนเขาฝากมาทำบุญ ก็ยังเอา ทำทุกอย่างที่จะได้เงินได้ทอง ผลคือเกิดมาในชาตินี้ มีแต่ตัว ตัวที่พิกลพิการ ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีที่อยู่ เจ็บป่วยไม่มีกำลังรักษา วิบากเข้ามาใกล้ตัวทีละน้อยๆ จนในที่สุด ก็ถึงจุดของมัน คือตาย ตายไปเสียจากโลกนี้ เพื่อหนีความทุกข์ทรมาน หนีความคับในใจ เชื่อว่าถ้าตายเสียแล้วความทุกข์ต่างๆ มันก็หมด หมดไปกับชีวิตอันคับแค้น หมดไปกับความตาย

    ที่จริงฉันคิดผิดมาก มารู้เอาทีหลังว่า การฆ่าตัวตายนั้นบาปหนักเหมือนกัน ใช่ว่าจะหนีวิบากพ้นเมื่อไหร่ มันกลับเพิ่มเป็นอีกเท่าทวีคูณ อย่างน้อยก็บาป 2 อย่าง คือ จิตซึมเซาเศร้าหมอง นั้นก็เป็นบาปแล้ว ทีนี้มา ทำปาณาติบาต ตัวเอง ก็ยิ่งบาปอีก มันไม่หมดความทุกข์เพราะความตาย แต่มันกลับเพิ่มวิบาก ให้เป็นทุกข์หนักขึ้น หนักกว่าเดิม

    ฉันไม่รู้ ไม่มีใครมาชี้แนะ ฉันก็นึกของฉันว่า ฉันไม่ได้ฆ่าใคร ฉันทำตัวฉันเอง มันจะได้หมดทุกข์หมดทรมานเสียที หารู้ไม่ว่า เรายังชดใช้วิบากไม่หมด จะหนียังไงๆ มันไม่พ้น เมื่อทำอกุศลกรรมลงไปอีกวิบากก็เพิ่มขึ้น เมื่อชดใช้ไม่หมด มันก็ติดตามข้ามชาติข้ามภพ มาใช้หนี้ต่อ มันก็ต้องฆ่าตัวตายต่อไปอีกทุกชาติๆ จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมหมดวิบาก หรือมีกุศลกรรมมาขัดเกลาจิตใจให้กรรมมันเบาบาง เมื่อไรหยุดฆ่าตัวตายกรรมนั้นยุติ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

    ทีนี้ฉันจะสารภาพต่อ ฉันทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจไม่ไหว สุดที่จะทนทานแล้ว ฉันไปหาท่านพระครู ไปหาท่านเป็นครั้งสุดท้ายไปกราบท่าน แต่ไม่ได้บอกหรอกว่าฉันจะทำอะไร พอกลับมา ค่ำวันนั้นฉันนั่งสวดมนต์ นึกถึงพ่อ ถึงแม่ ภาวนาอธิษฐาน ขอให้เกิดใหม่เป็นลูกของพ่อของแม่ต่อไปอีก ฉันนอนดึก เพราะจิตมันฟุ้งซ่าน กว่าจะตื่นก็สาย พอสายหน่อยเท่านั้น เสียงแม่บ้านใหญ่ตะโกนแหว๋ๆ ออกมาว่า

    “นี่ไอ้ เจ้าพระเดชนายพระคุณยังไม่ตื่นออกมาทำงานอีกหรือ มันจะนอนเอาบ้านเอาเมืองไปถึงไหนกัน ?”

    ฉันรีบลุกออกมา ขาแข้งมันปวดไปหมด ยืดไม่ออกได้แต่ถัดออกมาจะมาล้างหน้าล้างตา ก็พอดีพบแม่บ้านใหญ่ยืนท้าวสะเอวด่าโครมๆ อยู่ที่บันไดบ้าน ฉันก็ยกมือไหว้ แล้วบอกว่า “ผมไม่สบายขอรับกระผม”

    “ไหว้หมาเถอะ ไม่ต้องมาไหว้ฉันหรอก เอ็งน่ะ มีวันไหนมั่งวะที่จะสบาย มันก็ขี้เกียจสันหลังยาว อ้างว่าไม่สบายตลอดปีล่ะวะ” แล้วแกก็สะบัดหน้าเดินเข้าห้องไป

    ฉันตะเกียกตะกายไปหิ้วน้ำมา 1 กระป๋อง ผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง จะมาถูเรือน ความที่มันปวดหัวเข่า เดินๆ ไปน้ำตาเล็ดไป ร้องไห้ไป ร้องไห้ไปกับความทุกข์ของตัว ทันทีนั้นในใจก็นึกว่า “อย่าอยู่เลยวะเรา จะอยู่ไปทำไม อยู่ไปหาอะไร ความสุขสักชั่วหายใจไม่มี มีแต่ความทุกข์ทรมาน ตายเสียดีกว่า จะได้พ้นๆ ทุกข์เสียที”

    ขณะที่ดิฉันเดินไปตักน้ำ ที่แม่น้ำหน้าท่านั้น น้ำกำลังขึ้นไหลเชี่ยวเพราะเป็นเดือน 11 กรรมอะไรก็ไม่รู้ บันดาลใจให้ฉันโดดลงไปในน้ำ โดดลงไปอย่างไม่ยั้งคิด แล้วก็ว่ายทวนน้ำขึ้นไปๆ ทวนน้ำไป เท่าที่แรงจะทำได้ ก็ฉันเหนื่อยมากอยู่แล้ว เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว พอว่ายน้ำไปหน่อย ก็เหนื่อยสุดขีด ขาดใจตายในน้ำนั้นเอง ตัวฉันค่อยๆ จมลงๆ คงจะมีผู้คนเห็นเหมือนกัน เพราะมันสายมากแล้ว ในที่สุดร่างฉันก็จมหายไปในน้ำที่เชี่ยวนั้น

    วิญญาณฉันล่องลอยออกจากร่าง แล้วก็มาอยู่ที่นี่แหละ มารับกรรมต่อไปอีก ทีนี้ร่างกายที่พิกลพิการของฉัน มันก็ลอยขึ้นมาๆ แล้วก็มาลอยวนเวียนอยู่ที่ท้องคุ้งหน้าบ้านพ่อที่ฉันเคยอยู่ ลอยวนเวียนอยู่อย่างนั้น ผู้คนก็มามุงดูกันแน่น เรื่องก็รู้ไปถึงแม่บ้านใหญ่ แกก็รีบมาที่ศพคนตายที่ลอยน้ำมา พอรู้ว่าเป็นศพฉันเท่านั้น แกก็ร้องออกมาว่า “ตายเสียได้ก็ดี ไอ้ลูกขี้ครอก กูจะกรวดน้ำ สาปแช่งมึง ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดอีกต่อไป”

    ดูซิ น้ำใจแม่บ้านใหญ่ ไม่รู้ว่าจะโหดร้ายทารุณไปถึงไหน ฉันเองตั้งแต่เกิดมาไม่ได้ทำความเดือดร้อนใจให้แกสักหน่อย แกผูกพยาบาทอาฆาตฉันมาตั้งแต่เกิดจนตาย

    จะด้วยจิตที่ยังพะวงถึงพ่อแม่หรือบ้านที่อยู่ก็ไม่ทราบได้ ร่างอันไร้วิญญาณของฉันมันไม่ไปไหน มันลอยวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าบ้านนั่นแหละ คนก็โจษจันกันไปต่างๆ ทีนี้ แม่บ้านใหญ่คงจะเกิดความกลัว ความสำนึกในกรรมที่ก่อเวรไว้กับฉัน กลัวฉันจะพยาบาทอาฆาต แกก็นิมนต์พระมาที่บ้าน ทำบุญสวดมนต์ปัดรังควานถึง 3 วัน

    “แล้วหลวงพ่อได้รับนิมนต์ด้วยหรือเปล่าขอรับกระผม”

    “ได้รับนิมนต์ เพราะในอยุธยานี่ ใครทุกข์ยากลำบากอะไรก็มาหาทั้งนั้น แต่ฉันไปนั่งแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณเขาน่ะ ท่านพระครูข้างบ้านเขา เขาก็นิมนต์ไป ท่านเมตตาสงสาร นายพร้อม ผู้ตายนี้มาก เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่พ่อเขายังไม่ได้เป็นคุณหลวง”

    “หลวงพ่อกรุณาแผ่เมตตาให้เขา นี่เขาจะได้รับกุศลหรือไม่ขอรับกระผม”

    “ได้ทั้งผู้ให้และรับ นี่เป็นความจริง ก็เหมือนคนกระหายน้ำคอแห้งผาก เราก็กระหายน้ำเหมือนกัน เรามีดื่ม ก็ดื่มจนหายอยาก ทีนี่น้ำเหลือดื่มนี่แหละ เราจะเททิ้งเสีย หรือว่าจะให้คนหรือสัตว์ที่กำลังกระหายน้ำคอยอยู่ โดยทั่วไป เราก็ไม่เททิ้งให้เปล่าประโยชน์ เขาก็ได้ดื่มชุ่มชื่นฉันใด การแผ่เมตตาก็ฉันนั้น เรามีเมตตา ซึ่งเป็นพระคุณชั้นสูงอยู่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด เมตตานี้เป็นกุศลอย่างยิ่ง ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งกุศลมาก ยิ่งล้นท้นตัวมากเราจะเทเมตตาทิ้งเสียหรือ ก็ไม่ได้ประโยชน์ อันใด

    ฉะนั้น แทนที่เราจะเก็บไว้กับตัวเฉยๆ หรือทิ้งเหมือนเทน้ำ ก็ไม่ได้ดอก ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเราแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั่วไปแล้ว ถ้าเปรียบเมตตาเหมือนกับเงินทอง มันก็เท่ากับเงินทองนั้นออกดอกออกผลมากขึ้นอีก ก็เพราะการแผ่เมตตานั้น เป็นการทำบุญทำกุศลอย่างสูงชนิดหนึ่ง คนที่แผ่ก็ได้กุศล คนที่รับสัตว์ที่รับก็ได้กุศล ก็เท่ากับเป็นกุศลสองต่อ อย่างไรก็อย่างนั้น”

    ผมกราบเรียนถามท่านอีกว่า “การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาปอย่างนี้แล้ว พวกเพชฌฆาต พวกราชมัล ที่ทำหน้าที่ประหารชีวิต ทำหน้าที่ทรมานนักโทษที่ต้องคำพิพากษา จะมีบาปหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน”

    ท่านกรุณาให้อรรถาธิบายว่า...........

    “ให้คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาปทั้งสิ้น ไม่มีการยกเว้นเพชฌฆาต ราชมัล ที่ประหารชีวิตมนุษย์ที่ทำการทารุณกรรมต่างๆ แก่ผู้ต้องโทษนั้น ก็อยู่ในกรณีนี้ และจะยิ่งบาปมากขึ้นอีก ถ้าเพชฌฆาต ราชมัล นั้นมีจีตอกุศลอยู่ด้วย เช่น อยากประหาร แสดงความสมใจ กระทำด้วยความยินดี และมีความยินดีหรือความพอใจในการลงโทษ หรือทรมานผู้ต้องหา หน้าที่ก็หน้าที่ หน้าที่ที่ทำให้เกิดกุศลเกิดบุญก็มี หน้าที่ที่ทำให้เกิดบาปเกิดโทษแก่ตน แก่จิตใจตนก็มี

    ไม่ต้องอะไร ถ้าพบคนคนหนึ่ง เราถามว่า ทำงานอะไร ประกอบอาชีพอะไร ถ้าคนนั้นตอบว่า“ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ฆ่าคนตามคำพิพากษาเท่านั้น ผู้คนจะเดินหนีออกห่างทันที นี่ก็แลเห็นอยู่แล้ว

    การบุญการกุศล หรือการบาปการอกุศล อยู่ที่จิตก่อน จิตอย่างเดียวยังไม่เป็นบาปมาก แต่มันก็ทำให้จิตไม่แจ่มใส คิดอกุศล มันก็ไม่ใช่บุญแล้ว ทีนี้ถ้าจิตคิดแล้ว กายก็กระทำด้วย บาปก็เริ่มขึ้น ถ้าการกระทำนั้น บรรลุจุดประสงค์ เช่น บั่นทอนชีวิตเขาสำเร็จ เบียดเบียนเขาสำเร็จ บาปนั้นก็สมบูรณ์ อันนี้จึงเกิดเป็นอกุศลกรรมซึ่งก็จะให้ผลแก่ผู้กระทำต่อไป ไม่มีเว้น ไม่มีการขอร้อง อ้อนวอน ผ่อนปรน ชั่วแต่ว่า ผลมันจะช้าหรือเร็วเพียงไรเท่านั้นเอง

    ผมก็ยกมือขึ้นสาธุ แล้วกราบนมัสการด้วยเคารพ

    ก็เป็นอันว่า คำสารภาพของวิญญาณ ที่ประกอบอัตวินิบาตกรรมก็จบลงเพียงนี้ และพอจะสรุปได้ว่า..... การฆ่าตัวตายนั้น ไม่ทำให้พ้นทุกข์ ไม่ทำให้พ้นวิบากไปได้ กรรมนี้มันจะต้องเกิดต่อๆ ไปอีก ทุกชาติทุกภพ

    ฉะนั้น ทุกวันนี้ตามที่เราได้ยินการฆ่าตัวตายว่ายังมีเสมอ โดยเฉพาะในรายที่ไม่ได้ดังใจหวัง ในการพลัดพรากจากของรักของหวง ในรายที่เสียใจกลัดกลุ้มด้วยเหตุต่างๆ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นเหตุอันที่จะพาไปสู่ที่พ้นทุกข์ได้ เพราะเมื่อมีการฆ่าตัวตายแล้วในชาตินี้ ชาติหน้าเกิดมา ไม่ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ มันก็หนีการฆ่าตัวตายไม่พ้นอีก มันก็จะต้องพบกับภาวะเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะหมดวิบาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...