กลับมาเถิด'ศีลห้า'หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 6 เมษายน 2012.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    กลับมาเถิด'ศีลห้า'หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

    [​IMG]


    กลับมาเถิด'ศีลห้า'หลวงปู่ท่อน ญาณธโร : พึ่งตนพึ่งธรรม โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง ฐานิส สุตโต ภาพ


    "ขอให้เรามีเจตนาแนวแน่ในการเลิกฆ่าสัตว์ เลิกลักทรัพย์ เลิกประพฤติผิดในกาม เลิกพูดปด เลิกดื่มสุราเมรัย รวมไปถึงยาเสพติดให้โทษทุกชนิด เพราะมันผิดกฎหมาย ผิดทั้งศีลธรรม แต่ก็เห็นคนฝ่าฝืนกันเยอะ นี่แหละอย่าทำกันเล่นๆ ทำเล่นๆ ขี้กลากจะกินหัว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นของเลิศในโลก ไม่ใช่ของหยอกเล่น"

    พระราชญาณวิสุทธิโสภณ (หลวงปู่ท่อน ญาณธโร) วัดศรีอภัยวัน จ.เลย บรรยายธรรมเรื่อง "จิตพุทธะ" โดยเริ่มต้นให้สติกับผู้มาร่วมงานภาวนาในยามเช้าของวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ บพิตรพิมุขมหาเมฆ ซึ่งชมรมกัลยาณธรรมเป็นผู้จัดขึ้นครั้งที่ ๒๒ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีผู้เข้าร่วมฟังกว่า ๕,๐๐๐ คน เต็มทั้งภายในและรอบนอกของบริเวณหอประชุม

    หลวงปู่ท่อนให้ข้อคิดแรกเลยว่า การที่จิตจะเข้าถึงพุทธะได้นั้น จะต้องเริ่มต้นและลงท้ายด้วยการมีรั้วของใจก่อนคือ ศีล ๕

    "อาตมาเห็นในสังคมไทยนั้น ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ก็ไปฆ่าสัตว์ ห้ามไม่ให้ลักขโมย ก็มีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวัน ห้ามไม่ให้พูดปด พูดเท็น แม้แต่ขึ้นศาล ขึ้นโรงก็ยังกล่าวปดกัน ไม่มีความผิดก็หาเรื่องผิดให้เห็นๆ ดังนั้น เรื่องสมาทานศีล เรามีเจตนาเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ถ้าเราขอสมาทานศีล ๓ ครั้งแล้วโกหกทั้งสามครั้งจะได้อะไร อะไรจะเข้าไปติดในหัวใจเล่า"

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร มีนามเดิมว่า ท่อน ประเสริฐพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ณ บ้านหินขาว ตำบลสาวะถี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดา มารดาชื่อ นายแจ่ม และนางทา ประเสริฐพงศ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๙ คน ท่านเป็นลูกคนที่ ๖ ปัจจุบันสิริอายุได้ ๘๔ พรรษา

    ช่วงวัยหนุ่มเป็นคนติดเหล้าเมายา ทำให้โยมพ่อโยมแม่เป็นกังวลใจมาก จึงนำไปฝากกับหลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดป่าชัยวัน จ.ขอนแก่น ก่อนบวช หลวงปู่คำดีให้รักษาศีล นุ่งห่มขาว เจริญภาวนา กินข้าวมื้อเดียวก่อนอยู่ ๕ เดือน จากนั้นจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (พระอารามหลวง) อ.เมือง จ.ขอนแก่น

    ภายหลังอุปสมบทแล้ว ท่านเดินทางไปเรียนกรรมฐานจากหลวงปู่คำดี โดยเน้นเรื่องสติ สมาธิ และปัญญา อย่างเต็มที่ระยะหนึ่ง จากนั้นท่านออกธุดงค์ไปในป่าเขาอยู่ตามถ้ำ เชิงผาอย่างอุกฤษฏ์ กระทั่งครั้งหนึ่งท่านได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และได้รับโอวาทอันทรงคุณค่าว่า “ให้เร่งทำความเพียร มิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย”

    คำนี้ลึกซึ้งนัก และต้องใช้ทั้งชีวิตเป็นผู้ปฏิบัติ ในวันที่หลวงปู่ท่อนบรรยาธรรมในวงกว้าง ท่านจึงเน้นเรื่อง ศีลที่บริสุทธิ์ ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นบาทฐานแรกในการภาวนา เพื่อให้เกิดความเมตตา กรุณากับตนเอง และผู้อื่นก่อนไปถึงขั้นสมาธิภาวนา เพื่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญาในการรู้เห็นตามความเป็นจริง

    ท่านกล่าวอย่างจริงจังว่า ดังนั้น อย่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขามาทำบุญเลย ชีวิตเขาก็เหมือชีวิตเรา ใครๆ ก็รักชีวิต ไก่ตัวนั้น ปลาตัวนั้น เป็ดตัวนั้น วัวตัวนั้น เขาเต็มใจมานอนแหมะให้จัดการเลยไหม มีแต่เขาต่อสู้อย่างทุลักทุเล แทบล้มแทบตาย เอาขึ้นไปบนรถ แล้วกระโดดลงจากรถก็มี ไม่อยากตาย

    "อย่างนี้แสดงว่า เขาไม่ยินดีที่จะทำบุญด้วย มันจะดิ้นทุรนทุราย ต่อสู้ มันไม่พอใจ สิ่งใดไม่พอใจสิ่งนั้นเรียกว่าข่มเหง รังแก เบียดเบียนเต็มร้อย แล้วบุญมันจะได้ที่ไหน จะทำบุญทั้งทีให้มันเต็มร้อย ให้เจตนาของเรามันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำบุญแล้วให้ชุ่มฉ่ำอยู่ในดวงจิต นึกถึงเวลาใดก็ปลื้มปีติในเวลานั้น"

    แม้กระทั่งเวลาที่พบเห็นอุบัติเหตุมีคนเจ็บ คนเสียชีวิต ท่านกล่าวว่า คนชอบดู แต่ขอเถอะ พี่น้องเอ๋ย ถ้าจะไปดูก็ขอให้แผ่เมตตาไปด้วย

    "มองไปจนให้เห็นว่า ถ้าเป็นเราก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน และปลง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ได้ อย่าไปหน้านิ่วคิ้วขมวด อย่าไปบ่นว่าซ้ำเติมกัน ไม่มีใครช่วยเก็บศพ ถ้าเราอยู่ตรงนั้น เข้าไปช่วยเลยก็ได้ ช่วยยกแขน ยกขา ให้เป็นที่เป็นทาง รักษาใจให้บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง แล้วช่วยเขา ถ้าเขายังไม่ตายก็เข้าไปช่วยเขา เรียกว่ายังมีน้ำใจ ยังมีเมตตา เป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แผ่เมตตาให้เขา จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจเลย รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ อย่าไปทำท่ารังเกียจเขา เทวดาจะหัวเราะเยาะเอาว่า นี่หรือ มนุษย์ ไม่เมตตากันเลย รังเกียจกันถึงขนาดนี้เลยหรือมนุษย์เอ๋ย ถ้าจิตใจเป็นอย่างนี้จะไปได้ไหม สวรรค์ นิพพาน"

    ท่านได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดนี้ อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ซึ้งใจมาก

    "อะไรที่เราจะช่วยกันได้ ให้ดูแลให้แลกันอย่าทอดทิ้ง เห็นคนทุกข์อย่านิ่งดูดาย ถ้าเราช่วยเขาได้ก็ช่วยซะ หัวใจเราจะบานออกใหญ่โต เวลาทำอะไรให้มีเจตนาหวังดีต่อกัน ให้เขามีความสุข เราก็จะสุขด้วย ความเหนียวแน่น ตระหนี่ถี่เหนียว มันเป็นอุปสรรคขัดขวางใจเรา สัตว์เดรัจฉาน มีแต่แย่งกัน เป็นมนุษย์ต้องแบ่งปันกัน น้ำใจอย่างนี้เรียกว่า น้ำใจเทวดา เป็นมนุษย์ ใจสูง อย่าใจดำ คนทำลายทรัพยากรแผ่นดิน ไม่เห็นอกเห็นใจกันเลย เราต้องทำใจเราให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์คือให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขากันทั่วทุกคน จงนำไปใคร่ครวญ พิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนเทอญ"

    และนี่คือบทแรกของการเข้าสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ฉบับพกพา อีกทั้งเป็นบทสุดท้ายของการภาวนาที่จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติต่อๆ ไปอีกด้วย !




    ---------------------
    ที่มา :::

    komchadluek
     

แชร์หน้านี้

Loading...