กรรมของคนตาบอด

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 23 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    กรรมของคนตาบอด

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่ามนุษย์และสัตว์เกิดมาเป็นพี่น้องกัน ร่างกายที่ตายไปแล้วเหลือแต่วิญญาณ ก็จะไปใช้กรรมใช้เวรในชาติใหม่ เวียนว่ายตายเกิด ชาติแล้วชาติเล่า แล้วแต่วิบากกรรม ที่กระทำเอาไว้

    คนเราเกิดมาถูกคำพิพากษาประหารชีวิตตั้งแต่วันแรกที่เกิด เจ้าเกิดมาแล้วเจ้าก็ต้องตายแต่ยังไม่ถึงวันตายก็เพราะรอวันประหารชีวิตนั่นเอง ต่อเมื่อพญามัจจุราชสั่งให้ประหารเมื่อใด ก็จะถูกประหารเมื่อนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่จึงอย่าได้ประมาท จงทำความดีไว้ให้มากๆ จะได้เป็นที่พึ่งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป

    เรื่องที่ข้าพเจ้าจะนำมาเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของคนที่ทำกรรมชั่วเอาไว้ กรรมจึงตามมาสนองทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงขอนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟัง เรื่องมีอยู่ว่า

    ลุงคำ อายุประมาณ ๕๐ ปี ได้อาศัยอยู่กับลูกหลาน ส่วนภรรยานั้นได้ตายจากแกไปนานหลายปีแล้ว แกมีชีวิตอยู่อย่างน่าสงสาร เพราะลูกหลานและญาติพี่น้องไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่ การกินก็อดๆ อยากๆ เสื้อผ้าก็นุ่งแต่เก่าๆ และขาดวิ่น แกมีร่างกายที่ผอมโซ ทุกวันจะเห็นนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มเงาต้นมะม่วงหน้าบ้าน มีเจ้าสุนัขสีหมอกตัวหนึ่งนั่งเป็นเพื่อยอยู่ขางๆ ข้าพเจ้าเคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยนมแก ๒-๓ ครั้งแล้ว

    วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เข้าไปในเมือง จึงซื้อผลไม้ต่างๆ มีกล้วยสุก ส้มเขียวหวาน ขนม ฯลฯ ไปฝากลุงคำ และบอกให้แกรู้ พร้อมกับเอาถุงผลไม้วางใส่มือแก แกดีใจมาก และพูดกับข้าพเจ้าว่า "๓-๔ ปีแล้วไม่เคยได้กินของดีๆ เหล่านี้เลย" พร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ

    ข้าพเจ้านั่งอยู่พักหนึ่ง ก็ได้ถามถึงเรื่องราวที่แกตาบอดว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร

    แกนั่งคิดอยู่สักครู่ก็พูดขึ้นว่า "ผมตาบอดมานานแล้ว เพราะบาปกรรมที่เคยกระทำเอาไว้มาตามสนองให้ต้องตาบอดทั้งสองข้าง"

    ข้าพเจ้าได้ถามต่อไปว่า "กรรมอะไรที่คุณลุงได้ทำเอาไว้หรือ"

    แกพูดว่า ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก อายุได้ ๕-๖ ปี ผมเป็นเด็กซุกซนมาก พ่อแม่ให้นำควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ในฤดูฝนจะย่างเข้ามา ฝนเริ่มตกลงมาทำให้พืชพันธุ์เจริญงอกงามขึ้น มองดูเขียวชอุ่มไปทั่วทุ่งนา มีตั๊กแตนบินลงมาหากิน ผมได้วิ่งไล่จับเอาตักแตน พอได้มาแล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองข้างให้ตาของมันทะลุแตก แล้วโดยขึ้นไปบนท้องฟ้า มองดูคล้ายๆ กับเขาจุดบั้งไฟตะไล มันจะหมุนวนเป็นวงกลมไปรื่อยๆ ผมกับเพื่อนหัวเราะชอบใจ ไล่จับเอาตั๊กแตนตัวแล้วตัวเล่า แล้วก็เอามือบีบตาทั้งสองของมันให้ทะลุแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า มันได้แต่บินวนไปวนมาเป็นวงกลม เพราะมองไม่เห็นอะไร ตอนนั้นไม่ได้นึกถึงบาปกรรมเลย ได้กระทำอยู่อย่างนี้บ่อยๆ ในคราวไปเลี้ยงควายที่ทุ่งนาเป็นเวลา ๒-๓ ปี ถ้าให้นับดูตัวตั๊กแตนที่ผมกระทำไปนั้นด้วยนึกแต่ความสนุกอย่างเดียว เกือบ ๖๐-๗๐ ตัวคงจะได้

    ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง อายุราว ๑๕-๑๖ ปี ผมเคยแกล้งคนตาบอด ในครั้งนั้นหมู่บ้านของผมได้จัดงานประจำปีขึ้น ๓ วัน ๓ คืน มีมหรสพมาฉลองด้วย มีผู้คนมาเที่ยวงานมากมายในคราวนั้นมีชายตาบอดคนหนึ่งมาเที่ยวในงานกับเพื่อนซึ่งเป็นคนบ้านอื่น ชายตาบอดคนนั้นให้เพื่อนจูงมา พอเห็นเขาเดินผ่านมา ผมนึกสนุกขึ้นมา จึงเข้าไปจูงเอาชายตาบอดคนนั้นจากเพื่อนของเขา จากนั้นผมก็จูงมือเขาเดินไปเรื่อยๆ เมื่อจูงไปสักพักก็มองห็นกองขี้ควายกองใหญ่กองหนึ่งอยู่ที่ถนน ด้วยความซุกซน พอจูงเข้าไปใกล้กองขี้ควายคิดว่าชายคนนั้นจะตาบอดจริงหรือไม่ จึงแกล้งจูงมือแกกลับทันที

    ในขณะที่ผมจูงมือเขากลับนั้นเท้าของเขาทั้สองก็เหยียบกองขี้ความกองใหญ่อย่างจัง ผมและเพื่อนๆ ได้พากันหัวเราะชอบใจชายตาบอดคนนั้นบ่นพึมพำในใจของเขาคงคิดว่าผมแกล้งเขาให้ไปเหยียบกองขี้ควาย เขาคงจะนึกโกรธและสาปแช่งผมในใจ พอผมทำแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเป็นความสนุกสนานเท่านั้น ไม่เคยคิดสักนิดเลยว่ามันจะเป็นบาปกรรมเพราะความคึกคะนองซุกซนไปเท่านั้น

    ต่อมาผมก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกันและยึดอาชีพทำนาตามพ่อแม่ที่เคยทำมาทุกๆ ปี สิ้นจากฤดูทำนา ผมก็ไปหารับจ้างทำงานทั่วไป ครั้งหนึ่งผมได้เคยไปฟังเทศน์ที่วัด พระท่านเทศน์ว่า กงกรรมกงเกวียน คือกรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ บัดนี้มันกลับตามหมุนมาสนองสู่ชีวิตผมเข้าจนได้

    วันหนึ่งหลังจากที่ผมกลับจากทำงานเป็นช่างไม้และก่อสร้างบ้าน ในเย็นวันนั้นพอกลับถึงบ้านผมรู้สึกปวดเมื่อยตามรางกาย คิดว่าคงทำงานหนัก ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงไปหาหมอเพื่อฉีดยาบำรุงให้ ผมได้ไปฉีดยากับหมอที่คลีนิก พอกลับมาบ้านตอนเย็นรู้สึกสบายขึ้นนิดหน่อย แต่พอตื่นเชาขี้นมารู้สึกว่าตาของผมด้านซ้ายมองไม่ค่อยจะเห็น มันพร่าๆ มัวๆ จึงได้ไปหาซื้อยามากินและหยอดตาเอง แต่ก็ไม่หาย เป็นอยู่ได้ ๕ วัน ผมจึงให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอได้ตรวจดูและได้ฉีดยาให้รู้สึกว่าดีขึ้นนิดๆ

    เช้าวันนั้น ขณะที่ผมเดินก้าวขาจะไปขึ้นรถโดยสาร หัวเข่าของผมได้ไปกระแทกเข้ากับตัวถังรถอย่างแรง เพียงเท่านั้นตาของผมที่เหลืออยู่ด้านขวาก็มืดสนิทลงไป ทำให้โลกนี้ทั้งโลกที่เคยสว่างต้องกลับมืดเข้าไปอีก ผมได้ให้ลูกสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจังหวัดอุบลฯ

    หลังจากที่คุณหมอได้ตรวจดูแล้วก็บอกว่า "เซลล์ตาของคุณอักเสบมาก หมอช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดไปเท่านั้น"

    ใจผมหายแวบไปเลย นึกแต่ว่าเราตาบอดแล้วหรือนี่

    ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ละความพยายาม ให้ลูกสาวพาไปหา หมอดูทางใน กับหมอธรรมหมอผี หมอได้นั่งดูทางในแล้วบอกว่า "ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เพราะโรคที่ตาคุณเป็นในครั้งนี้ เกิดจาก โรคกรรม คุณลุงลองนึกทบทวนดูซิว่าในอดีตที่ผ่านมาได้เคยทำกรรมเกี่ยวกับตาของคนและสัตว์บ้างไหม"

    ผมได้ตอบหมอดูทางในไปว่า "เมื่อครั้งตอนเป็นเด็กได้เคย บีบตาตั๊กแตน จนมันตาบอดหลายตัวและกระทำเช่นนี้อยู่ ๒-๓ ปี และได้แกล้ง คนตาบอด ให้เขาเดินไปเหยียบกองขี้ควายแล้วก็หัวเราะชอบใจ สนุกสนานเฮฮา"

    หมอดูทางในเลยสรุปให้ฟังว่า "กรรมอันใดก็ตาม จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วที่เราได้กระทำเอาไว้ กรรมนั้นจะตามสนองเราไม่เร็วก็ช้า จะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน ดังคุณลุงได้รับผลวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้"

    พอผมรู้สาเหตุแห่งกรรม ผมรู้สึกเสียใจมาก เพราะกระทำไปโดยไม่สำนึกถึงความผิด-ถูก ชั่ว-ดี ตาของผมถึงได้บอดทั้งสองข้าง ผมขอชดใช้กรรมที่ผมก่อขึ้น และจะจดจำเอาไว้ชั่วชีวิต

    นี่แหละคือผลวิบากกรรมนำมาสนอง กฎแห่งกรรม ให้ผลสุข หรือทุกข์เมื่อถึงเวลาของมันเสมอกรรมดี กรรมชั่ว เราเป็นคนสร้างขึ้นเอง ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นเอง


    คัดลอกจาก หนังสือโลกทิพย์...เดือนตุลาคม 2549
    http://www.agalico.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...