กฎแห่งกรรม พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) คลายสงสัย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย satan, 14 สิงหาคม 2008.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พระเทพวิสุทธิกวี
    (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)

    คลายสงสัย

    -------------------------------------

    ในเรื่องกฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดนี้ มักจะมีผู้สงสัยในประเด็นต่าง ๆ ของการเกิดใหม่ และกฎแห่งกรรมรวมทั้งสงสัยในเรื่องบุญบาป และเรื่องนรกสวรรค์ จึงมักได้ยินคำถามหรือข้อสงสัย เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ่อย ๆ

    ฉะนั้น เพื่อจะให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจชัดยิ่งขึ้น และเพื่อให้ได้คลายสงสัยในเรื่องเหล่านี้ ผู้เขียนจึงได้รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่เคยมีผู้ถามหรือมีความสงสัยมาแสดงไว้ในที่นี้ พร้อมทั้งคำตอบของผู้เขียนดังต่อไปนี้

    ๑. ถาม "ถ้าคนเราตายแล้วเกิดจริง เมื่อตายไปเท่าใดก็ควรเกิดเท่านั้น แต่ทำไม ในปัจจุบัน จึงเกิดมากกว่าแต่ก่อนมาก วิญญาณมาจากไหน?"

    ตอบ "ตามหลักพระพุทธศาสนา ถือว่า วิญญาณมีมาก และมีมากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังพระบาลีว่า "อนนฺตํ วิญฺญาณํ- วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด" วิญญาณดวงหนึ่งก็คือชีวิตหนึ่ง วิญญาณนี้ก็คือจิตนั่นเอง และจิตนี้เป็นตัวไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ตามพลังแห่งกรรมดีและกรรมชั่วที่ผู้นั้นทำไว้

    จิตหรือวิญญาณนี้ หรือจะเรียกว่าชีวิตก็ได้ ไม่ใช่มีอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในโลกหรือในภพภูมิอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณเหล่านี้มีการถ่ายเท เคลื่อนย้ายจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่ง หรือจากภูมิหนึ่งไปยังอีกภูมิหนึ่ง ตามพลังแห่งกรรมของสัตว์โลกนั้น ๆ

    ฉะนั้น วิญญาณจากโลกนี้จึงไปเกิดในโลกอื่นได้ และในทำนองเดียวกัน วิญญาณหรือชีวะจากโลกอื่นก็มาเกิดในโลกนี้ได้เช่นกัน

    แม้วิญญาณในโลกนี้ ก็มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายอยู่มาก และมีอยู่ตลอดทุกวินาทีก็ว่าได้ เช่นคนตายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือสัตว์เดรัจฉานตายไปเกิดเป็นคน และสัตว์เดรัจฉานในโลกมนุษย์ ก็มีมากหลายแสนชนิด

    แม้แต่ปลา แมลง และมด ก็มีมากชนิดจนแทบนับไม่ถ้วน สัตว์เหล่านี้เมื่อตายแล้ว บางตัวก็มาเกิดเป็นคน ไม่ต้องดูอื่นไกล ในวันหนึ่ง ๆ มีปลาที่ขึ้นสู่ท่าเรือในเมืองท่าใหญ่ ๆ ของโลก แต่ละวันก็นับเป็นแสน ๆ ตันแล้ว วิญญาณของปลาเหล่านี้ ก็มีโอกาสที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ฉะนั้น

    มนุษย์จึงอาจเพิ่มขึ้นอีกเท่าไรก็ได้ หากมีตัวกรรมที่ดลบันดาลให้เขามาเกิดได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงวิญญาณที่มาจากโลกอื่น แม้แต่วิญญาณที่มีอยู่ในโลกนี้ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว"

    ๒. ถาม "คนที่ตายแล้ว จะต้องมาเกิดเป็นคนตลอดไป หรือว่าไปเกิดเป็นสัตว์โลกอย่างอื่นก็ได้?"

    ตอบ "คนที่ตายแล้ว ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเกิดอีก ตามกรรมที่เขาทำไว้ และสามารถไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ได้ทั้ง ๓๑ ภูมิ หาใช่เกิดเป็นคนตามเดิมอย่างเดียวไม่"

    ๓. ถาม คนที่เกิดเป็นหญิงหรือชาย จะเกิดเป็นหญิงหรือชายทุกชาติหรือไม่ ถ้าหญิงอยากเกิดเป็นชาย หรือชายอยากเกิดเป็นหญิง จะทำได้หรือไม่? "

    ตอบ "ตามหลักพระพุทธศาสนา ผู้ชายอาจเกิดเป็นหญิง หรือหญิงอาจเกิดเป็นชายได้ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมและความปรารถนาของแต่ละคน ถ้าหญิงต้องการเกิดเป็นชาย ก็ทำบุญเพิ่มเข้าไว้ แล้วอธิษฐานขอเกิดเป็นชาย ก็สามารถเกิดเป็นชายได้ในชาติต่อไป

    หรือชายต้องการเกิดเป็นหญิง ก็ทำบุญเข้าไว้ แล้วอธิษฐานขอเกิดเป็นหญิง ก็สามารถเกิดเป็นหญิงได้เช่นกัน หรือชายบางคนที่ประพฤติผิดในกามก็อาจเกิดเป็นหญิงได้ในชาติต่อไป เช่นพระอานนทเถระ ปรากฏว่าท่านเคยเกิดเป็นหญิงติดต่อกันถึ ๕๐๐ ชาติ เพราะประพฤติผิดในกาม

    แต่ก็มีสามีภรรยาบางคู่ หรือจำนวนไม่น้อย ทำบุญแล้วตั้งความปรารถนาให้เกิดมาเป็นคู่ครองกันทุกภพทุกชาติ ถ้าความปรารถนาของเขาสมประสงค์ สามีก็ต้องเกิดเป็นชายฝ่ายภรรยาก็ต้องเกิดเป็นหญิงอย่างแน่นอน"

    ๔. ถาม "นักวัตถุนิยมกล่าวว่า จิตไม่มี เพราะไม่มีตัวตนที่จะมองเห็นได้ สมองต่างหาก เป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่จิต ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธศาสนิกชน ท่านจะอธิบายเขาอย่างไรในข้อนี้ ?"

    ตอบ "ถ้าอย่างนั้น ปัญญา ความรู้ก็ไม่มีละซิ เพราะไม่อาจจะมองเห็นได้ก็ตาม แท้ที่จริงจิตเป็นนามธรรมเช่นเดียวกับปัญญาและมีอยู่จริง แม้ไม่สามารถจะมองเห็นได้ แท้ที่จริงตัวตนนั้น จะหาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีไม่ได้

    เพราะสิ่งในโลกทั้งหมด เมื่อกล่าวโดยย่อก็มีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือ นามกับรูป รูปนั้นเราสามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ส่วนนามเราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า

    แต่ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทที่หก คือ ใจ เช่น ความสุข ความจำ และความทุกข์ แม้ไม่มีตัวตนที่จะมองเห็นได้ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยใจ

    การที่จะพูดว่า สมองเป็นผู้สั่งงานนั้น ถูกแล้ว หากแต่สั่งงานตามคำสั่งของจิต เช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือสมองกล ถ้ามนุษย์ไม่ป้อนข้อมูล ลงไปให้มันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไร้วิญญาณ และสมองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกาย จึงไม่ใช่จิต

    กายทั้งหมดรวมทั้งสมองเป็นวัตถุ ไม่ใช่นาม และทำความคำสั่งของจิตอันเป็นนาม คือ ผู้รับใช้จิตนั่นเอง ดังคำพังเพยของไทยที่ว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

    แท้จริง จิตกับสมองไม่เหมือนกัน สมองเป็นส่วนหนึ่งของกายแต่เป็นเครื่องมือของจิต บางคนอาจจะค้านว่า "ถ้าไม่มีสมองสั่งงาน เช่น สมองพิการ หรือได้รับความกระทบกระเทือนจนสั่งงานไม่ได้ จิตก็ไม่มีอำนาจที่จะบังคับกายได้เลย จึงแสดงให้เห็นว่า สมองต่างหากเป็นตัวสั่งงาน ไม่ใช่จิต"

    ข้อนี้ขอตอบว่า "ก็เมื่อสมองอันเป็นเครื่องมือในการสั่งงานของจิตพิการเสียแล้ว จิตก็ขาดเครื่องมือในการสั่งงาน จึงไม่อาจบังคับกายได้ เพราะขาดเครื่องมือ ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่าย ๆ ก็คือ

    กายอันประกอบด้วยประสาทรับรู้ต่าง ๆ เปรียบเหมือนสายโทรศัพท์ ที่ต่อจากชุมสายโทรศัพท์ไปตามบ้านเรือน หรือสถานที่ต่าง ๆ สมองเปรียบเหมือนชุมสายโทรศัพท์กลาง จิตเปรียบเหมือนพนักงานคุมสายโทรศัพท์กลาง ถ้าหากชุมสายโทรศัพท์เสียใช้การไม่ได้แล้ว

    ข้อนี้ฉันใด มนุษย์เราก็เหมือนกัน แม้ร่างกายส่วนอื่นไม่พิการ แต่ถ้าสมองพิการเสียแล้ว จิตก็สั่งงานไม่ได้ เพราะขาดเครื่องมือในการสั่งงาน"

    อีกอย่างหนึ่ง ร่างกายนี้เปรียบเหมือนตัวรถ สมองเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ จิตเปรียบเหมือนคนขับ ตามปกติรถยนต์ ถ้าตัวรถยังดี เครื่องยนต์ไม่บกพร่อง และคนขับก็ชำนาญ ก็ย่อมนำรถไปสู่ที่หมายตามปรารถนาและปลอดภัย

    แต่ถ้าหากว่า ตัวรถดี แต่เครื่องเสียใช้การไม่ได้ หรือตัวรถก็ดีอยู่ เครื่องยนต์ก็ไม่เสีย แต่ไม่มีคนขับ รถนั้นก็เหมือนกับรถตาย เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือตัวรถยังดี เครื่องยนต์ก็ไม่เสีย แต่คนขับขี้เมา หรือขับด้วยความประมาท ก็อาจจะพารถไปชนคน ชนต้นไม้ หรือสิ่งต่าง ๆ ได้ หรือพลิกคว่ำ ตกถนน เป็นต้น

    ย่อมก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง บุคคลอื่น และทรัพย์สิน ได้เป็นอันมาก ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ข้อนี้ฉันใด มนุษย์เราก็เหมือนกัน ถ้ามีร่างกาย สมอง และจิตใจครบบริบูรณ์ดี ก็ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสงบสุขได้ รวมทั้งช่วยคนอื่นให้มีความสงบสุขได้ด้วย

    ถ้ามีแต่ร่างกายกับสมอง แต่ไม่มีจิตเป็นผู้สั่ง คนนั้นก็เหมือนคนนอนหลับ หรือเหมือนคนตาย หรือมีร่างกายบริบูรณ์ แต่สมองพิการ แม้จะมีจิตเป็นผู้สั่งงาน ก็สั่งไม่ได้ เพราะเครื่องมือคือสมองใช้การไม่ได้ หรือร่างกายและสมองบริบูรณ์ดีไม่บกพร่อง แต่จิตพิการ

    สุขภาพจิตไม่บริบูรณ์ เช่นเป็นคนวิกลจริตหรือเป็นโรคจิต หรือเป็นคนโลภจัด โกรธจัด หลงจัด เป็นต้น ก็ย่อมนำความพินาศความทุกข์เดือดร้อนมาให้แก่ตนเองและสังคมได้มาก"

    ๕. ถาม "ถ้าจิตมีจริงแล้ว ทำไมไม่อาจมองเห็นได้ หรือไม่อาจจับต้องได้ด้วยเครื่องมือใด ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ?"

    ตอบ "จิตเป็นนาม ไม่ใช่รูป จึงไม่อาจมองเห็นได้ เพราะไม่มีรูปร่าง ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีเสียง และไม่กินที่อยู่ จึงไม่อาจจะจับได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งสามารถรู้ได้สังเกตได้จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา

    เช่น เมื่อดีใจ เสียใจ มีความโกรธ ความโลภ หรือ มีความสุข เพราะแสดงออกทางกายให้ปรากฏเช่นเดียวกับความรู้ แม้ไม่มีตัวตน ก็เป็นของที่มีอยู่จริง เพราะแสดงออกมาให้ปรากฏว่ามีหรือไม่มี มีน้อยหรือมีมาก โดยเฉพาะตัวเราเองย่อมรู้ชัดด้วยตนเอง

    เพราะจิตเป็นตัวทำหน้าที่จำ คิดนึก สั่งงาน เก็บกรรมและกิเลสเอาไว้ และท่านผู้มีความสามารถบางคนใช้พลังจิตหรืออำนาจจิตที่มหัศจรรย์ออกมาให้ปรากฏ เช่น ดักใจรู้ใจคนอื่น เป็นต้น"

    ถาม "ถ้ากรรมดีและกรรมชั่วมีจริง ทำไม บางคนทำชั่วกลับได้ดี แต่บางคนทำดี กลับได้ชั่ว ?"


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ตอบ "ปัญหาข้อนี้มีผู้ชอบถามและสงสัยกันมาก จะต้องใช้หน้ากระดาษตอบยาวหน่อย เพราะมีประเด็นที่จะต้องพูดกันหลายแง่หลายมุม

    กรรมดีกรรมชั่วมีจริงแน่นอน เพราะกรรมหมายถึงการกระทำ ถ้าทำดีก็จัดเป็นกรรมดี เรียกว่ากุศลกรรม หรือบุญกรรม ถ้าทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว เรียกว่าอกุศลกรรม หรือบาปกรรม ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว ก็มีจริง คือ ใครทำดีก็ย่อมได้ดี ใครทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว เห็นกันอยู่เป็นจำนวนมาก

    แม้ในปัจจุบัน เป็นเพียงแต่ว่า กรรมนั้นจะให้ผลเร็วหรือช้าเท่านั้น ในการพิสูจน์ผลของกรรมจะต้องใช้กาลเวลาด้วย เพราะกรรมบางอย่างให้ผลเร็ว กรรมบางอย่างให้ผลช้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้

    กรรมบางอย่างให้ผลในชาติต่อไป ดังนั้นจึงกล่าวกันว่า "กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ผลของกรรม"

    การทำกรรมเหมือนการปลูกพืช คือ บุคคลหว่านพืชชนิดใดชนิดหนึ่งลงไปก็ย่อมได้รับผลของพืชชนิดนั้น เช่นปลูกถั่วไว้ ผลที่ได้รับก็ต้องเป็นถั่ว จะเป็นข้าวหรือเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ปลูกอ้อยไว้ ผลที่ได้รับก็ต้องเป็นอ้อย จะเป็นข้าวโพดหรืออย่างอื่นไปไม่ได้

    กรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำกรรมใดไว้ จะดีหรือชั่วก็ตาม จะต้องได้รับผลของกรรมนั้น คือทำดีต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว เป็นเพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาสำหรับกรรมบางอย่าง เพราะกรรมบางอย่างให้ผลช้า

    เช่น การศึกษาเล่าเรียน กว่าจะเรียนจบต้องใช้เวลาหลายปี จบแล้วก็ต้องหางานทำอีก เมื่อมีงานทำแล้วจึงได้เงินมาใช้ อันเป็นผลส่วนหนึ่งของการเรียน แต่กรรมบางอย่างเห็นผลเร็ว เช่นหุงข้าวในวันนี้ ก็ได้รับผลในเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมงในวันนี้

    แต่คนบางคน ทำชั่วแล้วยังมีความสุขความเจริญดีอยู่ ยังไม่ได้รับผลของกรรมชั่วที่ทำไว้ หรือคนทำดีบางคนยังต้องได้รับทุกข์ทรมานเดือดร้อนอยู่ ยังไม่ได้รับผลกรรมดีที่ทำไว้ จึงมีคนไม่น้อยเข้าใจผิดไปว่า "ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว"

    ทั้งนี้ก็เพราะความซับซ้อนในกฎแห่งกรรมนั่นเอง คือ การที่คนบางคนทำชั่วแล้วยังไม่ได้รับผลชั่ว ก็เพราะกรรมดีที่เขาทำไว้ยังให้ผลอยู่ แต่กรรมชั่วที่เขากำลังทำอยู่ยังไม่ถึงวาระให้ผล แต่เมื่อใดกรรมดีของเขาอ่อนพลังลงหรือหมดไป

    กรรมชั่วที่เขาทำไว้จะต้องถึงวาระให้ผลอย่างแน่นอน หรือคนทำดี แต่ยังเดือดร้อนลำบากอยู่ และเมื่อใดกรรมชั่วของเขาอ่อนกำลังลง หรือหมดไป กรรมดีของเขามีพลังมากขึ้น เขาก็ย่อมได้รับผลอย่างแน่นอน

    เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องนี้ จะขอยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ เรื่อง คือ เรื่องนายแดงสำนึกผิด และเรื่องนายมีนักเลงการพนัน

    นายแดง ใจกล้า ฆ่าคนตายที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วหนีการจับกุมไปหลบซ่อนตัวที่จังหวัดสงขลา สำนึกในความผิดของตัวว่า ตนได้ทำความชั่วกรรมนั้นจะตามมาให้ผลในวันข้างหน้า เขาจึงตั้งใจทำดีเพื่อลบล้างกรรมชั่วของเขา คือเมื่อเขาไปอยู่ที่สงขลา ก็ตั้งใจทำมาหากินอยู่ที่นั่น

    คนที่นั้นไม่มีใครรู้เบื้องหลังชีวิตของเขา เขาเข้าวัดทุกวันพระ ทำบุญฟังธรรม และรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำ และตั้งใจทำงานโดยสุจริต

    คนทางจังหวัดเชียงใหม่ ที่รู้พฤติกรรมชั่วของเขาในการฆ่าคนแล้วหนีไป จึงพูดกันว่า "ทำชั่วได้ชั่วมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" เพราะนายแดงทำชั่วแล้ว ไม่เห็นได้รับผลชั่ว แต่ไปหลบตัวสบายอยู่ที่จังหวัดสงขลา

    ๑๐ ปีต่อมา ตำรวจสืบทราบว่า นายแดงหนีไปหลบซ่อนอยู่ที่จังหวัดสงขลา จึงตามไปจับกุมได้ในขณะที่นายแดงกำลังนั่งฟังธรรมอยู่บนศาลาการเปรียญอยู่ในวันหนึ่ง แล้วใส่กุญแจมือนำไปดำเนินคดีตามกฏหมาย ฝ่ายชาวบ้านทางสงขลาแถบนั้นไม่รู้เรื่องเดิมมาก่อน

    เห็นแต่นายแดงเป็นคนดี เป็นอุบาสก รักษาศีล ๘ ทุกวันพระ มาวัด ฟังธรรม ทำบุญอยู่เสมอจึงพูดกันว่า "คนดีแท้ ๆ ถูกใส่ความ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ดูนายแดงเป็นตัวอย่าง ทำดีแท้ ๆ กลับได้ชั่ว" แต่ถ้าทั้งคนที่เชียงใหม่และที่สงขลา รู้ความจริงของนายแดงโดยตลอดแล้ว พวกเขาคงไม่เข้าใจผิดในเรื่องกฎแห่งกรรม

    เรื่องที่สอง คือ นายมี ชอบใจ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี มีนาและสวนอยู่หลายแปลง แต่เป็นคนขี้เกียจ ทั้งชอบเล่นการพนัน และมีลูกหลายคน เขาจึงยากจน และเป็นหนี้สินเขา ต่อมานายมี รู้สึกตัวว่า การที่ตนต้องลำบากเดือดร้อนยากจน ต้องเป็นหนี้สินเขา ก็เพราะตนขี้เกียจและชอบเล่นการพนัน จึงเลิกเล่นการพนัน

    หันมาช่วยลูกเมียทำนา ทำสวนอย่างขยันขันแข็ง เพราะมีที่ทำมาหากินอยู่พร้อมแล้ว เมื่อเขาทำนาทำสวนในปีนั้น ทั้งข้าวในนาและพืชผลในสวนของเขากำลังงอกงามอุดมสมบูรณ์ แต่ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยว นายมีก็ยังยากจนและเป็นหนี้เขาอยู่เช่นเดิม และยังมีความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเสียอีก

    เพราะต้องลงทุนลงแรงในการทำงานทั้ง ๆ ที่เขาและครอบครัวได้ทำทำมาหากินโดยความขยันหมั่นเพียรและสุจริต คนบางคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวิตเบื้องหลังของนายมี เห็นแต่นายมีขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน แต่ยังยากจนและเดือดร้อนอยู่

    จึงพูดกันว่า "ไหนว่า คนทำดีได้ดี แต่ทำไมนายมีทำงานโดยสุจริต และขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน แต่ยังยากจนและเดือดร้อนอยู่"

    ต่อมา เมื่อข้าวในนา และพืชผลในสวนของเขาเก็บเกี่ยวแล้ว และให้ผลดีมาก เขาก็มีกินมีใช้อย่างสบาย หมดหนี้สิน หลายปีเข้าเขาก็มีความร่ำรวยขึ้น เพราะความขยันหมั่นเพียร และเพราะรู้จักตั้งตัวประกอบอาชีพสุจริต

    ต่อมา นายมีกลับคบเพื่อนเก่า ที่เป็นนักเลงการพนัน ซึ่งมาชวนเล่นการพนันอีก เขาจึงเลิกกิจการในนาและในสวน หันมาเล่นการพนันตามเดิมอีกเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีกินมีใช้อยู่ เพราะเงินทองที่เก็บไว้ตอนขยันหมั่นเพียรนั้นยังเหลืออยู่มาก

    บางคนที่ไม่รู้จักประวัติเดิมของนายมี เห็นนายมีเล่นการพนันและไม่ยอมทำการงาน แต่ยังมีกินมีใช้อยู่สบาย จึงพูดว่า "ไหนว่า คนเราทำชั่วได้ชั่ว แต่นายมีขี้เกียจไม่ทำงาน และเล่นการพนัน กลับอยู่สบาย คนที่ขยันเสียอีกต้องเหนื่อยยากลำบากในการทำมาหากิน"

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนที่พูดเช่นนั้นไม่ทราบความจริงโดยตลอด การที่นายมียังมีกินมีใช้อยู่ก็เพราะกรรมดีครั้งก่อนของเขา คือความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน จึงมีเงินเก็บไว้ ทำให้เขาสบายดีอยู่ แต่ถ้าเขายังขี้เกียจอีก และยังไม่ยอมเลิกเป็นนักเลงการพนัน ในที่สุด เขาก็ต้องเดือดร้อน ยากจน และเป็นหนี้เป็นสินเขาอีกอย่างแน่นอน

    เพราะฉะนั้น การพิสูจน์กฏแห่งกรรมจะต้องใช้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ด้วย แต่เท่าที่ผู้เขียนสังเกต อย่างมากไม่เกิน ๓๐ ปี จะต้องได้รับผลดีหรือผลชั่วที่ตนทำไว้อย่างแน่นอน

    นอกจากกาลเวลาแล้ว ยังต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกหลายด้าน เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เป็นตัวประกอบในความซับซ้อนของเรื่องกฎแห่งกรรม เช่นยังอยู่กับเจตนาของผู้กระทำ

    ขึ้นอยู่กับกรรมนั้นว่า เป็นกรรมเล็กน้อยหรือมาก เบาหรือหนัก และยังขึ้นอยู่กับเหตุการณ์และสถานที่อื่น ๆ ที่เข้ามาประกอบอีกด้วย

    ในการพิสูจน์หรือเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมนั้น ถ้าจะให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจเรื่องกรรม ๑๒ ประการด้วย คือ กรรมให้ผลตามกาล ๔ อย่าง กรรมให้ผลตามหน้าที่ ๔ อย่าง และกรรมให้ผลตามลำดับ ๔ อย่าง

    อีกอย่างหนึ่ง จะต้องเข้าใจเหตุและผลของกรรมดีและกรรมชั่วนั้นรวมทั้งสภาพจิตใจ ของคนที่ทำกรรมดีและกรรมชั่วนั้นด้วย จึงจะเข้าใจกฎแห่งกรรมชัดยิ่งขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุ เมื่อมีเหตุแล้วก็ต้องมีผล จึงควรทำความเข้าใจเรื่องบุญบาปว่า คืออะไรด้วย

    ทั้งบุญและบาปก็มีเหตุและผลของมัน เหตุของบุญก็คือการทำดี ผลของบุญก็คือความสุข ส่วนสภาพจิตใจของคนที่ทำบุญ ก็คือ ความสะอาดผ่องใสของจิต

    แต่เหตุของบาปก็คือการทำชั่ว ผลของบาปก็คือความทุกข์ ส่วนสภาพจิตใจของคนที่ทำบาปก็คือความเศร้าหมอง สกปรกของจิต

    บางคนมองกรรมดีกรรมชั่วเฉพาะแต่ผลของมัน คือมองแค่ความสุขหรือความทุกข์เพียงฝ่ายเดียว แต่ไม่ได้มองเหตุของมัน หรือมองเฉพาะแต่เหตุของมัน คือ การทำดีหรือทำชั่วเพียงฝ่ายเดียว ไม่มองผลของมัน

    หรือบางคนมองเฉพาะแต่เหตุกับผลของกรรม แต่ไม่ได้มองถึงสภาพจิตใจของคนที่ทำบุญหรือบาป จึงทำให้เห็นไม่ตลอดสาย ฉะนั้น จึงต้องดูให้ตลอดสาย จึงจะเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมได้ชัด เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล หากปราศจากเหตุผลก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา

    แท้ที่จริง ถ้าจะมองถึงสภาพจิตใจของคนที่ทำดีทำชั่วแล้ว คนทำดีและคนทำชั่วย่อมได้รับผลทันทีที่ทำกรรมนั้น ๆ คือ จิตใจของคนที่ทำดีย่อมประเสริฐขึ้นในทันทีที่ทำดี ส่วนคนทำชั่วก็มีจิตใจต่ำลงในทันทีที่ทำชั่วนั้น

    แม้คนบางคนจะทำชั่วด้วยความร่าเริงยินดี แต่จิตใจที่แท้จริงของเขานั้นเศร้าหมอง ต่ำทราม ลดคุณภาพลง ส่วนคนทำดีบางคน แม้จะมองดูว่าลำบาก เหนื่อยยาก แต่จิตใจของเขาก็สะอาดและสูงขึ้น ย่อมส่งผลเป็นความสุขความเจริญอย่างแน่นอน

    ฉะนั้น การเข้าใจกฏแห่งกรรม จำจะต้องพิจารณารอบคอบด้วย จึงจะสามารถเข้าใจได้ชัด"

    ๗. ถาม "ทำไม กรรมชั่วจึงไม่ให้ผลทันตาเห็น คนจะได้เลิกทำกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดี?."


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ตอบ "เพราะเป็นธรรมชาติในกฏแห่งกรรมอย่างนั้นเอง เนื่องจากกรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ แต่กรรมบางอย่างให้ผลในชาติหน้า หรือชาติต่อไป เช่นเดียวกับการปลูกพืชและต้นไม้ คือ พืชบางอย่างให้ผลภายในระยะเวลาเพียง ๓ - ๔ เดือน เช่น ข้าวและถั่ว เป็นต้น

    แต่พืชบางอย่างให้ผลนานกว่านั้น เช่น อ้อยและสับปะรด เป็นต้น ต้นไม้บางอย่างกว่าจะให้ผลต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕ ปีขึ้นไป เช่น มะม่วงและมะพร้าว เป็นต้นแต่บางอย่างต้องใช้เวลานานกว่านั้นจึงจะให้ผล เช่น ตาลและไม้สัก เป็นต้น

    เราจึงไม่อาจจะเร่งผลของกรรมบางอย่างที่ยังไม่ถึงเวลาเผล็ดผลได้เลย"

    ๘. ถาม "ถ้าหากว่าคนทำชั่วตกนรกแล้ว ทำไม พระเทวทัตทำชั่วทุกชาติ แต่ยังกลับเกิดเป็นมนุษย์ได้ แถมยังเกิดในตระกูลสูงด้วย?"

    ตอบ "พระเทวทัตต์ไม่ได้ทำชั่วอย่างเดียว แต่ได้ทำดีไว้ด้วยทุกชาติ มากบ้างน้อยบ้าง ท่านจึงได้เกิดเป็นมนุษย์และเกิดในราชตระกูลด้วย เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ได้และเกิดในตระกูลสูงย่อมแสดงให้เห็นว่านั้นเป็นผลของการทำความดี

    เพราะคนเรานั้นจะทำกรรมชั่วอย่างเดียวไม่ทำกรรมดีเลย หรือทำกรรมดีอย่างเดียว ไม่ทำกรรมชั่วเลย แทบไม่มีเลย พระเทวทัตต์แม้ในชาติที่เกิดในสมัยพุทธกาลก็ได้บรรพชา บำเพ็ญความดีจนถึงกลับได้ฌานสมาบัติ และมีอำนาจฤทธิ์ด้วย

    แม้เมื่อจวนจะสิ้นใจ ท่านก็ได้ระลึกถึงพุทธคุณ รู้สึกสำนึกความผิดของตน ด้วยการถวายกระดูกคางของตนแด่พระพุทธเจ้าในขณะที่ถูกแผ่นดินสูบ ซึ่งการทำความดีของท่านในครั้งนี้เอง ท่านจึงได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าของเราว่า

    ในอนาคตข้างหน้าโน้น พระเทวทัตต์จะได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่งพระนามว่า "อัฏฐิสสระ"

    ถ้าเราเห็นใครทำชั่วแล้ว ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่า เขาไม่ทำดี หรือไม่เคยทำความดีไว้เลย หรือเราเห็นใครทำดีแล้ว ก็อย่าเข้าใจว่าผู้นั้นไม่เคยทำชั่วเลย แท้จริง มนุษย์เราทำชั่วบ้าง ทำดีบ้างสลับกันอยู่ เป็นเพียงแต่ว่าใครจะทำอย่างใดมากน้อยกว่ากันเท่านั้น

    คนเราจึงเกิดมามีสุขบ้าง มีทุกข์บ้างทุกคน เป็นเพียงแต่ว่า ใครจะมีสุขมากหรือทุกข์มากกว่ากันเท่านั้น"

    ๙. ถาม "ทำชั่วไว้แล้วจะไม่ให้กรรมชั่วนั้นตามทัน หรือจะหนีให้พ้นจากกรรมชั่วนั้น ได้อย่างไร?"

    ตอบ คนทำกรรมชั่ว แล้วจะหนีให้พ้นจากกรรมชั่วไม่ได้ หรือทำดีแล้วจะต้องการผลของกรรมดีที่ยังไม่มาถึง หรือยังไม่เผล็ดผลนั้นก็ไม่ได้ จะขอร้องรหรือขอผ่อนปรนต่อกรรมชั่วที่ทำไว้ก็ไม่ได้

    เพราะกฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่กฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น ถ้าเป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นก็อาจจะได้รับการงดโทษหรือผ่อนปรน หรือยืดหยุ่นได้บ้าง

    แต่อย่างไรก็ตาม กรรมชั่วที่เราทำไว้แล้วนั้น เราสามารถทำให้อ่อนพลังลงได้ โดยทำกรรมดีเพิ่มเข้าให้มาก ๆ กรรมชั่วก็จะอ่อนกำลังลง หรือตามเราไม่ทัน เพราะกฎแห่งกรรมมีอยู่ว่า "กรรมใดหนัก กรรมนั้นให้ผลก่อน"

    ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ไม่ว่ากรรมนั้นเราจะทำก่อนหรือทำทีหลังก็ตาม" สมมติว่าคนผู้หนึ่งทำชั่วเอาไว้ และกรรมชั่วนั้น ยังไม่ทันให้ผล หรือให้ผลบ้างแล้ว แต่ยังไม่หมดพลัง

    ภายหลังผู้นั้นก็ทำกรรมดีเข้าไปมาก ๆ และในขณะเดียวกันก็เลิกทำกรรมชั่ว กรรมชั่วที่ทำไว้นั้นจะอ่อนพลังลง หรือตามมาให้ผลไม่ทันเพราะต้องรอคิวให้ผลตามลำดับหนักเบา และเพราะมีกำลังน้อยลง

    เปรียบเหมือนยาพิษ แม้จะร้ายแรงชนิดกินเข้าไปถึงความตาย แต่ถ้าเราเอาน้ำใส่ลงไปในยาพิษนั้นมาก ๆ จนจืดจางลงไปร้ายแรงชนิดกินเข้าไปถึงความตาย แต่ถ้าเราเอาน้ำใส่ลงไปในยาพิษนั้นมาก ๆ จนจืดจางลงไป ยาพิษนั้นก็คลายพลังลง หรืออาจจะกลายเป็นยาแก้โรคไปเสียก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง กรรมที่ติดตามเรามา เหมือนสุนัขไล่เนื้อ ทันเหยื่อของมันเมื่อไร ก็กัดกินเหยื่อของมันเมื่อนั้น คือถ้าเนื้อตัวนั้นอ่อนกำลังลงหรือหยุดวิ่ง ฝูงสนัขที่ติดตามมาก็จะเข้ากัดกินเนื้อนั้นโดยพลัน

    แต่ถ้าเนื้อนั้นมีกำลังดี ทั้งวิ่งไม่ยอมหยุดและวิ่งได้เร็ว จนพ้นกำลังการติดตามของฝูงสุนัข มันก็ปลอดภัยได้ เว้นไว้แต่ว่า มันเกิดวิ่งกลับหลังมาสวนทางกับฝูงสุนัข ที่ไล่ติดตามมันมาเท่านั้น ความชั่วที่ติดตามเรามานี้ก็เช่นเดียวกัน

    ถ้าเราทำกรรมดีเข้ามาก ๆ และทำติดต่อกันอย่างไม่หยุด กรรมชั่วแม้ติดตามเรามาก็ตามมาทันยาก เพราะพลังมันอ่อน จึงตามมาไม่ทัน เว้นไว้แต่เราหยุดทำกรรมดี เหมือนอย่างเนื้อที่หยุดวิ่ง หรือเว้นไว้แต่เราทำความชั่วเพิ่มเข้าอีก ซึ่งเหมือนกับเนื้อวิ่งสวนทางเข้าไปหาฝูงสุนัขที่ไล่ติดตามมาเสียเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น กรรมชั่วที่เราทำไว้นั้น เราจึงสามารถหนีให้ห่างไกลหรือทำให้อ่อนกำลังลงได้ ด้วยการหยุดทำกรรมชั่ว แล้วทำกรรมดีเพิ่มเข้าไว้มาก ๆ กรรมชั่วนั้นก็จะตามมาไม่ทัน และจะค่อยอ่อนกำลังลงในที่สุด

    เว้นไว้แต่กรรมชั่วนั้นเป็นอนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ และฆ่าพระอรหันต์ เป็นต้น ซึ่งไม่มีกรรมอื่นใดที่จะลบล้างหรือสกัดการให้ผลของมันได้เลย"

    ๑๐. ถาม "มีอะไรเป็นเครื่องวัดว่า กรรมดีและกรรมชั่ว ให้ผลหนักหรือเบา มากหรือน้อย ไม่เท่ากัน?"


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ตอบ "สิ่งที่เป็นเครื่องวัดผลของกรรมว่า มีมากหรือน้อย มี ๓ อย่าง คือ

    ๑. วัตถุ
    ๒. ประโยค
    ๓. เจตนา

    วัตถุ หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องที่เป็นตัวกรรม เช่น

    ถ้าฆ่าคนหรือสัตว์ดิรัจฉาน คนหรือสัตว์ที่เราฆ่านั้นจัดเป็นวัตถุของปาณาติบาต ผู้ที่เราฆ่านั้นเป็นผู้ที่มีคุณมากหรือเป็นผู้มีคุณน้อย เป็นสัตว์ใหญ่หรือเป็นสัตว์เล็ก ถ้าฆ่าผู้มีคุณความดีมาก พ่อแม่ หรือ พระสงฆ์ บาปก็มาก แต่ฆ่าผู้มีคุณความดีน้อย เช่น โจร บาปก็น้อย ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง วัว ควาย บาปก็มาก แต่ถ้าฆ่ามดหรือยุง บาปก็น้อย

    ในการลักของเขา ถ้าของใหญ่หรือของน้อยแต่มีค่ามาก บาปก็มาก แต่ถ้าของที่ลักนั้น เป็นของน้อย หรือมีค่าน้อย บาปก็น้อย

    ในการประพฤติผิดในกาม ถ้าประพฤติผิดในท่านผู้มีคุณความดีมาก มีคุณธรรม เช่น พระภิกษุสามเณร บาปก็มาก ถ้าประพฤติผิดในท่านผู้มีคุณความดีน้อยหรือคนชั่ว บาปก็น้อย

    ในการพูดเท็จ ถ้าเรื่องที่พูดสำคัญ เกิดความเสียหายมาก หักลาญประโยชน์คนอื่นมาก บาปก็มาก ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ หรือพูดเพื่อสนุก หัวเราะเล่น บาปก็น้อย

    ในการเสพของมึนเมา ถ้าของที่เสพนั้นมีฤทธิ์มาก ร้ายแรง ทำให้มึนเมา หลงใหล ไร้สติได้มาก บาปก็มาก แต่ถ้ามึนเมานิดหน่อย ทำลายสติสัมปชัญญะน้อย บาปก็น้อย

    ประโยค หมายถึง ความพยายาม คือการกระทำทางกาย หรือทางวาจา ถ้าทำด้วยความพยายามมาก เช่น ต้องติดตามกระทำกรรมนั้นเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี บาปก็มาก ถ้าทำด้วยความพยายามน้อย เช่น ตบยุงแป๊ะเดียว ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก บาปก็น้อย

    เจตนา หมายถึง ความจงใจ หรือตัวเจตนา เพราะการทำกรรมไม่ว่าเป็นการกระทำกุศลกรรมหรือทำอกุศลกรรม ที่จะจัดเป็นกรรมส่งผลให้แก่ผู้ทำได้ จะต้องทำด้วยเจตนาหรือความจงใจ

    เช่น ถ้าฆ่าสัตว์ด้วยไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็นบาป หรือทำบุญด้วยไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็นบุญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสกฎแห่งกรรมในข้อนี้ไว้ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากกล่าวการกระทำที่มีเจตนาว่าเป็นกรรม"

    ดังนั้น เมื่อพูดในด้านเจตนากันแล้ว ถ้ากระทำกรรมด้วยเจตนาที่รุนแรง คือทำด้วยโลภะ โทสะ หรือโมหะกล้า บาปก็มาก ถ้าทำด้วยเจตนาที่เบาบาง คือทำด้วยโลภ โกรธ หลงน้อย บาปก็น้อย

    ฉะนั้น การจะตัดสินใจว่า การทำกรรมมีบาปน้อยหรือมาก ก็ขึ้นอยู่กับตัวประกอบทั้ง ๓ ประการดังกล่าวมา แม้ในการทำความดี คือทำกุศลกรรมหรือทำบุญ ก็มีนัยตรงกันข้ามกับการทำบาป จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงอีก"

    ๑๑. ถาม "ทำไม คนชั่วบางคนจึงร่ำรวยและเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิตและการงานมากกว่าคนทำดี?"

    ตอบ "เพราะเขาเคยทำความดีไว้มากในอดีตที่ผ่านมา ทั้งในชาตินี้และชาติที่ล่วงมาแล้ว ไม่ใช่เขาทำแต่กรรมชั่วเพียงอย่างเดียว เช่น คนทำชั่วบางคน ขยันหมั่นเพียรในการประกอบอาชีพ รู้จักบริหารงาน รู้จักบริโภคใช้สอยสมบัติ และเลี้ยงพ่อแม่ของตนเป็นต้น

    แม้เขายังทำกรรมชั่วบางอย่างอยู่ เช่น โกงกิน ฉ้อราษฏร์บังหลวง และข้อที่สำคัญที่สุดคือกรรมชั่วของเขายังไม่ถึงเวลาให้ผล แต่กรรมดีที่เขาเคยทำไว้ก่อหรือกำลังกระทำอยู่ กำลังให้ผลอยู่ ส่วนคนดีบางคนที่ยังต้องทุกข์ยากลำบากอยู่ทั้ง ๆ ที่ทำดี ก็เพราะเขาไม่ได้ทำกรรมดีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ทำกรรมชั่วด้วย

    เช่น ตกอยู่ในอบายมุข ชอบเล่นการพนัน เกียจคร้านทำการงาน ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ ไม่รู้จักใช้จ่าย และไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือกรรมดีที่เขาทำไว้ยังไม่ทันให้ผล แต่กรรมชั่วที่เขาทำไว้ในอดีตหรือในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่

    ดังนั้น จึงทำให้เราพบว่า มีคนชั่วบางคนร่ำรวย และรุ่งเรืองกว่าคนทำดีบางคน

    แต่เมื่อใดกรรมชั่วหรือกรรมดีที่เขาทำไว้ให้ผลแล้ว เขาจะต้องเห็นประจักษ์ด้วยตนเองอย่างแน่นอน เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่า

    "แม้คนชั่วเห็นกรรมชั่วว่าดี ตลอดเวลาที่กรรมชั่วยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดกรรมชั่วให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมชั่วนั้นว่าชั่วจริง ๆ

    แม้คนดีเห็นกรรมดีว่าไม่ดี ตลอดเวลาที่กรรมดียังไม่ให้ผล แม้เมื่อใดกรรมดีให้ผล เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดีจริง ๆ"

    ๑๒. ถาม "ถ้าตายแล้วเกิด ทำไม คนเราจึงระลึกชาติไม่ได้?"

    ตอบ "เพราะภพชาติปกปิดไว้ และเพราะการกระทำอื่น ๆ เป็นอันมากทับถมกันอยู่ในจิตใจปัจจุบัน แม้กระนั้น ก็ยังปรากฏว่า มีคนบางคนระลึกชาติได้ ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกแม้ในสมัยปัจจุบัน

    ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องในชาติก่อน ซึ่งล่วงมานานแล้วเลยที่เราระลึกไม่ได้ แม้แต่เรื่องในชาตินี้เป็นจำนวนมากเราก็ลืม นึกไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล เมื่อเช้าวันนี้ เรากินข้าวมากี่คำ เราก็จำไม่ได้เสียแล้ว และไม่ตั้งใจจำด้วย จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องในชาติก่อน"

    ๑๓. ถาม "คนที่ระลึกชาติได้ ต้องได้ฌานหรือเปล่า"

    ตอบ "ไม่เสมอไป เพราะเท่าที่ปรากฏหลักฐานในปัจจุบัน คนที่ระลึกชาติได้โดยทั่วไปอยู่ในวัยเด็ก ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาซึ่งไม่ได้ฌานสมาบัติอันใดทั้งสิ้น"

    ๑๔. ถาม "ทำชั่วแล้ว จะทำดีล้างชั่วได้หรือไม่?"

    ตอบ "ไม่ได้, แม้จะทำพิธีล้างบาปก็ไม่ได้ เพราะทำกรรมอันใดไว้ จะต้องได้รับกรรมนั้น แต่กรรมชั่วจะเบาบางลงได้ หรือ อ่อนกำลังลงได้ ถ้าเราทำกรรมดีเข้ามาก ๆ เปรียบเหมือนน้ำละลายความเค็มของเกลือให้เจือจาง"

    ๑๕. ถาม "ทำบุญแล้วอธิษฐาน กับทำบุญแล้วไม่อธิษฐาน อย่างไหนจะได้ผลดีกว่ากัน?"

    ตอบ "ถ้าเราทำบุญแล้ว หวังจะให้บุญนั้นส่งผลให้ตามที่ตนมุ่งหมายไว้ ทำบุญแล้วอธิษฐานดีกว่า เพราะบุญนั้นจะให้เราสำเร็จเป้าหมายโดยเร็วไว แต่ถ้าเราทำบุญหรือความดีแล้วไม่ได้หวังผลอะไร นอกจากเห็นว่ามันเป็นความดีแล้วก็ทำ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิษฐาน บุญที่เราทำไว้นั้น จะจัดคิวให้ผลของมันเอง"

    แต่การทำบุญแล้วอธิษฐานนั้นได้ผลตามเป้าหมายดีกว่า เหมือนนักศึกษาสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเราในปัจจุบัน เลือกวิชาที่ตนต้องการอันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม... เอาไว้เมื่อสอบได้ ทางคณะกรรมการก็จัดให้เข้าเรียนตามสาขาวิชาที่เรามีสิทธิเข้าเรียนและเลือกไว้

    แต่ถ้าหากว่า ในการสอบไม่มีกำหนดให้เลือกวิชาใดไว้ก็แล้วแต่กรรมการจะจัดให้เข้าเรียนตามความเหมาะสม ซึ่งบางทีก็อาจจะไม่ตรงตามวิชาที่เราต้องการก็ได้

    อีกอย่างหนึ่ง การทำบุญแล้วอธิษฐาน ทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีมาทุกภพทุกชาติ ก็ทรงอธิษฐานเพื่อสำเร็จสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าหากพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีแล้ว ไม่ทรงอธิษฐานเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ

    พระองค์ก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้จะบำเพ็ญความดีมามากก็ตาม ต้องยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนั่นเอง เหมือนคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเชียงใหม่ แม้จะเดินทางทุกวันก็ไม่อาจจะถึงเชียงใหม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มุ่งจะไปเชียงใหม่

    แต่อย่างไรก็ตาม ในการทำบุญแล้วอธิษฐานนั้น ก็ควรอธิษฐานในขอบเขตที่เป็นไปได้ จึงจะได้รับผลตามที่ตนมุ่งหมายไว้ แต่ถ้าทำเหตุไม่สมกับผล หรือไม่สร้างเหตุแห่งการทำดีคือบุญเลย แต่ต้องการผลเกินกว่าเหตุ หรืออธิษฐานพร่ำเพรื่อมากเกินไป (แบบค้ากำไรเกินควร)

    ก็จะไม่ได้รับผลที่ต้องการ การที่จะได้รับผลของบุญตามที่ได้อธิษฐานนั้น ก็ต่อเมื่อแรงบุญหรือพลังบุญที่ทำไว้เพียงพอ

    ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนจึงควรอธิษฐานเฉพาะเรื่องที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรอธิษฐานพร่ำเพรื่อไปเสียทุกเรื่อง มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้ผลในเรื่องที่หวังผลเกินกว่าเหตุ และจะเข้าลักษณะอ้อนวอน เหมือนอย่างศาสนาประเภทเทวนิยม ที่ถือพระเจ้าสร้างโลกทั้งหลายไปเสีย"


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    สรุปความ

    เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุผลและหลักฐานที่แสดงมาทั้งหมดนี้ จึงขอยืนยันตามหลักพระพุทธศานา และข้อพิสูจน์ว่า กรรมดีกรรมชั่วมีจริง คนเราตายแล้วต้องเกิด ถ้าผู้นั้นยังมีกิเลสอยู่ และถ้าผู้ใดหมดกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องเกิดอีก แต่ได้เข้าสู่พระนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

    ส่วนผู้ที่ยังมีกิเลส ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏอันไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เมื่อตายจากชาติปัจจุบันแล้ว จะไปเกิดเป็นอะไร และอยู่ที่ใดนั้น ข้อนี้ย่อมขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมดีและกรรมชั่วที่เขาทำไว้ ซึ่งจะส่งเขาไปเกิดในภพชาตินั้น ๆ

    เรื่องกฎแห่งกรรมและตายแล้วเกิดใหม่นี้เป็นกฎธรรมชาติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และความไม่เชื่อของคนเรา เช่น ไฟเป็นของร้อน หรือดวงดาวในจักรวาลอื่น ๆ มีอยู่จริง ใครจะรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม

    สิ่งเหล่านี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิมตามธรรมชาติของมัน ไม่ได้หายไปเพราะความไม่เชื่อ และไม่ได้ปรากฏมีขึ้นเพราะความเชื่อของคนเรา แม้คนเราเมื่อตายจะไม่อยากเกิดก็ต้องเกิดอยู่นั่นเองถ้ายังมีกิเลสอยู่ เหมือนอย่างคนที่ไม่อยากตาย แต่ก็ต้องตายในที่สุด เพราะความตายเป็นกฎธรรมชาติ

    แต่อย่างไรก็ตาม คนที่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิดจริง บาปบุญมีจริง นรกสวรรค์มีอยู่จริง คนทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริง" ย่อมดีกว่าหรือย่อมได้รับประโยชน์กว่าคนที่ไม่เชื่อเป็นอันมาก สวรรค์และนรกนั้นมีจริงแน่ เมื่อเชื่อว่าสวรรค์นรกมีจริง คนเราก็ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ก็ย่อมไปเกิดในที่ดี ไม่ตกนรกแน่

    ถ้าสมมติว่าสวรรค์และนรกไม่มีจริง คนที่ทำแต่ความดีก็มีความสุขในปัจจุบัน ไม่ต้องเดือดร้อน แต่คนที่ไม่เชื่อ แล้วไม่ยอมทำดี แต่กลับทำชั่ว ย่อมีแต่ขาดทุน คือเดือดร้อนในปัจจุบัน

    เมื่อนรกและสวรรค์มีจริง คนที่ทำชั่วตายไปก็ตกนรก ไม่มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้ ในชาตินี้ก็ขาดทุน ชาติหน้าก็ขาดทุน เพราะทำชั่วไม่ยอมทำดี ย่อมมีความทุกข์ความเดือดร้อน ส่วนคนที่เชื่อแล้วทำดีนั้นย่อมมีแต่ทางได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

    ยิ่งเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา ยึดมั่นในพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว แม้เรายังพิสูจน์ไม่ได้ หรือยังไม่เห็นประจักษ์ด้วยตัวเอง ก็ควรเชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เหมือนคนทั่วไปที่ยังไม่เห็นเชื้อโรคด้วยตนเอง ก็จงเชื่อหมอไว้ก่อน มันดีกว่าไม่เชื่อ

    เพราะว่าการที่จะให้คนเรารู้เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้และในจักรวาลอื่น ๆ นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ บางอย่างซึ่งสุดความสามารถ ของเราก็ต้องเชื่อท่านผู้รู้ไว้ก่อน และเมื่อเราเชื่ออย่างมีเหตุผล ตั้งอยู่บนรากฐานของปัญญาแล้ว แม้จะไม่เห็นประจักษ์ด้วยตา

    หรือไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่เมื่อได้ปฏิบัติกรรมฐาน ฝึกอบรมจิตของเราแล้ว หรือค้นคว้าเหตุผล ด้วยการใช้ปัญญาใคร่ครวญ หรือได้ประสบพบเห็นด้วยตนเองแล้ว ในที่สุด สิ่งเหล่านี้ สภาพเหล่านี้ จะปรากฏแก่เราชัดขึ้น เพราะพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น ย่อมพิสูจน์ด้วยเหตุผลและด้วยการปฏิบัติ.

    ----------------------------------------
    คัดลอกจาก: ฎกแห่งกรรม
    พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ)

    ดร.ราชินทร์ จันทร์สิงหกุล
    (พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน)
    ---------------------------------------

    _/|\_ _/|\_ _/|\_


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เรื่องทำแท้งตัดสินอย่างไร ในทรรศนะพระพุทธศาสนา

    พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)


    ถาม - เกี่ยวกับเรื่องกรรม จากพจนานุกรมของท่านอาจารย์ กรรม คือการกระทำ ที่ประกอบด้วยเจตนาหรือความตั้งใจ ถ้าการกระทำนั้นไม่ประกอบด้วยเจตนาหรือตั้งใจ เช่น ขับรถไป หมาวิ่งตัดหน้ารถ ระชนหมาๆ สิ้นชีวิต หรือว่าขับรถไปมืดมาก มีคนข้ามถนนหรือขี่จักรยานมาแล้วไม่เปิดไฟท้ายรถ เราชนเขาตาย ถ้าจิตของเราขณะนั้นนิ่งมาก คือไม่มีจิตเศร้าหมอง การกระทำถือว่าไม่เป็นกรรมเมื่อไม่มีกรรม ก็ไม่มีคนรับกรรม กรุณาอธิบาย


    ตอบ - กรรมก็มีความละเอียดเหมือนกัน เราต้อยอมรับก่อนว่าจิตของเรามีความละเอียดมาก ความละเอียดอ่อนนี้บางครั้ง แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้สึกเราพูดแบบกว้างๆ ก่อนว่าในกรณีนั้นถือว่าไม่มีเจตนา ก็ไม่เป็นกรรมที่ชัดเจนออกมา เหมือนกับเราเดินไปเดินมาทำธุระ ก็มีการเหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อยตายไปบ้างโดยไม่ได้เจตนา แต่ยังมีกรรมอีกชนิด ท่านเรียกว่า กตัตตากรรม แปลว่า กรรมสักว่าทำ คือ ความจริงมันมีเจตนาอยู่ แต่เจตนามันอ่อน ไม่ใช่เจตนาโดยตรงอย่างนั้น แต่เป็นเรื่องของจิตที่ยังมีความประมาทอยู่ ความประมาทนี้ถือว่า เป็นเจตนาเหมือนกัน

    ยกตัวอย่างง่ายๆ เราขุดบ่อน้ำหนึ่งไว้หลังบ้านของเรา ซึ่งเป็นสิทธิของเรา เป็นบ้านของเรา แต่บ่อน้ำนั้นเปิดโล่ง อาจจะมีคนมาตกตายได้ เรามีความรู้อยู่เข้าใจอยู่ และเรานึกถึงอยู่ด้วยว่า เอนี่! คนอาจจะมาตกตายได้ เราควรจะได้เอาอะไรมาป้องกัน ทำรั้วกั้นหรืออย่างน้อยทำสัญญาณอะไรไว้ แต่เราก็เรื่อยเปื่อยไม่ได้ทำ แล้วเกิดมีคนมาตกตายจริงๆ อย่างนี้ถือว่าพ้นกรรมไหม อย่างนี้ถือว่าไม่ผิดศีล เพราะไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา และก็ไม่เป็นกรรมชนิดเด่นชัดแต่ก็ยังไม่พ้นกรรมโดยสิ้นเชิง แม้เจตนาที่จะฆ่านั้นไม่มี แต่มันมีเจตนาที่เรียกว่า ความประมาทผสมอยู่ ที่ว่ารู้อยู่ว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ แล้วก็ปล่อยไว้ละเลยไว้ (คล้ายเจตนาปล่อยให้ตาย หรือเจตนาเอื้อโอกาสให้มีการตาย) ตัวความประมาทนี้จึงทำให้ยังไม่พ้นกรรม

    แต่ในกรณีที่เราได้พยายามทำของเราอย่างดีเต็มที่แล้ว เท่าที่วิสัยแห่งสติปัญญาของเราจะทำได้ เราก็พูดได้ว่าไม่เป็นกรรม หรือกรรมนั้นแทบจะไม่มีหรือมีน้อยเหลือเกิน ฉะนั้น ให้เบาใจได้ คือไม่ต้องไปห่วงกังวล ถ้าไปห่วงกังวลก็จะเป็นกรรมอีก เพราะคิดวุ่น ด้วยความห่วงกังวลหวาดกลัว ทำให้จิตใจเศร้างหมอง เราก็สร้างกรรมด้วยการคิดปรุงแต่งจิตอีก ที่พูดว่ากรรมนั้นแทบจะไม่มีหรือมีน้อยเหลือเกิน ทั้งที่เราพยายามทำของเราให้ดีแล้วนั้น ก็เพราะจิตนี้มีความละเอียดมาก อย่างที่พูดมาแล้ว ความประมาทก็คือความขาดสติ ยิ่งจิตละเอียดมาก มีสติไวพร้อมอยู่ ก็ยิ่งตัดความพลาดพลั้งจากความประมาทไปได้มากยิ่งขึ้น จนเมื่อสติพร้อมไวครองใจอยู่ตลอดเวลาเป็นปกติ จึงจะพ้นความประมาทได้จริง ดังนั้น เมื่อพูดกันในระดับสมบูรณ์คนทั่วไปซึ่งจิตยังมีความวุ่นอยู่มากบ้างน้อยบ้าง สติยังพร่องต่างๆ กันจึงยังมีช่องให้เกิดความพลาดพลั้งจากความประมาท หรือขาดสติไม่อย่างหยาบก็อย่างละเอียด และจึงพูดไว้ข้างต้นว่า กรรมแทบไม่มีหรือมีน้อยเหลือเกินอาจจะยังไม่พ้นเป็นกรรมโดยสิ้นเชิง

    เอาเป็นว่า ในกรณีอย่างนี้ เราต้องรู้ตระหนักในหลักความจริงไว้ว่า เอาสำหรับตัวเราเองมีความมั่นใจชัดเจนว่า เราตั้งใจดี ไม่ได้ตั้งใจร้าย ไม่ได้คิดร้ายแต่ในเมื่อเรายังมีสติไม่สมบูรณ์ทีเดียว ถ้าเราจะมีความประมาทหลงเหลืออยู่บ้างในกรณีนั้น ก็เอามาใช้เป็นปัจจัยในการพัฒนาตนต่อไป สำหรับเรื่องในระดับลึกละเอียดอย่างนี้เราก็ต้องไม่มองข้ามเหมือนกัน ถ้าเราไปตัดปล่อยวางใจเสียว่าเราพ้นแล้ว ก็จะไม่เอาใจใส่ แล้วเราก็จะไม่พัฒนาตัวเองต่อไป แต่ถ้าเราเผื่อใจไว้สำรวจมองดูว่า เราอาจจะยังมีความประมาทอยู่บ้างในกรณีนั้นๆ เราอาจจะยังมีข้อบกพร่อง ตามประสาปุถุชน แล้วเราตั้งใจสำรวจระวังต่อไป เกิดเจตนาที่เป็นกุศล พอเราตั้งใจเป็นกุศลว่า จะพยายามระมัดระวังไม่ประมาทฝึกฝนตนต่อไป ก็เกิดกุศลกรรมเป็นกรรมดีขึ้นมา เป็นทางของการพัฒนาต่อไป รวมความในเรื่องนี้ว่า จุดสำคัญจะต้องวางใจให้ถูกต้อง เมื่อมองกว้างออกไป โลกมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ เป็นโลกแห่งกรรมดี และกรรมร้ายคลุกเคล้ากันไป ถ้าเราตั้งใจทำความดี ไม่มีเจตนาทำกรรมชั่ว ไม่คิดเบียดเบียนทำร้ายใครในระดับทั่วๆ ไป ก็ควรพอใจไปขั้นหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเราพอใจเสร็จไปเสียเลย เอาแค่นั้นก็จะทำให้ไม่ได้ฝึกฝนพัฒนาตนเองต่อไป (กลายเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง)

    ดังนั้น ในการที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว การปฏิบัติถูกต้อง คือ อย่าไปมัวครุ่นคิดห่วงกังวล มัวเศร้าหมองอยู่ไม่รู้จักจบ ก็จะกลายเป็นอกุศลกรรมมากขึ้นด้วย แล้วก็เลยไม่ได้ทำกุศลด้วย ทางที่ถูก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต้องหันกลับมาตั้งใจทำกุศลให้เพิ่มจนมากกว่าอกุศล อย่างน้อยก็เอาเหตุการณ์มาเป็นเครื่องเตือนตนให้ตั้งใจระมัดระวังฝึกฝนตน และทำความดีอื่นๆ ต่อไป ให้กลายเป็นความคิดในทางกุศลเป็นกรรมดี ซึ่งเป็นส่วนของการพัฒนาตนยิ่งขึ้นไป ถ้าทำได้อย่างนี้ กรรมดีหรือกุศลที่เกิดขึ้นยังจะมากกว่าอกุศลกรรมที่มีเพียงเส้นฝอย และเราก็จะพัฒนายิ่งขึ้นต่อไปด้วย

    ........................

    ถาม - คนที่มีหิริโอตัปปะสูง ทำผิดนิดหน่อย ก็มีความรู้สึกระอาย และระลึกถึงอยู่เสมอ ส่วนคนที่สองเป็นคนที่ไม่มีหิริ ทำผิดเท่ากับคนแรก แต่ไม่รู้สึกอะไรเลย คนที่หนึ่งเวลาจะตาย ก็นึกถึงความผิดที่ทำเอาไว้ก็จะไปสู่ทุคติ ส่วนคนที่สองไม่นึกถึงเลย ลืมหมด เวลาตายแล้วก็น่าจะไปสู่สุคติภูมิ

    ตอบ - อันนี้ต้องมองด้วยอุปมา เป็นข้อเปรียบเทียบ คือว่า ผ้าที่ดำมากแล้ว เติมอะไรเข้าไป ไปโดนอะไรเข้าอีก ก็มองไม่เห็นหรือน้ำที่เป็นโคลนแล้วนี่มีอะไรใส่ไปอีก สีเขียวสีแดงใส่ลงไปก็เฉย แต่น้ำที่ใส่นั้นตรงกันข้าม ใส่สีแดงลงไปนิดเดียวก็เห็น เหมือนผ้าหรือกระดาษสีขาว มีอะไรเปื้อนนิดหน่อยก็มองเห็นชัด จิตของมนุษย์ก็ทำนองเดียวกัน จิตที่มืดมัวขนาดน้ำโคน น้ำครำ หรือเหมือนผ้าดำสกปรก มันเป็นสภาพจิตที่หยาบ และมืดดำของมันอยู่แล้ว เมื่อทำอะไรที่เป็นบาปมืดดำน้อยกว่านั้นหรือเหมือนอย่างนั้น ก็ย่อมไม่แปลก ไม่รู้สึก แต่การที่จะไปเกิดที่ไหนนั้นก็ไปตามภูมิจิต หรือระดับจิต จิตที่มืดดำอย่างนั้น ก็ย่อมไม่ไปสู่สุคติภูมิ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปเองตามธรรมดาของมัน ส่วนคนที่จิตใสสะอาด พอมีอะไรผิดแปลกนิดหน่อยก็เกิดความรู้สึกเศร้าหมองใจขึ้นมา มองเห็นเด่นชัด อันนั้นก็เป็นข้อดีที่แสดงว่ามีจิตใจประณีต แต่ก็ต้องมีวิธีปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ไปตกต่ำเพราะความเศร้าหมองนั้น เ

    รื่องนี้ขอให้พิจารณาในแง่พัฒนาการตน เพราะการปฏิบัติธรรม ในความหมายหนึ่ง ก็คือการพัฒนามนุษย์นั่นเอง คนเราที่ต้องการเข้าถึงประโยชน์ของชีวิตที่สูงขึ้นไป หรือจะทำอะไรที่สูงขึ้นไปในทางคุณค่าของชีวิต ก็จะต้องพัฒนาจิตของตนขึ้นไปให้ถึงระดับนั้นด้วย ถ้าจะเข้าถึงประโยชน์และคุณค่าของชีวิตอย่างสูง จิตก็ยิ่งต้องประณีตมากขึ้น ทีนี้ ในตอนแรกเมื่อเขาอยู่กับชีวิตในระดับสัญชาตญาณจิตของเขา จะหยาบจะมืดอย่างไร เขาก็ไม่รู้สึก แต่คนเราไม่ใช่จะอยู่อย่างนั้นตลอดไป วันหนึ่งเขาจะต้องการคุณค่าของชีวิตจิตใจที่สูงที่ประณีตขึ้นไป แล้วความประณีตหรือใสสะอาดของจิตใจก็จะมีความหมายขึ้นมาทันที พร้อมกับที่สิ่งที่ทำให้จิตหยาบมืดดำก็ส่งผลในทางลบขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตมืดดำอยู่แล้ว เขาจะไม่รู้สึกต่อสิ่งสกปรกที่เติมเข้ามา จนกว่าเขาจะพัฒนาจิตให้สูงขึ้น คือ เมื่อจิตของเขาต้องการอะไร ที่จะเป็นประโยชน์สูงกว่านั้นแล้ว เขาก็จะต้องมีระดับจิตที่พัฒนาขึ้นไป รับกันให้พอดี ทีนี้ ในตอนที่ยังไม่ได้พัฒนาตัวเองเขาก็ยังไม่เห็น และไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่พอเขาจะพัฒนาจิตปั๊บก็จะเกิดปัญหาทันที อะไรๆ ที่สะสมไว้ก็โผล่ขึ้นมาก่อกวนเป็นอุปสรรคแก่ตัวเอง ขออุปมาว่าอย่างนี้ เหมือนอย่างในเรื่องความสกปรก เช่นพื้นห้องประชุมที่เราเดินกันอยู่นี่

    แค่นี้เราก็ว่าสะอาดแล้วใช่ไหม ต่อมาเราเกิดต้องการให้เป็นโต๊ะทำงาน ความสะอาดแค่อย่างพื้นห้อง สำหรับเดินนี้ก็ไม่พอเสียแล้ว ต้องให้สะอาดขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งจึงใช้งานได้ ทีนี้ ถ้าเป็นแว่นตาล่ะ ความสะอาดแค่อย่างโต๊ะทำงานก็ไม่พอเสียแล้ว แว่นตาก็ต้องสะอาดกว่าโต๊ะทำงานขึ้นไปอีก จึงจะใช้งานได้ จิตของเราก็เหมือนกัน เมื่อจะใช้งานที่ประณีต เช่นในการบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไป หรือเมื่อต้องการบรรลุสุขที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้นไปในตอนแรก ยังไม่ได้เริ่มต้องการ ยังไม่เริ่มจะเอา ก็ยังไม่รู้ตัว คนที่มืดมัวอย่างนั้นไม่รู้สึกเลย มันหนักหนาจนกระทั่งไม่รู้สึก ก็เฉยๆ แต่พอจะเอาขึ้นมา จะต้องพัฒนาจิตให้มีระดับสูงขึ้นก็เจอปัญหา เจ้าพวกนี้กวนแล้ว จะพัฒนาไปก็ไม่ได้ มันตันหมด แสนจะยาก มันต้องอาศัยจิตที่ประณีตกว่านั้น เหมือนกับน้ำที่ต้องการให้เห็นอะไรๆ ชัดเจน ก็ต้องใช้น้ำที่ใสพอ ตอนแรกเรายังไม่รู้ตัวก็เลยไม่รู้สึก ไม่เห็นคุณโทษของมัน แต่พอจะพัฒนาขึ้นไปก็เห็นชัด เอาไปใช้ประโยชน์ที่ต้องการใหม่ไม่ได้ ถึงเวลาที่ต้องการจะพัฒนาก็เกิดตัวกวนขึ้นมา เพราะสั่งสมในจิตที่หมักหมมไว้มาก สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอุปสรรคกั้นตัวเอง ในทางกลับกัน คนที่มีหิริโอตตัปปะมาก หรือมีฉันทะ ใฝ่ดีมากอยากให้ชีวิตของตนดีงามบริสุทธิ์เมื่อไปทำอะไรผิดนิดๆ หน่อยๆ ก็มองเห็นเด่นชัด แล้วก็เกิดความรู้สึกขุ่นมัวเศร้าหมอง แล้วก็เอามาคิดปรุงแต่งทำให้เกิดความทุกข์มาก

    ในแง่นี้ก็ต้องก้าวหน้าต่อไปอีกขั้นหนึ่ง คือมีหลักว่า อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศล หรือกุศลเป็นปัจจัยไม่ให้เกิดอกุศลได้ ดังนั้น เมื่อเราทำความดี ถ้าทำใจวางใจไม่ถูกต้องก็จะทำให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน เราจึงต้องทำใจปรับใจให้ถูกด้วยโยนิโสมนสิการ วิธีปฏิบัติ วางใจให้ถูกต้อง ก็คือ ถ้าเกิดความผิดพลาดไปแล้วก็ตั้งใจว่า เอาละนั้นเป็นความผิด ต่อไปนี้เราจะสำรวมระวัง.แล้วเอามันเป็นบทเรียน และเป็นฐานของการที่จะพัฒนาตัวต่อไป แล้วก็จะได้ทั้งปัญญา และได้แรงส่งที่มีพลังในการทำความดีเพิ่มขึ้น อย่ามัวคิดหมกมุ่นขุ่นหมอง ให้ไม่สบายใจเพราะการคิดอย่างนั้นก็เป็นอกุศลกรรมด้วย ไม่ถูกต้อง ให้คิดว่าเรานี่โดยเจตนาที่แท้ ก็ใฝ่ดี ตั้งใจทำความดี แต่ด้วยความประมาท จึงพลาดไป ทำความผิดไปแล้วยอมรับเสีย แล้วตั้งใจให้ถูก อย่าไปขุ่นมัวเศร้าหมองอีก ตั้งใจว่าเราจะไม่ทำมันอีก พัฒนาตัวต่อไป อกุศลกรรมที่ทำก็จะไม่สั่งสมมาก แล้วยังได้พลังในการทำกุศลต่อไป ด้วยเข้าหลักพุทธภาษิตที่ยกมาให้ฟังในคำตอบก่อนนี้

    ถาม - เรื่องกรรมนิมิต และคตินิมิต เมื่อคนใกล้ตายทุกคนจะมีคตินิมิตหรือไม่ และเมื่อจิตจุติแล้ว จะปฏิสนธิตามคตินิมิตเสอมไปหรือไม่ มีผลทันทีหรือไม่ เพราะอะไร ตอบ - จิตนี่จะสืบต่อเกิดดับๆ ตลอดเวลา แม้ในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ แล้วท่านก็มองเรื่องการไปเกิด เหมือนกับตอนที่มีชีวิตอยู่ เป็นแต่ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นรูปธรรม ส่วนในแง่ของนามธรรมแล้วเหมือนกัน คือ เกิดดับสืบต่อไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เรื่องของปฏิสนธิจิต และจุติจิตก็เป็นเพียงขณะหนึ่งๆ ตามธรรมดา เพียงแต่จิตเกิดดับสืบต่อไปถึงจังหวะสำคัญซึ่งมีเหตุการณ์ที่แรง ทำให้จิตมีอาการแสดงตัวแรงขึ้นมาและมีกรรมนิมิตกับคตินิมิต คล้ายๆ ว่าจิตมาถึงจุดวิกฤต ธรรมดาในจิตของเรานั้น สิ่งที่สั่งสมเหล่านี้มันมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีภาวะวิกฤตที่จะทำให้ปรากฏ พอถึงจุดวิกฤตนี้ ภาพที่เรียกว่า กรรมนิมิต ก็ปรากฏขึ้นมา หมายความว่า สิ่งที่กระทำไว้ทั้งหมดไม่ได้หายไปไหน เมื่อถึงจุดวิกฤตก็ฉายเป็นภาพสะท้อนจากอดีตขึ้นมาเสร็จแล้ว จิตก็โยงจากภาพสะท้อนนั้นปรุงแต่งเป็นภาพสัญลักษณ์ที่สื่อถึงอนาคต เรียกว่า คตินิมิต คือภาพตัวแทนของสภาพที่จะไปเกิดข้างหน้า ซึ่งก็เป็นอีกขณะจิตหนึ่งเท่านั้นเอง คล้ายเป็นตัวบอกทิศทาง หรือเป็นภาพฉายคุณสมบัติของจิตที่มันบอกตัวเองหรือฟ้องตัวเอง มันแสดงอาการของมัน แล้วฉายภาพออกมาตามสภาพของภาวะที่มันจะเอาไปหา เหมือนกับบอกตัวฉันจะไปไหนก็จบ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะไปตามนั้น เพราะว่านั่นคืออาการของมันเองที่ปรากฏฉายออกมา

    ..................................

    ถาม - ในทางโลก ถ้าเราทำผิดต่อบุคคลหนึ่ง เราก็สามารถขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อกันได้ ในทางธรรม ถ้าหากว่าเรากระทำผิด ทำปาณาติบาตไปแล้ว เราจะสามารถขออโหสิกรรมจากวิญญาณนั้นๆ ได้หรือไม่ หรือต้องรับกรรมแต่อย่างเดียว วิญญาณที่ตายนั้นจะรับรู้ได้หรือไม่ ว่าเราขออโหสิกรรม

    ตอบ - ความจริงมันไม่ได้แยกกัน ระหว่างเรื่องโลกเรื่องธรรม มันเรื่องเดียวกัน แต่แยกในเรื่องความจริงต่างหาก คือแยกในแง่ของความจริงและข้อเท็จจริง เรื่องนี้มีสองส่วน คือ

    1. ในแง่ของความผิดต่อกันระหว่างบุคคล อันนี้คือการไม่ผูกเวร หมายความว่าไม่จองเวรกัน หรือให้อภัยกัน อันนี้แหละที่มักเรียกกันว่า เป็นการอโหสิ ที่จริงก็คือยกโทษให้ไม่ถืออาฆาตจองเวรหมายความว่า เลิกแล้วต่อกันไม่ตอบโต้ต่อเรื่องในระหว่างตัวบุคคล คำว่า ขออโหสิกรรที่ว่านี้ เป็นสำนวนภาษาไทย (ในภาษาภาลีเดิมไม่ได้มีความหมายอย่างนี้) ซึ่งก็คือขออภัยนั่นเอง ในกรณีของปาณาติบาต ผู้ถูกฆ่าตายไปแล้ว จะขออภัยไม่ให้อาฆาตจองเวรกันต่อไป จะให้เหมือนกับทำกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ คือไม่ได้เต็มที่ เพราะยากที่เขาจะรับรู้การขออภัยของเรา และแม้แต่ถ้าเขารับรู้เราเองก็ไม่รู้ว่า เขาได้ให้อภัยแล้วหรือไม่ การที่เขาจะรับรู้ได้นั้น เขาจะต้องพอดีไปเกิดอยู่ในภพบางภพ ซึ่งมีไม่กี่ภพที่รับรู้ได้ วิธีปฏิบัติในเรื่องนี้ คือ ไม่ต้องมัวไปห่วงว่า เขาจะได้รับรู้หรือไม่ เราก็ทำในส่วนของเราไป คือแผ่เมตตาตั้งใจให้อภัยกัน และอุทิศกุศลให้เขาไปแล้วตั้งเจตนาทำความดี ให้แรงของกุศลท่วมท้นเหนืออกุศล อย่างที่จะพูดในแง่ต่อไป

    2. ในแง่ของตัวความชั่วที่ทำไปแล้วก็มีผลของมัน เพราะกรรมหรือตัวการกระทำนั้นมันเป็นเจตนาที่เกิดขึ้น ในจิตของผู้ทำกรรมนั้นเอง และมันมีผลตั้งแต่ขณะจิตที่กระทำแล้ว คือ เมื่อคนมีเจตนาที่จะเบียดเบียนเกิดขึ้น หรือมีเจตนาทำร้ายเกิดขึ้น ก็มีผลเป็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเริ่มแต่ในจิตใจก่อนทันที ข้อพิจารณาในกรณีนี้ก็คือ เมื่อมันมีผลเป็นอกุศลอย่างนี้แล้ว ในการแก้ไขเราจะทำอย่างไร คำตอบก็คือทำกุศลขึ้นมาแทน เริ่มต้นก็อย่างที่พูดมาแล้ว คือ ยอมรับความจริงว่า เออ สิ่งที่เราทำไปแล้วเป็นอกุศล ยอมรับเสียก่อน แล้วก็ตั้งใจตั้งเจตนาว่าต่อไปเราจะแก้ไขและจะไม่ทำมันอีก แต่จะทำความดี พอตั้งใจอย่างนี้กุศลก็เกิดขึ้นแล้วและต่อจากนั้น เราต้องทำฝ่ายกุศลให้มาก ให้มีกำลังมากกว่าอกุศล ในกรณีที่คนทำความผิดต่อกัน เราทำผิดต่อเขาแล้ว ไปขอโทษ และเขายอมยกโทษให้ การแสดงความรู้สึกที่ดีมีเมตตาให้อภัยกันนั้น เป็นการทำกุศลขึ้นใหม่ ทำให้เกิดความรู้สึกในทางที่ดี พอไปพูดดีกัน เขาก็ว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือคุณนะ ใจเขาก็สบาย ใจเราก็สบาย มีความเอิบอิ่มผ่องใส ใจก็เป็นกุศลขึ้น สภาพจิตฝ่ายกุศลก็เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าบาปที่ทำไปแล้วมันไม่มี มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เราไม่สั่งสมฝ่ายบาปต่ออีก ฝ่ายบาปนั้น เรายุติเกิดขึ้นครั้งนั้นแล้วหยุดเลย ไม่ต่อ ถ้าต่อแม้แต่ในจิต คือคิดปรุงแต่งขึ้นมา มีความเศร้าหมองขุ่นมัว บาปก็เพิ่มขยาย บาปตั้งต้นนิดเดียวก็บานปลายไปกันใหญ่ ทีนี้ เราไม่ทำอย่างนั้น รู้ว่าบาปเกิดแค่นั้นแล้วเราหยุดเลย แล้วหันมาสั่งสมฝ่ายกุศลต่อ ทำจิตให้ดีงาม ตั้งใจดีงาม และแสดงออกโดยมีความสัมพันธ์กับเขาให้ดีงาม มีเมตตาต่อกัน เกิดความซาบซึ้งใจกัน เกิดกุศลแล้วก็กลายเป็นผลที่ดีเกิดขึ้นแทน

    ความเป็นไปทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของธรรมหรือกฎธรรมดา ของธรรมชาตินี่แหละ ไม่ใช่ว่าใครจะไปยกเลิกผลกรรมให้แก่กัน แต่เป็นเพราะว่า เมื่อเราไปมีความสัมพันธ์ที่ดีแล้วอกุศลก็ไม่สืบต่อ แล้วก็เกิดกุศลใหม่ขึ้นมา และเมื่อเราสืบต่อความดีนั้น เช่นมีเมตตาไมตรีและการสงเคราะห์กัน กุศลใหม่ก็มากขึ้นๆ ฝ่ายอกุศลที่เกิดขึ้นนิดเดียวก็เลยหมดความหมายหรือหมดอิทธิพลไป แต่ถ้าเราไม่ทำการแก้ไขอย่างนี้ จิตฝ่ายที่เป็นอกุศลก็จะพอกเพิ่ม ขยายตัวจากเชื้อนิดเดียวมากขึ้น ด้วยการคิดปรุงแต่ง เป็นต้น ทำให้เกิดความเสื่อมจากกุศลธรรม และทำให้อกุศลเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และกรรมก็มีอยู่ตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคยอุปมาแล้วว่าไม่ใช่เราไปล้างบาป ขอยกอุปมานั้นมาพูดอีก เหมือนอย่างว่ามีถ้วยแก้ว infinity หมายความว่าใส่น้ำได้ไม่สิ้นสุด ตอนแรกเราใส่น้ำสีแดงลงไป ใส่ลงไปๆ รู้สึกไม่ดี น้ำไม่บริสุทธิ์ ขุ่นมัวเศร้าหมอง มองไม่เห็นอะไรเลย การใส่น้ำสีนี้สมมติว่าเป็นการทำกรรมชั่ว ตอนนี้บาปของเราก็เยอะเสียแล้ว น้ำแดงไปหมดทีนี้เราก็นึกได้ เกิดความสำนึกขึ้นมาว่า เอ ความช่วงนี้ เราไม่ทำดีกว่า แต่จะทำอย่างไรล่ะ จึงจะแก้ไขได้ จะเททิ้งก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นชีวิตของเราเอง วิธีแก้ก็คือเราหันไปทำกุศล เหมือนกับเติมน้ำใสๆ ลงไปเรื่อยๆ และไม่ใส่น้ำสีลงไปอีกเลยต่อมานานเข้า ปรากฏว่าน้ำในแก้วใสไปหมด มองดูไม่เห็นสีแดงเลยจนนิดเดียว ใสแจ๋วทีเดียว เพราะอะไร น้ำแดงหายไปไหนหรือเปล่า ไม่ได้หายไปไหน ก็มีอยู่อย่างเดิม และเท่าเดิมในนั่นแหละ แต่มองไม่เห็นเลย ไม่มีความหมายเห็นแต่น้ำใส อันนี้ก็คือความจริงที่ว่า

    เมื่อเรารู้ตัวแล้ว เราก็เปลี่ยนเราไม่ทำอกุศลต่อ ทำแต่กุศล กุศลก็เพิ่มพูนขึ้นมา อกุศลก็หมดอิทธิพลไปเลย ไม่ต้องไปล้าง ไม่ต้องไปเอามันออก มันก็หมดความหมายไป แต่ถ้าจะให้เป็นการชำระล้างบาป ก็ต้องเป็นอีกระดับหนึ่ง คือระดับอริยมรรค ซึ่งถ้าเปรียบเทียบก็ต้องเปลี่ยนเป็นว่า ตอนโน้นเป็นการกำจัดอกุศล โดยเปลี่ยนภาวะเลย เหมือนชำระน้ำสีด้วยสารเคมี หมายความว่า ทำให้สีแดงหมดไปเลย แต่สำหรับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป มิใช่อย่างนั้น วิธีของมนุษย์ธรรมดา เป็นวิธีเอาน้ำใสมาเติมจนกระทั่งน้ำสีนั้นไม่มีความหมาย รวมความหมายว่า ไม่ต้องไปห่วงกังวล ถ้าเราทำบาปแล้ว ก็อย่าไปหลงระเริงมันอีก ก็หยุดเสีย แล้วทำฝ่ายกุศลให้เกิดขึ้น เมื่อกุศลมากขึ้นๆ ต่อไปฝ่ายบาปก็จะหมดอิทธิพลไปเอง

    ถาม - คำว่า อโหสิกรรม คือ กรรมที่ไม่ให้ผล อันนี้มีความหมายอย่างเดียวกันหรือไม่

    ตอบ - โดยมากเราเอาคำว่าอโหสิกรรมมาใช้ในความหมาย ที่เป็นการอภัยกันมากกว่า เป็นการใช้ศัพท์ผิด คล้ายๆ ว่าเราถือเอาความหมายของคำว่า อโหสิกรรมในแง่ที่ว่า เป็นกรรมที่ไม่มีผลต่อไป แล้วเอานัยแง่นี้มาใช้ให้หมายถึง การที่ไม่มีการผูกเวรกันต่อไป ความจริงใช้กันผิด อโหสิกรรม ที่จริงเป็นเรื่องของตัวกรรมที่เป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่การปฏิบัติต่อกันระหว่างหมนุษย์ อโหสิกรรม เป็นคำในยุอรรถกา ที่สืบออกมาจากความในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ในพระไตรปิฎก ในความหมายที่แท้ของท่านว่า ได้แก่กรรมที่ไม่แสดงผลออกมา (มีแต่กรรมวิบากไม่มี) เนื่องจากไม่ได้โอกาสที่จะให้ผล ภายในเวลาที่จะออกผลได้ เมื่อผ่านล่วงเวลานั้นไปแล้ว ก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป ถ้าโยงกลับไปหาคำตอบก่อนนี้ก็จะเห็นว่า เมื่อเราทำกุศลที่มีกำลังแรงมากๆ จนมีแต่กุศลเท่านั้นให้ผล อกุศลกรรมบางอย่างที่ไม่มีโอกาสให้ผล ก็จะหมดโอกาสแสดงผล และกลายเป็นอโหสิกรรมไป ตกลงว่ามีความหมายที่ไปกันได้

    .............................................

    ถาม - คนที่เกิดขึ้นในโลกมากขึ้นทุกปีๆ อยากทราบว่าวิญญาณมาจากไหน

    ตอบ - อันนี้สงสัยกันมานานแล้ว ถ้ามองในแง่หนึ่ง ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องของความขยายตัว และยุบตัวในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่สั้นๆ ในอนันตกาลของอนันตจักรวาล เดี๋ยวสัตว์ประเภทนี้มากขึ้นที่นี่ลดลงที่โน่น สัตว์ประเภทโน้นขยายที่นี่โน่น หดลงที่นี่ สำหรับคนนี้ขยายออกไปก็คงจะไม่เกินแสนล้านในโลกนี้ เมื่อเพิ่มไปถึงจุดหนึ่งก็ต้องมีเหตุให้ลด ถ้ามองในแง่ของสรรพสัตว์ ในอนันตจักรวาฬก็ถือว่าเป็นการขยายไปด้านหนึ่งหดอีกด้านหนึ่ง โป่งไปด้านหนึ่ง ยุบอีกด้านหนึ่ง ไม่มีอะไรมาก

    ถาม - กิเลสมีกำเนิดพร้อมกับชีวิตหรือไม่ ถ้าไม่ ทำไมคนที่เกิดจึงมีกิเลสได้

    ตอบ - มันมีมาในรูปของศักยภาพมากกว่า บางทีเราเอาความคิดความรู้สึกและประสบการณ์เฉพาะอย่างๆ ของเราไปจับก็ไม่ตรงกัน หรือมองไม่ทั่วถึง แม้แต่สิ่งสามัญเหลือเกินบางอย่างในโลกนี้เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของมัน สำหรับเรื่องนี้ อาจจะใช้วิธีเปรียบเทียบให้พอมองเห็นเค้า เหมือนอย่างเรามีต้นไม้ต้นหนึ่ง สมมติว่าเป็นต้นมะม่วง เพิ่งจะโตขึ้นมายังไม่มีลูกแล้วเราก็พูดกันว่า ต้นมะม่วงต้นนี้ต่อไปจะมีดอกมีลูกคือ เหมือนกับว่ามันมีดอกมีลูกอยู่ แต่ยังไม่ปรากฏออกมา ขณะนี้เรายังไม่เห็นดอกหรือลูกเหล่านั้น แล้วตอนนี้มันไปแอบอยู่ที่ไหน เราก็หาไม่พบ แต่มันมี พอถึงฤดูก็จะปรากฏออกมา อย่างนี้เป็นต้น ถ้าใช้ศัพท์เทียบเคียงก็อาจจะเรียกว่าศักยภาพ ทีนี้ในเรื่องกิเลสของมนุษย์ มันมีตัวมูลอยู่ ตัวมูลก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ แล้วสืบสาวลงไปอีก ก็มีอวิชชา ภายในอวิชชานี่ ก็มีศักยภาพให้เกิดกิเลสทั้งหลายปรากฏขึ้นในรูปแบบต่างๆ จะถือว่าเป็นการสำแดงตัวของอวิชชาก็ได้ และมันก็มีเป็นรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่ว่ากิเลสพันห้าหมายความว่า กิเลสมากมายเหลือเกิน พูดเท่าไรก็ไม่ครบเลยใช้คำว่า กิเลสพันห้า แต่จะไปหาตัวจริงให้ครบ ก็ไม่เคยพบรายชื่อที่เต็มสักที

    อาตมาเคยค้นในอรรถกถาดูว่ากิเลสพันห้ามีบัญชีไว้ที่ไหนก็ได้ไม่ครบ ท่านยกตัวอย่างมาสามสี่ร้อยอย่างก็พอแล้ว ถือว่ามันเป็นรูปร่าง หรืออาการแสดงออกต่างๆ ของสภาพอันเดียวกันคือ สภาพจิตที่มีอวิชชา คนเราเกิดมาเริ่มต้นก็ยังไม่มีความรู้ หรือมีแต่ความไม่รู้ เรียกว่าอวิชชา แต่การที่จะอยู่รอดด้วยดีในโลก คนจะต้องมีความรู้ เมื่อยังไม่มีความรู้ที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลาย มนุษย์ก็อยู่โดยดิ้นรนไปด้วยแรงขับของภวตัณหา (ความอยากดำรงอยู่ อาจแปลว่า need for survival หรือ บางท่านแปลว่า life wish) เมื่อดิ้นรนไปอย่างนั้น และมีอวิชชาอยู่เป็นพื้น มนุษย์ออกไปสัมพันธ์กระทบกับประสบการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ความต้องการอยู่รอดบนพื้นฐานของอวิชชานั้น ก็จะแสดงตัวออกมา เป็นกิเลสในรูปต่างๆ ซึ่งมนุษย์ได้ใช้เป็นเครื่องปกป้องตัวเองให้อยู่รอด ในการปฏิบัติให้ถูกต้องต่อสภาพแวดล้อมไปพลางก่อน จนกว่าจะมีปัญญาที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องด้วยความรู้โดยตรง เราจึงพูดได้ว่ากิเลสเหล่านั้นเป็นสภาวะที่เป็นศักยภาพของจิต อยู่อย่างนั้น ซึ่งเกิดขึ้นปรากฏได้ตลอดเวลา และถ้าใครไปสั่งสมอย่างไหนขึ้น ก็จะกลายเป็นลักษณะเด่นออกมาในทางนั้น เรียกว่าเป็นการสั่งสมของกิเลส แต่ตัวจริงก็อยู่ที่ตัวมูลของมัน ซึ่งเป็นแหล่งของศักยภาพ

    อย่างไรก็ตาม กิเลสเหล่านี้ไม่ใช่เป็นอันเดียวกับจิต มันไม่ใช่เป็นเนื้อตัวของจิต เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า เราสามารถชำระจิตไม่ให้มีกิเลสได้ กิเลสไม่ใช่เป็นเนื้อตัวของจิต แต่มันก็ไม่ใช่อยู่ต่างหากจากจิตมันเป็นศักยภาพของจิต เมื่อไรเกิดปัญญาขึ้นมาสว่างแจ้งอวิชชาไม่มี ศักยภาพนี้หมดไป กิเลสก็หายไปด้วย ก็หมดไปด้วยกัน เหมือนเราตัดต้นไม้ เราก็พลอยตัดดอกตัดผลไปหมดด้วย ดอกผลที่จะมีต่อไปก็ไม่มี ในเวลาที่เราตัด ต้นไม่นั้นยัง ไม่มีดอกไม่มีผล แต่ถ้าเรามองไปข้างหน้าแล้ว ดอกผลที่จะมีอาจจะเป็นมะม่วงอีกพันผล หมื่นผล ดอกผลเหล่านี้ก็เหมือนกับได้ถูกเราตัดทิ้งไปด้วย เรื่องนี้ถ้าเอามาคิดในกรณีพิพาทระหว่างคนคงจะยุ่ง คุณมาตัดต้นไม้นี้ก็เท่ากับว่าคุณมาลักผลไม้ลูกมะม่วงของฉันไปหมื่นลูก เพราะฉะนั้นฉันขอคิดราคาค่าเสียหาย เท่ากับลูกมะม่วงหมื่นลูก อะไรทำนองนี้


    http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/008970.htm
     
  7. ปิยธรรมโม

    ปิยธรรมโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +349
    เนื้อหาแน่นดีเหลือเกิน..อ่านครั้งใดพาให้ใจ อิ่มในรสพระธรรม ทุกคราไป..
    อนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ครับ สาธุ[​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2666_2.jpg
      2666_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.4 KB
      เปิดดู:
      73
    • 140-4.gif
      140-4.gif
      ขนาดไฟล์:
      15.6 KB
      เปิดดู:
      115
  8. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ



    ละความชั่วด้วยศีล ทำความดีด้วยทาน จิตเบิกบานด้วยภาวนา
     
  9. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823
     

แชร์หน้านี้

Loading...