พระคำข้าวมหาลาภ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 14 มีนาคม 2016.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    “ข้าว” มีคุณอนันต์กับคนเรามาตั้งแต่ยุคพระเจ้าสร้างโลก ความจริงโลกเราก็คงอยู่ของมันอย่างนี้แหละ แต่หลังจากไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกแล้ว “อาภัสราพรหม” ที่ท่องเที่ยวผ่านมา ได้กลิ่นหอมของดินเผาไฟ อดใจไว้ไม่ได้ก็แวะมาชิมดู...
    ท่านผู้อ่านคงจะพอจำกันได้ เมื่อหลายปีก่อนมีโฆษณาชิ้นหนึ่ง ขึ้นต้นด้วย “มีทุกข์ในเรือนกาย มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา ในสายเลือดยังเหือดหาย...” ลงท้ายด้วย “ดินเอ๋ยโอ้ดินนี้ ยังพอมีให้แบ่งปัน...” แล้วมีภาพเด็กกินดินกันอยู่...
    โฆษณาชุดนี้ฮือฮามาก ถึงขนาดผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองยุคนั้น ออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน ว่าประชาชนใต้การปกครองของท่าน อยู่ดีกินดีกันทั่วหน้า ไม่มีทางอดอยากขนาดกินดินกันหรอก โถ...ท่านไม่รู้อะไรน่ะ...!
    เด็ก ๆ เหล่านั้นรักษาสายเลือดบรรพบุรุษกันต่างหาก พออาภัสราพรหมกินดินเข้าไป ของหยาบก็ทำให้กายทิพย์หยาบ เหาะกลับพรหมโลกไม่ได้ พอนานไปก็ปรากฏเพศชัด ว่า ใครเป็นหญิงใครเป็นชาย เลยช่วยกันผลิตบรรพบุรุษให้เราไงเล่า...!
    พอจำนวนมากเข้าดินไม่พอกิน อาศัยบุญเก่าก็เกิดมีต้นข้าวเกิดขึ้น ข้าวสมัยนั้นเป็นข้าวสารเลย ไม่มีเปลือก ใครหิวก็ไปเก็บมาหุงกินกัน นานไปมีคนโลภกักตุนข้าวกันขึ้น ข้าวคงหมั่นไส้ เลยเกิดเปลือกหุ้มเมล็ดอย่างทุกวันนี้...
    เห็นมั้ยล่ะ...ว่าคนเรากินดินมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และข้าวก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้น...การที่เด็กกินดินก็ไม่ใช่ของแปลก ทุกวันนี้เขาก็ยังกินดินกันทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ และบรรดาคุณแม่ทั้งหลาย ใครแพ้ท้องอยากกินดินขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าเขาว่าเด็กเป็นพรหมมาเกิดเชียวนะจะบอกให้...
    ข้าวเป็นสัญลักษณ์แทนความมั่งคั่งบริบูรณ์ สมัยพุทธกาลเขานับข้าวเป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับเงินทองเลยเชียว มาสมัยนี้ ข้าวยังคงใช้เป็นเคล็ดของความสมบูรณ์พูนสุขเช่นเดิม พิธีกรรมต่าง ๆ มักมีข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ...
    ในเมื่อถือกันว่าข้าวเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งบริบูรณ์ โบราณท่านจึงมีการนำข้าวมาใช้ในพิธีต่าง ๆ เสมอ ทางพระก็มีการสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการใช้ข้าวมาเป็นส่วนผสมเช่นกัน...
    รูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากข้าวเป็นส่วนผสม ที่โด่งดังที่สุดคือ “สมเด็จวัดระฆัง” นั่นเอง ซึ่ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านใช้ข้าวคำที่รู้สึกว่าอร่อย คายออกมาตากแห้งบดเป็นผงผสมทำพระ จนเกิดสมเด็จวัดระฆังออกมา...
    ในสมัยต่อมามีหลายท่านที่เจริญรอยตาม ด้วยการทำพระจากส่วนผสมของคำข้าวบ้าง แต่จะหาใครที่โด่งดังเทียมเท่าต้นตำราไม่ได้เลย ของต้นฉบับกลายเป็นที่ต้องการมาก จนเกิดการทำเลียนแบบขึ้น ของปลอมเลยเต็มตลาด...
    “หลวงพ่อ” เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานก็สร้างพระจากคำข้าวเช่นกัน แต่หลวงปู่ทำแค่องค์เดียวเท่านั้น เวลาหลวงปู่ฉันข้าว ถ้ารู้สึกว่าคำไหนอร่อย ก็จะคายเก็บไว้ ตากจนแห้ง ทำอย่างนี้ตลอดสามเดือน แล้วเอาข้าวตากมาตำเป็นผง...
    จ้างช่างมาปั้นผงเป็นพระพุทธรูป ได้องค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีพระและเทวดาช่วยรักษา แล้วสั่งว่า เวลาท่านไม่อยู่ ถ้าอาหารในโรงครัวไม่พอฉัน ให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าวนี้ จะได้อย่างใจทุกอย่าง...

    สมัยนั้นหลวงปู่ไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ต่างจังหวัดไกล ๆ ไปทีหลายเดือนกว่าจะกลับ พอหลวงปู่ไม่อยู่ก็เกิดลาภผลน้อย ไม่พอจะเลี้ยงพระในวัด ท่านจึงเมตตาทำหลวงพ่อคำข้าวขึ้นมา หวังจะให้สงเคราะห์เวลาท่านไม่อยู่...
    “หลวงพ่อ” ท่านชอบพิสูจน์ ดังนั้น อาหารยังไม่ทันจะขาด ท่านก็จุดธูปขอซะแล้ว จะเอากับข้าวชนิดไหน จากบ้านเหนือบ้านใต้ ได้อย่างใจทุกครั้ง ขอเพลินจนถูกหลวงปู่ซัดด้วยไม้เท้า ไหนว่าไปนานทำไมแค่สี่วันมาซะแล้ว...!
    หลวงปู่บอกว่าเทวดาไปฟ้อง ว่าทำตัวไม่สมกับเป็นพระ ติดในรสอาหารจนเกินพอดี แล้วเทศน์กัณฑ์มหาราชซะหูอื้อไปตาม ๆ กัน ขามาจากเขาวงพระจันทร์มาอย่างไรก็ไม่รู้เร็วจัง พอเทศน์เสร็จต้องประคองไปส่งกุฏิ หลวงปู่ขาไม่ค่อยดีเดินไม่ค่อยไหว...!
    พอฟังประวัติอาตมาก็อยากได้หลวงพ่อคำข้าวขึ้นมาทันที ถ้าได้มาจะขอยำหัวปลีกับผักบุ้งต้มจิ้มพริกน้ำปลามะนาว อยากฉันมานานแล้ว แต่หลวงพ่อคำข้าวอยู่วัดบางนมโค อาตมาเลยฝันค้างไปคนเดียว...ฮิ...ฮิ...
    ปลายปี ๒๕๓๒ อยู่ ๆ “พระ” ท่านก็มาบอกให้หลวงพ่อทำพระคำข้าวขึ้นมาบ้าง เวลาฉันท่านจะมาชึ้เอาคำข้าวคำนี้กับข้าวอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วเก็บตากแห้งไว้ ให้ช่างออกแบบพระมาให้เลือก ดูว่าจะเอาแบบไหนดี...
    ในที่สุดก็ได้แบบพระสี่เหลี่ยมองค์ขนาดหัวแม่มือ ด้านหน้าเป็นพระพุทธชินราช ด้านหลังเป็นภาพหลวงพ่อนั่งอยู่ในกระจังรูปคล้ายพัดยศ จำนวนพระ ๑๐๐,๐๐๐ องค์ กะว่าจะแจกกันให้หนวดหงอกไปเลย ดูซิว่าเมื่อไรจะหมด...!
    พิธีพุทธาภิเษกทำที่วิหารร้อยเมตรในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระครูองค์หนึ่งจากจังหวัดนนทบุรี ขออนุญาตนำวัตถุมงคลของวัดท่าน จำนวน ๑ คันรถ มาเข้าพิธีด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็อนุญาตด้วยดี...
    เช่นเดียวกับทุกครั้ง อาตมาจะนำวัตถุมงคลส่วนตัวไปร่วมเข้าพิธีด้วย ในวิหารร้อยเมตรแบ่งวัตถุมงคลเป็นสองที่ คือ ของท่านพระครูและบุคคลภายนอก ๑ ที่ ของวัดอีก ๑ ที่ แต่ก็อยู่ชิดติดกันนั่นเอง...
    อาตมาแบกลังวัตถุมงคลส่วนตัว เข้าทางด้านหลังพระประธาน มองไปเห็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหลืองอร่ามไปหมด ก็ตั้งใจว่า จะวางลังไว้ใกล้ ๆ พระพุทธรูป พอเดินไปถึงอาตมาก็วางลังลง แล้วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นเอง...?!?
    จะไม่ให้งงเป็นไก่ตาแตกได้อย่างไร...? ในเมื่อวางลังวัตถุมงคลลงในกองแล้ว อาตมาไม่เห็นมีพระพุทธรูปแม้แต่องค์เดียว...! เหลียวไปดู...อ้าว...มาอยู่ข้างหลังนี่เอง แล้วอาตมาเดินผ่านไปตั้งแต่เมื่อไร...ของตั้ง ๑ คันรถเชียวนะ...!
    ประหลาดดีแท้...ของก็วางเต็มล็อค ไม่มีทางหลบหลีกไปทางไหน อาตมาเดินมาตรง ๆ กลับฝ่าของกองมหึมาไปโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรเลย ดังนั้น...แทนที่จะวางรวมกับของท่านพระครู ก็กลายเป็นวางกับกองของวัดจนได้ ถูกบังคับนี่นา...!
    พอพุทธาภิเษกเสร็จ คราวนี้เกิดสงครามย่อย ๆ ขึ้นทันที ต่างคนต่างต้องการพระ เธอถุงฉันถุง ฉันยังไม่ได้นะ ขอฉันสองถุงซิ...แบงค์ห้าร้อยปลิวให้ว่อน อย่างกับเกิดการรบระหว่างอิรักกับคูเวตขึ้นกลางวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ไม่ปาน...!
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมตตาศิษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ของดีของขลังของท่าน จึงมักตั้งราคาต่ำสุดไว้ก่อน เพื่อจะได้มีกันโดยทั่วถึง คราวนี้ก็เช่นกัน พระคำข้าวชุดนี้ตั้งราคาไว้องค์ละ ๑๐ บาทเหมือนเดิม (มาตรฐานวัดท่าซุง)
    พระหนึ่งแสนองค์หมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน...! คิดว่าจะได้แจกจ่ายซักหลายปี กลับหมดลงแทบจะทันทีที่ปลุกเสกเสร็จ ราคาแพงขึ้นทันทีอย่างน่ากลัว ทันทีที่หมดก็มีคนให้องค์ละ ๑,๐๐๐ บาท เข้าไปแล้ว...! “หลวงพ่อ”ทราบดังนั้น จึงมีเมตตาเตือนว่า “อย่าไปซื้อเขาแพง ๆ เลยลูก มันหมดเปลืองโดยใช่เหตุ เอาไว้ในพรรษาหลวงพ่อจะทำให้ใหม่ อดใจรอหน่อยนะลูกนะ...” สาธุ...พระเดชพระคุณท่าน ช่างเมตตาเหลือประมาณ...
    อาตมาพอได้พระคำข้าวมา ก็ฝากแม่เบ็ญ(คุณเบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์) ให้ไปทำกรอบทองให้ ผลออกมาคือช่างฝีมือห่วยชะมัดเลย อาตมาแค่บ่นว่า “ไม่สวยเลยแม่...” เท่านั้นเอง พระที่พกไม่ถึงครึ่งวันปาฏิหาริย์อันตรธานไปเมื่อไรก็ไม่รู้...หาเท่าไรก็ไม่เจอ...!
    ตั้งใจกราบขอขมา บนหลวงพ่อสี่พระองค์ขอให้ได้พระคืน ก็ได้ดังใจไม่ทันข้ามวัน เพราะน้าเล็กเห็นอาตมานั่งหน้าเหี่ยวแล้วสงสาร เอาของตัวเองถวายอาตมาซะเลย องค์นี้ไม่หายแน่ ๆ เพราะสวยถูกใจ...แฮ่...แฮ่...
    พระคำข้าวรุ่นนี้ มีอานุภาพคือ “ให้ลาภ ปลอดโรค ศัตรูพินาศ” คือถ้าเราเชื่อถือมั่นคงจริง ๆ หมั่นบูชาด้วยความเคารพ ลาภผลเงินทองจะไหลมาเทมา โดยเฉพาะขอจากงานที่ทำ มีหลายรายต้องขอให้เบาลง เพราะทำไม่ไหว...!
    ส่วนด้านโรคภัยไข้เจ็บ อาราธนาบารมีท่านคุ้มครองป้องกันได้ หรือถ้าป่วยอธิษฐานทำน้ำมนต์กินก็หาย ศัตรูคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง ของแบบนี้พิสูจน์ซะก่อนแหละเป็นดี จะได้ไม่ว่าอาตมาโฆษณาชวนเชื่อสิ่งเหลวไหล...
    ด้านลาภผลเงินทอง อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตั้งแต่ได้พระมา รับเงินเกินหมื่นหลายวาระด้วยกัน รายที่หนักที่สุด ช่วยใช้หนี้แทนทีหนึ่งห้าหมื่นบาท ที่ถวายเป็นทองรูปพรรณก็มี รวยไม่รู้เรื่องละคุณเอ๋ย...!

    ยังดีที่อาตมาใช้เงินเป็น พอรับมาก็หายวับไปกับตา ไม่ชอบให้คั่งค้าง ตอนนี้ก็กำลังมองงานใหญ่เอาไว้ ปลายปีนี้ได้ลุยแน่ และหลวงพ่อกำลังทำผลพระรุ่นใหม่อยู่ ได้ยินว่าปลายปีคงได้เช่นกัน เอาเถอะ...ญาติโยมรวย พระก็สบายไปด้วย...
    “หลวงพ่อ”บอกว่า “พวกคุณถ้าจะขอเรียนวิชานี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดอย่างไร เพราะตอนเสกคำข้าว “พระ” ท่านจะมาชี้เองว่าเอาข้าวตรงนี้ กับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ รุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว บางทีเหมือนกันสิบกว่าวัน อ้าว...เปลี่ยนบทใหม่อีกแล้ว...”
    “ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ...หลวงพ่อทำพระไว้เยอะ ๆ แล้วกัน ญาติโยมเขาคงกักตุนไว้เผื่อลูกเผื่อหลานของเขาเอง ในเมื่อต่างคนต่างมี ถึงสิ้นหลวงพ่อแล้ว ก็คงไม่เดือดร้อนถึงพวกผมที่จะต้องมาสร้างเองหรอกครับ...”
    “หลวงพ่อ” หัวเราะชอบใจบอกกับพระปลัดวิรัชว่างวดนี้ให้ทยอยทำไปเรื่อย ๆ “เอาซักห้าล้านองค์ดีไหมหว่า...?” หลวงพ่อถามแบบนี้ พระปลัดท่านถือว่าอนุญาตเลย มีหวังร้านรับพิมพ์พระหากินกับวัดท่าซุงวัดเดียวก็พอแล้ว...!
    ความปรารถนาของหลวงพ่อ คือ ต้องการให้ญาติโยมีความเป็นอยู่คล่องตัว คนเราพอไม่หนักใจในการดำรงชีวิต เขาก็มีแก่ใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเอง เงื่อนไขการใช้พระก็ต้องหมั่นสวดมนต์ – ไหว้พระ เท่ากับบังคับกันอยู่แล้ว...
    ใครจะโจมตีว่าเครื่องรางของขลัง การเสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากเป็นเดรัจฉานวิชา ก็โปรดดูอุบายแฝงที่ทำให้คนปฏิบัติความดีด้วย ถ้าท่านยังไม่ยอมเข้าใจ ก็เชิญท่านตามสบาย เพราะการหลับหูหลับตากัดเขาท่าเดียว ก็ไม่ต่างกับสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนัก...! หรือท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร...?
    ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ʹյ
     

แชร์หน้านี้

Loading...