สืบสานพุทธาคมจากรุ่นสู่รุ่น เกจิคณาจารย์ ฆราวาสจอมขมังเวทย์แดนใต้

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พุทธะปฐวี, 14 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    ..กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ บอกเล่าประวัติ ประสบการณ์ วัตถุมงคลของครูบาอาจารย์เกจิคณาจารย์ ฆราวาสสายใต้ เพื่อศึกษาเป็นวิทยาทานสืบต่อไป...

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2683-11.jpg
      2683-11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.9 KB
      เปิดดู:
      7,600
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2016
  2. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    พ่อท่านกลั่น อัคคธัมโม และ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช พุทธาคมเขาอ้อ มือปราบสิบทิศ ปราบโจนเสือจอมขมังเวทย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Lakmueang02.jpg
      Lakmueang02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.1 KB
      เปิดดู:
      1,489
    • 6bxxrx5.jpg
      6bxxrx5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.6 KB
      เปิดดู:
      1,584
    • ForumID0011290-PIC1.jpg
      ForumID0011290-PIC1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.2 KB
      เปิดดู:
      594
    • p1071_01.jpg
      p1071_01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.7 KB
      เปิดดู:
      706
    • Pan3.jpg
      Pan3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38 KB
      เปิดดู:
      499
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2016
  3. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    --พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช มือปราบสิบทิศ ปราบเสือร้ายจอมขมังเวทย์--

    ชีวิตของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นชีวิตที่มีค่าของแผ่นดินเมืองใต้และเมืองไทย ลมหายใจของท่านเคยโลดแล่นอยู่ท่ามกลางหมู่โจรผู้ร้าย ไม่เฉพาะแต่ผู้ร้ายในภาคใต้เท่านั้น แต่ที่ไหนประชาชนเดือดร้อนจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ตำรวจคนอื่นปราบปรามไม่สำเร็จ กรมตำรวจจะต้องส่งตัวขุนพันธ์ฯ ไปปราบปรามทุกถิ่นที่มีครั้งหนึ่ง พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรเขต 8 ท่านเคยเดินทางมาตรวจสืบราชการลับที่เกาะสมุย ขุนพันธ์ฯท่านชอบดูมวย วันนั้นท่านไปยืนดูมวยอยู่ข้างเวที บังเอิญถอยหลังไปเหยียบเท้านางพล้อยเข้าโดยไม่ตั้งใจ ป้าพล้อยแกเป็นคนปากจัด ใครแตะเป็นด่าไม่ไว้หน้า แกก็ด่าขุนพันธ์ฯ ขุนพันธ์ฯก็วางเฉยไม่โต้ตอบอะไร มีคนรู้จักกันเข้าไปเตือนสติป้าพล้อยว่า "คนที่ป้าด่าอยู่นั้นรู้มั๊ยว่าเป็นใคร...นั่นแหละขุนพันธ์ฯ" พอได้ยินชื่อขุนพันธ์ฯเท่านั้น ป้าพล้อยแกเงียบเป็นเป่าสาก รีบก้มหน้างุดๆ เดินมุดผู้คนหนีไปโดยไม่เหลียวหลังมาอีกเลย คำบอกเล่าสั้นๆนี้ทำให้เห็นว่า ขุนพันธ์ฯ ท่านมีตบะสูง เพียงได้ยินว่าเป็นขุนพันธ์เท่านั้น ใครๆก็ขยาดทั้งนั้น เพราะรู้กิตติศัพท์ของท่านมาก่อนนั่นเอง

    สมัยที่ขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนนั้นมีเสือใหญ่อยู่ 10 ตัว ในจำนวนเสือร้าย 10 ตัวนั้น มีเสือข่อย เสือจ้อย เสือหวน ฯลฯ รวมอยู่ด้วย เสือทั้ง 10 คนนั้น ล้วนเคยเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย เมืองนครศรีธรรมราช ผู้ซึ่งเป็นพระมีวิชาเก่งกล้าทางไสยศาสตร์ หรือกฤตยาคม ขุนพันธ์ฯ เคยเรียนวิชาด้วยผู้หนึ่ง เมื่อท่านขุนพันธ์ฯกลับมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญระดับภาค ท่านมีประกาศิตสั่งให้ผู้ร้ายทั้ง 10 คนนั้น เลิกประพฤติเยี่ยงโจร ให้กลับใจเลิกเป็นเสือเสีย โดยให้บวชเป็นพระภิกษุ ถ้าหากไม่ทำตามคำขอร้องนั้น ขุนพันธ์ฯ ก็จะยิงทิ้งทุกคน เล่ากันว่าประกาศิตของขุนพันธ์ฯทำให้เสือร้ายส่วนใหญ่ปฏิบัติตามแต่โดยดี มีเพียงเสือข่อยเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมทำตามคำของขุนพันธ์ฯ เสือข่อยไม่ยอมเลือกทางเดินที่ขุนพันธ์ฯเลือกให้ ซ้ำร้ายยิ่งท้าทายอำนาจของกฎหมายบ้านเมือง ด้วยความเชื่อว่า ตนนั้นเป็นศิษย์หลวงพ่อช่วย ผู้เรืองวิชาอาคมแก่กล้า เป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับขุนพันธ์ฯ จึงคิดว่าขุนพันธ์จะยกเว้นไว้สักคนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ขุนพันธ์ฯ ทำตามที่พูด ว่ากันว่าท่านยิงเสือข่อย แต่ยิงไม่เข้า จึงสั่งให้ลูกน้องฆ่าด้วยศูลแทงสวนทวารจนถึงแก่ความตาย คำเล่าลือเหล่าเสือร้ายในหมู่บ้านของชาวเมืองปักษ์ใต้ มีทั้งเรื่องจริงบ้าง หรือต่อเติมเสริมแต่งของผู้เล่าอ่านเองบ้าง มันคือตำนานอมตะของวีรบุรุษเล็กพริกขี้หนู ที่มีนามว่า "นายร้อยบุตร์ พันธรักษ์ราชเดช" หรือขุนพันธรักษ์ราชเดช ขุนพันธ์ฯ เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใด ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เนื่องจากท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของตำรวจนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. LordTartarus

    LordTartarus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +1,506
    ติดตามครับ
     
  5. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    ประวัติของ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช ผู้ปราบ "เสือเอื้อม" ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง "ป่าพรุควนเคร็ง" ในอดีต จนยอมแพ้ศิโรราบและจำต้องบวชไม่สึก จนกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งรู้จักกันในนาม "พ่อท่านเอื้อม กะตะปุญโญ" แห่ง "วัดบางเนียน" หนึ่งเกจิผู้เข้มขลังแห่งดินแดนทะเลใต้ ศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน ตักศิลาเขาอ้อ จอมขมังเวทย์ผู้เรืองอาคม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2016
  6. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    พ่อท่านเอื้อม เสือเอื้อมผู้เรืองอาคมศิษย์พุทธาคมตักศิลาเขาอ้อ

    1 ศตวรรษ 5 แผ่นดิน" พ่อท่านเอื้อม พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวท ทองทั้งแท่ง เพชรแท้แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เจ้าอาวาสวัดสุวรรณจัตตุพลปันนาราม (วัดบางเนียน)ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ถือกำเนิด ณ บ้านเลขที่ 68หมู่ที่12ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ปีระกา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2449 นับถึงปัจจุบันสิริอายุ 101 ปี หลังจบการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนใกล้บ้านแล้ว ประกอบอาชีพทำนาช่วยเหลือครอบครัว

    พ่อท่านเอื้อม อุปสมบทเมื่ออายุ 65 ปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2514 เวลา 13.45 น. ณ พัทธสีมา วัดปากเชียร อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช โดยมีพระครูถาวรบุญรัต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมานิต มานิโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา "กตปุญโญ" ตามประวัติพ่อท่านเอื้อม ก่อนอุปสมบทท่านเคยเป็นเสือเก่ามาก่อน และได้เคยปะทะกับท่านพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ต่างคนต่างมีวิชาสายสำนักเขาอ้อเหมือนกัน จนในที่สุดท่านทั้งสองคบหาเป็นสหายกัน ต่อมาท่าน พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ได้แนะนำให้ท่านไปบวชกับพ่อท่านคล้าย วัดจันดี แต่หลวงพ่อคล้ายท่านชราภาพมากแล้ว จึงแนะนำให้ไปบวชกับพระรูปอื่น ก่อนบวชท่านได้บอกว่าถ้าบวชกับพระรูปไหนจะไปสึกกับพระรูปนั้น ในที่สุดท่านก็ได้อุปสมบทกับพระครูถาวรบุญรัต ในเวลาต่อมาท่านพระครูถาวรบุญรัตได้มรณภาพลง พ่อท่านเอื้อมจึงลาสิกขาไม่ได้ตั้งแต่นั้นมาจวบจนปัจจุบัน

    พ่อท่านเอื้อม ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง ระหว่างธุดงค์ปักกลดตามป่า ถ้ำและเดินข้ามภูเขาน้อยใหญ่รวม 69 ลูก การปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดของพ่อท่านเอื้อมจึงเชื่อกันว่าพ่อท่านได้ บรรลุธรรมขั้นสูง นอกจากศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดแล้ว พ่อท่านเอื้อมยังได้ศึกษาค้นคว้าทางไสยเวท และวิทยาคมทั้งศาสตร์อิสลาม พราหมณ์ ขอมและพุทธ มาตั้งแต่อายุ 16 ปีจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้พ่อท่านเอื้อมมีความรู้แตกฉาน ลึกซึ้งและแกร่งกล้าทางด้านไสยศาสตร์ เวทมนตร์ คาถา อาคมในทุกด้าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2016
  7. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    อาจารย์เเย้ม พุฒยอด ฆาราวาสขมังเวทย์ ศิษย์หลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ปัตตานี “น้อยคนนักจะรู้จักท่าน”

    บทความจากกระทู้ อาจารย์เเย้ม ฆาราวาสสักยันต์สายวัดช้างให้ ผู้ได้รับถ่ายทอดวิชาจากหลวงปู่ทิม วัดช้างให้

    “อาจารย์แย้มผู้ปราบเสือหมุนให้ยอมสยบด้วยฝ่ามือเดียว” เรื่องนี้ผมได้ฟังมาจาก #ตาแจ้ง ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เดิมนั้นอาจารย์แย้มมีชื่อเสียง และโด่งดังมาก ในหลายๆเรื่องทางพิธีกรรม สักเลขเสกยันต์ แก้คุณไสยต่างๆ สะเดาะเคราะห์เสริมชะตา ปราบผี และอื่นๆอีกมาก เรื่องราวมีอยู่ว่า มีคนที่หาดใหญ่ซึ่งผมก็ไม่ทราบชื่อได้มาหาอาจารย์แย้มให้ไปแก้ของที่บ้าน เนื่องจากบ้านเขาโดนคุณไสย เขาจึงพาอาจารย์แย้มที่หาดใหญ่ ในครั้งนั้น อ.แย้มได้พาตาแจ้งติดตามไปด้วย จึงตระเตรียมของมุ่งหน้าไปหาดใหญ่เพื่อไปช่วยเหลือผู้นั้น เมื่อไปถึงหาดใหญ่ (เวลาเช้า) ก็ชวนตาแจ้งไปกินน้ำชาที่ร้านน้ำชากัน นั่งกินได้สักพัก มีชายผิวดำ ร่างกายกำยำ รูปร่างสูง พร้อมด้วยลูกสมุน 2 คน เดินเข้ามาในร้านน้ำชา นั่งอยู่โต๊ะข้างหลังอาจารย์แย้ม ชายผู้นั่นสะกิดอาจารย์แย้ม แล้วถามว่า "...ลุงๆ กินเหล้าหม้าย!!..." อ.แย้มจึงตอบกลับไปว่า "...กินแหระ..เอามาแระ..." ชายผู้นั้นจึงขอตังค์อาจารย์แย้มๆจึงให้ตังค์ไปซื้อเหล้า ชายผู้นั้นรับตังค์ไว้ แต่ยังไม่ไปซื้อเหล้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ อาจารย์แย้มหันกลับไปถามชายผู้นั้นว่า "..ไหนอ่ะ!! เหล้าเห็นว่าอิไปซื้อ.." ชายผู้นั้นไม่ตอบ ยังหันหน้าไปคุยกับลูกสมุนของตัวเองหน้าตาเฉย อ.แย้มเมื่อเห็นเช่นนั้น จึงถามต่อไปว่า "...ถ้าไม่ซื้อก็เอาเบี้ยหลบมา..." "..ไม่ให้นิ..!!" ชายผูนั้นตะคอกใส่.." ไม่ทันขาดคำ อ.แย้มลุกขึ้นเสกหมัดคาถาตบไปที่หน้าของชายผู้นั้นอย่างจัง ชายผู้นั้นล้มลง โต๊ะกับแก้วตกระเนระนาด ชายผู้นั้นหรือแม้แต่ลูกสมุนไม่กล้าแม้แต่มองหน้าด้วยซ้ำรีบหนีออกจากร้านด้วยความกลัว เจ้าของร้านและตาแจ้งเหตุการณ์จึงเข้าไปขออาจารย์แย้มไว้ เหตุการณ์ภายในวันนั้นยังใม่จบ ในเวลาเย็นชายผู้นั้นได้กลับเข้ามาในร้านน้ำชาด้วยความกลัวพร้อมถามเจ้าของว่าคนที่ตบตนเป็นใคร?? เจ้าของร้านเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงบอกว่า คนที่ตบเอ็งคือ "อ.แย้ม วัดช้างให้" ในวันรุ่งขึ้นเมื่อเสร็จพิธีช่วยเหลือลูกศิษย์เสร็จเป็นที่เรียบร้อย อ.แย้มใด้กลับเข้าไปที่ร้านเพื่อไปจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของร้าน.เจ้าของร้านไม่ติดใจในเรื่องนั้นและไม่ขอรับตังค์เพียงแต่ข้องใจเรื่องที่เกิดเมื่อวานว่าเป็นอย่างใร อ.แย้มเล่าให้ฟัง และถามว่ามันคือไคร เจ้าของร้านจึงบอกว่า ชายผู้นั้นคือ#เสือหมุน หาดใหญ่ซึ่งใม่มีใครกล้ายุ่ง หรือกล้ามองหน้าด้วยซ้ำเพราะเสือหมุนมันโหด ความโหดเหี้ยมของเสือหมุนจึงเป็นที่รู้จัดกันดีของชาวบ้านแถบนั้น อ.แย้มนั่งคุยกับเจ้าของร้านได้สักพัก เสือหมุนก็เข้ามาพร้อมกับขอขมาแก่อาจารย์แย้มที่ได้ล่วงเกินไป เพราะตนเองไม่รู้ว่า คือ อาจารย์แย้ม วัดช้างให้ ได้ยินแต่ชื่อเสียงไม่เคยเห็นหน้าตา พร้อมทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์แย้มตั้งแต่วันนั้น!!! ศิษย์ สำนักสักยันต์ อ.พัน วัดช้างให้ (ที่มา นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว ขอนุญาตินำมาเผยแพร่)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช พ่อขุนพันรำดาบ ยามมีพิธีกรรมตามต่างๆ ท่านมักจะประกอบพิธีรำดาบเสมอ ...ภาพที่หาชมได้ยาก...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    ตำนานลูกไม้มงคล๓ประการ ตักศิลาเขาอ้อ อิทธิคุณอาถรรพ์ พระอาจารย์บุญทอง พระครูกาชาต วัดดอนศาลา กล่าวไว้

    ลูกไม้มงคล๓ประการ เป็นเครื่องรางของขลังที่มีมานมนานของเขาอ้อ ตั้งแต่โบราณ มีการกล่าวถึงว่าครูผู้เฒ่าเขาอ้อ สร้างสืบกันมา แต่เป็นที่น่าเสียดายไม่สามารถเห็นของได้ มีแต่คำร่ำลือว่าท่านสร้างไว้ แต่ที่มีหลักฐานชัดเจน คือของท่านอาจารย์เอียด วัดดอนศาลา เพราะท่านสร้างแจกอยู่เรื่อยๆ จึงมีของตัวอย่างไว้ดูอยู่หลายชิ้น
    ลูกไม้มงคล จะประกอบด้วย๑.ลูกสวาท ๒.ลูกลาน ๓.ลูกประคำดีควาย มีกรรมวิธียุ่งยากมาก ต้องนำลูกไม้ทั้งหมด มาเจาะเป็นรู และคว้านเนื้อในให้หมด แล้วจึงนำผงมาอุด และผงที่อุด แต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ผงที่ลบต้องมีถึง๓ชนิด เมื่ออุดผงเรียบร้อยแล้ว จะเอาครั่งอุดรูไว้ แล้วจึงนำมาปลุกเสก การปลุกเสกก็ต้องแยกเสก
    มาเสกรวมกันไม่ได้

    อิทธิคุณของลูกไม้
    ๑.ลูกสวาท จะมีอานุภาพทางเมตตา มหานิยม
    ๒.ลูกลาน จะมีอานุภาพทางแคล้วคลาด และไว้ใช้ทำน้ำมนต์
    ๓.ลูกดีควาย จะมีอานุภาพทางคงกระพัน ป้องกันภูติผีปีศาจ ป้องกันกันเสนียดจัญไร

    พระอาจารย์บุญทอง ท่านพูดถึงเรื่องลูกไม้ว่า ในตามตำรา ลูกไม้มงคลต้องบูชาอยู่ด้วยกัน จึงมีอานุภาพสูงสุด ถ้าแยกใช้จะมีอานุภาพเหมือนเครื่องรางทั่วไป นับว่าน่าเสียดาย เพราะลูกไม้มงคล๓ประการ เมื่ออยู่รวมกัน จะมีอานุภาพสูงสุด บ้านใดบูชาไว้ จะมีแต่ความสุขความเจริญ ครอบครัวจะเกิดความปรองดอง ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง รุ่นหลังๆพระอาจารย์บุญทอง จะออกลูกไม้มงคล ท่านจะนำมาบรรจุกล่อง และทากาวติดไว้(ดังรูป)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    เล่าตำนานจากรุ่นสู่รุ่น ปรมาจารย์แห่งตักศิลาเขาอ้อ (อาจารย์ทองเฒ่า)
    ประวัติ "พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง
    วัดเขาอ้อ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ยังมีการกล่าวถึงอยู่ในพงศาวดารพัทลุง ดังปรากฏในหนังสือ "พระสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (อาจารย์ทองเฒ่า) อาจารย์ผู้เฒ่าวัดเขาอ้อ" ซึ่งอาจารย์ชุม ไชยคีรี ศิษย์เอกทางไสยเวทคนหนึ่งของสำนักวัดเขาอ้อได้ค้นคว้าและเรียบเรียงขึ้นมาเป็น ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ มีความว่า "เท่าที่ค้นพบจากพงศาวดาร และจากคำบันทึกของพระเจ้าของตำรา พระอาจารย์ทุกองค์ในสำนักวัดเขาอ้อมีความรู้ความสามารถในทางไสยศาสตร์ให้แก่ทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นเจ้าเมือง และนักรบมาแต่ครั้งโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตลอดมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พระอาจารย์ที่ปรากฏองค์ที่ 1 ชื่อ พระอาจารย์ทอง ในสมัยนั้นทางฟากตะวันตกของทะเลสาบตรงกับวัดพระเกิด ตำบลฝาละมี อำเภอปากพะยูน ปัจจุบันนี้

    ประวัติพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ
    ครั้งนั้นตามพงศาวดารเมืองพัทลุงกล่าวว่า ยังมีตายาย 2 คน ตาชื่อ สามโม ยายชื่อ ยายเพ็ชร์ ตายายมีบุตรหลานบุญธรรมอยู่ 2 คน ผู้ชายชื่อ กุมาร ผู้หญิงชื่อ เลือดขาว นางเลือดขาวกล่าวว่าเป็นอัจริยะมนุษย์ คือ เลือดในตัวนางมีสีขาว ผิวขาวผิดกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ ตาสามโมเป็นนายกองช้าง หน้าที่จับช้าง เลี้ยงช้างถวายพระยากรงทอง ปีละ 1 เชือก เมื่อบุตรธิดาทั้งสองเจริญวัยพอสมควรแล้ว ตายายจึงนำไปฝากให้พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ สอนวิชาความรู้ให้ พบบันทึกในตำราว่าเริ่มนำตัวไปถวายพระอาจารย์ทองเมื่อวันพฤหัสบดี ปีกุน เดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ จุลศักราช 301 (พ.ศ.1482) จะศึกษาอยู่นานเท่าใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางอยู่ยงคงกระพัน กำบังกายหายตัวและอื่นๆ เป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาตายายให้บุตรบุญธรรมทั้งสองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน พระยากรงทองโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองชื่อพระกุมารและนางเลือดขาว ตั้งเมืองอยู่ที่บางแก้วฝั่งทะเลสาบตะวันตก ชื่อเมืองตะลุง ได้สร้างวัดและเจดีย์วัดตะเขียน (วัดบางแก้ว ตำบลเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เดี๋ยวนี้) การที่ให้ชื่อเมืองว่า เมืองตะลุง อาจจะเป็นเพราะว่าเดิมเป็นหลักล่ามช้าง ต่อมาจึงกลายเป็นเมืองพัทลุง พระกุมารและนางเลือดขาวเป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา สร้างวัดวาอาราม พระพุทธรูป พระเจดีย์ ในเขตเมืองพัทลุง เมืองนครศรีธรรมราช และเมืองตรัง หลายแห่งด้วยกัน เช่น วัดบางแก้ว วัดสทังใหญ่ เมื่อปีพ.ศ. 1493 สร้างวัดพระพุทธสิหิงค์ จังหวัดตรัง 1 วัด สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ 1 องค์ พอจะจับเค้ามูลได้ว่าวัดเขาอ้อมีมาก่อนเมืองพัทลุง เพราะกุมารมาศึกษาวิชาความรู้ก่อนเป็นเจ้าเมือง" และยังมีตอนหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องถึงประวัติของหลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างให้ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แต่ครั้งยังอยู่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ว่า
    "เมื่อจุลศักราช 991 (พ.ศ.2171) พระสามีรามวัดพะโคะ หรือที่เราทราบกันเดี๋ยวนี้ว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นยกย่องถวายนามว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ ท่านได้ไปเรียนพระปริยัติธรรม ณ กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้แตกฉานในอรรถธรรม ครั้งนั้นยังมีพราหมณ์เป็นนักปราชญ์มาจากประเทศสิงหล (ลังกา) มาตั้งปริศนาปัญหาธรรมที่แสนยาก พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้พระสามีรามเถระแก้ปัญหาธรรมนั้นๆ จนชนะพราหมณ์ชาวสิงหล จึงพระราชทานยศเป็นพระราชมุนี เมื่อกลับมาเมืองพัทลุงได้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระรัตนมหาธาตุไว้บนเขาพะโคะ สูง 1 เส้น 5 วา มีระเบียงล้อมรอบพระเจดีย์ ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้นฉลองพระเจดีย์นั้น ท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ พัทลุง องค์หนึ่งชื่อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งคงจะเป็นชื่อที่ยกย่องเช่นเดียวกับสมเด็จเจ้าพะโคะ นำพุทธบริษัทไปในงานฉลองพระเจดีย์ทางเรือใบ แสดงอภินิหารวิ่งเรือใบเลยขึ้นไปถึงเขาพะโคะ ซึ่งไกลจากทะเลมาก ทำให้ประชาชนที่เห็นอภินิหารเคารพนับถือ และปัจจุบันสถานที่ตรงนั้นเรียกกันว่า "ที่จอดเรือท่านอาจารย์วัดเขาอ้อ" ต่อมาท่านสมเด็จเจ้าพะโคะ ให้คนกวนข้าวเหนียวด้วยน้ำตาลโตนด ภาษาภาคใต้เรียกว่า เหนียวกวน ทำเป็นก้อนยาวประมาณ 2 ศอก โตเท่าขา ให้พระนำไปถวายสมเด็จเจ้าจอมทอง วัดเขาอ้อ ครั้นถึงเวลาฉันท่านสมเด็จเจ้าจอมทองสั่งให้แบ่งถวายพระทุกองค์ ศิษย์วัดตลอดถึงพระก็ไม่มีใครที่จะแบ่งได้ เอามีดมาฟันเท่าใดก็ไม่เข้า ทราบถึงสมเด็จเจ้าจอมทอง ท่านสั่งให้เอามาแล้วท่านจึงเอามือลูบ แล้วส่งให้ศิษย์ตัดแบ่งถวายพระอย่างข้าวเหนียวธรรมดา อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จเจ้าจอมทองให้พระนำแตงโมใบใหญ่ 2 ลูก ไปถวายสมเด็จเจ้าพะโคะ พอถึงเวลาฉันก็ไม่มีใครผ่าออก สมเด็จเจ้าพะโคะทราบเข้าก็หัวเราะชอบใจ พูดขึ้นว่า สหายเราคงแสดงฤทธิ์แก้มือเรา ท่านรับแตงโมแล้วผ่าด้วยมือของท่านเองออกเป็นชิ้นๆ ถวายพระการแสดงอภินิหารของพระอาจารย์ครั้งโบราณเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ซึ่งมีมากอาจารย์ด้วยกัน ต่อจากนั้นพระอาจารย์วัดเขาอ้อทุกๆ องค์ ได้แสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ตลอดมา จึงเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลทุกชั้น เจ้าเมืองพัทลุงทุกคนต้องไปเรียนวิชาความรู้ที่วัดเขาอ้อ

    ประวัติเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ กล่าวสำหรับเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ เท่าที่สืบค้นพบจนถึงปัจจุบัน มี 11 รูป ด้วยกัน ดังนี้
    1. พระอาจารย์ทอง
    2. พระอาจารย์สมเด็จเจ้าจอมทอง
    3. พระอาจารย์พรมทอง
    4. พระอาจารย์ไชยทอง
    5. พระอาจารย์ทองจันทร์
    6. พระอาจารย์ทองในถ้ำ
    7. พระอาจารย์ทองนอกถ้ำ
    8. พระอาจารย์สมภารทอง
    9. พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต
    10. พระอาจารย์ปาล ปาลธฺมโม
    11. พระครูอดุลธรรมกิตติ์ (กลั่น อคฺคธมฺโม)


    พระอาจารย์วัดเขาอ้อนั้นล้วนต่างมีวิชาความรู้ความสามารถมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งนี้เพราะต่างศึกษาวิชากันมาไม่ขาดระยะ ตำราและวิชาความรู้ที่เป็นหลัก คือ การศึกษาเวทมนตร์คาถาเป็นหลัก เรียนตั้งแต่ธาตุ 4 ธาตุ การตั้งธาตุ หนุนธาตุ แปลงธาตุ และตรวจธาตุ วิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด สอนให้รู้กำเนิดที่มาของเลขยันต์อักขระต่างๆ นอกเหนือจากการสอนวิชาความรู้ทางไสยเวทแล้ว ยังสอนวิชาความรู้เกี่ยวกับรักษาโรคด้วยสมุนไพร มีเรื่องเล่าขานถึงปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ในวิชาของอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อมากมาย อย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อ สมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งนับว่ามีบุญญาวาสนาสูงส่งยิ่งนัก นอกจากจะมีสานุศิษย์มากมายแล้ว สัตว์ป่านานาชนิดยังเข้ามาพึ่งพาอาศัยอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก และไม่มีผู้ใดเข้ามาทำร้ายทำอันตรายต่อสัตว์เหล่านั้น ด้วยต่างทราบกันว่า ท่านให้การปกปักรักษาเหล่าสัตว์เหล่านั้น ที่สำคัญคนละแวกวัดเขาอ้อล้วนทราบดีว่าท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ทว่าครั้งหนึ่งคนต่างถิ่นตามล่ากวางเผือกตัวหนึ่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง ซึ่งอาศัยอยู่ในวัดเขาอ้อ เป็นกวางที่เชื่องมาก โดยปกติแล้วกวางตัวนี้จะหายไปจากเขตวัดเพื่อหากินไกลๆ ครั้งละ 2-3 วัน แล้วจะกลับมาหมอบอยู่หน้ากุฏิท่าน ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เป็นประจำ วันหนึ่งกวางเผือกตัวนี้ได้วิ่งเข้ามาหมอบอยู่หน้ากุฏิของท่านด้วยอาการแสดงความหวาดกลัวเหมือนหนีสัตว์ร้ายมา เผอิญสมเด็จเจ้าจอมทองนั่งอยู่หน้ากุฏิ และได้มองไปที่กวางด้วยอำนาจญาณสมาบัติอันสูงส่งของสมเด็จเจ้าจอมทอง จึงทราบได้ทันทีว่ากวางเผือกหนีอะไรมา ท่านจึงได้กล่าวกับพระภิกษุที่นั่งอยู่ในที่นั้นว่า "เจ้ากวางเผือกเกือบจะไปเป็นอาหารของเขาเสียแล้ว" ยังไม่ทันที่จะกล่าวสิ่งใดต่อพลันก็มีคนถือหอกวิ่งเข้ามาข้างหน้ากุฏิทำท่าง้างหอกในมือเตรียมจะทิ่มแทงกวางเผือกซึ่งหมอบอยู่ใกล้ๆ ท่าน สมเด็จเจ้าจอมทองจึงตวาดออกไปดังกังวานว่า "หยุดเดี๋ยวนี้เจ้ามนุษย์ไม่มีศีลมีธรรม จะฆ่าสัตว์แม้แต่ในเขตวัดไม่เว้น เคยเบียดเบียนแต่สัตว์ต่อนี้ไปสัตว์จะเบียดเบียนเจ้าบ้างล่ะ"ชายผู้ถือหอกถึงกับหยุดชะงักนิ่ง และเมื่อสิ้นคำพูดของสมเด็จเจ้าจอมทอง ชายผู้นั้นก็ร้องลั่นสลัดหอกในมือทิ้ง แล้วร้องขึ้นมาว่า "งู งู ฉันกลัวแล้วงู" เพราะเห็นหอกที่ตัวเองถือเป็นงู จากนั้นจึงวิ่งหนีออกจากวัดไปพร้อมส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัวงู แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เห็นงูไล่ล่าเขาอยู่ตลอด ผู้ที่เล่าเรื่องนี้กล่าวว่า ชายผู้นี้ต้องวิ่งไปเรื่อยๆ หยุดนิ่งเมื่อใดจะเห็นงูไล่ล่าตัวเองอยู่ตลอด ยังมีกาเผือกอีก 2 ตัว ที่อาศัยเกาะต้นไม้อยู่หน้ากุฏิสมเด็จเจ้าจอมทองเป็นประจำ อาศัยกินข้าวก้นบาตรที่ท่านโปรยให้ทุกวัน สมเด็จเจ้าจอมทองเคยเอ่ยถึงกาทั้ง 2 ตัวนี้ว่า "เป็นสัตว์ที่ประเสริฐไม่กินเนื้อสัตว์หรือสิ่งมีชีวิต" มีพระลูกวัดเคยโยนเศษเนื้อสัตว์จากอาหารที่ญาติโยมใส่บาตรให้กาทั้ง 2 แต่ก็หาได้กินไม่ กลับเลือกกินแต่เฉพาะเม็ดข้าวสุกเท่านั้น อยู่มาวันหนึ่งกาเผือกทั้ง 2 บินลงมาเกาะใกล้ๆ กับที่สมเด็จเจ้าจอมทองนั่ง แล้วส่งเสียงร้องลั่นกุฏิอยู่เป็นเวลานาน สมเด็จเจ้าจอมทองก็นั่งนิ่งสงบฟังเสียงกาทั้ง 2 อย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับพระภิกษุลูกวัดที่อยู่บนกุฏิท่านว่า "กาเผือกเขามาร่ำลา ถึงเวลาที่เขาจะต้องบินกลับไปในป่าแล้ว จะไม่กลับมาอีก เจ้ากาตัวเมียจะไปวางไข่อีกไม่นานเขาคงจะต้องตาย คงไม่ได้มาเขาอ้ออีก เขาจะมาเขาอ้ออีกก็คงชาติต่อไป เขาจะต้องมาแน่"
    ต่อเมื่อกาเผือกทั้ง 2 ได้รับศีลรับพรจากสมเด็จเจ้าจอมทองแล้ว ได้บินทักษิณารัตนะรอบกุฏิแล้วบินมุ่งเข้าป่าไป จากนั้นไม่มีใครพบเห็นกาเผือกทั้ง 2 อีกเลย กล่าวสำหรับอดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อที่พอสืบค้นประวัติได้บ้าง นับแต่สมัยพระครูสังฆพิจารณ์ฉัททันต์บรรพต (ทองเฒ่า) แต่จะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชาวบ้านนิยมเรียกท่านว่า "พ่อท่านเขาอ้อ" เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังทางวิทยาคมไสยศาสตร์ และแพทย์แผนโบราณ จนเป็นที่เคารพนับถือยำเกรงของคนทั่วไป

    กล่าวว่าตรงศีรษะของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) มีเส้นผมสีขาวซึ่งไม่สามารถโกนหรือตัดขาดได้ น่าเสียดายว่าอัตโนประวัติของพระครูสังฆสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) สืบค้นได้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจะพอจดจำกันได้บ้างว่า พื้นเพของท่านเป็นชาวบ้านสำนักกอ ตำบลปันแต อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง บิดานั้นไม่ทราบชื่อ ส่วนมารดาชื่อ นางรอด ตัวของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) เป็นพี่คนโต และมีน้อง 2 คน เป็นชายและหญิง ครอบครัวมีอาชีพทำนา

    ในการอุปสมบทจะเป็นเมื่อใด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ ตลอดจนพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ หาทราบไม่ แต่มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนที่ท่านจะบวชได้ล้มป่วยมีอาการหนักมาก จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานบนบานศาลกล่าวว่า หากหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยจะบวชเป็นการถวายแก้บน หลังจากนั้นไม่นานอาการป่วยไข้ก็ทุเลาเบาบาง และหายไปในที่สุดอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งต่อมาได้อุปสมบทตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ และได้ศึกษาวิชากับพระอาจารย์เอียดเหาะได้ วัดดอนศาลา ซึ่งเป็นศิษย์สายสำนักวัดเขาอ้อ เป็นที่กล่าวขานถึงวิชาพุทธาคมของพระอาจารย์เอียดเหาะได้ว่า เหตุที่ท่านมีสมญานามเช่นนั้นสืบเนื่องมาจาก ทุกวันพระ 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ พระอาจารย์เอียดเหาะได้ จะเหาะไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำที่วัดเขาอ้อเป็นประจำ ชาวบ้านหลายคนได้พบเห็นเป็นประจักษ์ต่อสายตา จึงได้ขนานนามท่านว่า "พระอาจารย์เอียดเหาะได้" กล่าวสำหรับพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ชื่อว่ามีตบะบารมีสูงส่งทีเดียว ถึงกับเคยตวาดคนทีเดียวจนเป็นบ้า และเป็นผู้ที่เข้มงวดกวดขันกับบรรดาลูกศิษย์เป็นอย่างยิ่ง หากพบเห็นว่าทำสิ่งใดไม่ถูกต้องก็จะตำหนิตักเตือน ทั้งนี้ก็ด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้ศิษย์ของท่านได้ดีในวิชาความรู้

    ในส่วนของมารดาของพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้บวชชีที่วัดเขาอ้อ โดยพระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (ทองเฒ่า) ได้ปลูกกุฏิให้พำนักอยู่ใกล้ๆ กับกุฏิของท่าน เพื่อจะสะดวกในการปรนนิบัติตามหน้าที่ของบุตรผู้กตัญญูตราบจนสิ้นอายุขัย สมณศักดิ์ที่ "พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต" เจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ ได้รับพระราชทานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. 2470 ขณะอายุได้ 78 ปี สิ่งหนึ่งที่เหลือไว้สำหรับให้รำลึกถึง คือ วัตถุมงคลที่พระครูสังฆวิจารย์ฉัตรทันต์บรรพต (พระอาจารย์ทองเฒ่า) ได้สร้างขึ้น นอกเหนือจากพิธีกรรมของสำนักวัดเขาอ้อ คือ พิธีอาบว่านแช่ยา พิธีหุงข้าวเหนียว พิธีป้อนน้ำมันงา ซึ่งในสมัยท่านเป็นพิธีกรรมที่เข้มขลังเป็นอย่างยิ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp-thong-tao.jpg
      lp-thong-tao.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.2 KB
      เปิดดู:
      402
    • ajantong.jpg
      ajantong.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54 KB
      เปิดดู:
      457
  11. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    ประวัติหลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม สำนักสงฆ์ต้นเลียบ สงขลา
    เจ้าสำนักสงฆ์ ผู้ที่มีร่างกายเป็นหิน(เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช) เกจิอาจารย์สายเขาอ้อ ผู้มีญาณวิเศษสามารถรู้วันมรณภาพของตัวเอง

    หลวงปู่จำเนียร โชติธัมโม มีนามเดิมว่า นายจำเนียรเรืองศรี เกิดเมื่อเดือน 4 ปีเถาะ พ.ศ.2440 ที่บ้านพังไทร ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ท่านเกิดเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส ซึ่งท่านเห็นว่ามีแต่ความวุ่นวายสับสนจึงตัดสินใจเดินมุ่งสู่ร่มกาสวพัสตร์ เมื่อตอนอายุ 60 ปี หลังจากอุปสมบทแล้วได้รับฉายาว่า ?โชติธรรมโม? แปลว่า ?ธรรมะอันสว่างไสว? หลวงปู่จำเนียรได้ศึกษาปฏิบัติกรรมฐาน ? เจริญกสิณเวทวิทยาคม จากสำนักเขาอ้อ (เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ รักษ์ราชเดช) กับท่านอาจารย์ยู วัดปากพล จังหวัดพัทลุง และอาจารย์ทวดขาว ฆราวาสจอมขมังเวท จังหวัดพัทลุง จนมีความเชี่ยวชาญทางด้านวิทยาคมจนเป็นเลิศ ร่ำเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชากำบังตัววิชาปลาไหลใครจับท่านไม่ได้

    หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะ ในขณะที่ท่านนั่งเจริญสมาธิภาวนา ปรากฏดวงวิญญาณขององค์หลวงปู่ทวดมาปรากฏต่อหน้าท่าน และได้ชี้มาที่ตัวท่านบอกให้ไปช่วยดูแลต้นเลียบ อันเป็นสถานที่ฝังรกขององค์หลวงปู่ทวด ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีผู้ใดดูแล มีสภาพที่รกร้าง

    เมื่อหลวงปู่จำเนียร มาจำพรรษาที่ต้นเลียบแห่งนี้แล้ว ก็ได้รวบรวมชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมาช่วยกันพัฒนา เพื่อให้เหมาะเป็นสถานที่เจริญธรรม วิปัสสนากรรมฐาน

    ใครมีเรื่องเดือดร้อน ถูกคุณไสย หรือถูกผีเข้า ท่านจะช่วยรักษาประพรมน้ำมนต์ให้และใช้ไม้เท้าคดคู่กายของท่านชี้ไปที่หน้าผาก กลับหายเป็นปกติทุกรายไป อีกอย่างท่านสามารถดูดวง ผูกชะตาได้แม่นยำนัก ท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่ว่าไทยหรือเทศ โดยเฉพาะลูกศิษย์ทางมาเลเซีย สิงคโปร์ นั้นมีมากมายนัก

    หลวงปู่จำเนียร เป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยความดี เป็นพระที่สมถะ สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่สะสมสิ่งใด มุ่งปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตามหานิยม มีวาจาสิทธิ์ ท่านสามารถหยั่งรู้ได้ถึงวันมรณภาพของตัวเอง โดยท่านได้บอกกล่าวกับลูกศิษย์ใกล้ชิดว่า ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา 7 วัน ท่านจะละสังขารแล้ว และท่านระบุไว้ในพินัยกรรมว่าร่างของท่านจะไม่เน่าเปื่อย จะแห้งไปเอง ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นจริงอย่างที่ท่านพูดเอาไว้ โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2539 เวลา 21.20 นาฬิกา ท่านก็ได้จากไปอย่างสงบ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยการปฏิบัติและคุณงามความดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม และยึดเป็นเยี่ยงอย่าง รวมอายุได้ 99 ปี 40 พรรษา

    ซึ่งปัจจุบันนี้ สรีระสังขารของท่าน ทางคณะศิษยานุศิษย์ได้เก็บไว้ในโลงแก้ว ณ สำนักสงฆ์ต้นเลียบ เพื่อให้สาธุชนได้เข้ากราบไหว้ เพื่อขอพรบารมี ถึงแม้ว่าท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่ปาฏิหาริย์ที่ท่านได้ปลุกเสกและสร้างวัตถุมงคลของสำนักสงฆ์ต้นเลียบ ก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยว แสวงหาของนักสะสมพระเครื่องหลวงปู่ทวด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75 KB
      เปิดดู:
      449
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.2 KB
      เปิดดู:
      499
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      561
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.8 KB
      เปิดดู:
      378
    • gck9iaeb8bh5kib5c5jab.jpg
      gck9iaeb8bh5kib5c5jab.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.3 KB
      เปิดดู:
      758
  12. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครราชสีมา (พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช เคารพนับถือ 1ในเกจิปลุกเสกจตุคามรามเทพ รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐)

    ประวัติหลวงพ่อมุ่ย จนฺทสุวณฺโณ หรือ "พระครูนิโครธจรรยานุยุต แห่งวัดป่าระกำเหนือ"
    นามเดิมของท่านชื่อมุ่ย ทองอุ่น บิดาชื่อ นายทองเสน ทองอุ่น มารดาชื่อ นางคงแก้ว ทองอุ่น ท่านเกิดเมื่อวันอังคารที่ ๔ เมษายน 2442 ณ บ้านป่าระกำ หมู่ที่ 6 ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่านมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน หลวงพ่อมุ่ยเป็นบุตรคนที่สองของตระกูล ทองอุ่น

    พระครูนิโครธจรรยานุยุต (มุ่ย จนฺทสุวณฺโณ)
    หลวงพ่อมุ่ย ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2462 ณ วัดป่าระกำเหนือ อำเภอปากพนัง และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูนิโครธจรรยานุยุต เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๘ และในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส วัดป่าระกำเหนือและเจ้าคณะตำบลป่าระกำ ในปีเดียวกัน

    หลวงพ่อมุ่ย ได้ไปศึกษาด้านวิปัสสนาธุระกับอาจารย์จืด และอาจารย์ศักดิ์ วัดถ้ำเขาพลู อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร และได้ออกธุดงค์วัตรในป่าลึกแถบจังหวัดชุมพรประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และราชบุรี เป็นเวลาหลายปี ร่วมกับหลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นพระสหธรรมิก ที่รักใคร่นับถือกันมาก หลวงพ่อมุ่ย เป็นพระวิปัสสนาธุระ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นเลิศ นอกจากนั้นยังมีความรู้ด้านต่าง ๆ อีกมาก เป็นหมอยาสมุนไพร เป็นผู้รู้เวทมนต์คาถา เป็นพระนักเทศน์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่เคารพนับถือของคนทั่วไป

    หลวงพ่อมุ่ย นับเป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตาบารมีล้ำเลิศของภาคใต้ ที่ประพฤติพรหมจรรย์ มั่นคงยาวนานปี ศีลาจารวัตรเรียบร้อย เป็นที่เคารพนับถือของญาติมิตรและศิษยานุศิษย์ ตลอดจนบุคคลทั่วไป
    นับเป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ที่ทรงคุณธรรม อย่างสูงส่ง มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนทุกระดับชั้น เพราะเหตุนี้เองชาวบ้านจึงขนานนามให้ท่านเปรียบเสมือน “อริยสงฆ์แห่งแดนทักษิณ” อย่างแท้จริง

    หลวงพ่อมุ่ย ท่านมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดมากในพระธรรมวินัยมาก หลวงพ่อมุ่ยท่านจะไม่จับต้องเงินทอง และไม่สะสมสมบัติของมีค่า ในกุฏิของท่านจึงไม่มีของมีค่าอะไรเลย ใครถวายอะไรให้ท่าน หากมีคนอื่นมาขอต่อท่านก็จะยกให้ทันทีโดยไม่มีความเสียดายอะไรทั้งสิ้น หลวงพ่อมุ่ย ท่านฉันเอกา (มื้อเดียวใน ๑ วัน) หลวงพ่อมุ่ย ท่านจำพรรษาอยู่หลายวัด แต่วัดที่ส่วนใหญ่ผู้คนรู้จักกันคือ วัดป่าระกำเหนือ และ วัดบางบูชา เนื่องจากท่านได้สร้างพระเครื่องจนเป็นที่โด่งดังและหลายๆคนต้องการคือพระปิดตาน้ำนมควายพระปิดตาพ่อท่านมุ่ย จะสร้างทั้งวัดบางบูชาและวัดป่าระกำเหนือ

    หลวงพ่อมุ่ย เป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ในพิธีพุทธาภิเษก จตุคามรามเทพ รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐ พระเครื่องและวัตถุมงคลของพ่อท่านมุ่ย แต่ละชนิดแต่ละรุ่น เช่นพระปิดตา พระพิมพ์ประทานพร ลูกอม หลวงพ่อจะปลุกเสกเดี่ยว ทั้งนั้น ตามหลักของพระเกจิสายใต้สมัยก่อน คือบินเดี่ยว ไม่มั่นใจไม่สร้าง เพราะมั่นใจในวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างมั่นใจ และได้ปลุกเสกอยู่นานเป็นปีหรือหลายปี จึงจะมอบให้คนนำไปบูชา เพราะท่านทำด้วยใจรักและศรัทธามั่น ก่อนนำวัตถุมงคลไปใช้ พ่อท่านท้าให้นำไปลองก่อน ถ้าไม่มั่นใจจะไม่ยอมให้ใครเอาไปใช้

    หลวงพ่อมุ่ยได้ถึงแก่มรณภาพ ด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๔ นาฬิกา ๔๖ นาที สิริอายุได้ ๙๓ ปี ๑ เดือน ๑๘ วัน และจำนวน ๗๓ พรรษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,238
    สายภาคใต้ไม่ค่อยถนัดแต่เท่าที่ทราบ
    สุดยอดยาฉุน หลวงพ่อสงฆ์
    วิชาโนรา พ่อแก่เจ้าแสง
    วิชาเสือเผ่น หลวงพ่อโปร่ง ชุมพร ท่านเรียนกับหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
    พ่อท่านดำ นครศรีฯ
     
  14. พุทธะปฐวี

    พุทธะปฐวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +304
    สาธุๆ ครับที่เล่ามาสุดยอดทั้งนั้น ยิ่งพ่อแก่เจ้าแสงผมเคยไปหาท่านอยู่บ่อย ท่านเมตตาดี
     
  15. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  16. p'สัน

    p'สัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2016
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +18
    ขอบคุณมากสำหรับความรู้ดีๆประดับปัญญาครับ
     
  17. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,381
    ค่าพลัง:
    +13,256
    ชอบมากครับ เกจิสายใต้ โดยเฉพาะสายเขาอ้อ ติดตามครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...