ร้านสันติภาพพระเครื่อง หลวงปู่พิศดู ธัมมจารี วัดเทพธารทอง

มาใหม่ครับ10คู่ครับ

 

ชุดใหม่ครับ

 

พระกริ่งธรรมจารีมาใหม่ครับ

 

ปิดผ้ายันต์อุปคุต เเละพระกริ่งเลี่ยมทองครับ

 

สอบถาม พระชัยวัฒะรรมจารีครับ

 

ปิดไปพร้อมพระกริ่งครับ ผม

 

รูปมหากัน เคาะเดียว 3500 ครับ

 

ล็อกเก็ต ซีเปีย ชุดนี้สร้างน้อยครับ เคาะเดียว12000 ครับ

 

หนุมานมหาฤทธิ์ เคาะเดียว 1500 ครับ ต้อนรับปี วอก ครับ

 

มาใหม่ครับประคำจุ่มรัก พระหินเเกะอินเดีย พระเนื้อดินปางปฐมเทศนา หรือเรียกว่า พระคันธารราฐ สำหรับขอฝน ชุดนี้ได้รับจากหลวงปู่ครับ

 

พระกริ่งทองทิพย์ สวยๆครับ

 

ล็อกเก็ตหลวงปู่พิศดูมาใหม่ครับ

 

เบี้ยเเก้หลวงปู่พิศดูเสกครับ

 

ขอราคาพระกริ่งกับเบี้ยหลวงปู่ครับพี่

 

หลวงปู่พิศดู

ชุดนี้ไปล่ะครับ

 

ใบโพธิ์รุ่น5คู่เดียว 3000 ครับ

 

มาเเล้วไปเเล้วครับ พระกริ่งธรรมจารี

 

ยาจินดามณีเม็ด ใหญ่ครับ

 

ประวัติการสร้าง เบี้ยแก้เศรษฐี รุ่นแรก หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วัดศรีอภัยวัน จ.เลย (หลวงปู่พิศดูเสก เปลือกหอบเบี้ย ปรอท และมวลสาร)
หลวงปู่ท่อนท่านบอกว่า เบี้ยแก้ เขาใช้แก้ และป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ ป้องกันไข้ป่า และใช้ดูดพิษ รักษาการบาดเจ็บจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยเอาเบี้ยแก้ตรงที่เป็นตะกั่วนี้มาถูๆรอบๆตรงที่เป็นนั่น ไอปรอทที่อยู่ข้างในจะช่วยรักษาได้.. (หลวงปู่ท่อนท่านเป็นพระอริยะสงฆ์ชั้นสูง ท่านรู้แจ้งเห็นจริง และคมในฝักมากครับ..)
แต่เบี้ยชุดนี้นอกจากจะดีอย่างที่หลวงปู่ท่อนบอกแล้ว หลวงปู่ท่อนท่านตั้งใจลงพุทธคุณให้ดีทาง เมตตา แก้จน แก้ฝืดเคืองอีกด้วย อย่างนี้ก็แสดงว่า ครบเครื่องที่สุดแล้วละครับ
ตัวเบี้ย ปรอท มวลสาร ที่นำมาทำเบี้ยแก้ชุดนี้ หลวงปู่พิศดูท่านอธิษฐานจิตไว้ตั้งแต่ยังทรงขันธ์อยู่ ซึ่งเป็นชุดเบี้ยที่ตั้งใจจะสร้างถวายให้หลวงปู่พิศดู รุ่น 3 แต่ยังไม่ได้สร้าง ตัวเบี้ยมีอยู่ประมาณ 200 ตัวเศษ ต่อมาจึงนำมา สร้างถวายเป็นเบี้ยแก้รุ่นแรกของหลวงปู่ท่อนได้ 201 ลูกครับ ส่วนตัวเบี้ยตัวโตหน่อย นำมาสร้างเป็นเบี้ยครู ด้านหลังบรรจุเหรียญเม็ดแตงรุ่นแรกของหลวงปู่ท่อน สำหรับแจกคณะกรรมการ และครูบาอาจารย์อีก 19 ลูก รวมเบี้ยที่จัดสร้างมีทั้งหมด 220 ลูกครับ
กรรมวิธีการสร้างเบี้ยแก้ ของสายศิษย์หลวงปู่พิศดู ที่ออกในนามหลวงปู่ท่อน
กรรมวิธีสร้างเบี้ยแก้ของสายหลวงปู่พิศูนั้นได้ประยุคกรรมวิธีการสร้างจากเดิมๆให้สลับซับซ้อนขึ้นไปอีกเพื่อให้คงความเข้มขลังในด้านของธาตุศักดิ์สิทธิ์ และกรรมวิธีแบบพิศดาร ด้วยความเชื่อว่าจะเป็นการเสริมพลังอานุภาพให้สูงยิ่งๆขึ้น โดยได้บรรจุมวลสารพุทธคุณที่ได้จากหลายๆที่ ลงไปในตัวเบี้ยด้วย พร้อมทั้งแร่ธาตุสำคัญๆ เช่น จ้าวน้ำเงิน แร่เกาะล้าน เหล็กน้ำพี้ เหล็กเปียก เหล็กละลายตัว แร่บางไผ่ แร่เขาเจ้าหลาว ปรอทดำของหลวงปู่หมุน เมฆพัตร... ฯลฯ
ปรอท ปรอทธรรมชาติได้มีลูกศิษย์ดักมาถวายหลวงปู่พิศดู เพื่อใช้สร้างเบี้ยแก้ และรวมกับปรอทของครูบาอาจารย์ต่างๆ อาทิ..
หลวงปู่ละมัย สวนสมุนไพรเพชรบูรณ์ , หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว , หลวงปู่แช่ม วัดบ่อพุ , หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน , หลวงปู่หลวง กตปุญโญ , หลวงปู่เสียน วัดมะนาวหวาน , หลวงปู่เรือง เขาสามยอด , หลวงปู่ดี ธมฺมธีโร ..ฯลฯ ปรอททั้งหมดนำมาผสมรวมกัน และเลี้ยงไว้ด้วยแผ่นทองคำแท้ เพื่อให้ปรอทได้จับทอง หรือกินทองคำนั้นเอาไว้ และปรอททั้งหลายนี้ หลวงปู่พิศดูได้เมตตาอธิษฐานจิตให้เป็นพิเศษ ตามกรรมวิธีที่ไม่เหมือนใคร..
- ส่วนชันโรง(ใต้ดิน) ได้หามาจาก จ.อุบลราชธานี(เมืองดอกบัว) และในประเทศลาว โดยได้ชันโรงตามลักษณะอาถรรพ์ถึง 3 ประการคือ
1.ชันโรงใต้ดินพื้นราบ (เพียงดิน)
2.ชันโรงใต้จอมปลวก
3.ชันโรงใต้ดิน ที่อยู่กลางนา (ความอุดมสมบูรณ์)
ทั้งหมดนี้ได้ปั้นผสมรวมกันไว้ทั้งหมด
- เปลือกหอยเบี้ยแท้ๆ
- มวลสารต่างที่ใช้บรรจุในตัวเบี้ย
- ฯลฯ
จากนั้นนำของทั้งหมดเข้าพิธีเสกจากหลวงปู่พิศดูก่อน เพื่อให้กระแสธรรมของท่านเข้าสถิตเพื่อ ปรับ สิ่งที่อาจไม่เป็นมงคล ที่ติดมากับแร่ธาตุต่างๆได้ แล้วจึงนำมาสร้างตามกรรมวิธีต่างๆต่อไป
กรรมวิธีที่ทำนั้นต้องขอบอกว่าบางอย่างได้มีการปรับ ประยุควิธีการเข้าไปอีก แต่ยังคงลักษณะวิธีการของครูบาอาจารย์ดั้งเดิมไว้อยู่ เพื่อเพิ่มความพิเศษหลากหลายเข้าไว้ในเบี้ยแก้ชุดนี้จริงๆ กล่าวคือ..
- หลวงปู่พิศดูได้เมตตาให้นำหอยเบี้ยไปแช่น้ำในลำธารศักดิ์สิทธิ์(เนรัญชรา)ของวัดเทพธารทอง และให้นำปรอททั้งหลายนี้ไปแช่ในสระมรกตที่อยู่ข้างกุฏิของหลวงปู่ ทั้งหมดนี้ได้กำหนดให้ทำในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (ลอยกระทง) ตลอดราตรี จนถึงรุ่งอรุณ และได้นำมาแช่น้ำพระพุทธมนต์จากที่ต่างๆ เพื่อรับกระแสพลังธาตุจาก น้ำ และ ดิน อีกนัยหนึ่งมีพระท่านผู้รู้ ท่านบอกมาว่าการนำไปแช่ในน้ำที่ไหลผ่านจะเป็นการล้างสิ่งที่ไม่ดีออกด้วย และเป็นการเพิ่มหรือซับพลังธรรมชาติเข้าไว้ในนั้นด้วย
- นำของที่จะทำทั้งหมดมาถวายให้หลวงปู่ท่านเสกเป็นวาระแรก ก่อนที่จะนำไปสร้างเป็นเบี้ยแก้ต่อไป...
แต่หากเบี้ยแก้ที่ออกในนามหลวงปู่ท่อนนั้น องค์หลวงปู่พิศดูท่านได้อธิษฐานจิตเปลือกหอยเบี้ย ปรอท และมวลสารต่างๆ ให้หลายพิธีด้วยกัน (ซึ่งบางพิธี ท่านครูบากฤษดา ก็มาร่วมอธิษฐานจิตด้วย) รวมถึงเข้าพิธีตักบาตรพระมหาอุปคุตครั้งสุดท้าย พร้อมกับสมโภชน์พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ธัมมะจารี ในปี 2553 ด้วย และได้เก็บรักษาไว้ เพื่อเตรียมทำเบี้ยแก้รุ่นต่อไป ซึ่งในระหว่างนี้ ทางคณะศิษย์ผู้สร้างได้นำปรอท อันเป็นหัวใจสำคัญของเบี้ยแก้ ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก และให้ครูบาอาจารย์ต่างๆเมตตาอธิษฐานจิตพร้อมๆกับวัตถุมงคลต่างๆที่ได้จัดสร้าง และที่ได้มีโอกาสไปกราบทำบุญกับพ่อแม่ครูอาจารย์อีกหลายต่อหลายองค์ และได้ขอให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตพร้อมกับวัตถุมงคลต่างๆที่ได้สะสมกันมา รวมแล้วกว่า 50 พิธี หากนับคร่าวๆแล้ว พระคณาจารย์ที่เมตตาอธิษฐานปรอทดังกล่าวนี้จะมีมากกว่า 100 รูปเลยทีเดียว...
- จากนั้นจึงได้นำสิ่งมงคลทั้งหลายมาบรรจุเข้า ตามกรรมวิธีการสร้างเบี้ยแก้ตำหรับของ หลวงปู่รอด วัดนายโรง ต่อไป...
ซึ่งกรรมวิธีการทำเบี้ยแก้ตำหรับของหลวงปู่รอด วัดนายโรง ที่เกือบจะเป็นความลับที่หลายท่านไม่เคยทราบมาก่อน หลวงปู่แช่ม วัดบ่อพุ(ละสังขารไปแล้ว) ลูกศิษย์สายวัดนายโรงอีกรูปหนึ่ง และเป็นศิษย์ผู้น้องของหลวงปู่กี๋ วัดหูช้าง ท่านได้เมตตาถ่ายทอดเคล็ดลับบางอย่างว่า..
" เบี้ยแก้สำนักสายวัดนายโรงนี้ ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบจริงๆ จะต้องหา ตาลปัตรใบลานเก่า ที่พระท่านเคยใช้สวดให้ศีลให้พรมาก่อน นำมาทำตะกรุดปิดปากเบี้ย "
อาจจะเนื่องมาจากคำว่า ตาลปัตร(ปัด) หรือ ปัตร(ปัด) จะได้ช่วยปัดสิ่งไม่ดี หรือปัญหาอุปสรรคให้ผ่านไป... ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้เบี้ยแก้ตำหรับของวัดนายโรงจึงมีความแตกต่างจากเบี้ยแก้ของสำนักอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบันการจะหาตาลปัตรใบลานเก่าดูจะเป็นของยุ่งยากมิใช่น้อย ซึ่งคงต้องไปหาตามวัดแถบภาคเหนือ เพราะที่นั่นยังพอจะมีการใช้ตาลปัดใบลานกันอยู่ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ทางคณะผู้จัดสร้างคิดหนักกันมิใช่น้อย ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะหาตาลปัดใบลานใหม่ๆ แล้วนำไปถวายพระให้ท่านได้ใช้สักชั่วคราว แล้วจะขออนุญาติทำบุญต่อมาเพื่อนำมาทำตะกรุดปิดปากเบี้ย แต่ก็คิดว่าจะมักง่ายเกินไป.. แต่ก็เหมือนเดชะบารมีของครูบาอาจารย์ท่านจริงๆ กล่าวคือ ในระหว่างที่กำลังหาตาลปัดใบลานเก่าอยู่นั้น ก้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่อนคนหนึ่ง ไปทำบุญที่วัดบ้านปง จ.เชียงใหม่ ก็ได้มีโอกาสสนทนากับท่านครูบาเกตุ ลูกศิษย์ของ หลวงปู่ครูบาน้อย(หน้อย) อดีตพระอริยเกจิอาจารย์เชื่อดัง ของเมืองเชียงใหม่ ว่ามีความตั้งใจจะหาตาลปัดใบลานเก่า ไปสร้างเบี้ยแก้ให้หลวงปู่ท่อน ท่านครูบาเกตุพิจจารณาอยู่สักครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากบอกว่า " มีตาลปัดเก่า ของครูบาหน้อย อยู่ 2 อัน ตาลปัตรนี้ เป็นของที่หลวงปู่ครูบาหน้อย วัดบ้านปงใช้มานานมาก เวลาไปไหนท่านก็จะติดไปด้วย ผ่านการให้ศีลให้พรญาติโยมมาแล้วหลายปี และทางวัดยังเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี อาตมาขอมอบให้ไปทำวัตถุมงคลถวายหลวงปู่ท่อน 1 อัน..." นั่น..ได้มาทั้งทีกลายเป็นของดีมากเลยครับ เพราะว่าหลวงปู่ครูบาหน้อยนั้น ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ดวงประทีปดวงหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ และยังเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และเกียรติคุณมากมาย ใครศึกษาสายนี้ก็คงรู้จักกันดีนะครับ..
ท่านพระอาจารย์หนึ่ง แห่งสำนักสงฆ์เขาน้ำซับ ท่านเป็นผู้หาปรอทป่าธรรมชาติ ปรอทบ้าน และมวลสารหลายอย่าง มาผสมให้สร้างเบี้ยแก้ถวายองค์หลวงปู่พิศดูตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบันนี้..
คุณแม่นวลใย ผู้จัดหาชันโรงใต้ดิน ชันโรงใต้จอมปลวก ชันโรงกลางนา มาให้ มีทั้งที่อำเภอนาจะหลวย และอำเภอใกล้เคียง ในจังหวัดอุบลราชธานี รวมถึงชันโรงที่อยู่ประเทศลาว โดยต้องจ้างพวกชาวบ้านขุด และเลือกเอาเฉพาะชันโรงที่ทำรังอยู่ใต้ดินเท่านั้น..
ครูบาเกตุ วัดบ้านปง และคุณอั๋น ลูกศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่ท่อน ที่มอบมวลสารต่างๆของหลวงปู่ท่อน ข้าวก้นบาตรหลวงปู่ท่อน ชาญหมากหลวงปู่ท่อน ยาวาสนาจินดามณีของหลวงปู่เพิ่ม และพระอาจารย์ใบ วัดกลางบางแก้วจำนวนหลายสิบเม็ด รวมถึงตาลปัดใบลานเก่า ของพระอริยสงฆ์ทางภาคเหนือ เพื่อนำมาใช้ทำตะกรุดสำหรับปิดปากเบี้ยตามตำหรับของวัดนายโรง และยังเป็นผู้นำเบี้ยแก้ชุดนี้ไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกได้อย่างอลังการเป็นที่สุด..
ท่าน อ.อนันต์ สวัสดิสวนีย์ เฮียบ๊อบ และลูกศิษย์ใน สายหลวงปู่ดู่ สายสมเด็จลุน หลวงปู่คำพันธ์ ญาท่านสวน และครูบาอาจารย์สายอีสานอีกหลายท่าน ท่านเหล่านั้นได้มอบมวลสารสำคัญของแต่ละท่านนั้นมาให้เพื่อสร้างวัตถุมงคลต่างๆ..
คณะศิษยานุศิษย์หลวงปู่พิศดู ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์กลาง ศิษย์ใหม่ ที่มอบมวลสารสำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงปู่พิศดู และที่ใช้สร้างวัตถุมงคลทุกรุ่นขององค์หลวงปู่ โดยเฉพาะผงตะไบพระกริ่งธัมมะจารี ผงที่ใช้สร้างพระผง และอุดล็อกเก็ตทุกรุ่นขององค์หลวงปู่..
คณะศิษย์ผู้ที่หลวงปู่พิศดูได้มอบหมายให้สร้างเบี้ยถวายตั้งแต่รุ่นแรก รุ่น2 เรื่อยมาจนถึงรุ่นปัจจุบันนี้ ที่เป็นผู้เก็บรักษาหอยเบี้ย และชนวน-มวลสารที่ทันองค์หลวงปู่พิศดูไว้ และคณะศิษย์หลวงปู่ท่อน เพื่อรอโอกาสสำคัญแบบนี้ จึงได้ปรึกษากัน และร่วมกันจัดสร้างเบี้ยแก้เพื่องานบุญดังกล่าว..
และท่านทั้งหลายอีกหลายๆท่าน ที่มิได้เอ่ยนาม รวมถึงผู้ที่ร่วมทำบุญทุกท่านอีกด้วย ท่านเหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องในความสำเร็จทั้งสิ้น นับเป็นความภูมิใจมากๆ ที่ได้ร่วมกันทำงานสำคัญนี้ ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาในบุญทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว และบุญทั้งหลายที่กำลังจะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าด้วยครับ.. สาธุ สาธุ สาธุ...
โค๊ดที่ใช้ตอกเบี้ยแก้หลวงปู่พิศดู+หลวงปู่ท่อน ชุดนี้มีดังนี้ครับ
โค๊ดอักษรจีนซ้ายขวานั้น อ่านว่า เฮง , เฮง ครับ ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันนะครับว่าแปลว่าอะไร อักษรจีนนี้ หลวงปู่ท่อนท่านชอบใช้เขียนเจิมให้ลูกศิษย์บ่อยๆครับ
ส่วนโค๊ดตัวกลางด้านล่างเป็นโค๊ดลายมือ อ่านว่า รุ่นแรก
ส่วนโค๊ดตัวกลางถัดขึ้นไปนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่า ท.85 ซึ่งย่อมาจาก..
ท.= ท่อน
85 = อายุของหลวงปู่ท่อนครบ 85 ปี
ส่วนโค๊ด ยอดทั้ง 3 ยอดตัวบนนั้น เป็นโค๊ด นะเศรษฐี ซึ่งเป็นยันต์ที่หลวงปู่ท่อนมักจะใช้ลงให้ลูกศิษย์ชองท่านเสมอ มีพุทธคุณทางโชคลาภมากครับ
ประวัติการพุทธาภิเษก และอธิฐานเบี้ยแก้ชุดนี้ มีหลายวาระเลยครับ
- หลวงปู่ท่อนท่านอธิฐาน เดี่ยวต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายวัน และอีกหลายวาระ
- พิธีพุทธาภิเษกพร้อมเหรียญรุ่นเศรษฐี ขององค์หลวงปู่ท่อน ที่จะมอบให้
ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญสร้างพระมหาเจดีย์ พิธีได้ทำในพระอุโบสถ วัดศรีอภัยวัน
มีพระอริยสงฆ์สายองค์หลวงปู่มั่น มาร่วมกันหลายร้อยองค์
- จากนั้นยังได้นำเบี้ยแก้ชุดนี้ มาให้หลวงปู่ท่อนได้อธิษฐานจิตปิดท้าย ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธอีก 3 วัน ก่อนจะนำออกให้ผู้ร่วมบุญสร้างผอบทองคำ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อประดิษฐานในพระมหาเจดีย์ วัดศรีอภัยวันต่อไป...

 

ยาวาสนาจินดามณี ขององค์หลวงปู่พิศดู

สมัยที่องค์หลวงปู่ยังดำรงค์ขันธ์อยู่ ท่านมียาวิเศษอยู่ขนานหนึ่ง นั่นคือยาวาสนาจินดามณี ซึ่งยาขนานนี้ได้สร้างตามสูตรของตำรายาแต่ดั้งเดิมของสำนักวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิต แล้วจึงนำออกแจกจ่ายเป็นทานต่อไป หลวงปู่เคยบอกว่าใช้กินเพื่อรักษาโรคได้ทุกอย่าง ถ้าไม่ถึงวาระจริงๆโรคที่เป็นจะเบาบางลงและหายในที่สุด หรือหากไม่กินจะนำมาแขวนคอ หรือบูชาก็ได้เป็นยาวิเศษกว่ายาใดๆทั้งปวง.. ซึ่งก็เป็นอย่างที่องค์หลวงปู่ท่านกล่าวไว้ หลายคนที่ได้ไปใช้ได้หายจากโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง เชื้อราในสมอง เนื้องอก ไวรัสตับ ฯลฯ ตลอดถึงเมตตามหานิยม ป้องกันภัยต่างๆด้วย บางครั้งท่านก็ให้มาทำเป็นมวลสารในการสร้างพระบางรุ่นก็มี เช่นผสมในผงที่อุดไว้ด้านหลังล็อกเก็ตรุ่นต่างๆ และที่บรรจุไว้ใต้ฐานพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ของท่าน ก็ล้วนแต่มียาวาสนาจินดามณี ยาอันสุดวิเศษของท่านผสมอยู่..
การอธิษฐานจิตยาวาสนาขององค์หลวงปู่นั้น ท่านก็มิได้จำเป็นต้องตั้งปรัมพิธี หรือมีราชวัตรฉัตรธง วงสายสิญจน์เหมือนที่อื่นๆเลย เพียงแต่ท่านสวดมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานหรือที่ท่านเรียกว่า " เสก " ให้เป็นยาวาสนาจินดามณี ให้มีคุณวิเศษตามแต่เหตุปัจจัยนั้นๆ ของที่ท่านเสกนั้นก็จะเป็นไปตามที่ท่านตั้งใจไว้ทุกอย่างทุกประการ แม้แต่วัตถุมงคลอื่นๆก็เช่นกัน..
เท่าที่เคยได้ยินที่องค์หลวงปู่ท่านสวดเพื่อเสกยาจินดามณีของท่าน ส่วนมากจะใช้บทนี้ครับ..

" จินดามณีเป็นยาวาสนา เลิศล้ำโลกาในโลกแดนดิน
ผู้ใดได้กินจะสวัสโสภิณ กว่าคนทั้งหลาย
ทรัพย์สินเงินทอง มูลมองมากมาย
โทษหนักเท่าหนัก จะถึงความตาย
เบาบางผ่อนคลาย ลดน้อยถอยเอย "

" เราสวดบทนี้ อธิษฐานให้เป็นยาจินดามณีแค่นี้แหละ..เสร็จ "

หลายท่านอ่านดูแล้วอาจรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เป็นบทคาถาแต่เป็นคำกลอนต่างหาก.. บางท่านที่เคยศึกษาวิชาอาคมหรือเคยเห็นบทคาถาที่ใช้ปลุกเสกยาจินดามณีของสำนักอื่นๆมา ก็อาจจะรู้สึก งง งง ว่าทำไมถึงได้ใช้บทนี้ เพราะจริงๆแล้วบทที่ใช้ปลุกเสกยาจินดามณีน่าจะเป็นอีกบทหนึ่งไม่ใช่หรือ..???? ขอตอบตามความรู้ที่องค์หลวงปู่และครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกมาว่า ของที่จะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้ สำคัญอยู่ที่ " จิต " โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอริยะเจ้า หรือพระอรหันต์ที่มีบารมีสูงๆ และท่านที่มีฤทธิ์ทรงคุณวิเศษโดยบริบูรณ์แล้ว เพียงแต่นึกคิด หรืออธิษฐานให้เป็นอะไรก็สามารถเป็นไปอย่างนั้นๆได้ทุกประการตามเจตนาของท่าน ตัวคาถานั้นเป็นเพียงเครื่องจูงจิตให้มุ่งไปในจุดที่ต้องการเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรื่องจิตจึงสำคัญที่สุด พระคาถาจึงเป็นเรื่องรอง ไม่ว่าพระอริยะเจ้าหรือพระอรหันต์นั้นท่านจะกล่าวสิ่งใดที่ท่านคิดว่า(สมมุติให้)เป็นพระคาถา ก็จะเกิดความขลัง มหาขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นทั้งสิ้นแน่นอนไม่ต้องมีข้องสงสัย และที่สำคัญที่สุดไม่มีวันเสื่อมคลายความขลังด้วยครับ..

ยาวาสนาจินดามณีขององค์หลวงปู่นี้ ครูบาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในองค์ญาณทัศนะ ยังบอกเลยว่า " ไม่ได้ด้อยไปกว่าของหลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้วเลย " สุดยอดจริงๆครับ