ใช้ กิเลส ให้เป็นประโยชน์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยอดคะน้า, 23 มกราคม 2016.

  1. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +710
    เกร็ดธรรม

    หลวงปุ่พุธ ฐานิโย

    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    .................

    กิเลสเท่าที่มีอยู่ในจิต ในใจของเรานั้น
    มันมีทั้งคุณมีทั้งโทษ


    ไฟมีโทษอย่างมหันต์ คุณก็อนันต์เหมือนกัน


    กิเลส โลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่ในใจของเรา


    ก็มีคุณมหันต์ โทษอนันต์เช่นเดียวกัน


    ผู้ที่มีความฉลาด
    ย่อมสามารถใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม
    ซึ่งโดยปกติสิ่งที่มนุษย์ในโลกนี้ จะพึงประสงค์ ก็มีกัน อยู่เพียง ๕ อย่าง


    คือ


    ความมีลาภ
    ความมียศ
    สรรเสริญ
    ความสุข
    และอำนาจ


    ๕ อย่างนี้ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสวงหา
    แต่ว่าการแสวงหา ควรจะมีขอบเขต
    เพราะฉะนั้น
    กิเลสนี้มันมีอยู่ในจิต ในใจเรา
    ลองพิจารณาดูสิว่า


    เราจะอาศัยพลังของมันให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์ในทางที่ดีได้บ้างมั้ย


    ดังนั้น
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงให้พิจารณา
    ดูจิตของเราว่า
    มีกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือไม่
    ถ้าเราทราบแล้วว่าเรามี เราก็ยอมรับสภาพความจริงว่าเรามี
    เมื่อรู้ว่าเรามีแล้ว เราก็อาศัยกำลังของกิเลสนั้นแหล่ะ เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจให้เกิดความทะเยอทะยาน
    ในความอยากได้
    อยากดี
    อยากมี
    อยากเป็น


    โลภ อยากได้คุณธรรม


    เอาความโลภกระตุ้นเตือนใจให้เกิดความ ทะเยอ ทะยาน
    ให้ไหว้พระสวดมนต์มากๆ
    เดินจงกรมนานๆ
    นั่งสมาธินานๆ
    พิจารณาธรรมะให้รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริง
    อาศัยพลังของความโลภเป็นเครื่องกระตุ้นเตือน
    ที่นี้กิเลส
    บรรดากิเลสทั้งหลายเนี๊ยะ


    ในเมื่อพูดถึงกิเลสแล้ว
    เราว่ามันชั่ว มันเศร้าหมอง มันไม่ดี
    แต่ความจริงนั้น
    เราจะได้ดิบ ได้ดี เพราะกำลังของกิเลส มันกระตุ้น
    เราอยากได้มรรคผลนิพพาน ก็เพราะอาศัยความโลภนั้นแหละเป็นเครื่องกระตุ้น
    แต่ว่าเราในเมื่อเราถูกกิเลสกระตุ้นแล้วเราก็ต้องประพฤติให้มันถูกต้อง
    แม้ว่าเราจะทำความโลภมากมายสักเพียงใดก็ตาม
    แต่หากไม่ผิดศีล ๕ ข้อ อทินนาทาน บาปไม่มี
    เพราะหลักฐานที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์เอาไว้ว่า ใครประสงค์เอ่อ
    ใครต้องการประโยชน์ในปัจจุบัน
    ต้องอาศัยหลักธรรม ๔ ข้อ เป็นเครื่องปฏิบัติ


    คือ

    ๑.อุปัฏฐานสัมปทา
    จงหมั่นขยันในการทำงานเพื่อแสวงหาผลประโยชน์
    แหน่ะคนไม่โลภ จะหมั่นขยันได้หรือ
    ต้องเป็นคนโลภจึงหมั่น จึงขยัน


    แล้วพระองค์ก็สอนให้รักษาผลประโยชน์
    ซึ่งเรียกว่า....อารักขสัมปทา
    รู้จักรักษาผลประโยชน์มิให้เสื่อมโดยไม่จำเป็น


    กัลยาณมิตตตา ให้สร้างความดีกับเพื่อนบ้าน
    ในเมื่อเรามีความพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและอำนาจ
    อาศัยทรัพย์สมบัติ และอำนาจนั้นๆ เป็นเครื่องมือสร้างความดีกับเพื่อนบ้าน
    ให้เพื่อนบ้านเค้ารัก อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดีให้เค้าเกลียด มันอยู่ในสังคมยาก
    แล้วข้อต่อไป พระองค์ ให้เลี้ยงชีวิตตนและครอบครัว
    คนบริวารให้มีความสุขสะบายพอสมควร ไม่มากนักไม่น้อยนัก


    อะอืมๆ

    นี้เป็นหลักที่พระองค์ทรงแสดงไว้
    ดังนั้น
    คนที่มีความหมั่น ความขยัน
    แม้ขยันแสวงหาทรัพย์สัมบัติอันเป็นเรื่องของโลกๆก็ตาม
    ผู้ที่มีความทะเยอ ทะยาน
    หมั่นขยัน ในการเดินจงกรม
    นั่งสมาธิ ภาวนา
    พิจารณาธรรมก็ตาม
    ก็อาศัยพลังแห่งความโลภ
    คือ
    ความอยากนั้นเอง เป็นเครื่องกระตุ้นเตือน


    ดังนั้นกิเลส บรรดาที่มีอยู่
    ถ้าเราใช้ให้มันเกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม
    โดยไม่ให้ผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง
    เข้าใจว่าไม่มีบาปกรรม
    และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงตำหนิด้วย
    เพราะฉะนั้น
    ศีล ๕ ประการนี้
    จึงเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม
    และประการสำคัญที่สุด
    ก็เป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
    ประการสุดท้ายเป็นคุณธรรมที่เป็นมูลฐาน
    ให้เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
    เพราะว่า
    หัวใจของประชาธิปไตย อยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษยชน
    ปาณาติบาท เคารพสิทธิในการดำรงชีพอยู่ของคนอื่น และสัตว์อื่น
    อทินนาทาน อทินนาทาน เคารพสิทธิในการครอบครองทรัพย์สมบัติ
    กาเมสุมิจฉาจาร ก็เคารพสิทธิในคู่ครอง และบุคคลผู้หวงห้าม
    เพราะฉะนั้นศีล ๕ ประการนี้
    เมื่อประยุกต์กับการปกครองบ้านเมือง จะกลายเป็นมูลฐาน
    ให้เกิดระบอบการปกครอง แบบประชาธิปไตย
    อันนี้คือผลประโยชน์ของศีล ๕ ที่จะพึงได้รับ ในปัจจุบันที่เรามองเห็นได้ง่ายๆ


    อะอืมๆๆ ทีนี้
    บางทีบางท่านอาจจะมีความสงสัยข้องใจว่า
    เราไม่สามารถ เราไม่มีเวลาที่จะไปบวชในศาสนา
    โดยเป็นพระเป็นเณร เป็นแม่ขาวนางชี เราจะรักษาแต่เพียงแค่ศีล ๕
    จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ถึงมรรคผลนิพพานได้หรือไม่
    คำตอบก็มีนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นตัวอย่าง
    ท่านอณาถะบิณฑิกะมหาเศษฐีเป็นตัวอย่าง
    ท่านเหล่านั้น ก็เป็นคฤหัสถ์ครองเรือน มีครอบมีครัว เหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ
    แต่ท่านยึดมั่นในศีล ๕ประการ แล้วปฏิบัติก็ได้สำเร็จพระโสดาบันเป็นพระอริยะบุคคล
    ทั้งๆที่ยังมีเครื่องแต่งตัวขาวๆแดงๆ อยู่อย่างเราธรรมดา
    เพราะฉะนั้น
    ผู้ที่ไม่มีโอกาสที่จะได้บวชในพระพุทธศาสนา
    ถ้าตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริงจัง
    มรรคผลนิพพานพระพุทธเจ้ามิได้ผูกขาดเอาไว้สำหรับนักบวชโดยตรง
    แม้แต่คฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็สามารถได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้เช่นกัน


    อันนี้เพื่อแก้ข้อข้องใจเพราะว่ามีใคร ต่อใครเค้ามาถาม
    หรืออาจจะเข้าใจผิด
    ว่า
    เราไม่ได้บวชรักษาศีล ๕ นี้ มันไม่ใช่ มันไม่ถึงมรรคผลนิพพาน
    บางท่านก็เข้าใจเช่นนั้น
    เพราะฉะนั้น
    ขอได้โปรดทำความเข้าใจว่า
    คฤหัสถ์ มั่นคงในศีล ๕ แล้ว เจริญสมาธิภาวนา ก็ได้สำเร็จในมรรคผลนิพพานเช่นเดียวกัน


    อ่านต่อที่นี่ http://palungjit.org/threads/ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.279665/
     

แชร์หน้านี้

Loading...