ฝันไปถึง เมืองบังบด เมืองผี แดนลับแล แล้วแต่จะเรียก

คนเล่านิทานป่วยค่ะ

 

หายไว ๆ นะคะ

 

จักรวาลเสียสมดุลย์ แกนโลกก็เกิดการเคลื่อนไหว ธาตุไฟปั่นป่วน

คนที่จักระเปิดแล้วในช่วงนี้จจะพบว่า ธาตุไฟผุดขึ้นมาจากจักระล่าง
ทำให้รู้สึกได้ถึงความร้อนทั่วทุกรูขุมขน คนที่ผันจักระเป็น ก็ผันขึ้นข้างบนทะลุกระหม่อม

คนที่เริ่มเดินจักระ คงผันไม่ออก เพราะเจอคลื่นมาแบบลูกคลื่นไม่หยุดยั้ง ผันออกไปเจอย้อนกลับ จิตใจไม่เชื่อมกับพลังงานภายนอก เลยอึดอัดอยู่ที่อก ใครงานเข้ามากๆ ก็ลงมาที่ช่วงท้อง

ปล.จขกท กำลังเดี้ยง อ่อนซ้อม มัวแต่ดูการ์ตูน สมาธิไม่เคยคิดนั่ง จิตใจสับสนวกวน

 

แอบได้ข่าวมาว่า ท่าน noppakan แอบไปฝึกวิชาที่นครพนมจ้า....สงสัยจะตัดทางโลกจิงๆๆ

 

เขียน ๑๐.๐๖

หายแล้วหรือครับ คุณป้า ที่ยังสาว หึหึหึ

อืม..ถึงว่าสิ พักนี้ต้องใช้เกราะทอร์นาโดสองสามครั้งแล้ว
ที่เคยโม้ไว้อ่ะ สร้างไว้ใช้งาน ชั่วโมงกว่าก็ทำเสร็จแล้ว แจ๋วป่ะ
ทีแรกกะว่า เอาไว้ใช้ป้องกันพลังงานด้านมืด ที่ชอบมีมาเยือนเรื่อย

แต่นักวิจัยของเรา ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี่ทางจิต
ที่ตั้งอยู่ที่ ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่จมและลอย ออกทะเล
เค้าพัฒนาต่อยอดออกไป ให้ใช้งานได้อีกหลาย

เอาที่ได้ใช้ระยะนี้นะ เดี๋ยวมันจะยาวไป เพราะมีหลายเวอร์ชั่นแล้วอ่ะ
เราใช้งานโดยการ ปั่นกระแสน้ำ ให้หุ้มรอบตัวไว้ เป็นรูปวงรี
คลุมตั้งกะหัวจรดเท้า ห่างจากกายประมาณฟุตนึง

เป็นกระแสหมุนติ้ว แรงๆ ส่วนหัวและเท้าจะปลายแหลมๆ หน่อยนะ แต่ตรงกลางจะป่องๆ เนอะ
ในกระแสน้ำนั้น เราใส่โมเลกุลน้ำแบบดี ที่แช่เย็นจัด จนกลายเป็นน้ำแข็ง แข็งๆ
เอามาจากชาวญี่ปุ่นล่ะมั้ง นะ ที่เค้าวิจัยว่าหยดน้ำ ที่พูดเรื่องดีๆ ให้ฟัง
พูดเรื่องสวยงาม เรื่องประทับใจ หรือบทสวดมนต์ หรือน้ำมนต์
แล้วพอมาดูด้วยกล้องจุล ก็จะพบว่า เค้าเป็นเกล็ดสวยงาม น่าประทับใจ
เดาเอาว่าน่าจะมีพลังงานแยะ ตอนจัดสร้างเกราะ เลยเอาใส่ไว้ในสมการด้วยอ่ะ
เกราะทอร์นาโด เวลาใช้งาน จะได้มีพลังงานสูงๆ แยะๆ และแข็งแกร่ง รวมไปถึงแหลมคม

ทีนี้ ที่ใช้ช่วงสามสี่วันนี้ ก็คือ ปั่นตั้งกะส่วนหัว จรดเท้า ขึ้นๆ ลงๆ
ปั่นให้มันเสถียรก่อน พักนึง พอรอบเครื่องเร็วได้ที่แล้ว ก็คงไว้
แล้วโยกจิตมาที่สมการย่อย ส่วนหมุน ทั้งหมุนเข้าและออก

เวลาหายใจเข้า ก็ให้มันหมุนแล้วดูดซับพลังงานภายนอกเข้ามาในร่าง
เวลาหายใจออก ก็ขับของเสีย สารพิษตกค้าง หรือขยะจิต ออกไปตามแรงปั่น
เมื่อจิตจับสมการย่อยนี้ มั่นคงแล้ว ก็รวมกับส่วนปั่นขึ้นลง ใช้จิตหลอมมันเข้าด้วยกัน

ปั่นไป หมุนไป ดูดเข้าขับออก เปล่งแสง เติมไฟ คงสภาพจิตนี้ ให้มั่นคง
แล้วก็เพิ่มสมการฟ้าดินเข้าไป เป็นส่วนสุดท้าย ทำสมการให้สมบูรณ์
หายใจเข้า ก็ดูดพลังงานทั้งจากส่วนบนหัว และจากปลายเท้า
หายใจออก ก็ให้ออกทั้งทางหัว และส่วนเท้า จบสมการ


นี่เป็นสมการเกราะทอร์นาโดพลังจิต คิดแบบฝัน
ที่รวมธาตุทั้งสี่ เข้าไว้ใช้งานร่วมกัน คิดว่างั้นนะ หึหึหึ

ธาตุลม ก็กระแสทอร์นาโด ที่ปั่นรอบกายระยะแรก
ธาตุน้ำ เป็นมวลพลังงาน และเป็นคลื่นป้องกันได้ดี
ธาตุดิน ใช้โมเลกุลน้ำแข็ง จากญี่ปุ่น ของนอกเชียว
ธาตุไฟ มีแยะ ในกาย เพราะเป็นคนมีไฟ ตั้งกะเกิด ๕๕๕



กระต่ายป่า แห่งสุริยะจักรวาล / เหล่าเต้บในนิทาน / สไตล์ของไอ
.

 

ข้าน้อย ขอคารวะ ท่านเซียน (ทำไปได้) เก่งไปไหน

ว่าแต่ งานวิจัยเรื่องหยดน้ำน่าอ่านมาก มันตกผลึกมั้ยนะ

 

อุ้ยลืมไปเป็นป้า เปลี่ยนรูป

น้ำชามั้ยท่านพี่ ของโปรดมิใช่หรือ ชากลิ่นมะลิ ชาธรรมชาติ ชาหอมมมม ร้อนนน

ชาจีน ชาไต้หวัน หรือชา อังกฤษ

หรือจะจิบชาแก้มขนมไทย(ก้นบาตร) เหมือนนิสัย ตอนอยู่สมัย รัชกาลที่ 5 ดีเจ้าคะ

สงสัยจะได้กลับไปดูหมอต่อได้ เริ่มเห็นภาพและได้กลิ่น

 

ธาตุไฟแปรปรวนเกี่ยว กับผมรึเปล่า ครับ ถ้าเนื่องมาขากผม ขอโทษด้วยครับ

 

หายป่วยหรือยังคะ

ยังรออ่านเรื่องสิงห์อยู่นะคะ^_^

 

ไม่เกี่ยวจ้า แต่จะบอกว่า จักรวาลมันเปลี่ยน ธาตุไฟทุกคนเลยเคลื่อนย้าย

ต้องใช้การปรับธาตุทั้ง4 จึงจะหาย แต่ป้าเอาแต่เที่ยวเล่น วิทธยายุทธเลยใช้ไม่ได้ เลยป่วยเหมือนกันจ้า

 

ป้าอยากทำโรงทานจ้า ขนมจีนน้ำยา
อยู่ดีๆก็อยากรื้อฟื้นเสน่ห์ปลายจวัก สงสัยมีคนอยากกิน
แต่เป็นน้ำยาปลากระป๋อง อร่อยละมุนลิ้น

มีใครสนใจสนับสนุนทุนทรัพย์มั้ย 555 ความอร่อยระดับเชฟ
(เรียกแม่ครัวสมัย ร.5 มาบอกสูตร)


รูปยายตำน้ำพริก 555

 

แจกสูตร

วัตถุดิบ
1. ปลากระป๋อง (กระป๋องใหญ่ ทรงแบน) 1 กระป๋อง
2. ปลาทูทอด ½ ตัว
3. ปลาทูเค็มทอด ¼ ตัว
4. พริกขี้หนูสวน 1 กำมือ 12 เม็ด
5. กระเทียม กลีบใหญ่ 1 กำมือ 10 กลีบ
6. หอมแดง 1 กำมือ 8 หัว
7. พริกแห้งเม็ดเล็ก 1 กำมือ 9 เม็ด
8. กระชาย 4 แง่ง
9. ตะไคร้ 1 หัว
10. เกลือป่น 2 ช้อนชา
11. น้ำปลาดี 1 ทัพพี
12. กะทิกล่อง 2 กล่อง
13. ลูกชิ้นปลา ตามชอบ
14. ผักแกล้มตามชอบ ถั่วฝักยาวอวบๆ กะหล่ำฝอย หรือถั่วงอก
** ทานได้ 15 จาน
** ไม่ใส่ใบมะกรูด
วัตถุดิบอาจดูเยอะ แต่ทำเสร็จภายใน 40 นาที อร่อย หอม เข้มข้น

วิธีปรุง
1.โขลกด้วยครกหินขนาดกลางปลาจะฟูดี เริ่มใส่ พริกขี้หนู กระเทียม หอม ตะไคร้ ตะไคร้(หั่นเป็นแว่นเล็กๆ) เกลือป่นหนึ่งหยิบมือ โขลกให้พอหยาบ จากนั้นใส่พริกแห้ง แล้วจึงโขลกต่อจนพริกแห้งไม่เป็นเม็ด (ตอนต้มเสร็จพริกแห้งจะไม่ละเอียดมากทำให้ดูน่ากิน) จากนั้นนำปลากระป๋องเฉพาะเนื้อปลา แยกน้ำซอสเก็บไว้ไม่ทิ้ง โขลกให้เข้ากันกับพริกแกง จนเป็นสีอมส้มเสมอกัน แล้วจึงใส่ปลาเค็มกับปลาทูทอดตามหลัง โขลกให้ทั่วๆ ดูว่าปลาขึ้นฟูดี
2.ใส่กะทิกล่องประมาณ 1 ทัพพี ลงไปผัดกับเกลือ อีกหยิบมือ จนกะทิงวด เปิดไฟกลาง ผัดเนื้อปลาที่โขลก ผัดเร็วๆ ใส่กะทิอีกทัพพี จนหอมพริกแห้งผัด ใส่น้ำซอสปลากระป๋องลงไปผัดต่อ จนปลาเริ่มแห้ง (คล้ายๆน้ำพริก) จึงใส่กะทิที่เหลือประมาณกล่องครึ่ง ใส่เกลือเพิ่มอีกช้อนชา แล้วเคี่ยวจนน้ำมันสีแดงลอยขึ้นหน้า
3.นำกระชายล้างให้สะอาดขูดเปลือกดำๆออก ตำพอหยาบ แล้วใส่ลงในหม้อ ใส่ลูกชิ้นปลาอย่างดีลงไปตอนนี้(ถ้าไม่แน่ใจเรื่องกลิ่นแนะนำให้ลวกน้ำก่อน ส่วนตัวใช้ซองสีน้ำเงิน ใน 7-11 ไม่มีกลิ่น)รอจนลูกชิ้นและกระชายสุก เปื่อย ใส่น้ำต้มสุกประมาณ 1 กล่องเพราะกะทิกล่องมันมากใส่น้ำปลาดีลงไปหนึ่งทัพพี คนอีกซักรอบ แล้วปิดไฟใส่น้ำปลาดีลงไปหนึ่งทัพพี คนอีกซักรอบ แล้วปิดไฟ
**ถ้าใส่น้ำปลาตั้งแต่เคี่ยวกะทิ มันจะไม่หอม จะได้แต่รสเค็มมากไปจ้า
**ใส่กระชายตอนหลัง เวลากินมันจะกรุบๆ ใครไม่ชอบไม่ต้องใส่
**สูตรนี้ไม่คาว เด็กและผู้สูงอายุทานได้ค่ะ
**ใครไม่ชอบมันใส่กะทิกล่องครึ่ง เพิ่มสัดส่วนน้ำเปล่าเอานะคะ

 

นี่มันกระทู้อะไรกันเนี่ย มีสูตรอาหาร จักระ มนุษย์ต่างดาว เรื่องราวอโยธยา

อ่านกันเพลินเกินห้ามใจ

สงสัยตอนงานศพ ต้องแจกยาหอม ยาลม ยาดม ยาหม่อง 5555555

 

ไม่เป็นไรครับ ผมชอบ อโยธยามหานคร

 

จากที่เคยสอบถามเรื่องรูปเคารพของทั้งสามพระองค์ ยังไม่ได้ข่าวใดๆ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรส สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา
ถ้าท่านไม่เสด็จมาโปรดจารุ (มาเป็นรูปปั้นหรือรูปหล่อที่จับต้องได้) จารุก็จะหยุดเล่าเรื่องอโยธยาแล้วค่ะ

มันหมิ่นเหม่ และพาดพิงหรือคนอาจจะเอาไปคิดเองเออเอง ทำให้สถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจต้องมัวหมอง

และสำหรับจารุถือว่าเป็นกรรมหนัก

เนื้อเรื่องจะเริ่มเข้าสู่เรื่องราวในวังหลวง(ในนิทาน) และสังคมของทหาร(ในนิทาน)

ป.ล.รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง เนียนทีเดียว

ป.ล.2 เหมือนกรรมตามป้ามารวดเร็ว สัญญาทั้งหลายที่เนิ่นนานก็พลิกกลับมารวดเร็ว ป้ารับไม่ทัน อีกตั้งนานจะตายนะ จะหนีไม่พ้นแล้วนะ
(ยิ่งเล่ายิ่งเข้าเนื้อ อารมณ์ดำดิ่ง หลับฝันไปแต่อโยธยา)

 

อยากลืมกลับจำ
คำร้อง/ทำนอง : สุรพล โทณวณิก
ศิลปินต้นฉบับ : เดอะ ฮอทเปปเปอร์ ซิงเกอร์ส

บางสิ่ง ทีอยากจำ เรากลับลืม
บางสิ่ง ที่อยากลืม เรากลับจำ
คนเรานี้ คิดให้ดี ก็น่าขำ
อยากจำ..กลับลืม อยากลืม..กลับจำ

อดีต ที่ผ่านไป ไม่กลับมา
ช่างเจ็บปวดอุรา เรากลับจำ
คนเรานี้ คิดให้ดี ก็น่าขำ
อยากจำ..กลับลืม อยากลืม..กลับจำ

ถ้าลืมความหลังได้ ใจจะเปี่ยมสุข
ไม่มีความทุกข์ คอยปลุก คอยตำ
คนเรานี้ คิดให้ดี ก็น่าขำ
อยากจำ..กลับลืม อยากลืม..กลับจำ

ยามอ่าน ท่องหนังสือ เรากลับลืม
เรื่องโศก เรื่องเศร้าซึม เรากลับจำ
คนเรานี้ คิดให้ดี ก็น่าขำ
อยากจำ..กลับลืม อยากลืม..กลับจำ

​

 

สงสัยต้องไปขอขมาที่พม่า ซักครา ก่อนค่อยเล่าต่อ
คนพุกามเนี่ย รักแค้นเหนียวแน่นมาก

 

ก็ไม่เข้าใจ คนตั้งมากมาย หลากหลายเจ้าสำนัก ที่บอกว่ามีญานท่านอยู่
แต่ทำไมต้องเป็นเราก็ไม่รู้

ชาตินี้ออกจะเป็นคนขี้กลัว 555

 

ทิพยมนต์...ท่านพ่อลี ธมฺมธโร


ทิพยมนต์

หนังสือ “ทิพยมนต์” นี้ ได้เขียนขึ้นเป็นสายบรรทัดเครื่องจูงใจของผู้ปฏิบัติให้บรรลุถึงความ บริสุทธิ์ เพราะมนต์หมวดนี้ย่อมให้ผลดีแก่ผู้ท่องบ่น เพราะเป็นเรื่องในตัวของตัวเอง

ธรรมดาคนที่เกิดมา ย่อมอาศัยอยู่ในธาตุทั้ง ๖ ธาตุเหล่านั้นสะสมขึ้นด้วยการกระทำของตนเอง ดีบ้างชั่วบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ธาตุเหล่านั้นย่อมลงโทษแก่ผู้อาศัยอยู่ เปรียบเหมือนกับเด็ก มันเป็นสิ่งที่คอยรบกวนใจอยู่เสมอ

ฉะนั้น การสวดมนต์ก็เท่ากับว่า เราเลี้ยงเด็ก บำรุงเด็ก ให้ได้รับความสมบูรณ์ เมื่อเด็กได้รับความสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ย่อมได้รับความสะดวกสบาย ฉะนั้นถ้าใครเสกบ่น เท่ากับว่าเราเลี้ยงเด็กแล้วด้วยอาหาร เรากล่อมเด็กแล้วด้วยเพลงอันไพเราะ คือ พุทธคุณ

อำนาจพุทธคุณนี้อาจจะทำธาตุของตนให้บริสุทธิ์ขึ้น เป็นธาตุกายสิทธิ์ เหมือนแร่ธาตุที่มีอยู่ในโลก ย่อมแล่นหรือดูดถึงกันได้ทุกวินาทีหรือเปรียบเสมือนไฟฟ้า ส่วนมนต์คาถาที่สวดเปรียบเหมือนกระแสไฟ มุ่งไปทิศใดย่อมถึงที่นั้นๆ อาจที่จะทำให้ดินฟ้าอากาศเป็นมงคล เพราะมนต์หมวดนี้เป็นมนต์ กปิลฤๅษี ปนอยู่ด้วย ตามเรื่องที่เล่าไว้ ดังนี้

ใน อดีตกาล มีฤๅษีตนหนึ่งไปเจริญทิพยมนต์ อยู่ในป่าสัก ณ ประเทศอินเดีย ตามตำนานเล่าว่า ในป่านั้นเป็นมหามงคล เช่น ต้นไม้ทั้งหลาย สับเปลี่ยนกันเกิดดอกออกผลอยู่ตลอดทุกฤดูกาล มีน้ำใสสะอาด สัตว์ตัวไหนเจ็บป่วยวิ่งผ่านเข้าไปได้กินน้ำในที่นั้น อาการป่วยนั้นจะสูญสิ้นไป ใบหญ้าและเถาวัลย์สดชื่นอยู่เป็นนิจ สัตว์ที่ดุร้ายและโหดร้ายเบียดเบียนกัน เมื่อเข้าไปผ่านในสถานที่นั้น ก็ราวกับว่าเป็นเพื่อนเป็นมิตรกันเอง สัตว์ทั้งหลายก็อาศัยป่านั้นอยู่ โดยความรื่นเริง กลิ่นโสโครกซากสัตว์ต่างๆ ที่ตายในที่นั้นไม่ปรากฏ ถ้าหากว่าความตายจะมาถึงตน ก็ต้องดิ้นรนหนีไปตายที่อื่น

ในที่นี้พวกชาวศากยสกุลวงศ์ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไปตั้งเมืองหลวงในที่นั้นเรียกว่า กรุงกบิลพัสดุ ซึ่งเป็นบ้านเมืองมาจนบัดนี้ (แควันเนปาล)

นี่เกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่ง กปิลฤๅษี ได้ไปเจริญทิพยมนต์อยู่ในที่นั้น วิธีเจริญของฤๅษีตนนั้น

วาระแรก เขาได้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ได้เจริญมนต์หมวดนี้อยู่ตลอด ๗ วัน
วาระที่ ๒ เขาได้หันหน้าไปทางทิศอุดร
วาระที่ ๓ เขาได้หันหน้าไปทางทิศใต้
วาระที่ ๔ เขาได้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
วาระที่ ๕ เขาได้หันหน้าลงไปทางปฐพี
วาระที่ ๖ เขาได้ยกมือ แหงนหน้าขึ้นไปในอากาศ ทำจิตให้สะอาด เอารัศมีของดวงดาวเป็นนิมิตร
วาระที่ ๗ เขาได้เจริญอานาปาน์ ปล่อยลมของเขาเองออกทุกทิศ

โดยอำนาจแห่งกำลังจิต ที่ประกอบด้วยพรหมวิหารทั้ง ๔ ที่เรียกว่า “ทิพยมนต์” ดังนี้...
เล่ามานี้ตามเรื่องราวของชาวอินเดียเล่าให้ฟัง

ต่อจากนั้น ก็ให้นึกถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้บริสุทธิ์ด้วยคุณธรรมอันเลิศ จนพระองค์สามารถจะเสกธาตุของพระองค์เอง ให้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าธาตุใดๆ ทั้งหมดในโลก

เช่น พระบรมธาตุอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในผู้เคารพนับถือ ได้ทราบข่าวว่าเสด็จมาบ้าง เสด็จหนีบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอยู่มาก

สิ่งเหล่านี้ก็สำเร็จมาจากดวงจิตอันบริสุทธิ์นั้นเอง
เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว ธาตุทั้ง ๖ ก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย
เมื่อธาตุเหล่านี้เนื่องอยู่ในโลก อาจจะทำให้ได้รับความชุ่มเย็นไปด้วยก็ได้ เพราะธาตุทั้งหมดย่อมเนื่องถึงกัน

ถ้าพวกเราพุทธบริษัทตั้งใจประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น เชื่อแน่ว่าต้องได้รับผลดีตามจำนวนของปริมาณ
ถ้า หากว่าจิตมิได้ฝึกหัดในทางนี้ มัวเมาแต่สะสมความชั่วใส่ตนแล้ว จิตก็ต้องเดือดร้อน อำนาจแห่งความร้อนของดวงจิต ก็จะทำให้ธาตุในตัวทุกส่วนร้อนเป็นไฟไปด้วย

ไฟเหล่านี้ก็จะต้อง ระบายไปในที่ต่างๆ ทั่วโลก ความร้อนอันนี้เมื่อมีปริมาณมากขึ้น ก็จะจับกลุ่มกันขึ้น เป็นเครื่องสนับสนุนช่วยแสงอาทิตย์ให้แรงกล้า แล้วก็ทำอากาศธาตุ ดิน น้ำ ไป ลม ให้วิบัติเปลี่ยนแปลงไปโดยอาการต่างๆ เช่น ฤดูทั้ง ๓ ก็จักไม่คงที่

เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ ก็จะต้องวิบัติหรือเดือดร้อนไปตามกัน ขึ้นที่สุดของความชั่ว ก็จะทำให้โลกที่เราอาศัยอยู่นี้แตกสลายไป ที่เขาเรียกว่า ไฟประลัยกัลป์ ไหม้โลก

คนเราไม่ได้นึกคิด จึงเหมาให้ธรรมชาติเป็นเองเสียโดยมากเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มิไช่นักเหตุผล เพราะสิ่งทั้งหลายต้องมีเหตุจึงมีผล

โลกที่ปรากฏอยู่ ย่อมสำเร็จมาจากดวงจิตเป็นตัวเหตุ จิตดี โลกต้องดี จิตชั่ว โลกต้องชั่ว

ฉะนั้น จึงได้เขียนแนวอบรมดวงจิตไว้ในหนังสือเล่มนี้เพื่อสร้างความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป...


พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี)

ลองเข้าไปฟังดูครับ

https://www.youtube.com/watch?v=eDufgQefG7M

 

ทิพยมนต์