ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    การรับรู้ช่วงนี้สัมผัสเป็นพลังงานมากขึ้นคะ
    - วันก่อนมีประชุมกันดุเดือด เมิลรู้สึกถึงพลังงาน รับส่งกันระหว่าง 2 คน ที่กำลังพูดกัน การรวมตัวของพลังงานในบรรยากาศโดยรอบ
    - แล้วก็อีกวันพลังงานความโกรธผุดขึ้นมาวนอยู่ในอก
    - เวลาฟังเพลงรู้ว่าตัวดุูมันดินไปดิ้นมาด้วย รู้ว่ามันเลือกจับจังหวะของดนตรี เข้าไปอยู่ในธรรมารมณ์นั้น แล้วอยู่กับธรรมารมณ์ตรงนั้น (เสพความเพลิน)
    - มีความรู้สึกว่าจะจาม ตอนทำรู้คลุมอยู่พอดี รู้สึกว่าอาการจามมันเป็นคลื่นพุ่งขึ้นมาออกจากตัวไปเลย แล้วอาการอยากจามก็หายไป แต่จมูกมีน้ำมูกนะ
    - หายเป็นเอเลี่ยนแล้ว รู้สึกเป็นปกติ มันคือการชินกับการเป็นเอเลี่ยนจนเป็นปกติหรือเปล่าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2015
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ดีแล้วที่สามารถ "รู้" สภาวะของการ "ทำให้เกิดพลังงาน" ได้ ต่อไปก็ให้ identify ตรง ๆ ไปที่ "มวลพลังงาน" ว่า มวลไหน เป็นกุศล มวลไหน เป็นอกุศล

    +++ จากนั้นจึงจำแนก "เจตนาของจิต" ภายหลัง สังเกตุตรง "ความจริงใจ" ในเจตนานั้น ๆ ความจริงใจจะมี "เสถียรภาพ" มากกว่า ส่วนความ "ไม่จริงใจ" จะมีความระส่ำระสายสูงกว่า

    +++ หากเป็นของเรา มันมาจาก "สัญญา ระลึกเอามาจากเหตุการณ์ ที่ผ่านมาแล้ว" หากไม่ใช่ของเรา มันก็มาจากคนอื่น

    +++ ธรรมชาติของตัวดูก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ มันเป็นตัวที่ "หลงภพภูมิ"

    +++ หาก "ดู" ตรงคันจมูก มันจะ "จาม" แน่นอน หากไม่ ดู มันจะ "วืด" ไปเฉย ๆ ไม่มี "จาม" สังเกตุแบบเล่น ๆ ก็ได้

    +++ ไม่ใช่หรอก คนธรรมดาใช้ "ธรรมารมณ์" เป็นเครื่องอยู่ จึงตกอยู่ใน 3 โลกเป็นธรรมดา

    +++ แต่พวกเราใช้ "รู้" เป็นเครื่องอยู่ จึงเป็น เอเลี่ยน ในทั้ง 3 โลก เพราะเครื่องอยู่ (วิหารธรรม) แตกต่างกัน

    +++ ธรรมารมณ์ เป็นของหนัก เขาก็แบกของเขาไปตามยถากรรม เราไม่แบกด้วย แต่บอกไปเขาก็ไม่เอา และ ไม่พยายามเข้าสู่ฝั่งของ "สภาวะรู้" ดังนั้นคงต้อง "วาง" ไว้อย่างนั้นแหละ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การฝึก รุ่นต่อไป คงจะมีในระหว่างพรรษานี้ หากผู้ใดสนใจที่จะเข้าร่วมฝึก ก็ให้ PM ติดต่อกับคุณ อินทรบุตร ได้ เพื่อรวบรวมการทำ "ตาราง วัน+เวลา" ที่เหมาะสมกับ "ทุกฝ่าย" ผู้ที่อยู่ใน กทม อาจไม่มีปัญหาเท่าไร เพราะ ไป-กลับ ได้

    +++ ผู้ที่อยู่ ตจว ควรแจ้ง "รายละเอียด" เรื่อง วันว่าง และ เวลาที่สะดวก มาด้วย

    +++ วัน เสาร์-อาทิตย์ อาจได้เป็น "บางครั้ง" เท่านั้น แต่วันธรรมดา จันทร์-ศุกร์ จะมีโอกาสมากกว่า

    +++ สถานที่ฝึกรุ่นต่อไป อาจอยู่แถว ๆ "พุทธมณฑล 3" หรืออาจเป็น "บ้านลาดพร้าว" ก็ได้ แล้วแต่ ความเหมาะสม

    +++ ผู้ที่สนใจในการฝึก "รุ่นต่อไป" ขั้นต่ำ สมควรที่จะต้อง "ทำความรู้สึกตัว ทั่วทั้งตัว ได้แล้ว" แม้ว่าไม่ชำนาญ ก็ไม่เป็นไร

    +++ ผู้ที่จะเข้าร่วมการฝึก ให้สอบถามรายละเอียดทาง PM กับคุณ อินทรบุตร ได้แต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกัน "ความฉุกละหุก" นะครับ
     
  4. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    "- แล้วก็อีกวันพลังงานความโกรธผุดขึ้นมาวนอยู่ในอก
    +++ หากเป็นของเรา มันมาจาก "สัญญา ระลึกเอามาจากเหตุการณ์ ที่ผ่านมาแล้ว" หากไม่ใช่ของเรา มันก็มาจากคนอื่น"

    พี่คะ หลัง ๆ สัญญาระลึกถึง แต่มันเป็นแค่ความคิดลอยไปลอยมาใกล้ ๆ ตัวคะ ไม่มีอาการหลงตามมัน คือไม่มีอาการพลังงานก่อตัวแล้วกลายเป็นมันนะคะ เรารู้ว่ามีความคิดแต่เราก็ไม่ได้เป็นความคิด

    มันจะมี moment ที่รู้ว่ากำลังจะถึงเข้ามาเป็นของเราด้วยคะ มันจะรู้สึกว่ามีอะไรวน ๆ แล้วก็จะถูกดึงเข้าไป แต่ย้ายกลับออกมาเป็นรู้จากข้างนอกซะก่อน เลยจบกระบวนการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2015
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรง "ความคิดลอยไปลอยมาใกล้ ๆ ตัว" นั้น หากเป็นภาพ จะมีลักษณะ "โปร่งใส 3 มิติ" กลางอากาศ หรือเปล่า รวมทั้งบางทีมันก็เป็น "รูปทรงกลม คล้าย ฟองสบู่" ลอยไปมา หากจะนับว่า มันเป็นรูปแบบคล้าย "กสิณ" ก็ได้ ในยามที่มีเสียงเป็นองค์ประกอบ "ตัวพูดมาก จะอยู่ตรงใจกลาง ของฟองสบู่โปร่งใสแบบกสิณ ตัวนี้"

    +++ หาก "ตัวความนึกคิด" ปรากฏออกมาในลักษณะนี้แล้ว อาการ "ฟองสบู่ใสคล้ายกสิณ" ตัวนี้แหละ คือ "ตัวจิต" เพราะมันเป็นศูนย์รวมของ "วจีจิตตะสังขารขันธ์" (ตัวพูดมาก) และ "มโนจิตตะสังขารขันธ์" (ตัวนึกคิด) ตัวนี้ทั้งหมด คือ ตัว "จิตตะสังขารขันธ์" (สัญญา+สังขารจิต) และเป็นตัว "จุติจิต" ที่กำเนิดชาติภพต่าง ๆ ด้วย

    +++ การฝึกที่บ้านลาดพร้าว ผ่านตรงนี้ไปแล้ว และบางครั้งผมถึงกับใช้คำพูดเล่น ๆ ว่า ศีลข้อที่ 1 สำหรับการฝึกช่วงนี้ คือ "ห้ามจิตเข้าสู่ร่าง"

    +++ ตรงนี้ให้ เมิล ฝึก "ดัน" ตัว จิตตะสังขารขันธ์ ตัวนี้ ให้ออกไป ไกลบ้าง ใกล้บ้าง ข้างบน ข้างล่าง ภาษาที่ใช้ที่บ้านลาดพร้าว คือ "โยโย่จิต" บางทีก็เรียกมันว่า "บันจี้จิต"

    +++ ให้สังเกตุว่า "ความเป็นอัตตา" จะเพิ่มขึ้น เมื่อมันอยู่ใกล้ และ อัตตาจะลดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อมันอยู่ไกล ให้ใช้การ "โยโย่ หรือ บันจี้ จิต" ตรงนี้เป็นอุปกรณ์ในการ ตรวจระดับของ อัตตา

    +++ อย่าคิดว่าตรงนี้ไม่สำคัญ ตรงนี้แหละที่เป็น ปากประตูใหญ่ของ Space Traveler (บ้านลาดพร้าวฝึกแล้ว) รวมทั้ง Dimension Traveler (ยกต่อไปจะมีการฝึกตรงนี้ที่บ้านลาดพร้าว) ด้วย

    +++ ผู้ที่ยังไม่ "เป็น" สภาวะรู้ และผู้ที่ยัง "บันจี้จิต" ไม่ได้ จะฝึกตรงนี้ไม่ได้เลย และอาการ "บันจี้จิต" ตรงนี้แหละที่ผมเคยเรียกมันว่า อาการ "สติดวลเดี่ยวกับจิต" ซึ่งเคยโพสท์เอาไว้นานแล้วในเวปนี้

    +++ ให้ เมิล ตรวจสอบดูว่า อาการที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างบนหรือเปล่า ถ้าหากใช่ ก็ฝึก โยโย่จิต ในลักษณะต่าง ๆ ได้เลย ตรงนี้จะมีลักษณะของการ Teleport ตัวดู แฝงอยู่ด้วยตลอดเวลา คอยสังเกตุให้ดี ๆ ก็แล้วกันนะ
     
  6. ชัยมงคล9

    ชัยมงคล9 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    ผมได้เปลี่ยนชื่อจาก "สัมภิทา" เป็น "ชัยมงคล9" ครับ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา น้องคนใหม่ ที่ตั้งใจว่าจะจัดให้อยู่ร่วมชุดกับ คุณ ชัยมงคล9 ได้มีโอกาสมาร่วมฝึก (สถานที่ใหม่) และ สามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาก (จนอยู่ในระดับ เหลือเชื่อ)

    +++ เริ่มจากแค่ทำกาย 100 ได้ แต่ทำ % ไม่ชำนาญแบบเดียวกันกับ คุณ ชัยมงคล9 เพียงแต่ "กายเวทนา แยกตัวออกมาเป็น ถูกรู้" (แยกขันธ์) จากนั้นก็เลยให้เดินจิตแยก "สรรพเพธรรมมาอนัตตา" ก็ปรากฏว่า แยกได้อย่างละเอียด จนแม้กระทั่ง "ตัววจีจิตตะสังขารขันธ์" ก็แยกหลุดออกมาด้วยกัน

    +++ ก็เลยให้ฝึกการ "โยโย่ หรือ บันจี้ จิต" ต่อเนื่องไปเลย และสามารถ "โยโย่ หรือ บันจี้ ตัวจิตตะสังขารขันธ์ ได้ทั้งตัว" รวมทั้งสามารถจับอาการ Teleport ตัวดู ที่แฝงตัวอยู่ด้วยตลอดเวลา และ สามารถวัดระดับของ "อัตตา" ในขณะที่ทำ "บันจี้จิต" ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเริ่ม "สำเหนียกได้ในระดับ ไร้ขันธ์ บ้างแล้วนิดหน่อย"

    +++ จะเหลือก็แต่เพียง "โยโย่ หรือ บันจี้ จิต" แล้ว "ดับมันทิ้งไป" จนกลายเป็น "สภาวะรู้" จากนั้นก็จะเริ่มฝึกในภาค "ไร้ขันธ์" ซึ่งจะเกี่ยวพันธ์กับ Cosmic Traveler รวมทั้ง Dimension Traveler (The Jumper) ไปเลย

    +++ อาจจะกลับมาฝึกร่วมชุดกับคุณ ชัยมงคล9 ในช่วงการฝึกของ "จิตเปล่งรังสี" เป็นบางครั้ง ถ้าเขาต้องการจะเอาทาง "ภาคสมถะ" ไว้ด้วย แต่ในขณะนี้ น้องคนนี้ "หมดความจำเป็น" ที่จะต้องหวลกลับมาในวังวนของ "สมถะ" ไปเรียบร้อยแล้ว

    +++ น้องคนนี้เหลือแค่ทบทวนการ "เพิกกาย และ กำหนดสร้างกาย" นิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมให้ น้องคนนี้ เข้ารวมกับรุ่น บ้านลาดพร้าว ไปแล้ว นะครับ

    +++ คุณ ชัยมงคล9 ก็ฝึกกายในระดับ % ให้ชำนาญไว้ก่อน เมื่อนัดฝึกคราวหน้า อาจเกิดปรากฏการณ์ พิเศษเฉพาะกรณี แบบน้องคนนี้ ก็ได้ นะครับ
     
  8. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    คุณธรรมชาตินี่เป็นพระอรหันต์หรือยังครับ ถามตรงๆ เพราะเขียนถึงขนาดนี้ ควรเป็นพระอรหันต์
    แต่ถ้ายังก็แปลกๆนะครับ ที่สอนไปขนาดนี้
    ถามด้วยความบริสุทธิ์ใจนะครับ ไม่ได้มาป่วน
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ก็บอกตามตรงนะ คำว่า "อรหันต์" นั้น "ไม่ได้อยู่ในความสนใจ" ของผมแม้แต่นิดเดียว

    +++ ทุกอย่างที่อยู่ในกระทู้นี้ เป็นผลลัพธ์ มาจากการปฏิบัติ "ส่วนบุคคล" ทั้งสิ้น

    +++ ผมไม่ได้สนใจว่า "มันจะเป็น คำศัพท์" ที่เรียกว่าอะไร สำหรับผมแล้ว "มันไม่มีความหมายเลย"

    +++ ห้องนี้เป็นห้อง "XP" เป็นห้อง "ประสพการณ์" ดังนั้น ที่ผมโพสท์มานี้ มาจากประสพการณ์ทั้งหมด

    +++ ไม่มีอะไรแปลกทุกอย่าง "เป็นความจริงทั้งหมด" หาก "ทดลองทำดู" ก็จะ "รู้" ได้ด้วยตนเอง

    +++ ไม่เป็นไรครับ ทุกอย่างในกระทู้นี้ เริ่มต้นมาจาก "ความรู้สึกตัวทั่วถึง"

    +++ นอกนั้น เป็นผลลัพธ์มาจาก "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" ที่วิวัฒนาการบานปลายออกไปเอง

    +++ ให้ลองค้นหา "บาลี อลคัททูปมสูตร มู. ม. 12/278/286 ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่เชตวัน" ในกูเกิ้ลดู

    +++ แล้ว อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับ "พระพุทธเจ้า" ก็แล้วกัน ผม "ไม่รับ" นะครับ;)
     
  10. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    ใครเข้ามาอ่าน อย่าชักช้ารีๆ รอๆ จะเสียโอกาส เวลาเหลือน้อย
    รีบๆ จองฝึกกันน่ะ สอนฟรี
     
  11. ละอองทราย

    ละอองทราย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +51
    สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าตลาดวายหรือยังคะเนี่ย แห่ะแห่ะ

    มีท่านผู้ใจบุญส่งลิงก์นี้มาให้ค่ะ
    เลยเข้ามาอ่านได้สักพักแล้วค่ะ
    เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างค่ะ

    แต่พอจับใจความได้ว่า เกี่ยวกับการรู้สึกตัว
    เลยอยากจะขอความกรุณาจากท่านธรรมชาติ
    ช่วยชี้นำสั่งสอนด้วยค่ะ
    จริงๆสนใจทางพุทธศาสนามานานแล้วค่ะ
    ทำทาน รักษาศีล เป็นปกติ
    แต่เรื่องการภาวนา เพิ่งมีความเพียรเมื่อไม่นานนี้ค่ะ
    เลยอยากสอบถามสภาวะกับท่านธรรมชาติค่ะ
    ว่าอาการที่เกิดขึ้น คือการ "รู้สึกตัว" อย่างที่คุยๆกันในห้องนี้หรือไม่ค่ะ

    เมื่อคืนตอนทำสมาธิ เกิดอาการคล้ายคลื่นกระจายไปทุั่วตัว
    (ช่วงหลังๆนี้ พอจิตสงบสักพักจะเป็นประจำเลยค่ะ)
    แต่ครั้งนี้ คลื่นชัดมากๆค่ะ และกระจายไปทั่วตัวนานมากเลย
    จับได้ว่า มันจะเริ่มจากกลางลำตัว
    จากนั้นจึงกระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกายค่ะ
    ในระหว่างนั้นก็กำหนดตามรู้ค่ะ

    พอนั่งสมาธิเสร็จ ก็มานอนค่ะ
    แต่พอล้มตัวนอนสบายๆ ยังไม่ทันหลับเลยนะคะ
    ก็รู้สึกว่ามีไฟฟ้าช็อตอ่อนๆไปทั่วตัวเลยค่ะ
    รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้น ขณะที่เกิดก็กำหนดรู้อาการ
    พร้อมทั้งขอพุทธานุภาพคลุมกายไว้ค่ะ
    (เพราะก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อค่ะ)
    แต่รอบนี้แปลกตรงที่ว่า ร่างกายไม่ถูกตรึงจนขยับไม่ได้
    เหมือนอย่างที่เคยเป็นทุกๆครั้งที่ผ่านมาค่ะ
    (แต่ทุกครั้งที่ผ่านมาจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาคลุมกาย
    แต่จะไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตไปทั้งตัวอย่างชัดเจนเหมือนครั้งนี้ค่ะ)
    ในขณะที่เกิดอาการก็ลองขยับตัวไปมา ก็ขยับได้ปกติเลยค่ะ
    แต่เวลาขยับ อาการเหมือนไฟฟ้าช็อตก็ยังเกิดอยู่ค่ะ
    เป็นอย่างนี้นานพอสมควร
    ตอนท้าย มีเสียงคลื่นเหมือนคนคุยกันมาอีก
    ก็จำคำสอนได้ว่า ให้กำหนดรู้ แล้วกลับมาสู่องค์ภาวนา
    ก็เลยกำหนดรู้ถึงเสียง แล้วกลับมาบริกรรมพุทโธ
    โดยไม่สนใจเสียงอีกค่ะ
    สักพักอาการต่างๆก็หายไปค่ะ

    ขอความกรุณาท่านธรรม-ชาติ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
    ขอบพระคุณนะคะ _/\_
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า"

    +++ คนส่วนใหญ่ในตลาดนี้ นำเอาของที่ได้มาจากตลาด "นำไปทำกับข้าว" กันอุตลุด บ้างก็กำลัง ทำกับข้าว บ้างก็กำลัง ทาน บ้างก็ "อิ่มแล้ว" บ้างก็กำลัง สอนทำกับข้าว ก็มี

    +++ จะเน้นตรงนี้สักนิดหน่อย คือยามที่ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง" ปรากฏมีอยู่ เรื่องของการ "กำหนดรู้" ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะ "ในขณะนั้น ๆ รู้อยู่แล้ว โดยปราศจากการกำหนด"

    +++ อาการ "รู้อยู่แล้ว โดยปราศจากการกำหนด" นี้คือ "แก่น" ของการ กำหนดรู้ ดังนั้นอาการ "รู้อยู่แล้ว โดยปราศจากการกำหนด" จึงเป็น key หลักทั้งหมดของ "กรรม-ฐาน"

    +++ ในขั้นตอนนี้ "การกำหนดรู้ คือ การกำหนดสติ" ซึ่งไม่มีความจำเป็นในยามที่ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง อันเป็น สัมปชัญญะ" ปรากฏอยู่แล้ว ให้ "อยู่และเป็น" สัมปชัญญะ แบบตรง ๆ ไปเลย

    +++ ตรงนี้เคยมีโพสท์ไว้นานแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่กระทู้ไหน หลักสำคัญคือในขณะที่ "รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้น" ให้ "อยู่" ในสภาพนั้นไปเลย ถ้าทำได้ก็จะได้ "ของเล่น" ตามมาเองนะ

    +++ ตรงนี้หาก "ขอพุทธานุภาพคลุมกาย" (เกิดจากกลัว) เมื่อไรก็จะเป็น "การถอนจิต" ตรงนั้น แต่ถ้า "อยู่" ในสภาพนั้นไปเลย (ตั้งมั่น) จึงจะ "เป็นของจริง"

    +++ ตรงนี้ "ผ่านอาการเกร็งตัวของฌาน" (ตรึง) ไปแล้ว จึงอยู่ในอาการ "แช่" (ผ่อนคลาย) แล้ว "อยู่" ในอาการอย่างอิสระ ทุกอย่างจึงเป็น "ปกติ" แต่มีความเป็น "ฌาน" เต็มตัว

    +++ ไม่ว่า "ใครจะเป็นคนสอน" ก็ตาม ตรงนี้ "สวนทางกับพระพุทธเจ้าโดยตรง" เพราะเป็นการ "ปฏิเสธ" ธรรมเฉพาะหน้าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันขณะ ในขณะนั้น ๆ

    +++ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ไม่ใช่ "ไม่สนใจธรรมเฉพาะหน้า" ตรงนี้คุณ "พลาด" ไปอย่างน่าเสียดาย

    +++ คำสอนที่ว่า "ให้กำหนดรู้ แล้วกลับมาสู่องค์ภาวนา" นั้น เป็นคำสอน สำหรับผู้ที่ "ยังเพ้อเจ้อวุ่นวายอยู่" ยังไม่เกิดสมาธิแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่คำสอนสำหรับ "ผู้ที่อยู่ในฌาน" เรียบร้อยแล้ว

    +++ ผู้ที่มี "สติครองฌาน" เรียบร้อยแล้ว คือ ผู้ที่ "ดำรงค์สติมั่น" ไปแล้ว รอแต่ "ธรรมเฉพาะหน้า" จะปรากฏเท่านั้น

    +++ ดังนั้น "คำสอน" จากผู้ที่ "ไม่ได้ปฏิบัติธรรม" จึง "ขาด" สภาวะที่เป็น step ขั้นตอน แล้วส่งผลให้กลายเป็น เหลวไหลไปหมด

    +++ สำหรับคุณ ning nutchanun "ในขั้นตอนนี้" อาการทุกอย่าง ระบุชี้อย่างตรง ๆ ว่าเป็นอาการที่ "สติครองฌาน" เรียบร้อยแล้ว

    +++ คราวหน้าหากเกิดอาการ "เหมือนไฟฟ้าช็อต" เมื่อไร ก็ให้ "อยู่" ในสภาวะนั้นไปเลย ไม่ว่าอาการ "เสียงคลื่นเหมือนคนคุยกัน" หรืออาการ "รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้น" ปรากฏเมื่อไรก็ "ให้อยู่ในอาการนั้นไปเลย" ไม่มีผลเสียหายอะไรเกิดขึ้น หลายคนที่ฝึกอยู่ในกระทู้นี้ เคยผ่านปรากฏการณ์นี้มาหมดแล้วทั้งนั้น

    +++ ปรากฏการณ์ "เบื้องต้น" ในบริเวณนี้ "ห้ามทิ้ง ห้ามเมินเฉย" เพราะในระดับที่ละเอียดกว่านี้ จะต้องใช้ "ประสพการณ์" ในบริเวณนี้ เป็นการต่อยอดไปเรื่อย ๆ

    +++ ศาสนาของ พระพุทธเจ้า เป็นศาสนาของ "โลกะวิฑูร" (ผู้รู้แจ้ง) ไม่ใช่ศาสนาของ "ผู้ไม่ยอมรับรู้อะไรเลย"

    +++ ดังนั้นการ "จำคำสอนได้ว่า ให้กำหนดรู้ แล้วกลับมาสู่องค์ภาวนา" นั้น เป็นของ "ผู้ที่ไม่มีสมาธิ" แต่สำหรับผู้ที่ "มีสมาธิอยู่แล้ว" จะกลับกลายมาเป็น "การถอนจิต" ถือได้ว่า "เสียของ" เป็นอย่างยิ่ง

    +++ นี่แหละที่ ครูบาอาจารย์ทางสายพระป่าท่านกล่าวไว้ว่า "ปริยัติงูพิษ" ก็คือ อาการ "ความทรงจำที่กลับมาหลอน นักปฎิบัติ" นั่นเอง

    +++ "ดำรงค์สติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" เป็น "หัวใจในการปฏิบัติ" ของคุณในขณะนี้

    +++ ให้ปฏิบัติต่อไป หากติดขัดตรงไหนก็สอบถามได้นะครับ
     
  13. ละอองทราย

    ละอองทราย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +51
    ขอบพระคุณ ท่านธรรม-ชาติ มากๆเลยนะคะ
    เป็นคำตอบที่ละเอียดและกระจ่างแจ้งมากเลยค่ะ
    ทำให้มองเห็นเส้นทางที่ "ต้อง" เดิน ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
    จะนำคำชี้แนะสั่งสอน ไปปฏิบัติตามค่ะ
    รู้สึกตอนนี้มีกำลังใจฮึกเหิมมากๆเลยค่ะ ^^

    หากติดขัดตรงไหน
    หรือมีสภาวะใดๆเกิดขึ้นอีก
    ขออนุญาติมาสอบถามใหม่นะคะ
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  14. ละอองทราย

    ละอองทราย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +51
    ท่านธรรม-ชาติ คะ

    ขออนุญาตส่งการบ้าน พร้อมขอความกรุณาแนะนำด้วยค่ะ
    ต่อจาก #1095 ของกระทู้นี้ ที่ท่านธรรม-ชาติ ได้เมตตาแนะนำไว้ใน #1096

    เมื่อคืนนี้ก็นั่งสมาธิ มีอาการคลื่นกระจายทั่วตัวอย่างที่เคยเป็นค่ะ
    จากนั้นก็มานอน ก็กำหนดรู้ลมหายในพร้อมบริกรรมพุทโธ
    ในช่วงที่รู้สึกเคลิ้ม ก็มีอาการไฟ้ฟ้าช็อตเหมือนทีเคยเป็น
    แต่ครั้งนี้ ช็อตไม่ชัดเหมือนวันก่อนนะคะ
    จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวลอยขึ้นๆๆ
    ครั้งนี้จำคำสอนของท่านธรรม-ชาติ ได้
    จึงไม่ขอพุทธานุภาพคลุมกาย
    แต่ตั้งสติมั่นรู้ไปที่อาการลอยตรงๆ
    และอธิษฐานมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พร้อมตั้งจิตว่า หากมีอันเป็นไป ขอไปนิพพานเท่านั้นค่ะ

    จากนั้นก็รู้สึกตัวลอยขึ้นเรื่อยๆๆๆ
    สักพักลืมตาขึ้นมา ก็เห็นหลวงปู่มั่นและหลวงตาบัวค่ะ
    ท่านพาไปที่ไหนสักแห่ง จะเป็นที่โล่งๆ มีน้ำเต็มเลย
    ลักษณะคล้ายๆทะเลสาป
    จากนั้นหลวงปู่มั่นท่านก็สอนธรรมค่ะ
    ท่านกล่าวว่า สำหรับเจ้าให้เน้นเรื่อง อนัตตา ในการพิจารณาไตรลักษณ์

    ปล. ช่วงที่พบหลวงปู่มั่นและหลวงตาบัว รวมทั้งตอนท่านสอนธรรม
    ความรู้สึกคล้ายๆ กับฝันนะคะ

    ขอความกรุณาท่านธรรม-ชาติ ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จะเสริมตรงนี้นิดหน่อย ทุกครั้งที่ "บริกรรมพุทโธ" ให้สังเกตุไปที่ "ใจกลางของเสียง" จะมีอาการ "กะพริบ" นิดหน่อยในทุกครั้งที่ "พุธ+โธ"

    +++ การกะพริบจะเกิดกับ "ทุกพยางค์" ของคำพูด คำบริกรรม ขั้นตอนนี้จะยังละเอียดมากสำหรับคุณ แต่ต่อไปจะเป็นเรื่องธรรมดา และจะเห็นการกะพริบทุกอาการพูด ทุกคำบริกรรม

    +++ ทดสอบอย่างง่าย ๆ ด้วยการ "บริกรรมที่ ชัดเจน" หรือจะเรียกว่า "บริกรรมแรง ๆ" ก็ได้ แล้วจะเห็น การกระพริบ ที่ชัดเจนเอง

    +++ อาการตรงนี้ สำคัญอย่างยิ่ง และ ครูบาอาจารย์สายพระป่า มักจะกล่าวถึงเสมอ เช่น

    +++ หลวงปู่ดูลย์ กล่าวว่า "มันไม่พูดกับใคร มันก็พูดกับตัวมันเองนั่นแหละ" ในตอนที่ลูกศิษย์ตั้งใจจะ "ไม่พูดกัน ปิดวาจา ในพรรษานั้น"

    +++ หลวงปู่สิม ถ้ำผาปล่อง เรียกมันว่า "วจีจิตตะสังขาร" ส่วนในกระทู้นี้เรียกมันว่า "ตัวพูดมาก"

    +++ ยามใดที่เห็นมันชัดเจนแล้ว ให้สังเกตุดี ๆ ว่า "มันไม่ใช่เรา" (อนัตตา) ยิ่งเห็นชัดเท่าไร มันก็ยิ่ง "หลุด" (วิมุติญาณทัศนะ) ออกไปไกลเท่านั้น และ ไม่มีความเป็น "ตัวเรา" อยู่ในนั้นเลย

    +++ ตรงนี้ เจ้าคุณนรรัตน์ ธรรมวิตโก กล่าวไว้ว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง" ทั้งหมดคืออาการตรงนี้

    +++ นั่นแหละ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" จากนั้นก็ "อยู่กับธรรมเฉพาะหน้า" แล้วอะไรดี ๆ ก็จะปรากฏมาเอง

    +++ เมื่อ "ตัวพูดมาก" หลุดออกจากความเป็น "ตน" แล้วก็จะเห็นอาการของ "อนัตตา" (ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู) ในส่วนของรูป ได้เอง ส่วนอาการ "กระพริบ" นั่นคืออาการ "ไตรลักษณ์"

    +++ ต่อไปก็จะถึง "ความเป็นตน" ที่พ้นจากการสมมุติ แต่ยังเป็น "การยึด" อยู่ จากนั้นก็จะถึงอาการ "เกิด-ดับ" ของอาการ "ยึดตน" (ติด-ดับ ของอุปาทาน) ในส่วนของนาม

    +++ ตรงนี้ก็จะ ค่อย ๆ พัฒนาเป็นขั้น ๆ ไป

    +++ ตรงนี้ "ไม่ใช่ฝัน" แต่อาการเหมือนฝันเพราะ สติของเรายังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ต่อไปเมื่อเข้าใจถึงเรื่อง "จิตสื่อสาร" ในยามปกติที่ตื่นอยู่ ก็จะเข้าใจได้เอง

    +++ ช่วงนี้ ทุกครั้งที่บริกรรม ให้เห็น "ตัวพูดมาก" ให้ได้ก่อน (หลวงตามหาบัว เรียกมันว่า "ตัวผีบ้า") จนมันกระเด็นออกไปจากเรา

    +++ ตอนนอน ให้ทำแบบเก่า จากกระแสไฟฟ้า สู่ การลอยตัว สู่ การถอดกาย นี่คือ "วิวัฒนาการ" ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ

    +++ ทำให้ได้ "นิสัย" และชำนาญ ต่อไปก็จะละเอียดไปเรื่อย ๆ ได้เองนะ
     
  16. ละอองทราย

    ละอองทราย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +51
    --ตัวพูดมาก-- ฟังดูเป็นตัวแสบเลยนะคะ^^!
    เคยอ่านพบในกระทู้นี้ค่ะ
    เดี๋ยวจะย้อนกลับไปอ่านและทำความเข้าใจโดยละเอียดอีกครั้งนะคะ

    ขอบพระคุณมากๆๆๆๆเลยค่ะสำหรับความเมตตา
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  17. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะมีเรื่องสอบถามหน่อยค่ะท่านธรรมชาติ
    ตอนนั่งสมาธิขณะฟังพระเทศน์ ก็มีความรู้สึกว่านั่งกายตรงฟังพระเทศน์ไม่ง่วง ฟังไปเรื่อยๆความรู้สึกก็หายไปจำเรื่องราวเกี่ยวกับพระเทศน์ไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนพระเทศน์ใกล้จะจบ เพื่อนมักจะบอกว่านั่งหลับเพราะเห็นค่อยๆก้มหัวมาข้างหน้าแล้วค่อยๆหงายกลับไปแต่ตัวเองก่อนความรู้สึกจะหายไปกลับรู้สึกว่านั่งกายตรง ไม่มีความรู้สึกว่าง่วง อายเพื่อนเหมือนกันที่นั่งหลับ วันหลังก็ลองใหม่อีกพยายามทรงสติให้หมั่นขณะนั่งฟังพระเทศน์ ฟังไปได้ไม่เกิน2นาทีความรู้สึกกลับหายไปอีกมารู้สึกอีกครั้งก็ตอนพระเทศน์ใกล้จะเสร็จ ถามเพื่อน เพื่อนบอกว่าหัวค่อยๆก้มลงมาตั้งแต่พระเริ่มเทศน์ แต่ตัวเราเองก่อนที่ความรู้สึกจะหายไปกลับรู้สึกว่านั่งกายตรงไม่รู้สึกว่ากายขยับแต่คนภายนอกกลับเห็นว่านั่งหลับ ไม่รู้มันคืออะไรกันแน่เหมือนความรู้สึกมันนั่งตรงแต่ร่างกายมันหลับ มันมีวิธีแก้ไขหรือเปล่าค่ะ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ทุกคน "ตอนเริ่มต้นใหม่ ๆ ในแต่ละยก" จะมีความตั้งใจที่ดี ตรงนี้เป็นธรรมชาติของจิตทุกคน

    +++ ฟังไปเรื่อยๆ "ความคิด" ก็ค่อย ๆ เข้ามาแทรกแซง (อย่างแผ่วเบา ลาง ๆ เลือน ๆ) มักจะเริ่มมาจาก "คิดตามที่ฟัง (ปรุง)"

    +++ ตรงนี้ทำให้ "เกิดการ ดู ไปที่ความคิด" จากนั้นกระบวนการ "อยู่-ย้าย" ตามธรรมชาติทางจิต ก็จะเริ่ม "ย้ายออกจากสติ ไปอยู่กับที่ปรุง" กลายเป็น มโนมทึบทึบซึมซึม

    +++ การปรุง จะมีความ "ซึม ๆ" เป็นธรรมารมณ์ แต่มากน้อยขึ้นกับ 1. น้ำเสียงของผู้เทศน์ 2. สภาพร่างกาย (อ่อนเพลีย) ของผู้ฟัง

    +++ ทุกครั้ง ให้สังเกตุ ตอนพระเทศน์ใกล้จะจบ จะเกิด "การถอนจิตรวมหมู่" เข้าสู่ปกติปัจจุบันธรรม ทำให้ หายเคลิ้ม ถอนจิต และ ตื่นกันทั้งวง รวมทั้งตัวเราด้วย

    +++ ดังนั้น อาการ "ถอนจาก อาการคิดตามที่ฟัง (ปรุง)" จึงเกิดขึ้น ตรงนี้ จิตจึงเกิดการ "อยู่-ย้าย" ตามธรรมชาติทางจิตแล้ว "ย้ายออกจากการปรุง กลับมาอยู่กับสติ" จึงรู้สึกตัวอีกครั้ง

    +++ ตรงนี้เป็นกระบวนการของ อาการที่เรียกว่า "ตั้งอยู่" (เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป) แต่ "ไปตั้งอยู่กับ อาการคิดตามที่ฟัง (ปรุง)"

    +++ ในขณะที่ "ความรู้สึกกำลังจะหายไป" ตรงนั้นแหละ คือ อาการที่ "จิตเริ่มจะ ย้ายออกจากสติ"

    ++++ กระบวนการตรงนี้ของคุณ ตามไตรลักษณ์คือ

    +++ 1. "ความคิด" ค่อย ๆ เข้ามาแทรกแซงจาก "คิดตามที่ฟัง (ปรุง)" ตรงนี้เป็น สภาวะธรรมของความคิด "เกิดขึ้น"

    +++ 2. จากนั้น "ความรู้สึกก็เริ่มจะหายไป" ตรงนั้นแหละ คือ อาการที่ "จิตเริ่มจะ ย้ายออกจากสติ" แล้วไป "ตั้งอยู่" กับความคิด

    +++ 3. ตอนพระเทศน์ใกล้จะจบ จะเกิด "การถอนจิตรวมหมู่" จึงเกิดการ "อยู่-ย้าย" ออกจากการปรุง กลับมาอยู่กับสติ อาการที่ปรุงจึง "ดับไป"

    +++ ในขณะที่ "จิตตั้งอยู่กับการปรุงนั้น" ไม่มีสติเป็นองค์ประกอบ เมื่อ การปรุงดับไปเพราะการถอนจิต "ความจำในการปรุงนั้น จึงไม่มี" (อสัญญี - ไร้สัญญา)

    +++ ตอนนี้คง "ได้คำตอบแล้วนะ"

    +++ การแก้ไขตรงนี้จะเป็น "การแก้ไขปลายเหตุ" ซึ่งไม่น่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรมาก โดยเฉพาะ "คุณกำลังเดินทางสู่ อสัญญีภูมิ (พรหมลูกฟัก)" จากอาการของคุณ ตรงนี้ "ฟังไปได้ไม่เกิน2นาทีความรู้สึกกลับหายไป"

    +++ การแก้ไข "ที่ต้นเหตุ" ควรย้อนกลับไปดู "ตอนต้น ๆ ที่เกี่ยวกับคุณ ในกระทู้นี้" ก่อนที่คุณจะหายไปนานพอควร ตรงช่วงว่างรอยต่อตรงนั้น "ให้คุณกลับไปทบทวนแบบ ไล่เรียงเหตุการณ์" ให้ดี ๆ ว่า คุณเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติ ไป 1. ตรงไหน 2. ไปเป็นแบบใด 3. เมื่อไร 4. ใครเป็นคนสอน และถ้าละเอียดดีเพียงพอ ให้หา 5. แรงจูงใจ อะไรออกมาด้วย

    +++ แล้วจากนั้น ให้คุณลองหา วิถีทางหวลกลับเข้ามา ตรงจุดเดิม ก่อนที่การฝึกจะเปลี่ยนไป พยายาม "หาให้เจอ" ตรงนี้สำคัญสำหรับตัวคุณเองอย่างยิ่ง

    +++ อีกประการหนึ่ง คือ มีอะไรเปลี่ยนแปลงในจิตของคุณ ในคืนวันเสาร์ต่อกับวันอาทิตย์ 14-15 พฤศจิกา 2558 นี้หรือไม่ ให้ลอง ๆ สำรวจดูด้วย น่าจะมีได้ในหลาย ๆ คนโดยทั่วไป

    +++ ให้พยายาม "หาเหตุ" ตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วนี้ "ให้เจอ" แล้วจะสามารถแก้ใขสถานการณ์ในจิตของคุณได้ นะครับ
     
  19. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ตอนนนั่งสมาธิ - กำหนดรู้ให้เต็มกายก่อนหลับตา
    เมิลมีอาการกายโน้มตัวลงเหมือนกัน แต่เมิลรู้ตัวว่ากายโน้มลง แล้วก็รู้ว่าไม่ได้อยู่กับกาย เป็นรู้ในเนื้ออากาศนอกกาย
     
  20. naris520

    naris520 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีค่ะท่านธรรมชาติ หลักการปฎิบัติก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนนะค่ะแต่อาจจะมีการขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น หลักในการปฎิบัตืคือการเปลี่ยนความคิดความเห็นให้ถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วความเป็นจริงเป็นเช่นไร(ก็ไม่รู้เหมือนกัน) แต่มีความเชื่อความเห็นว่าความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งเกิดจากการประกอบกันของธาตุต่างๆและธาตุต่างๆเมื่อมันอยุ่โดดๆมันก็อยุ่แบบไร้สภาพหามันไม่เจอ มันต้องรวมกันจึงก่อให้เกิดสภาพให้เห็น(ชอบธรรมมะในลักษณะนี้). เหมือนความไร้สภาวะ+ความไร้สภาวะ=ความมีสภาวะ ชึ่งความมีสภาวะนี้ก็เป็นเพียงมายา ไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงของการรวมกันของสิ่งที่ไร้สภาวะก็คือความไร้สภาวะ. ความไร้สภาวะ+ความไร้สภาวะ=ความไร้สภาวะ ความมีสภาวะเป็นแค่มายาเป็นสิ่ฃ
    งที่ไม่มีอยู่จริง. เหมือนกับความรู้สึกที่เราเอาดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปม้า แล้วถามความรู้สึกของตัวเองว่ามีม้าจริงๆเกิดขึ้นหรือไม่ เราก็จะรู้สึกว่าม้าจริงๆไม่ได้เกิดขึ้น มันยังคงเป็นดินน้ำมัน การเอาดินน้ำมันมาปั้นเปลี่ยนเป็นรูปทรงต่างๆ รูปทรงใหม่ๆที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมา รูปทรงใหม่ๆที่เกิดขึ้นมาก็ยังคงเป็นดินน้ำมันเช่นเดิม เมื่อเป็นรูปทรงใหม่เราแค่ให้สมมุติชื่อเรียกสิ่งนั้นๆใหม่ขึ้นมา สิ่งสมมุตินั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจริงๆ ยังคงเป็นธาตุ(ความไร้สภาวะ)เช่นเดิม นี้คือความคิดความเห็นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความเห็นเช่นนี้จะนำไปสู่ภพภูมิใด หากเป็นความเห็นผิดรบกวนท่านธรรมชาติชีัแนะด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...