สมถะวิปัสนา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย arjhansiri, 13 กันยายน 2015.

  1. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    สมถะว่าด้วยความสงบ
    วิปัสนาว่าด้วยความรู้แจ้ง

    สมถะนั้นเป็นการเข้าถึงความสงบ.
    ความสามารถทำเรื่องวิเศษได้
    ความสงบนั้นจะนำพาไปสู่การเกิดในภพที่ละเอียดปราณีต
    ผู้ที่ยึดติดแต่สมถะนั้นก็คือปุถุชนธรรมดานี่เอง
    แต่ไม่อาจพบกับการหลุดพ้นจากวัฎฎะได้เลย
    ถ้าไมรู้แจ้งแทงตลอดด้วยการวิปัสนา(ด้วยพระปัญญาของพระพุทธองค์)
    ส่วนวิปัสนานั้นถ้าไม่อาศัยพลังจากสมถะนั้น
    ก็ไม่อาจแทงตลอดอริยสัจได้เลย
    พระองค์จึงใช้คำว่าสมถะวิปัสนา
    ในแง่มุมของสมถะแล้วก็มีโทษอยู่มากไม่น้อย
    ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เรียนรู้อริยสัจมาก่อน
    หรือผู้ที่ไม่มีความปราถนาที่จะพ้นทุกข์
    สมถะจะนำพาเขาเข้าสู่มิจฉาทิฎฐิมากขึ้น
    เขาจะนำพาสมถะไปใช้ในทางที่ผิดได้
    ถ้าเกิดเหตุการอย่างนี้เมื่อไหร่เขาเหล่านั้น
    จะตกอยู่ภายใต้ความเห็นผิดอีกยาวนาน
    พระองค์จึงกล่าวว่าอริยสัจเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด
    ที่ควรเรียนรู้ก่อนอื่นใดเมื่อเรียนรู้แล้ว
    จะไปสนใจสมถะก็ย่อมทำได้ไม่ผิดอะไร
    เพราะสมถะนั้นจะเกื้อกูลแก่วิปัสนาอย่างมาก
    บางคนอาจจะติดใจหลงในสมถะได้ง่าย
    เพราะสมถะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากชีวิตจริง
    ได้เห็นได้รู้อะไรๆที่ชีวิตปรกติยากที่จะรู้ได้
    แต่นั้นก็เป็นดาบสองคมสำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องอริยสัจ
    หลงทาง และมันเกิดขึ้นมากมายจริงๆสำหรับปุถชนคนธรรมดา
    แต่ก็ไม่ว่ากันนะเพราะบางคนเขาไม่ปราถนาความพ้นทุกข์
    ก็ตามสบายเลยนะครับชีวิตใครก็ชีวิตมัน
    ส่วนวิปัสนานั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปราถนาความพ้นทุกข์
    ที่จะละเว้นไม่เรียนรู้ไม่กระทำไม่พิจารณาได้เลย
    วิปัสนานั้นเป็นการพิจารณาความจริงในกายใจเรานี่เองว่ามันคืออะไรกันแน่
    เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้วก็อาศัยสมถะนี่แหล่ะที่จะนำความรู้จริงเจาะลึกลงไป
    เจาะลึกลงไปในจิตใต้สำนึกหรือพูดง่ายเจาะลึกลงให้ถึงอนุสัยกิเลส
    ระดับไหนล่ะที่เรียกว่าจะเข้าถึงอนุสัย.
    ก็ระดับปฐมฌานขึ้นไปนั้นแหล่ะครับ
    พระองค์กล่าวว่าอาศัยปฐมฌานบ้าง.
    อาศัยทุติยฌานบ้าง. อาศัยตติยฌานบ้าง
    อาศัยจตุตฌานบ้างฯ
    เพราะจิตที่เข้าถึงฌานทั้งหลายนอกจากจะมีพลังมากแล้ว
    ฌานทั้งหลายยังแสดงนิโรธสัจให้เห็นปัญญาเหล่านั้นเอง
    ทั้งมีพลังมีทั้งความรู้ถึงความดับไปของสังขาร ทั้งหลาย
    กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในอนุสัยนั้นนอกจากจะลอยผลุดขึ้นมา
    ยังถูกทำลายลงด้วยปัญญาและเริ่มต้นด้วยความเห็นถูกเห็นการเกิดดับ
    ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเราเอง. ความเป็นอริยะก็ปรากฎขึ้นขันธสันดานได้เลยเทียว
     
  2. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    ถ้าผมปราถนาจะเป็นอริยต้องทำอย่างไรครับ
     
  3. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    ไม่ยากเลยครับเพียงเราต้องรู้ว่าเรารู้ว่าเราทำสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร
    และทำอะไรบ้างเพื่อจะได้สิ่งนั้นมา
     
  4. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    เพื่ออะไรล่ะครับและทำอะไรบ้างเหรอที่จะได้สิ่งนั้นมาครับ
     
  5. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    การปฎบัติก็เพื่อรู้รอบในทุกข์.
    รู้รอบในหูตาจมูกลิ้นกายใจ
    เมื่อเรารู้รอบในทุกสิ่งที่กล่าวมา
    เราก็จะเห็นความจริงเราจึงเข้าสู่สมตะนิยามแห่งความถูกต้องได้
    พบกับการหลุดพ้นนั้นเอง
    และถามว่าจะต้องอย่างไรบ้าง
    สิ่งแรกที่จะต้องทำสำหรับการอย่กดป็นอริยะคือ. เปิดใจที่จะเรียนรู้ในเรื่องอริยสัจสี่คือ. เรียนรู้เรื้องทุกข์. เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์. เรื่องความดับทุกข์. และหนทางปฎิบัตืถึงความดับทุกข์ครับ
     
  6. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    การปฎบัติก็เพื่อรู้รอบในทุกข์.
    รู้รอบในหูตาจมูกลิ้นกายใจ
    เมื่อเรารู้รอบในทุกสิ่งที่กล่าวมา
    เราก็จะเห็นความจริงเราจึงเข้าสู่สมตะนิยามแห่งความถูกต้องได้
    พบกับการหลุดพ้นนั้นเอง
    และถามว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
    สิ่งแรกที่จะต้องทำสำหรับการอยากเป็นอริยะคือ.
    เปิดใจที่จะเรียนรู้ในเรื่องอริยสัจสี่คือ.
    เรียนรู้เรื้องทุกข์. เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์. เรื่องความดับทุกข์. และหนทางปฎิบัตืถึงความดับทุกข์ครับ
     
  7. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    ยากจังครับ. แบบง่ายๆมีมั้ยครับ
     
  8. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    เอาแบบปลอกกล้วยเข้าปากเลยมั้ย
     
  9. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    55มีเหรอครับแบบนั้นนะ
     
  10. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    มีนะแต่ไม่รู้ท่านจะเชื่อหรือเปล่านี่ซิ
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    อาจารย์. จัดมาเลย
     
  12. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ง่ายๆมีอยู่ครับ เพ่งจี้ที่จุดกลึ่งกลางใบหน้าเพียงจุดเดียว
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เอางี้ก้อแล้วกัน

    +++ หากปราถนาจะเป็นอริยะ (อริ+ยะ = อริจากไป) ควรรู้จัก "อริแยะ" เสียก่อน

    +++ และก่อนจะรู้จัก "อริแยะ" ก้อควรรู้จัก "อริยุบยับ" ให้ดี

    +++ อริยะ = ออกจาก ความเป็นตน
    +++ อริแยะ = เกิดความเป็นตน บ่อยมาก
    +++ อริยุบยับ = ความเป็นตนมีตลอดเวลา (ไม่เคยรู้จัก ความเป็นตน)

    +++ ดังนั้น ก่อนที่ "อริ" จะ "ยะ" ได้ ก็ควรรู้จัก "ความเป็นตน" (อัตตา) ให้ถ่องแท้ก่อนก็แล้วกัน นะครับ อิอิ ;););)
     
  14. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    ง่ายขนาดเนาะ:cool:
     
  15. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    เป็นก้อนทึบๆหรือเปล่า
     
  16. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    ซามารากาเต. ท่านลองกั้นหายใจดูซิทำได้มั้ย. ถ้าทำไม่ได้ลองหาคำตอบดู. ถ้าตอบถูกก็มีสิทธิ์เป็นแล้วนะ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ใช่ครับ มี 2 ระยะ

    +++ ระยะแรก ๆ หากสังเกตุดี ๆ ก็จะรู้ได้ว่า มันเป็นก้อนแห่ง "ความรู้สึกตัว" นั่นเอง และ นั่นหละ "ตนเบื้องต้น" อยู่ที่นี่

    +++ ในขณะที่อยู่กับ "ความรู้สึกตัว" จะพบได้เองว่า

    +++ 1. มีสภาวะรู้ (สติ) ชัดเจน และ เป็นลักษณะเด่น

    +++ 2. มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" ความรู้สึก หรืออาจกล่าวได้ว่า มี "ตน" ในขณะนั้น "เป็น" สัมปชัญญะ ก็ได้ (เพราะมีสัมปชัญญะ ครบทั้ง 4 ประการคือ 1. สาตกสัมปชัญญะ = รู้การกำหนดของจิต 2. โคจรสัมปชัญญะ = รู้ในปัจจุบันแห่งขณะจิต 3. สัมปายสัมปชัญญะ = ไม่มีทุกข์สามารถอยู่เช่นนั้น ก็อยู่ได้ 4. สัมโมหสัมปชัญญะ = รู้วาระจิตที่ผ่านมาแล้ว และสามารถดึงกลับมา (ระลึก-ตรึง-ปรากฏ) เพื่อ ธัมมะวิจัยยะ ได้)

    +++ 3. "ตน" ในขณะนั้น "ไร้ความปรุงแต่ง" แต่ถ้าหากจะทำอะไรก็ตาม "มีแต่การเดินจิต" เท่านั้น

    +++ 4. "ตน" ในขณะนั้น "ทั้งก้อน" สามารถทำให้ "ถูกรู้" ได้

    +++ หากผ่านข้อที่ 4 ได้ และสามารถ "ชัดเจน" ในข้อที่ 3 ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของ "จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" (การเดินจิต และ ผลลัพธ์ของมัน)

    +++ ข้อระวังในด่านนี้ คือ "ตน" มักจะอยู่ในลักษณะของ "รูปละเอียด" (ไม่ใช่กายเนื้อ = รูปหยาบ และ เวทนากาย = นามหยาบ) อีกต่อไป

    +++ ระยะที่ 2 จนกว่าจะถึง "เหตุเกิดของจิต" (รูปละเอียด) อันมาจาก "ธรรมารมณ์" (นามละเอียด) ถึงตรงนี้ก็เข้าสู่ "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน"

    +++ ตรงนี้ก็เป็น "ก้อนทึบ ๆ" อีกเช่นกัน "มีสภาพ" แต่เป็น "อรูป" และ มีความเป็น "ตนที่ละเอียด" แบบ "สถิตย์นิ่งเฉย"

    +++ ลักษณะเด่น ๆ ตรงนี้คือ "มีอารมณ์เด่นอารมณ์เดียว" ที่เรียกกันว่า เอกัคตารมณ์ นั่นเอง

    +++ การทำงานของมันจะมี "อาการดู" เป็นหลัก ส่วนตัวแล้ว ผมเรียกมันว่า "ตัวดู"

    +++ ณ ขณะใดก็ตาม หาก "ตัวดู" นี้ ถูกทำให้ "ถูกรู้"

    +++ ณ ขณะนั้น ๆ ความเป็นตนทั้งหมด จะถูกแยกออกไปเองทั้งหมด เหลืออยู่แต่ "สภาวะรู้ ที่แยกตนออกแล้ว" เท่านั้น

    +++ จากนั้น ทำให้เป็น "สภาวะรู้" ตรงนี้อยู่เนือง ๆ ก็จะแจ้งชัดได้เองว่า สภาวะนี้ ไม่สามารถที่จะทำให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย รวมทั้ง ทุกข์ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้เลย

    +++ ส่วนความ "เป็นตน" นั้น ก็จะเป็นเหมือน "น้ำกลิ้งบนใบบัว ไม่เกลือกกลั้วระคนกัน" เท่านั้นเอง

    +++ จากคำถามว่า "เป็นก้อนทึบๆหรือเปล่า" นั้น ก็ทราบได้ว่า "คุณเห็นมันแล้ว"

    +++ คงไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับคุณอีกต่อไป ขออวยพรให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป นะครับ
     
  18. ซามารากาเต

    ซามารากาเต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2015
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +1
    บางครั้งเรารู้มากไปก็อาจจะทำให้พลาดการปฎิบัติแบบพระองค์นะ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลก็แล้วกัน แต่ถ้า "ไม่ยอมรู้อะไรเลย" รวมทั้ง "สัจจธรรม" ด้วย ก็อย่ามาบอกว่า ทำตามพระองค์ก็แล้วกันนะ

    +++ ตั้งกายตรง ดำรงค์สติมั่น "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" ตรงนี้ จะมากน้อยขึ้นกับ "การรู้แจ้ง ธรรมเฉพาะหน้า" มากก็คือมาก น้อยก็คือน้อย ปัจจัตตัง ส่วนบุคคล เท่านั้นเอง

    +++ ใช้เวลามาก็พอสมควรแล้ว ใครมี "จริต" ในการปฏิบัติอย่างไร ก็ไปตามจริตนั้น ๆ กันเอง

    +++ สุขิโตโหตุ ขอให้มีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน นะครับ
     
  20. romanof3

    romanof3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +68
    จากการอ่านเรื่อง จากเจ้าของกระทู้ สมาธิสำคัญมากครับ กายที่คุมด้วยศีล ยังง่ายกว่าการคุมจิตด้วยสมาธิเสียอีก ความสงบที่เกิดนั้น ตามกำลังของแต่ละท่านที่จะถอนจากความสงบในองค์ฌาณ เป็นวิปัสสนา --- สำคัญมากนะครับการที่เราถอนจากสมถะที่อิ่มด้วยกำลังแล้ว เป็นวิปัสสนา เพื่อละกิเลส จะถอนกิเลสด้วยความเข้าใจแท้จริง ไม่ได้อาศัยสัญญา เหมือนตอนที่เราๆท่านๆเรียนๆท่องๆจำๆกัน กิเลสจึงหายไปตามลำดับๆ แต่ เอาพอเหมาะพอควร เพราะอะไร เพราะหลวงตาบัวท่านสอนว่า ให้ทำเป็นระบบ เป็นเวลา เมื่อถอนกิเลสได้ลำดับหนึ่งแล้ว ให้พอ กลับไปภาวนา พุทโธใหม่ อย่างเหลิงถอนกิเลสไปเรื่อย เพราะเมื่อเราหมดกำลังจะกลายเป็นสมุทัย เสีย จะคิดๆ ไปเรื่อยๆ เป็นกิเลสอย่างหนึ่งนะ ให้วิปัสสนาพอควร ( ตามกำลังแต่ละคน ) แล้วกลับไปเจริญสมถะวิปัสสนาใหม่ เพื่อเอากำลัง ให้ทำอย่างนี้ไปตลอดนะ ....... ท่านสอนอย่างนี้ละครับ ในความเห็นผมจากหลายๆ กระทู้ในบอร์ดนี้ บางครั้งที่เอาสัญญามาตอบกันก็ เห็นจะเป็นตามที่หลวงตาท่านเรียกว่า เป็นสมุทัยอย่างหนึ่ง สำคัญต้องมีกำลัง ( สมาธิ ) เสีนก่อนแล้วจิตจะวิปัสสนาเองโดยไม่อาศัยสัญญา ครับ ..... ผมเห็นว่าสมาธิมีความสำคัญมากในการประหัดประหารกิเลส ครับ .....( หลวงตาบัวท่านกล่าวว่า ในวันๆหนึ่งทำอะไรก็ตามให้ ภาวนาพุทโธ ตลอดเวลาครับ )
     

แชร์หน้านี้

Loading...