สมเด็จโตมหาปราชญ์แห่งรัตนโกสินทร์ ตอน ถูกขับออกจากพระราชอาณาจักร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 เมษายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    สมเด็จโตมหาปราชญ์แห่งรัตนโกสินทร์ ตอน ถูกขับออกจากพระราชอาณาจักร
    [​IMG]
    มีรายหนึ่ง นิมนต์ท่านเจ้าคู่นี้ไปเทศน์ ท่านก็ใส่กัน เป็นต้นว่า สมเด็จเจ้าโต ท่านเทศน์บอกสัปปรุสว่า รูปไปเทศน์กลางทุ่งนา ยังมีหมาตัวหนึ่ง เจ้าของเขาเรียกว่าอ้ายถึก อ้ายถึกมันแฮ้ใส่อาตมา อาตมาไม่มีอะไรจะสู้อ้ายถึก หมา มีแต่หุบบานๆ สู้มันจ๊ะ หุบบานไม่ใช่อื่นหยาบคายหนาจ๋า คือฉันเอาร่มนี่เอง กางบานแล้วหุบเข้าจ๊ะ หุบบานๆ แล้วหมาหนี

    ครั้งหนึ่ง เข้าบิณฑบาตเวรในหระบรมมหาราชวัง พอถึงตรงบันทรง เสื่อกระจูดลื่นแทบขะมำ แต่ท่านหลักดี มีสติสัมปชัญญะมาก ท่านผสมก้มลงจับมุมเสื่อ เต้นตามเสื่อตุ้บตั้บไป สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงทำพระสุรเสียง โอ่ะ โห่ะๆ ๆ เจ้าคุณหลักดี เจ้าคุณหลักดี ทรงชมฯ

    ครั้งหนึ่ง ไปเทศน์บ้านขุนนางผู้หนึ่ง พอบอกศักราชแล้วคุยขึ้นว่า วันนี้เสียงคล่องเทศน์กุมารก็ได้ ขุนนางผู้นั้นเลยให้เทศน์ทำนองกุมาร ข่าวว่าเพราะดี (หญิงชอบ ครั้งหนึ่งเขานิมนต์ไปเทศน์ที่ศาลาบ้านหม้อ อ.บางตะนาวศรี กัณฑ์ชูชก ท่านไปถึงยามสาม เขาไปนอนกันหมด ท่านไปถึงให้คนแจวตีกลองตูมๆ ขึ้นแล้ว ท่านเทศน์ชูชกไปองค์เดียว ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาฟังท่านยันรุ่ง

    ครั้งหนึ่งไปเทศน์ที่บ้านขุนนางที่อยู่ริมน้ำ เขาตั้งธรรมาสน์เทศน์ ยังไม่มา ท่านจอดเรือถือคัมภีร์ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ว่า อด อด อด อดๆ อยู่นาน แล้วลงธรรมาสน์ไป

    ครั้งหนึ่ง ไปทอดกฐินทางอ่างทอง ไปจอดนอนท้ายเกาะใหญ่ ท่านจำวัดบนโบสถ์วัดท่าซุง คนเรือนอนหลับหมด ขโมยล้วงเอาเครื่องกฐินไปหมด ท่านดีใจยิ้มแต้ แล้วกลับลงมา ชาวบ้านถามว่า ท่านทอดแล้วหรือ ท่านตอบว่าทอดแล้วจ้ะ แบ่งบุญให้ด้วย แล้วท่านเลยซื้อหม้อบางตะนาวศรีบรรทุกเต็มละ ใครถามว่าเจ้าคุณซื้อหม้อไปทำไมมาก ท่านตอบว่า ไปแจกชาวบางกอกจ๊ะ แล้วแจวลัดเข้าคลองบางลำภู ไปออกคลองโอ่งอ่าง คลองสะพานหิน เลยออกไปแม่น้ำ แล้วขึ้นวัดระฆัง วันนั้น หวยออก ม หันหุนเชิด คนคอยหวยถูกกันมาก แต่กินหู้หมด ท่านแจกหม้อหมดลำ ถ้าบ้านไหนนิมนต์เทศน์ท่านรับ กำหนดเวลาไม่ได้ ที่แห่งหนึ่ง เจ้าของเขาหลับแล้ว ท่านไปนั่งเทศน์ที่ประตูบ้านก็มี หัวบันไดบ้านก็มีฯ

    อนึ่งการบิณฑบาตไม่ขาด ท่านชอบไปจอดเรือในคลองบางนกแขวก พวกเข้ารีตมาก แล้วท่านออกบิณฑบาตตอนเช้า พวกเข้ารีตเข้าใจว่ามาขอทาน เขาใส่ข้าวสาร หมูดิบ ท่านก็มานั่งเคี้ยวข้าวสาร กับหมูดิบ

    บางทีไปเทศน์ทางคลองบางนกแขวก ท่านนอนจำวัด หลับไป พอบ่ายสองโมงตื่น ท่านถามคนแจวเรือว่าเพลหรือยัง เขาเรียนว่าเพลแล้วขอรับ ท่านถามว่าเพลที่ไหนจ๊ะ เขาเรียนว่าเพลที่วัดล่างขอรับกระผม

    ท่านอ้อนวอนเขาว่า พ่อคุ้น พ่ออย่าเห็นกับเหน็ดกับเหนื่อย พ่อช่วยพาฉันไปฉันเพลที่วัดตีกลองเพลสักหน่อยเถอะจ๊ะ นึกว่าช่วยชีวิตฉันไว้ คนเรือแจวกลับลงไปอีก สามคุ้งน้ำถึงวัดที่ตีกลอง ท่านขึ้นไปขออนุญาตสมภารเจ้าวัด สมภารยอมปูเสื่อที่หอฉันใกล้กับกลอง แล้วคนเรือยกสำรับกับข้าวขึ้นไปประเคนท่าน ท่านก็ฉัน สมภารมาคอยดูแล พระเด็กๆแอบดู เจ้าพวกเด็กวัด ก็กรูเกรียวมาห้อมล้อม บ้างตะโกนกันว่า พระกินข้าวเย็นโว้ย เด็กบางคนเกรียวเข้าไปบอกผู้ใหญ่ถึงบ้าน เขาพากันออกมา บ้างมีส้มขนมกับข้าวลูกไม้ ก็ออกมาถวายเป็นอันมาก ฉันไม่หวาดไม่ไหว เลยเลี้ยงเด็กเลี้ยงคนเรืออิ่มแต้ตามกัน

    (บางทีท่านอาจเห็นในตติยคัณฐีฎีกา แก้โภชนะมีบาลีว่า "อัญญตฺร รตฺติยา มาภุญชติ" แปลว่า ให้เจ้าภิกษุขบฉันในเวลากาล ตั้งแต่เห็นดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงดวงอาทิตย์ตก ยังเห็นดวง เรียกว่ากาล ถ้าค่ำคืน เรียกว่าวิกาล ฉันกลางวันนี้ เป็นบัญญัติเพิ่มเติม เมื่อครั้งแผ่นดินพระพิมลธรรม ในกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีอยู่)

    อนึ่งจรรยาอาการของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พระองค์นี้ ประพฤติอ่อนน้อมยำเกรงผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ ถ้าแบกพระคัมภีร์เรียน สามเณรแบกคัมภีร์เรียน หากท่านไปพบกลางถนนหนทาง ท่านเป็นต้องหมอบก้มลงเคารพ ถ้าพระเณรไม่ทันพิจารณา สำคัญว่าท่านก้มตนเคารพตน และก้มตอบเคารพตอบท่าน ทีนั้นเถอะไม่ต้องไปกัน ต่างคนต่างหมอบกันแต้อยู่นั่นเอง

    ตั้งแต่ท่านรับสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมกิตติ จนกระทั่งเป็นพระเทพกวี ได้มีความผิดครั้งหนึ่ง เมื่อเทศน์ถึงตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ และตั้งวงศ์สักยราช ในพระปฐมโพธิ ปริจเฉทที่ ๑ นั้น แต่ในสมัยใช่กาลจะเทศน์พระปฐมโพธิปริจเฉทที่ ๑ ไม่ใช่กลางเดือน ๖ ท่านก็นำไปเทศน์ถวายว่า เมื่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว จึงนำบุตรกษัตริย์ในวงศ์เดียวกันมาเสก แต่กษัตริย์องค์แรกได้นำพระขนิษฐานารีมาอภิเษก ตามลัทธิคติของพวกพราหมณ์ที่พากันนิยมว่าแต่งงานกันเองไม่เสียวงศ์ จนเป็นโลกยบัญญัติสืบมาช้านาน จนถึงกษัตริย์โอกากะวงศ์รัชกาลที่ ๑ รวมพี่น้อง ๗ องค์ เจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๓ ออกจากเมืองพระราชบิดามาตั้งเป็นราชธานี ขนานนามว่ากรุงกบิลพัสดุ์ ตามบัญญัติของกบิลฤๅษี ต่อนี้ไปก็แต่งงานราชาภิเษก พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยไม่ว่ากัน เห็นตามพราหมณ์เขาถือมั่นว่าอะสมภินนะวงศ์ ไม่แตกพี่แตกน้อง แน่นแฟ้นดี บริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ คราวนี้เลียนอย่างมาถึงประเทศใกล้เคียงมัชฌิมประเทศก็พลอยเอาอย่างกันสืบๆ มา จนถึงสยามประเทศก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้องขึ้นราชาภิเษกและสมรสกันเป็นธรรมเนียมมา

    สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไม่พอพระราชหฤทัย ไล่ลงธรรมาสน์ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้า ไปให้พ้น พระเทพกวีออกจากวัง เข้าไปนอนในโบสถ์วัดระฆังออกไม่ได้นาน ใช้บิณฑบาตบนโบสถ์ ลงดินไม่ได้ เกรงผิดพระบรมราชโองการ ครั้งถึงคราวถวายพระกฐิน เสด็จมาพบเข้ารับสั่งว่า อ้าวไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรสยาม ทำไมยังขืนอยู่อีกล่ะ ขอถวายพระพร อาตมาภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาตมาภาพอาศัยอยู่ในพุทธจักร ตั้งแต่วันที่มีพระราชโองการ อาตมาภาพไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย ก็กินข้าวที่ไหน ไปถานที่ไหน ขอถวายพระพร บิณฑบาตบนโบสถ์นี้ฉัน ถานในกระโถน เทวดาคนนำไปลอยน้ำ

    รับสั่งว่า โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักรสยามหรือ ถวายพระพรว่า โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร

    ลงท้าย ขอโทษฯ แล้ว ทรงถวายกฐิน

    ครั้นเสร็จการกฐินแล้ว รับสั่งว่า อยู่ในพระราชอาณาจักรสยามได้ แต่วันนี้เป็นต้นไป

    (เหตุนี้แหละ ทำให้พระเทพกวี คิดถวายอดิเรก ทั้งเป็นคราวหมดรุ่นพระผู้ใหญ่ด้วย)
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...