เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. mvppl

    mvppl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +124
    อ่านที่คุณก้องแสดงธรรม ไม่รู้จะพูดอะไร รู้สึกตื้นตัน ได้แต่สาธุ ๆ ๆ ๆ

    เมื่อมองย้อนมาที่ตัวเอง การปฎิบัติเหมือนเพิ่งเป็นทารก แต่ได้อ่านธรรมะของคุณก้องทีไร มีกำลังใจขึ้นมาทุกทีเลยค่ะ
     
  2. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    อนุโมทนายินดีในธรรมะโลกุตรธรรมที่คุณ tjs ได้แสดงแล้วด้วยดีครับ สาธุ
    ผมขออนุญาตถามคำถามธรรมเกี่ยวกับพระโสดาบันต่อไปนะครับ

    คำว่า "ผลสมาบัติ" นี้หมายถึงอะไรเป็นอย่างไรครับ และในพระอริยเจ้าแต่ละชั้นมีสภาพแตก
    ต่างกันอย่างไรครับ แล้วคำกล่าวที่ว่า ผลสมาบัตินี้จะสามารถเข้าได้เฉพาะผู้เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่
    พระโสดาบันขึ้นไปแล้วเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นแล้ว ผลสมาบัติของพระโสดาบัน สมมุติว่าเราเป็น
    พระโสดาบันแล้ว เราจะเข้าได้อย่างไรครับ หรือจิตมันจะเข้าเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้วครับ
    เวลาเข้าแล้วอาการมันเป็นอย่างไรครับ แล้วผลสมาบัติของพระโสดาบันนี้มีประโยชน์
    อย่างไรกับตัวพระโสดาบันเองครับ ใช้ทำอะไรได้บ้างครับ ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับ สาธุ
     
  3. shamankings

    shamankings เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +543
    เราจะรู้ได้อย่างไรครับว่า ศีล 5 ที่เรายึดถือปฏิบัติอยู่นั้นบริสุทธิ์มั้ย
    หรือเราสามารถพิจารณาได้จาก ศีลทั้ง 5 ข้อ ว่าเราได้ปฏิบัติดีแล้วหรือยัง
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    เราจะทราบได้คือ
    1 เราจะรู้ดีมีสติรู้ทัน เหตุคือ ไม่ว่ามีเหตุอะไรที่มากระทบ อันเกี่ยวด้วยศีลทั้ง5ข้อ เราจะทราบทันทีและมีเจตนาตั้งมั่นไม่ทำบาปหรือล่วงเกินลงไปในศีล5 คือจะทราบเหตุที่จะกระทำทันที ตรงนี้ จิตใจของผู้ที่ถือศีล5จนปรกติดีพร้อม จะเกิดตัวรู้ขึ้นมาทันทีว่าสิ่งที่กำลังกระทบเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง อย่างไรกับศีล5แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ จะเกิดสติรู้ทันเป็นปรกติ

    2 เราจะรู้ต่อเป็นปรกติว่า สิ่งต่างๆที่เราดำเนินหรือกระทำอยู่ด้วยกายวาจา จิต ทุกขณะ จะเป็นสิ่งที่ไม่ล่วงเกินต่อศีล อันมีเจตนาที่แน่วแน่

    3 เราจะได้รับผลแห่งศีลที่บริบูรณ์คือ จิตผ่องใสไม่มีสิ่งมัวหมอง ทำให้จิตมีความผาสุข ไม่ทุกข์

    4 กายจะผ่องใสงดงามกว่าปุถุชนปรกติ

    5 สุขภาพกาย ใจ จะดีไม่มีโรคภัย ศรัตรูใดๆมาทำร้ายได้ เพราะเหตุคือมีสติในการรักษาศีล และมีวิบากกรรมคือผลแห่งศีลให้ผลคุ้มกันเป็นเกราะแก้ว แต่ก็มีข้อยกเว้นถ้ามีกรรมเก่า เป็นกรรมหนักก็หลีกหนีไม่พ้นแต่จะผ่อนหนักเป็นเบาครับ

    6 การปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้า การทรงสมาธิจะก้าวหน้า ได้รวดเร็วกว่าปรกติครับ

    7 การสร้างบารมีใดๆจะกระทำได้ก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะศีลจะให้ผลทั้งปัจจุบันและอนาคต เป็นส่วนสนับสนุนเสริมบารมีของตนให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

    8 ศีลที่บริสุทธ์ จะให้ผลดังคำกล่าวที่ว่า สีเลนะสุขติงยันติ ศีลนำสุขมาให้ สีเลนะโภคสัมปทา ศีลนำโภคทรัพย์มาให้ สีเลนะนิพพุตติงยันติ ศีลมีที่สุดคือความเข้าถึงพระนิพพาน
    ฉนั้น ผลที่ปรากฏเหล่านี้นั้นแลคือเครื่องแสดงให้รู้ว่าศีลเราบริสุทธิ์ดีงามแล้วนั่นเองครับ สาธุ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======================

    ผลสมาบัติ หมายถึง ผลอันเกิดจากฌาณสมาบัติ

    ผลที่จะได้รับ ย่อมต้องอาศัยเหตุ เหตุคือความสามารถที่ได้เจริญหรือทำได้แล้ว ในที่นี้หมายถึงความเจริญก้าวหน้าในสมาธิ ทั้งสมถะและวิปัสสนา

    ความเป็นพระอริยะบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ย่อมมีความสามารถในทางสมถะและวิปัสสนา ปัญญาญาณ ที่แตกต่างกัน
    เมื่อความสามารถที่แตกต่างกันผลที่ได้รับ จึงย่อมมีความแตกต่างกันดังนี้

    1 พระโสดาบัน อาศัยเหตุแห่งความที่กายใจ สะอาดด้วยบุญทานและศีล ครั้นเมื่อเจริญสมถะ อัปปนาสมาธิ เสวยรูปฌาณ เป็นส่วนใหญ่จะยังไปไม่ถึงอรูปฌาณ ในขณะเดียวกันมีวิปัสสนา รอบรู้ในกาย และรูปที่เกิดดับ ผลสมาบัติที่ได้รับ จึงเป็นปิติสุขเอกคตารมณ์ เป็นส่วนใหญ่ เพราะมีสติปัญญารอบรู้ในกาย ความเกิดดับของกายของรูปหรือของธาตุวัตถุนั่นเอง

    2 พระสกิทาคามี อาศัยเหตุแห่งความเข้าถึงรูปฌาณ และอรูปฌาณ บางส่วนคือ อากาศ ความว่างเปล่า แม้จะรอบรู้ในกายในรูปมากกว่าพระโสดาบัน แต่ก็ยังละกายไม่ได้หมดสิ้น จิตจึงเสวยเพียงฌาณที่สี่ที่ไปถึง หรือแม้เลยฌาณสี่ ส่วนมากก็จะไปค้างอยู่ที่ฌาณ5 หรืออรูปฌาณ1 หรืออากาสานัญจายตนะ ผลสมาบัติ จึงเหลือเพียงสุข หรือร่วมกับเอคตาจิตเท่านั้น

    3 พระอนาคามี อาศัยสติปัญญาในวิปัสสนา รอบรู้ในกายอย่างแจ่มแจ้งชัดแล้ว ละรูปกาย ละธาตุวัตถุทั้งปวงได้แล้ว อาศัยด้วยสภาวะฝ่ายอรูปฌาณเท่านั้น คือตั้งแต่ฌาณสี่เต็มกำลังขึ้นไปถึงฌาณ8 ผลสมาบัติจึงเสวยเพียงเอกคตาจิต แต่ก็ยังมีเจตสิกที่ประกอบอยู่กับจิตปรุงแต่งจิตได้

    4 พระอรหันต์ อาศัยสติปัญญาหลุดพ้นทุกข์แล้ว สมาธิก็ละปล่อยวางหมดสิ้นในรูปนาม ผลแห่งสมาบัติ จึงไม่เหลืออะไร อาศัยอยู่เพียงส่วนเดียวคือนิพพานคือสุญญาตา คือความว่างเปล่า เท่านั้นครับ สาธุ

    ความจริงแล้ว ผมเข้าใจอย่างที่กล่าวมา ในตำราหาอ่านยาก ผมยังหาไม่เจอครับ ส่วนมากผลสมาบัติที่กล่าวก็จะกล่าวแบบกว้างๆครับ แต่ขอให้ทำความเข้าใจว่า ความจริงแล้วผลสมาบัติอาจจะไม่ตรง100% ตามที่กระผมกล่าวมาครับ เพราะเหตุปัจจัยต่างกัน สำหรับบางท่าน สำเร็จพระโสดาบันเหมือนกัน แต่เหตุจากความสามารถทางสมาธิฝ่ายสมถะที่ต่างกันมากก็มีครับ แบบบางท่านสำเเร็จกสิน หรือไปไกลถึงอรูปฌาณก็มีแต่ปัญญาในธรรมสำเร็จเพียงพระโสดาบันก็มีครับ ฉนะั้นจึงกล่าวได้ยาก ที่กระผมกล่าวไปเป็นส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ครับ

    ผลสมาบัติ เกิดจากอำนาจของสมาธิฝ่ายสมถะฌาณอรูปฌาณและวิปัสสนา
    อาศัยลำดับของความมีสติปัญญาเข้าถึงรู้แจ้งสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคลตามลำดับชั้น ดังนั้น ถ้ารู้เหตุก็ย่อมอธิบายได้ว่า ผลสมาบัติที่จะได้่รับย่อมได้รับผลอย่างไรครับ สาธุ

    ผลสมาบัติที่ได้รับ ย่อมมีประโยชน์อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นชัดว่า จิตตนจะมีความก้าวหน้าเจริญในธรรมยิ่งขึ้น ปิติย่อมปรากฏมาก จิตย่อมมีความสว่างไสวยิ่งขึ้น ความหนักแน่นของจิต ความแกล้วกล้าของจิต ความเข้มแข็งของจิตทวีความผ่องใสมากยิ่งขึ้น เป็นจิตที่ชำระดีงามก้าวหน้าขึ้นนั้นเอง

    ผลสมาบัติยังส่งผลในด้านอื่นๆอีกมากมาย ครับ อันมีทั้งฝ่ายอภิญญาและฝ่ายปัญญาโลกุตระธรรมแห่งมรรคผลที่จะเป็นเครื่องประเทืองปัญญาแก่ตนและผู้อื่นครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มีนาคม 2015
  6. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนายินดีในธรรมะที่คุณ tjs ได้แสดงไว้แล้วเป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ

    คนส่วนใหญ่หรือบางหมู่เหล่าที่อาศัยการอ่านธรรมะในเรื่องของการเป็นอริยบุคคล แล้ว
    เข้าใจในหลักการและในเนื้อหาของธรรมอย่างแจ่มแจ้งแตกฉานจากการที่ตนได้อ่านและ
    ศึกษาธรรมมามากแล้ว การอ่านแล้วทำความเข้าใจตามเนื้อหาของธรรมที่เขียนไว้ใน
    หนังสือพระต่างๆ ถ้าเราเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในธรรมนั้นจากการอ่านแล้วทั้งหมด จะ
    หมายความว่า เราได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปแล้วได้ไหม
    ครับ ซึ่งต่างจากผู้ที่นั่งสมาธิจนได้ปฐมฌาณเป็นฐานแล้วนำเอาธรรม ไตรลักษณ์ หรือธรรม
    โลกุตรธรรมเพื่อความหลุดพ้น มาพิจารณาทบไปทวนมาในสมาธิจนเกิดดวงตาเห็นธรรม
    จริงๆ ตรงไหนอย่างไรครับ

    สรุปแล้วทั้งสองวิธีนี้ใช้ได้ผลเหมือนเดียวกันหรือเปล่าครับ มีข้อสังเกตและข้อระวังตรงไหน
    บ้างครับ ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับสาธุ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======================

    ในทางพระพุทธดำรัส และพุทธธรรม ทั้งปวง ความเป็นพระอริยะบุคคล ไม่ได้เป็นได้ด้วยเพราะอ่านตำราเข้าใจ แค่รู้อันเป็นสัญญาปัญญา อันเป็นปัญญาที่เกิดจากการอ่านทองจำจดจำศึกษาตำรา

    แต่ความเป็นพระอริยะบุคคล นั้นอาศัยปัญญาในธรรมอันเกิดจากการเข้าไปรู้จริงด้วยการต้องทำจริง เมื่อทำจริงย่อมรู้จริง เมื่อรู้จริงย่อมได้รับผล ทำให้รู้แจ้ง

    ตำราการศึกษาต่างๆ แม้จะเป็นปัญญาในการท่องจำจดจำทำความเข้าใจ แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงจิต ให้เป็นเหมือนสิ่งที่รู้และเข้าใจ

    ในทางพุทธศาสนา ไม่แค่ต้องการให้รู้ หากแต่ต้องการให้สามารถสร้างจิตใจให้ดีงามเป็นไปตามสิ่งที่รู้ นั้นคือการต้องนำไปสู่การปฏิบัติ นั่นเองอุปมาดังว่า

    ปริยัติ หมายถึงรู้จำ
    ปฏิบัติ หมายถึงรู้จริง
    ปฏิเวธ หมายถึงรู้แจ้ง

    ทำไมปฏิเวธ จึงเป็นการรู้แจ้งเพราะปฏิเวธ ผลที่ได้รับ ย่อมทำให้ทราบหรือเข้าใจทั้งกระบวนการ คือ เราทราบรายละเอียดตั้งแต่ เหตุปัจจัย ระหว่างกลางที่ปฏิบัติ และ ผลที่เกิดที่ได้รับ คือจะเกิดปัญญารู้แจ้งทุกกระบวนการในสิ่งนั้นๆ นั่นเองจึงเป็นการรู้แจ้ง

    ฉนั้นการที่เราจะเป็นอะไร ไม่ใช่แค่เพียงการรู้ในสิ่งนั้น หากแต่หมายถึงการที่เราต้องสร้างจิตใจเราให้เป็นเหมือนความรู้ที่เรารู้ เราต้องทำให้ได้ตามปัญญาความรู้ที่เรามี

    หากเรามีความรู้มากมาย แต่ก็แค่รู้เฉยๆ เราไม่นำเอาสิ่งที่เรารู้มาพัตนาตนเอง แล้วเราจะรู้ไปเพื่ออะไร เราจะฉลาดไปเพื่ออะไรกัน

    เช่นนั้น ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างดิ้นรน แข่งขัน เพื่อปากท้อง เพื่อเงินทอง และบางคนก็มีความฉลาดในทางโลกมาก

    แต่หากท่านไม่มีศีลธรรมความดี ไม่มีธรรมในจิตใจ ท่านไม่มีปัญญาฉลาดในทางธรรมเอาชนะกิเลสในจิตใจท่าน ในที่สุด ชีวิตท่านก็จะถูกกิเลสครอบงำ ท้ายที่สุดท่านก็หาความสุขไม่ได้ กิเลสที่พอกหนาจะนำซึ่งภัยพิบัติมาสู่ท่านโดยที่ท่านไม่รู้ตัว ท่านจะมีชีวิตอยู่บนความทุกข์ แม้ตายไปก็เป็นทุกข์ ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านต้องทำความเข้าใจและ รู้ว่าควาหาความรู้ทางธรรมพอกพูนจิตใจตนมากน้อยอย่างไร เพื่อกำหราบกิเลสอันเป็นเครื่องทำลายความสุขในชีวิตเราลงไปอย่างไร

    จงเป็นผู้มีสติปัญญา ไม่ประมาทในธรรมในการดำเนินชีวิตนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2015
  8. an15

    an15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +209
    กราบขอบพระคุณคุณก้องมากๆที่ได้ให้ความกระจ่างแก่แอนในหลายๆเรื่องค่ะแอนได้ศึกษาและอ่านเรื่องธรรมมะต่างๆที่คุณก้องได้นำมาเผยแผ่แก่สาธรณะชนให้ได้รู้และปฏิบัติตามให้ได้ถูกต้อง
    จากนี้ไปแอนจะพยายามสำรวมระวังในกายวาจาจิตอันเป็นศีลและธรรมให้ดีๆจะได้เจอทุกข์ต่างๆให้น้อยลงจะได้มีโอกาสเจริญทางธรรมกับเค้าบ้าง
    ผลบุญกุศลอันใดที่แอนและครอบครัวหมู่คณะและเทวดาผู้รักษาได้บำเพ็ญมาจะให้ผลแก่แอนและครอบครัวหมู่คณะและเทวดาผู้รักษาเพียงใดขอผลบุญทั้งหมดจงถึงคุณก้องและครอบครัวหมู่และเทวดาผู้รักษาพลันขอให้คุณก้องและครอบครัวหมู่คณะและเทวดาผู้รักษาและทุกๆท่านจงมีแต่ความสุขพลันเทอญ สาธุ
     
  9. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนายินดีในธรรมะที่คุณพี่ tjs ได้แสดงไว้แล้วเป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ

    โทษของการประมาทล่วงเกินพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป โดยเหตุเพราะมีมิจฉา
    ทิฏฐิและทิฐิมานะมาก จนทำให้ล่วงเกินต่อพระอริยเจ้าทั้งทาง กาย วาจา และใจ ทั้ง
    เจตนาและไม่เจตนา โดยไม่รู้มาก่อนว่าบุคคลผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นพระอริยบุคคลใน
    พระพุทธศาสนาแล้ว แบบนี้ผู้ที่่ประมาทล่วงเกินจะมีโทษอะไรบ้างและเป็นอย่างไรบ้าง
    หนักเบาแค่ไหนครับ?

    และถ้าหากเราไม่รู้ว่าใครเป็นพระอริยเจ้าจริง เราควรที่จะมีวิธีการป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้
    พลาดพลั้งล่วงเกินโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไรบ้างครับ ซึ่งในเว็บบอร์ดพลังจิตเว็บเผยแผ่ธรรมะ
    เป็นสาธารณะแบบนี้เองผมคิดว่าก็น่าจะมีพระอริยเจ้าจริงแวะเวียนเข้ามาบ้างอย่างแน่นอน
    ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดโทษเกิดภัยแก่ตนเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เราควรปฏิบัติตนอย่างไรดีครับ
    ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับสาธุ
     
  10. newslowstep

    newslowstep สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +15
    พี่ก้องครับ ผมสอบถามไป เมื่อวันที่ 20-02-2015 หน้า 71

    แต่ผมย่อคำถามที่ต้องการทราบตอนนี้ก่อนแล้วกันครับ

    1.ตอนนี้ผมได้ฌานอะไรสูงสุดครับผม ? วิธีการที่ผมฝึกปฏิบัตินี่ถูกไหมครับ ตอนนี้นั่งสมาธิ พอถึงจุดๆนึงแล้วผมรู้สึกว่าหายใจไม่ไหว เลยถอนหายใจออกมา แล้วรู้สึกเหนื่อยหอบ เป็นแบบนี้บ่อย กับนั่งเพ่งเทียนไข (จริงๆ) ในห้องน้ำ

    2.ผมกลัวชาติต่อๆไป จะพลาดทำบาปหนัก เหมือนชาติที่แล้วอีกนี่ ไม่เข้าใจธรรมมะเหมือนชาตินี้อีก ชาติต่อไปนี่ขึ้นอยู่กับการอธิฐานหรือป่าวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2015
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ต้องขออภัยช่วงนี้งานเยอะครับ การตอบคำถามอาจจะล่าช้าไปบ้างนะครับ

    ปลายสัปดาห์จะทะยอยตอบให้นะครับ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    บาปกรรมจากการล่วงเกินพระอริยะ ย่อมให้ผลหนักเบาไม่เท่ากันตาม
    1 หากเจตนา ย่อมมีกรรมหนัก ทำให้มรรคผล ไม่เจริญงอกงาม และทำให้ชีวิตขัดข้องมีอุปสรรค ไม่ราบรื่น หากหนักมาก ก็ส่งผลให้เกิดภัยเกิดโทษแก่กายและจิต

    2 หากไม่เจตนา ผลบาปกรรมก็เบาบางแต่ก็มีผลต่อความเจริญก้าวหน้าในธรรมที่ล่าช้า โทษภัยที่จะเกิดกับกาย ใจก็มีแต่ก็เบาบางไม่หนักครับ

    อนึ่งหากกรรมที่กระทำการล่วงเกิน ต่อพระอรหันต์จะเกิดกรรมหนักมาก รองลงมาคือพระอนาคามี พระสกิทาคามีและพระโสดาบันไล่ลงมาตามลำดับครับ

    การล่วงเกินด้วยใจ คือคิดไป แม้จะเป็นส่วนเดียว ไม่มีวาจา การกระทำทางกายร่วมด้วยก็จริงแต่ก็ส่งผลตามที่กล่าวมา แต่ถ้ามีการล่วงเกินทั้งกาย วาจา จิต ด้วยก็จะกลายเป็นกรรมหนักได้ ฉนั้นขอให้ สำรวจตนให้ดี

    ดังนั้นในสิ่งที่ถูกต้องคือ ไม่ควรไปกังวลหรือประมาทในธรรมของผู้อื่น เขาจะเป็นอะไร ก็เรื่องของเขา เราในฐานะผู้ปฏิบัติดี ย่อมควรคิดดีทำดี พูดดีต่อผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่คนไม่ดี

    เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท การล่วงเกินต่อผู้อื่น แม้เขาเป็นคนไม่ดี ก็ย่อมเกิดผลทที่ไม่ดีแก่ตน เพราะความไม่ดี ผู้ใดกระทำไว้ก็ย่อมได้รับผลไม่ดีไม่มากก็น้อยครับ

    เพราะสรุปคือการที่เราคิดดีทำดีพูดดี ย่อมเป็นการไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นครับ สาธุ
     
  13. พ่อณภัทร

    พ่อณภัทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    7,877
    ค่าพลัง:
    +3,633
    รบกวนสอบถามอาจารย์ทาง PM ครับ อนุโมทนาในกุศลของอาจารย์ในทุกคำแนะนำสั่งสอนในกระทู้นี้ครับ สาธุ

    ขอบคุณครับ
     
  14. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนายินดีในธรรมะที่คุณพี่ tjs ได้แสดงไว้แล้วเป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ

    อารมณ์ของพระโสดาบันจริงๆ ที่เกิดขึ้นกับจิตใจอยู่เป็นปรกติตลอดเวลาของผู้ที่เป็นพระ
    โสดาบันแล้วจริงๆ ที่ทุกท่านที่บรรลุธรรมแล้วจะต้องมีอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นกำกับจิตใจ
    เหมือนเดียวกันทั้งหมดไม่มีผิดเพี้ยนไปเป็นอย่างอื่น ถือว่าเป็นกฎตายตัวของอารมณ์ของ
    พระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันเลย ถ้าใครไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนี้ให้รู้ตัวว่ายังไม่ได้เข้าถึง
    มรรคผลอะไรเลยเป็นแน่แท้ อยากทราบว่าอารมณ์ความรู้สึกนั้นคืออารมณ์อะไร เป็น
    อย่างไรครับ ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับ สาธุครับ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    อารมณ์พระโสดาบัน มีดังนี้

    1 รู้บาปกรรม จิตจะสำรวมระวัง ไม่ทำบาปอีก จะไม่มีเจตนาในการทำบาปกรรมใดๆทั้งปวง

    2 รู้เท่าทันคือมีสติถึงพร้อมด้วยศีลที่ตนรักษาอยู่ อย่างมีสติต่อเนื่องเป็นปรกติ อะไรที่มากระทบกับศีลของตนก็จะทราบทันทีและจะตั้งมั่นรกษาศีลของตนยิ่งกว่าชีวิต

    3 จิตมีความตั้งมั่นใจความดี อยู่ในบุญกุศล จิตปราถนาบุญ มีงานบุญอะไรสิ่งใด ปราถนาทำช่วยเหลือและอนุโมทนา จะว่าบ้าบุญก็ไม่เชิง แต่มีศรัทธาดีงามแรงกล้าในการทำบุญทุกชนิดโดยไม่เลือก หรือแบ่งแยก

    4จิตปราศจากความกลัวตาย คือไม่กลัวตายเพราะรู้แจ้งในการเวียนว่ายตายเกิด รู้ในธรรมดา ธรรมชาติของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    5 มีความรักเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างมากเป็นพิเศษ ยึดเป็นสรณะสูงสุด

    6 มีความรักเคารพในบิดามารดาครูอาจารย์มาก รองลงมา และเป็นคนที่มีความกตัญญกตเวที รู้จักคุณคน จักพยายามตอบแทนผู้มีพระคุณ

    7 เป็นผู้มีพรหมวิหารธรรม มีเมตตาและกรุณา มุฑิตาจิต มากเป็นพิเศษ คือเป็นผู้สงสารในสรรพสัตว์เพราะรู้แจ้งในการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นไปเพื่อทุกข์

    8 เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย คือมีจิตใจที่อ่อนโยน ไม่กระด้างกระเดืองเพราะความเข้าถึงความดี มีกริยานารักน่าเลื่อมใส เป็นที่รักเอ็นดูของผู้อื่น หรือเป็นที่เคารพเกรงใจของผู้อื่น

    9 เป็นผู้สันโดษ คือพอใจในธรรมชาติ ตามีตามเกิดตามได้ ตามความเหมาะสมอันพอดีพอประมาณ ไม่มักมากมักใหญ่เกินตน เกินธรรม

    10 เป็นผู้มีจิตใจอันขาวสะอาดปราศจากอกุศลกรรมหรือบาปกรรม จิตมีแสงสว่างด้วยบุญ เป็นปรกติ จึงเป็นผู้มีกายใจอันแจ่มใสเป็นปรกติ เป็นผู้ไม่เศร้าหมองใดๆ ใบหน้าจิตใจจะยิ้มแย้มเบิกบานและสงบด้วยสุขครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2015
  16. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนายินดีในธรรมะที่คุณพี่ tjs ได้แสดงไว้แล้วเป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ

    ในพระโสดาบันจะมีอยู่ 3 ระดับด้วยกันคือ สัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกะพิชี อยาก
    ทราบว่าทำไมพระโสดาบันถึงมีตั้ง 3 ระดับด้วยและแต่ละระดับมีความแตกต่างทางด้าน
    ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา กันอย่างไรบ้างครับ

    แล้วสมมุติว่าถ้าหากตอนนี้เราเป็นพระโสดาบันแล้ว เราจะรู้ตนเองได้อย่างไรว่าตอนนี้
    อารมณ์ภูมิจิตภูมิธรรมของเราอยู่ในขั้นของพระโสดาบันขั้นไหนแล้วครับ มีวิธีดูหรือพิสูจน์
    กันอย่างไรครับ ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับ สาธุครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================
    พระโสดาบัน 3จำพวก

    1. เอกพีชี ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุเป็นพระอรหันต์
    2. โกลังโกละ ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก 2-3 ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก 2-3 ภพ ก็จักบรรลุอรหัต
    3. สัตตักขัตตุงปรมะ ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง 7 ครั้ง ก็จักบรรลุอรหันต์

    ขออธิบายเพิ่มว่า

    เหตุที่พระพุทธองค์แบ่งไว้อย่างนี้เพราะทรงมีสติปัญญารู้แจ้งว่า

    1 เอกพีชี ย่อมเกิดขึ้นในชาติอนาคตกาล ถัดไป เพราะด้วยปัจจุบันสั่งสมบารมีไว้มาก มีปัญญาบารมีในธรรม มีการถือศีล5และ8เป็นปรกติ ความเป็นพระโสดาบันสมบูรณ์ เต็มขั้น เมื่อครั้นไปเกิดในชาติถัดไป ผลบุญและบารมีฝ่ายโสดาปฏิผลให้ผลส่วนหนึ่ง จึงน้อมนำจิตบรรลุโสดาบันโดยสมบูรณ์ พร้อมทั้งอานิสงค์จากการถือศีล8ในอดีตชาติจะทำให้ได้บรรพชาหรือถ้าเป็นสตรีก็จะได้บวชพราหมถือศีล8 ปฏิบัติธรรม ต่อยอดในภูมิธรรม สำเร็จหลุดพ้นในชาติอนาคตดังกล่าวนั่นเอง ขั้นนี้ ศีลดีงามสมบูรณื์ สมาธิถึงพร้อม จิตทรงฌาณได้มาก ปัญญารอบรู้ในธรรมมาก เพราะอาศัยการที่ตนมีการบวชพราหมเป็นอย่างน้อยถือศีลปฏิบัติ เป็นรากฐานกำลังไว้

    2 โกลังโกละ ประเภทนี้ ศีลจะเหมือนข้อ1คือดีงามสมบูรณ์ แต่กำลังของสมาธิด้อยกว่าเล็กน้อย ส่วนฝ่ายปัญญาญาณ ก็ด้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือความรอบรู้ในธรรมมีน้อยกว่า เพราะการปฏิบัติธรรมและการถือศีล8ขึ้นไปสร้างบารมีมาน้อยกว่า จึงทำให้ การไปเกิดใหม่ต้องอาศัยการไปสั่งสมบารมีในส่วนของสมาธิและปัญญาให้มากพอในอีก2-3ชาตินั่นเองครับ

    3สัตตักขัตตุงปรมะ ประเภทนี้คือเป็นผู้สำเร็จโสดาบันแบบจบใหม่แล้วเกิดตายไปในเวลาห่างกันไม่นาน ยังไม่มีความสามารถในความเป็นพระโสดาบันมากนัก มาดูที่ศีลคือ มีศีลทรงตัวดีงามก็จริง แต่ยังมีแปดเปื้อนด้วยอบายมุขบ้างเล็กน้อย ซึ่งต่างกับข้อ2 ,1 ที่ตัดละทิ้งได้หมด การทำผิดศีลแบบเล็กน้อยเบาบางอาจมีบ้างซึ่งเป็นละหุโทษ ส่วนด้านสมาธิ ยังไม่แก่กล้า ได้เพียงขณิกะหรืออัปปนา ได้ฌาณฝ่ายรูปฌาณ 1,2 เท่านั้น ส่วนด้านปัญญาณ ก็มีติปัญญาในธรรมไม่มาก รอบรู้แต่เพียงวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิด รู้เข้าใจในโคตรภูญาณแต่สติปัญญาดับกิเลส ดับอวิชา ยังมีไม่มาก ซึ่งด้อยกว่า ข้อ 1,2มาก เพราะการถือศีล8ขึ้นไปสั่งสมไว้น้อยมาก นั่นเอง เมื่อเหตุเป็นเช่นนี้จึงต้องมีการมาเวียนว่ายตายเกิดอย่างยิ่งคือ7ชาติ หากมีความเพียรเติมเต็มในด้าน ความสมบูรณ์ของศีล สมาธิ ปัญญา ได้มากหรือรวดเร็วเท่าไหร่ การมาเกิดเพื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็อาจจะเร็วขึ้น บางท่านอาจจะไม่ถึง7ชาติ อาจจะ5ชาติหรือ4ชาติก็มีครับ

    สรุปแล้ว ความเป็นพระโสดาบัน ทั้งสามระดับ ต้องอาศัยการสร้างบารมี ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างที่กล่าวมา แล้วการสร้างบารมีทั้งสามข้อที่รวดเร็วมีกำลังมากต้องทำอย่างไร คำตอบคือ ท่านต้องบวชพราหมถือศีล8ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย ยิ่งท่านใดได้บรรชาถือศีล227 ได้ จากการบวชนี้เองจเป็นเครื่องหนุนส่งให้ศีล สมาธิและปัญญา เจริญงอกงามรวดเร็วมากครับ
    หรือหากแม้ท่านมีเวลาที่เหลือในปัจจุบันชาตินี้ แล้วท่านบวชบรรพชา และมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ทั้งการรักษาศีล การฝึกสมาธิ การเจริญวิปัสสนา สร้างปัญญา แน่นอน ท่านก็อาจจะสามารถก้าวพ้นจนหลุดพ้นทุกข์ได้ในปัจจุนชาติ
    หรือหากไม่ได้ แน่นอนท่านอาจจะสำเร็จพระอนาคามี ก็ไม่ต้องมาเกิดอีก หรือหากสำเร็จพระสกิทาคารมีหรือพระโสดาบันข้อ1 ท่านก็มาเกิดอีกชาติเดียว เป็นต้นครับ

    เช่นนั้นท่านจึงต้องมีการถือศีลถือบวช นั่นเองจึงเป็นทางลัดทางตรงต่อมรรคผลนิพพานครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2015
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมผมจึงกล่าวแสดงธรรม อธิบายธรรมต่างๆได้จากอะไร ผมไปรู้เข้าใจในรายละเอียดบางอย่างที่ไม่มีอธิบายในตำรา ได้อย่างไร

    คำตอบคือเพราะผมอธิบายด้วยจิต อธิบายด้วยสิ่งที่เห็นตามการปฏิบัติธรรม ในการเจริญสมาธิทุกคืนวัน มันทำให้เราเข้าไปเห็น รู้แจ้งในเหตุปัจจัย

    เพราะที่สุดแล้ว ความที่จิตเรา จะชำระได้มากหรือน้อยนั้น ก็อาศัย การปฏิบัติธรรมเท่านั้น การปฏิบัติธรรมของเราจะก้าวหน้าได้ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยคือ
    1ไม่ทำบาป
    2ทำความดีคือบุญทาน
    3รักษาศีล5,8ขึ้นไป
    4เจริญสมาธิสมถะ
    5เจริญสมาธิวิปัสสนา

    จงทำทั้ง5ข้อให้สมบูรณ์ตามลำดับ
    ข้อที่3-5 มีความสำคัญมากในแง่การยกภูมิจิตก้าวข้ามขั้นตั้งแต่ปุถุชน ไปสู่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
    ดังนั้น ในส่วนสำคัญดังกล่าว จึงมีความจำเป็นว่า ท่านต้องบวชบรรชา เท่านั้นท่านจึงจะสำเร็จอรหันต์ได้ หรือมีส่วนน้อยนิดที่ไม่ต้องบรรชามาแต่นั่นย่อมแสดงว่า ในอดีตเขาได้สั่งสมส่วนนี้มามากมายเพียงพอแล้ว แต่อาจติดขัดเล็กน้อย พอมาในปัจจุบัน วาสนาบารมีหนุนส่งให้แก้ไขข้อติดขัดเพียงเล็กน้อยหรืออาศัยบารมีพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อื่นบรมครูช่วยชี้แนะ จึงสำร็จได้โดยง่ายก็มี
    ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงออกบวชและส่งเสริมให้สรรพสัตว์บวชบรรชานั่นเองครับสาธุ

    เช่นนี้ การปฏิบัติธรรมย่อมให้ผลดีงามละเอียดอ่อนแก่จิตท่าน ยังปัญญาแก่ท่าน เมื่อนั้น ท่านย่อมสามารถก้าวผ่านหนทางแห่งนี้ไปได้สำเร็จครับ สาธุ
     
  19. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    สว้สดีครับคุณtjsวันนี้มีคำถามคาในจิตแต่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยนะครับคือสงสัยว่าตนนั้นบัดนี้ปฏิบัติอยู่ในขั้นไหนครับหรือยีงไม่ได้สักขั้นเลยครับ เหตุเพราะทำๆไปไม่เคยสนใจว่าได้ขั้นนั้นขั้นนี้มาก่อนใครถามก็จะบอกเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น วันนี้มีสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นในจิตคือตื่นเช้ามาปกติกำลังจะท่องพุทโธในจิตตามปกติ แต่มีความรู้สึกเกิดขึ้นมาว่าเบื่อคนเห็นความดิ้นรนของคนแล้วเบื่อเหตุเพราะต้องหากินเพื่อตัวเราเมียเราลูกเราทุกชีวิตเหมือนกันหมดไม่มียกเว้น ทั้งคนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำทุกอย่างเพื่อตัวเราทั้งสิ้น มันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก โดยลืมว่าสิ่งนั้นคือมายาในสมมุติเท่านั้น แล้วจิตมันก็ลอยๆยังไงไม่รู้ตัวเอียงเลยต้องน้่งทำสมาธิแป็บนึ่งถึงยืนได้แต่จิตยังเหมือนลอยๆอยู่จนบัแนี้เลยงงเหตุเพราะไม่เคยเป็น และแปลกมากสามารถรู้ในจิตของคนที่คุยด้วยและพูดสิ่งนั้นได้ถูกเลยต้องกลับมาก่อนนี่ว่าถ้าไม่หายจะไม่ไปไหนขอทำสมาธิก่อนให้ปกติค่อยไปข้างนอก จึงอยากขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วยครับ สาธุ
    ป.ล.ที่ว่ารู้คือไปเจอเพื่อนแล้วคุยกันแต่ดันพูดในสิ่งที่เค้าคิดในใจเค้าเลยถามคุณรู้ได้ยังไงก็บอกเค้าเลยเดินหนีไม่คุยด้วย2-3คนเหมือนกันเลยเข้าบ้านดีกว่าเดียวค่อยว่ากัน. รูป-นาม รู้จึงไม่คิดที่คิดเพราะไม่รู้ มันอยู่ในจิตตอนนี้ตลอดเวลา. งงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2015
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =====================

    ส่วนแรกเป็นด้วยอำนาจของโคตรภูญาณที่เกิดสมบูรณ์มักมีอาการดังกล่าวคือความเบื่อหน่ายในการดิ้นรน ในวัฏฏะ การเวียนว่าย ความเบื่อหน่ายเห็นทุกข์ทั้งของตนเองและสรรพสัตว์ครับ เมื่อญาณเกิด จิตที่เบื่อหน่ายตัดละปล่อยวางจึงเกิด จิตจึงทรงฌาณอัตโนมัติ สงบนิ่งว่างเปล่าไม่รับรู้ใดๆ เป็นไปพักหนึ่ง แต่ด้วยความมีสติ จึงถอยกำลังลงมาได้ครับ ขออนุโมทนาครับ ยินดีด้วยครับ สาธุ

    ส่วนที่สองเป็นเรื่องของเจโตปริยญาณที่เกิดครับ ก็เพราะโคตรภูญาณเกิดแล้ว ศีล สมาธิทรงตัวแล้ว วิปัสสนาปัญญาก็ก้าวหน้าแล้ว ไม่แปลกที่ เจโตปริยญาณจะเกิดและทำงานตามกำลังของจิต ครับ รู้ใจทั้งคนใกล้ และไกลครับ สามารุถทำได้ครับ สาธุ

    สิ่งที่เกิดที่ได้พึงสักแต่ว่าเกิด ได้มีได้ เราสักแต่ว่ารู้ พิจารณาสร้างปัญญาแล้วปล่อยวางครับ เพื่อเตรียมกำลังกาย ใจในการเดินหน้าต่อไปครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...