วิญญาณง่อย

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ไม้ขีด, 5 มีนาคม 2015.

  1. ไม้ขีด

    ไม้ขีด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,421
    ค่าพลัง:
    +3,023
    วิญญาณง่อย

    ตามที่ได้เรียนมาแล้วว่า ผมได้ไปนมัสการ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ หรือหลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง บ่อยๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านว่าง ท่านก็คุยเล่าอะไรๆ ให้ฟัง ผมเองก็ตัวดี ซักถามท่านไม่ได้หยุด อยากรู้เรื่องอะไรๆ ที่เขาพูดกันเขาคุยกัน ก็กราบเรียนถามท่าน บางเรื่องถ้าท่านรู้ ท่านก็บอกว่าท่านรู้ถ้า ท่านไม่รู้ท่านก็บอกว่า เรื่องนี้ไม่รู้ ท่านไม่เคยแสดงหรือพูดอะไรทำนองว่า ท่านรู้ทุกเรื่อง ท่านยิ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ ยิ้มอย่างสมณะ คือยิ้มที่ใบหน้าอันประกอบด้วยเมตตา เวลาท่านเล่าอะไรให้ฟัง ก็มักจะมีเรื่องชาดก หรือเรื่องในพระสูตรต่างๆ มาอธิบายประกอบ
    ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่น ไม่ค่อยทราบเรื่องอะไรมากนัก ได้ฟังเรื่องชาดก หรืออุทธาหรณ์ต่างๆ ที่เล่า ก็สนใจและเข้าใจง่าย และก็ยังจำได้มาจนบัดนี้
    วันหนึ่ง ผมไปอยุธยาไปกราบนมัสการท่านอีก บิดาผมวานให้เอาของไปถวาย ก็ตามที่ผมเล่าไว้ในตอนต้นแล้วว่า มีคนง่อยคนหนึ่ง ญาติเอามาทิ้งไว้ใต้กุฏิของท่านเพราะรักษาไม่หาย โดยแกเป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้างแต่มือยังดี ยกมือไหว้ขอเงินคนที่มาหาหลวงพ่อได้อย่างแคล่วคล่อง ปากก็ยังดี ก็เรียกกันว่า “ไอ้ง่อย” ทั้งๆ ที่ความจริงชื่อของแกดูเหมือนว่าจะชื่อ “บุญ” แต่ออกจะไม่ค่อยมีบุญสมชื่อ ผู้คนที่มาหาท่าน ก็ทำทานบริจาคให้อย่างน้อยก็ 10 สตางค์ ซึ่ง 10 สตางค์ในสมัยนั้น รับประทานก๋วยเตี๋ยวได้ 3 ชาม แต่เดี๋ยวนี้ชามละ 10 บาทเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้น 10 สตางค์ในสมัยที่ผมยังหนุ่มๆ ก็ประมาณว่า เท่ากับ 30 บาทสมัยปัจจุบัน เล็กอยู่เสียเมื่อไหร่


    ก็ตามที่ผมเคยเรียนกับคุณผู้อ่านมาแล้วตอนต้นๆ ว่า ผลแห่งการทรมานสัตว์ วิบากนั้นก็คือ ทำให้เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งเป็นง่อยแบบนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นผลวิบากแห่งการทรมานสัตว์ไว้ในชาติปางก่อน ครั้นพอผมไปถึงวัด ไม่แลเห็น นายบุญง่อย ก็กราบนมัสการถามท่านว่า “นายบุญง่อยหายไปไหน” ก็ทราบว่า นายบุญตายเสียแล้วเมื่อสองสามวันที่แล้ว แล้วก็เผาไปแล้วด้วย ผมได้ทำอย่างที่หลวงพ่อท่านว่า โดยแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลให้เขาและทุกๆ ชีวิตในโลกนี้จะเป็นการบุญแก่ตัว ผมก็ทำอย่างที่ท่านบอก ยกมือขึ้นจบ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้นายบุญง่อยนี้เป็นสุขๆ หมดเวรหมดกรรมเถิด หลวงพ่อท่านบอกว่า “ก็ไม่รู้” (ท่านอาจจะรู้ก็ได้ แต่ท่านไม่พูด) และพูดต่อไปว่า “แต่ชาตินี้ แกก็ทำกรรมคือทรมานสัตว์แยะ ตั้งแต่เด็กๆ จนหนุ่ม จึงมารับวิบากเอาตอนใกล้ๆ จะแก่ หรือจะมีวิบากแต่ชาติปางก่อนมาให้ผลด้วยก็ได้ แต่ตอนนี้แกก็ไปตามหนทางของแกแล้ว”



    ณ ที่แห่งหนึ่ง ลิบลับไปจากจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ จิตวิญญาณหลายๆ ดวงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอยู่ทุกวินาทีมาพบกัน อันเป็นจิตวิญญาณของสัตว์ต่างๆ และมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าใด พันธุ์ใด ชาติใด จิตวิญญาณอันเหลือคณานี้ ล่องลอยมาเพื่อรับวิบาก คือผลแห่งกรรมอันหลีกเสี่ยงไม่พ้น ไม่มีวิญญาณใดที่จะหนีพ้น จากการรับผลแห่งกรรมที่ตนประกอบไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือ กรรมชั่วก็ตาม
    บางจิตวิญญาณก็เคยพบเห็นหรือสันถวะกันมาแล้วในชาติที่ก่อนจะมาถึงที่นี่ ต่างก็สังสรรค์กัน เพื่อคอยเวลาที่วิบากแห่งกรรมจะมารับไป ขณะที่ชุมนุมกันอยู่นั้น ก็มีจิตวิญญาณดวงหนึ่ง ถัดกะโผลกกะเผลกมายังที่จุดนี้ โดยมีตัววิบากคุมมาอย่างใกล้ชิด ทันใดก็มีเสียงเอ่ยว่า “มาแล้วไง เจ้าบุญง่อย”
    จิตวิญญาณของนายบุญก็รับว่า “ใช่ นายบุญมาแล้ว แต่ต้องมาในสภาพอย่างที่เห็นอยู่นี่แหละ จะลอยมา หรือถูกจูงมาไม่ได้ เพราะยังเดินไม่ได้”



    “อ้าว ทำไมล่ะ” จิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม
    “เรื่องมันแยะ ทั้งชาติที่ผ่านมานี้และชาติก่อน”
    “มันแยะยังไง ไหนลองเล่าให้ฟังซิ”
    “ก็กรรมน่ะซิ กรรมที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับชีวิตสัตว์ต่างๆ ไว้มากมาย นี่ก็พึ่งจะระลึกได้”
    “ระลึกได้อย่างไร ลองเล่าให้ฟังซิ”
    “ถ้าอยากฟัง ก็จะสารภาพกรรมที่ทำไว้ให้ฟัง ก่อนที่จะไปรับวิบาก ซึ่งกำลังจะมานี้”
    ว่าแล้ว นายบุญง่อยก็เริ่มบรรยายกรรมที่แกทำไว้ ทั้งในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ง่อย และชาติที่เกิดมาเป็นง่อย และตายลงในคราวนี้ว่า........
    “แต่เดิมนั้น เราไม่ได้เกิดมาในบวรพุทธศาสนาหรอก เกิดมาในที่อื่น พ่อแม่ก็ดี เลี้ยงดูเรามาอย่างอุดมสมบูรณ์ไม่อนาทรร้อนใจอะไร แต่เราเองไม่รู้ว่ามีกรรมอะไรมาบดบังตา หรือมาชักชวนให้กลายเป็นคนที่ชอบล่าสัตว์จับสัตว์ เมื่อได้มาแล้วก็จับขัง ควบคุมเอาไว้กันมันหนี การที่จะกันมันหนีก็ต้องทำให้มันเดินไม่ได้ วิ่งไม่ได้ หรือบินไม่ได้เสียก่อน
    อย่างนกนี่ก็ต้องหักปีกเสียทั้งสองข้าง มันจะได้ไม่บินหนีไป อย่างสัตว์ที่กระโดด เช่น กบ ก็ต้องหักขาทั้งสองข้าง แล้วมัดมันไว้ตรงเอว มัดให้แน่น จนมันหมดแรงก็กระดิกกระเดี้ย ไปไหนไม่ไหว แต่จะว่าไป กรรมดีเราก็มี คือ เรามักจะเอื้อเฟื้อเจือจาน ให้ทานคนยากคนจนเสมอ ก็สัตว์ต่างๆ ที่จับมาเป็นอาหารบ้าง มาขังไว้บ้าง พอมันตายเราก็ทำเป็นอาหาร ให้ทานเจือจานแก่คนยากคนจน มันเป็นบาปและกุศลปนกันแต่มันเป็นบาปเสียละมากกว่า มันหักกลบลบหนี้กันไม่ได้หรอก แต่มันตั้งสองชาติมาแล้ว จะจำทั้งหมดก็ไม่ไหว
    พอหมดชาตินั้น เราก็มาทนทุกข์ทรมานมารับวิบากยังที่แห่งนี้แหละ ยังจำได้


    เราทรมานมาก เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องนั่งง่อยอยู่ข้างไฟตลอดเวลา มันร้อนสุดร้อน ทรมานสุดทน ไอ้เจ้าสัตว์ต่างๆ ที่เราทำทารุณกรรมไว้ก็โผล่หน้ามาทีละอย่าง ทีละตัว ตัวหนึ่งก็มาให้เห็นอยู่นานแสนนาน พอเจ้าตัวนี้ไป อีกตัวที่เราทรมานไว้ มันก็มา แล้วก็ต่อๆ กันอย่างนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่ นานๆ ก็มีอาหารเข้ามาในปากเสียทีหนึ่ง อาหารก็เป็นพวกเนึ้อหนังมังสาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง บางทีก็กินได้อิ่มหายจากการทรมาน เพราะความหิวไป บางทีก็กินไม่ได้ ซึ่งที่ได้กินอาหารนี่ก็เห็นจะเป็นเพราะเราเคยเอึ้อเฟื้อเจือจานต่อคนจนคน ยากที่ไม่มีกินก็อาจเป็นได้ แต่ว่ากรรมนี้ก็เป็นกุศล เมื่อหมดวิบากแล้ว เราจึงมาเกิดใหม่เป็นอูฐในทะเลทราย ต้องทรมานแบกข้าวของ แบกมุนษย์ที่เป็นนาย เดินทรมานอยู่ในที่ที่แห้งแล้งกันดาร ไม่มีแม้แต่น้ำ เป็นอูฐอยู่ชาติภพหนึ่ง ในที่สุดก็ถูกฆ่าตาย คนที่ฆ่าก็เป็นนายเราเอง เขาหิวน้ำ ไม่มีน้ำจะดื่มในกลางทะเลทราย แล้วก็ยังอดอาหารอีกด้วย ในขบวนเดินทางนั้น มีอูฐอยู่หลายตัว ฉันเป็นตัวเดียวที่ถูกฆ่า นายเขาผ่าท้อง เอาน้ำในกระเพาะของเรามาแบ่งกันดื่ม เพราะฉันตุนน้ำไว้แยะ จากนั้นเขาก็เอาเนื้อฉันมาปรุงเป็นอาหารสู่กันกิน ตอนที่เกิดเป็นอูฐนี่สาหัสมาก เขาบรรทุกของใส่หลังฉันจนกระดูกแอ่น แล้วยังมีนายไปนั่งขี่อีก 2 คน ฉันทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ขาทั้งสี่ก้าวแทบไม่ออก ก็เห็นจะเป็นเพราะกรรมที่ทรมานสัตว์ต่างๆ ไว้มาก ถึงได้เป็นอย่างนี้ หมดจากอูฐนี่แล้ว ฉันถึงได้มาเกิดเป็นคน มาเกิดที่อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยานี่ เห็นจะเป็นเพราะกรรมเก่าที่มันติดตามมา ตอนเด็กๆ ฉันซนเป็นที่สุด ยิงนก ตกปลา จับสัตว์มาหักแข้ง หักขา เป็นประจำ อย่าง หนูนา ในที่นาของพ่อแม่ฉัน พอจับได้ ฉันจะฆ่ามัน ทารุณมันต่างๆ เพราะมันมากัดต้นข้าวในนาแถมยังกินข้าวในยุ้งอีก ฉันไล่ตีหนูนาทุกวัน ถ้ามันยังไม่ตายก็ทรมานมันต่างๆ เช่น เอาน้ำมันราดตัว เอาไฟจุด ให้ลุกโชน หนูมันก็วิ่งไปทั้งๆ ที่ไฟลุกตามตัวอย่างนั้น ก่อนที่มันจะตาย ฉันเห็นมันเหลียวหน้ามามองที่ฉัน แล้วก็ตาย ฉันว่ามันคงนึกสาปแช่งพยาบาทอาฆาตฉันไว้ในใจมันแล้ว


    ปูนาอีกอย่างหนึ่งมันกัดกินต้นข้าวอ่อนดีนัก ข้าวหมดเป็นแปลงๆ ฉันหาวิธีจับปูพวกนี้ โดยเอาโอ่ง เอาไหใบเขื่องๆ มาฝังดินไว้ที่คันนา เอาปลาทูเค็มแช่น้ำให้ออกกลิ่น แล้วใส่ลงไปในโอ่งในไหนั่น ทีนี้ปูได้กลิ่นมันก็มา ยกพวกมากันแน่นไปหมด ปากโอ่งปากไหนั่น ฉันฝังไว้เสมอกับดิน พอมันเดินถึงปากโอ่ง มันเดินเล่นลงไปในโอ่งปลาทูเค็มนั่น หล่นลงทีละตัวๆ ไม่รู้ว่ากี่โอ่งต่อกี่โอ่ง ปูนาลงไปเต็มหมด ทีนี้มันขึ้นไม่ได้ พอต่ายขึ้นมาถึงปากโอ่ง มันตกลงไปอีก ฉันก็ไปเอาน้ำมาเทลงในไหในโอ่งนั้น


    พวกเด็กเพื่อนๆ ก็ช่วยกันจับปูไปกิน พอฉันจับมันได้ ฉันก็จะหักขามัน หักก้ามมัน แล้วเอาขาที่หักออกมานี่แหละ แทงคาไว้ที่ลูกตามัน ปูมันก็ไปไหนไม่ได้ก็กลิ้งมา พอมากเข้าฉันก็ส่งไปบ้านทำปูเค็มกิน ปูที่มาติดในโอ่งนี่ นับร้อยนับพันติดทุกวัน เพื่อนๆ พ่อที่อยู่นาข้างบ้านเขารู้เข้าว่าฉันจับปูแบบนี้ เขาก็เอาอย่าง พอได้มาก็เอาไปทำเป็นปูดอง ปูเค็มกิน แต่ไม่ทรมานอย่างฉัน หนูกับปูนี่เป็นศัตรูกับฉันมาก ฉันฆ่าเสียไม่รู้ว่าเท่าไหร่ๆ งูที่มันเลื้อยอยู่ตามคันนา ถ้าฉันจับได้ฉันจะเอาเชือกกล้วยรัดมันไว้ รัดตัวมันตรงกลางๆ ตัว ค่อนไปทางหาง แบบนี้เสร็จทุกตัว ฉันรัดไว้อย่างนั้น จนมันตาย และไม่เท่านั้น แม้งูเห่า อะไรๆ ฉันจับมาทำแบบนี้หมด เมื่อฉันเป็นหนุ่ม พ่อแม่ก็ส่งฉันมาอยู่กับอาที่ตัวเมืองอยุธยา ไม่ให้อยู่ที่อำเภอเสนาแล้ว เพราะอยากให้ฉันเรียนหนังสือ แต่จริงๆ แล้ว วันหนึ่งๆ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้เรียนหนังสือตามที่พ่ออยากด้วย ฉันเที่ยวเกกมะเหรกเกเรไปตามเรื่อง เพื่อนๆ ที่มีก็ชวนกันไปจับปลา งมกุ้ง ที่อยุธยา กุ้งก้ามกามชุม ลงไปในน้ำประเดี๋ยวเดียวก็งมกุ้ง ที่มันเดินอยู่ก้นคลองได้ตั้งแยะ พอได้มาก็อย่างเดิม ฉันหักก้าม เด็ดขามันออกหมด กุ้งข้องของฉันมากกว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็นเพราะทำบาปขึ้นนั่นเอง แต่ว่าแต่ละตัวเป็นกุ้งไม่มีก้าม ไม่มีขาทั้งนั้น มันก็กระเสือกกระสน ตะเกียกตะกายกันอยู่ในข้องนั่นแหละ ไม่ไปไหนหรอก ถึงปล่อยให้ไป มันก็ไปไม่รอด สันดานทรมานสัตว์ของฉันมันเก่ง ไม่รู้ว่าติดมาชาติปางไหน ในที่สุด พ่อก็เรียกฉันกลับ ให้ไปช่วยทำนาที่เสนา ฉันกลับบ้านไปได้พักหนึ่งก็เกิดความคิด คือที่บ้านมีไก่บ้านอยู่หลายตัว มันออกไข่ ฟักไข่ แล้วก็ออกมาเป็นตัวลูกไก่ ไก่พวกนี้เนื้อมันเหนียว ฉันก็เกิดความคิด ตามที่เคยได้ยินๆ เขาพูดกันมา คือไปตัดไม้ไผ่มา ตัดออกเอาปล้องไว้ปล้องหนึ่ง อีกปลายหนึ่งก็ปล่อยเป็นรูโหว่ ตามขนาดปลายนิ้วชี้สามสี่รู ต่อมาฉันก็วิ่งไปไล่จับลูกไก่มาทีละตัวๆ เอาไปใส่ในปล้องไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ โดยเอาตีนลูกไก่ใส่ลงไปก่อนให้หัวมัน ปากมัน อยู่ข้างบนตรงปลายที่เปิด ไก่มันก็ออกไม่ได้ ก็นอนเงียบอยู่ในปล้องไม้ไผ่นั่น ทีนี้ฉันก็เอาข้าวสุก ข้าวสารให้มันกิน น้ำไม่ให้กิน ให้กินแต่น้ำกะทิที่คั้นเอาไว้ ไก่มันหิวน้ำ มันก็ต้องกิน เมื่อไก่ได้กินข้าว กินกะทิทุกวัน แต่เดินไปไหนไหนไม่ได้ มันก็อ้วนขึ้นๆ ตัวยาวไปตามลำไม้ไผ่
    พอสักเดือน ฉันก็เปลี่ยนลำไม้ไผ่ใหม่ ให้มันโตขึ้น แล้วเอาลูกไก่ที่อ้วนปี๋ขนไม่มี เดินไม่ได้นี่ ย้ายมาใส่กล่องใหม่ที่มันโตกว่า แล้วก็เลี้ยงอย่างเก่า มันป็นการทรมานอย่างยิ่ง ไก่ก็จะโตขึ้น อ้วน ขาว ไม่มีขน เดินเหินไม่ได้ ปีกก็อ่อนนุ่ม ตัวยังงี้ยาวยังกับกระบอกไม้ไผ่กระบอกนั้น พอเดือนสองเดือน กะว่าไก่โตมีเนื้อมีหนังแล้ว ฉันก็ลองเอามันออกมาฆ่า มาปรุงเป็นอาหาร ปรากฏว่า เนื้อไก่นุ่ม อ่อน ยุ่ย กระดูกอ่อน ไม่มีขน จะย่าง จะทอด ประเดี๋ยวเดียวก็สุก หอม อร่อย พรรคพวกเพื่อนฝูงที่ได้ลิ้มรส ต่างก็ติดอกติดใจกันมาก เพราะเคยกินแต่เนื้อไก่เหนียวๆ แต่นี่ ทั้งยุ่ย ทั้งอ่อน ทั้งมัน กระดูกกรอบ เคี้ยวได้ไม่ติดคอ ก็เลยยุฉันให้ทำแยะๆ ถ้ามากก็ทำขายไปเลย เขาเรียกกันว่า “ไก่สวรรค์” แต่ฉันว่า มันควรเรียกว่า “ไก่นรก” มากกว่า เพราะมันต้องตกนรกแน่ๆ ทั้งไก่ที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ตกนรกทั้งเป็น แต่คนทำซิไม่รู้ว่าจะตกนรกเมื่อไหร่ แต่มันก็ไม่แคล้วหรอก วิธีฆ่าไก่ของฉันก็ไม่ยาก ผ่าปล้องไม้ไผ่ออก ไก่จะหลุดออกมา ก็เอาตัวไก่นั่นแหละ จุ่มลงไปในปิ๊บน้ำเดือดทันที มันก็ดิ้นอยู่ในปี๊บนั่น ไม่กี่นาทีก็ตาย ทีนี้ขนมันก็ถอนออกง่าย ไก่ที่เลี้ยงแบบนรกนี่ไม่มีขนมากอยู่แล้ว แรกๆ ตอนที่ไก่ดิ้นในปี๊บ ฉันนึกเวทนามัน แต่หนักๆ เข้า นานๆ เข้า มันก็ชินไปเอง การทำชั่วทำบาปทุกอย่าง แรกๆ ก็ตะขิดตะขวงใจ แต่พอทำไปๆ มันก็ธรรมดาๆ ฉันตั้งหน้าตั้งตาทรมานไก่ โดยเลี้ยงไก่นรกต่อไป เอาลูกไก่ที่มันเป็นลูกเจี๊ยบมาใส่ลงไปในปล้องไม้ไผ่ ตอนหลังนี่ทะลุปล้องให้กลวงหมดเลย แล้วเอาเศษชะลอมปิดกั้นไว้ ไก่ถ่ายออกมาก็ออกไปเลย ไม่สกปรก ตัวมันไม่หลุดตกลงไปทางก้นปล้องหรอก ยิ่งเลี้ยงไว้นานเข้าๆ ตัวมันอ้วนขึ้นก็ยิ่งจะไม่มีโอกาสจะหลุดออกไปทางข้างล่าง
    ในที่สุดฉันก็ทำไก่สวรรค์ขาย ใครอยากได้ก็มาซื้อ ฉันก็จะฆ่าให้เสร็จ เพราะบางคนไม่ยอมฆ่า เจ้าไก่ตัวยาวๆ เหมือนเปรตนี่ การกระทำของฉันไม่เพียงเท่านี้ ฉันยังคิดทำอะไรแปลกๆ ในการกินอาหารพิสดารต่อไปอีก ตอนหนึ่ง ฉันออกไปจับปลาในคลอง เห็นลูกครอกปลาชะโดว่ายอยู่ก็เดินรี่เข้าไป เลยถูกปลาชะโตตอด มันก็เจ็บ เลยโมโห จับลูกปลาลูกครอกเอามาเลย เอาสวิงตักมาเกือบหมด เด็ดผักบุ้งมาด้วย ลูกปลามันยังเล็กอยู่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เลยเกิดความคิดใหม่
    ฉันเอาผักบุ้งที่เก็บมาตัดหัวตัดท้าย เอาปล้องไว้ตรงกลาง ปล่อยหัวท้ายไว้สักองคุลี ทีนี้ก็ตั้งไฟ เอาหม้อแกงตั้งขึ้น เอาผักบุ้งใส่ลงไป กะพอน้ำอุ่นๆ ก็เอาลูกปลาลูกครอกนี่ใส่ลงไปในหม้อ มันก็ว่ายอยู่ในนั้น ทีนี้พอน้ำร้อนขึ้นๆ มันก็วิ่งซุกหาที่อยู่ พวกลูกปลานี่ก็เอาหัวซุกเข้าไปในปล้องผักบุ้ง ปล้องละตัวสองตัว แน่นกันไปหมด เหมือนกับผักบุ้งยัดไส้ปลา ยังงั้นแหละ ฉันก็เร่งไฟขึ้นๆ น้ำเดือดผักสุก กลายเป็นต้มยำผักบุ้งยัดไส้ลูกปลารสชาติ วิเศษมาก ฉันได้นำอาหารที่คิดค้นขึ้นมาใหม่นี้ ให้เพื่อนฝูงกินกันอีก ทีนี้ติดใจกันใหญ่ ฉันก็เลยเที่ยวจับลูกปลามาทำแบบนี้อีก โอ๊ย ! มันตายเสียไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่


    การทำการทารุณกรรมสัตว์ประเภทวิตถารเช่นนี้ ไม่มีผู้คนคนไหนเขาทำกันหรอก ที่ทำกันมากๆ รวมทั้งฉันด้วย คือการทรมานสัตว์ด้วยวิธีต่างๆ เช่นจับสัตว์มาเลี้ยง ขังมันไม่ให้ไปไหน ขังมันจนเป็นง่อย อย่างเช่น ชะนี ฉันก็ผูกคอมันไว้ ล่ามไว้กับโซ่ อย่างดีก็ปล่อยให้มันห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ ที่จริงมันก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่มันเหมือนติดคุกตลอดชีวิต ติดจนตาย มันหิว บางทีก็ได้กิน บางทีก็ไม่ได้กิน เจ็บป่วยก็ตายไป นก ก็เหมือนกัน ฉันเด็ดปีก หักปีกมันออก แล้วเอาไว้ในกรง บางทีก็ผูกขาไว้ มันไปไหนไม่ได้ เดินวนไปเวียนจนตาย บางทีฉันก็ไม่ได้เด็ดปีก หักปีกมัน แต่ขังมันไว้เฉยๆ ไม่ปล่อยให้มันเป็นอิสระ ฉันทำอย่างนี้ตลอดมา ก็เพิ่งมานึกได้ตอนนี้แหละ
    ต่อมาฉันก็มีครอบครัว มีลูก การทำมาหากินของฉันคือ ทำนา จับงู จับกบ จับนกมาขาย ฉันจับนกกระจาบเป็นฝูงๆ เลย ใช้แห นี่แหละจับ อ้าปากแหไว้แขวนที่ต้นไม้ พอนกลงมา ก็ปล่อยแหลงมาคลุม นกก็ติดหมด ทีนี้กว่าจะเอาไปขายมันหลายวัน อดบ้าง จิกกันตายไปบ้าง ที่สาหัสหนักก็คือ ฝูงลิง ที่มากินผัก กินผลไม้ที่ฉันปลูกไว้ในตอนว่างทำนา ไม่รู้ว่ามันมาแต่ไหน มากันเป็นฝูงๆ มันรื้อหมด ไร่มะเขือเทศ ไร่ถั่วฝักยาว ผักต่างๆ กินเรียบ ฉันก็ใช้แห นี่แหละ จับมันอย่างนก


    ลิงนี่พอติดแหแล้ว มันแก้ไม่ได้หรอก ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง พอเอาลิงออกมาได้ทีละตัวๆ ฉันก็เฉาะมะพร้าวพอเป็นรูปเล็กๆ มะพร้าวทั้งเปลือกนะ บางทีก็สองสามลูกในพวงเดียวกัน พวกลิงมันเห็นรูมะพร้าวมันก็จะเอามือใส่ลงไปในรูมะพร้าวได้แล้ว มันก็กำมือถือเนื้อมะพร้าวไว้ พวกลิงนั้น พอมันจับอะไรได้แล้ว มันไม่ยอมปล่อยหรอก มันก็ถือเนื้อมะพร้าวกำไว้แน่น ทีนี้มือมันก็ใหญ่ขึ้นเป็นกำปั้น มันจีบนิ้วไม่ได้ก็เอามือออกไม่ได้ มือมันก็ติดในมะพร้าวนั่น เวลามันวิ่งไป ก็ติดเอาพวงมะพร้าวไปด้วย บางทีก็สามสี่ลูก บางทีก็เกือบทะลาย มันก็วิ่งไม่ไหว วิ่งช้าลงๆ ฉันก็กวดจับมันได้
    พอฉันจับลิงได้ ก็เอาไม้ส่งให้มัน มันก็โมโห ก็กัดไม้นั่นไป ไม่ปล่อย ทีนี้มือก็ติด ปากก็ติด ฉันก็เอาเชือกไปผูกมัน ผูกคอมันบ้าง ผูกที่เอวมันบ้าง ลากมันมาทั้งๆ ที่มือมันอยู่ในลูกมะพร้าว เอามา เอามาผูกเอวไว้กับเสาบ้าน ผูกแน่นไว้อย่างงั้นแหละ ไอ้พรรคพวกมันที่เหลือก็ไม่ลงมาอีก ส่วนเจ้าตัวที่ผูกไว้ เมื่อมันอดข้าว อดน้ำ อดอาหาร มันก็ตายแน่มันเป็นการทรมานสัตว์อย่างทารุณ ฉันเพิ่งมาสำนึก
    พูดถึงผลกรรม ฉันทำกับสัตว์ไว้มาก วันหนึ่งฉันวิ่งไล่จับงูบนคันนา ตัวโต เลื้อยเร็วมาก เผอิญเท้าฉันตกลงไปในปลักแห้ง กว้างยาวสักศอกเห็นจะได้ เห็นจะเป็นรอยตีนควายหลายๆ ตีนรวมกัน ฉันหกล้มข้อเท้าหัก แล้วตัวมันก็บิดไปอย่างไงก็ไม่รู้ เพราะวิ่งกวดงูอย่างสุดฤทธิ์ ที่ข้อเท้าดังกรุ๊ป ที่เอวก็ดังกรึ้บ ตั้งแต่นั้นมา ขาก็หัก ยกขาก็ไม่ได้ อัมพาตกินเลย ตั้งแต่เอวลงไป ฉันกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ก็หาหมอมารักษา ทำยังไงๆ ก็ไม่หาย ถึงกับต้องขายนาไปทีละแปลงๆ เอาเงินมารักษา นาที่พ่อแม่ให้ไว้ก็หมดลงๆ ลูกเมียก็ไม่มีอะไรจะกิน นอนอยู่กับบ้านนาน เห็นว่าไม่มีทางจะหายแล้ว ญาติพี่น้องลูกเมียจึงอุ้มฉันใส่เรือมาหาหลวงพ่อที่วัดนี่แหละ กระดูกหัก หลวงพ่อท่านรักษาให้ จนกระดูกจะติดแล้ว แต่ฉันก็ยังกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ขาทั้งสองข้างหนักเหมือนท่อนไม้ ไม่มีความรู้สึกร้อนเย็นเจ็บปวด หลวงพ่อท่านบอกว่า “เป็นอัมพาต กระดูกหลังหักจนแหลกหมด รักษาไม่ได้แล้ว เพราะเป็นโรคอันเกิดจากกรรม จากเวรที่ประกอบไว้ กรรมตามสนอง”
    ลูกเมียมาเยี่ยมระหว่างที่ฉันนอนรับการรักษาตัวอยู่ที่ใต้ถุนกุฏิหลวงพ่อ เงินทองที่มีก็หมดลง ลูกเมียจึงไม่สามารถจะมาหามาเยี่ยมบ่อยๆ ได้ นานทีถึงจะมาครั้งหนึ่ง หนักๆ เข้าไม่ค่อยมา เพราะรู้ว่านอนอยู่วัด มีกิน หลวงพ่อท่านเมตตาให้อาหารกินวันละสองเวลาบ้าง สามเวลาบ้าง เวลาจะถ่ายหนัก ถ่ายเบา ก็ถัดเอา เด็กๆ ศิษย์วัด ก็มาช่วยบ้าง เสื้อผ้าก็คนเมตตาบริจาคให้ ใครผ่านไปมา มาหาหลวงพ่อ ฉันก็ยกมือไหว้ ขอเงินเขา เขาให้ทานพอได้ปะทังไปวันๆ ฉันไปนอนที่ใต้กุฏิหลวงพ่อกว่า 10 ปี ตอนนั้นอายุร่วม 60 ปีแล้ว ขาลีบหมดสองข้าง งอโค้ง เหยียดไม่ออก ผมยาวเหมือนชีเปลือย ร่างกายผ่ายผอม ตอนใกล้จะตาย ฉันเจ็บ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เป็นไข้อย่างแรง ตรงหลังที่นอนกดกับกระดานอยู่ก็เน่า ส่งกลิ่นฟุ้งเหมือนศพ หลวงพ่อท่านเมตตา เอายาแก้ไข้ มาให้กิน ให้ลูกศิษย์ช่วยทาแผลใส่ยาให้ แต่เวรก็ยังไม่หมด หายจากโรคนั้น มาเป็นโรคนี้อีก


    ฉันนอนเจ็บอยู่เหมือนผีตายซากมีแต่กระดูก ตาแฉะ มีแต่ขี้ตา พอใกล้จะตายมันประหลาด ไม่รู้ว่าไก่วัด ไก่บ้านมาแต่ไหน มาเป็นสิบๆ ตัวมารุมจิกฉัน มันจิกที่ลูกตา ที่หน้า ที่ตัว ที่หู เจ็บปวดมาก ฉันร้องเสียงลั่น ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ศิษย์วัดมาจัดการมันก็บินไป ยิ่งไป พอสักประเดี๋ยวมันก็มาอีก ทีนี้มาทั้งฝูง แม่ไก่ ลูกไก่มาหมด มาก็มารุมจิกฉัน จิกไม่เลือกที่ เลือดฉันออกโทรมทั่วตัว เห็นจะเป็นเพราะฉันทำอะไรกับไก่ไว้มากก็ได้ พวกหมาก็มาเลียแผล มากัด แมลงสาบไม่รู้ว่ากี่พันพี่หมื่น มารุมแทะฉันเต็มไปหมดทั้งตัว พอค่ำมันก็มา มือฉันพอกระดิกได้ ก็ปัดแมลงสาบออกไป พอปัดไปมันก็มาอีก เห็นจะเป็นเพราะเมื่อก่อนฉันเห็นแมลงสาบเป็นไม่ได้ ฉันต้องกระทืบมันตายทุกตัว กระทืบเอาๆ มีเท่าไหร่กระทืบตายหมด ทีนี้ฉันยังไม่ตายเลย มันแห่กันมาเป็นร้อยเป็นพันตัว มาแทะฉัน มาซ้ำแผลที่ไก่จิกไว้ เข้าไปในปาก ในคอ เข้าไปกัดที่ลูกตา ที่ไหนๆ กัดหมด วันหนึ่งหลวงพ่อท่านลงมาเห็นเข้า ท่านสงสาร ท่านเอาอะไรก็ไม่รู้มาเสกๆ แล้วมาทาให้ ให้เด็กวัดนั่นแหละช่วยกัน พอทาหมดเรียบร้อย พวกไก่ก็มาอีก จะมาช่วยกันจิกตามเคย แต่มันคงได้กลิ่นอะไรสักอย่าง จากยาที่หลวงพ่อท่านทำให้ทา ยานั่นน้ำมันเสกของท่าน หอมเหมือนกลิ่นธูปแขก มันก็เลยถอยออกไป ไปตีปีกพั่บๆ ขันก้องแสบหู มันมาขันอยู่ใกล้ตัว เหมือนมาขันที่รูหู ทำนองคล้ายๆ จะเยาะเย้ย ฝ่ายเจ้าแมลงสาบ มาเหมือนกันมากันเป็นร้อยๆ ยกขบวนกันมา พอค่ำเป็นมา พอได้ยาหลวงพ่อทาให้ มันก็ไม่เข้าใกล้ บางตัวปีนขึ้นมา พอขึ้นได้มาหน่อยก็ลื่นตกลงไป หลวงพ่อให้เด็กเอาน้ำมาให้ฉันกิน ให้กรวดน้ำให้แก่สิงสาราสัตว์ทั้งหลายที่มีเวรมีกรรมต่อกัน ขออโหสิเสีย ท่านจะทำบุญภาวนาให้บนภุฏิของท่าน ฉันก็ทำตาม พวกไก่ พวกแมลงสาบหายไป ลดน้อยลง ถึงมาก็ไม่ทำอะไร มาวกๆ วนๆ รบกวนเฉยๆ แต่ทีนี้เกิดมีลิง ไม่รู้ว่ามาแต่ไหน พอดึกหน่อยเป็นมา มาก็มารุมกัด ฉันร้องโอ๊ยเสียสุดเสียง มันมากันไม่รู้เท่าไหร่ คะเนว่าสักสิบยี่สิบตัว มาถึงก็มากัดๆ แล้วก็วิ่งขึ้นต้นมะพร้าวไป ลิงนี้ไม่มาทุกวัน ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน มาจากไหน ปกติที่วัดไม่มีลิง มีแต่สัตว์เลี้ยง พอได้ยินเสียงร้อง หลวงพ่อท่านก็ลงมา ท่านพูดกับลิงอย่างไรไม่ทราบ ลิงแยกเขี้ยวยิงฟัน แล้วเดินบ้าง วิ่งบ้าง หนีไปหมด ตัวฉันตอนนี้ก็มีแต่แผลเปื่อยไปทั้งตัว แผลหมากัด แผลไก่จิก แผลลิงกัด แผลแมลงสาบแทะ น้ำเหลืองไหล เลือดกรังไปหมด เช้าวันหนึ่งหลวงพ่อลงมาเอาน้ำข้าวมาให้ฉันดื่มฉันนั้นไม่มีแรงจะยกถ้วยอยู่ แล้ว ท่านก็ให้ลูกศิษย์ช่วยยกให้ดื่ม แล้วท่านให้ฉันรับศีล ฉันก็น้อมใจนึกถึงความเมตตากรุณาของท่าน แล้วก็รับศีล 5 นี่แหละพอรับเสร็จ ก็ปฏิญาณว่า............ “ไม่ว่าเกิดชาติใดฉันใด จะขออยู่ในพระพุทธศาสนา จะเป็นพุทธมามกะอย่างเคร่งครัด ขอปฏิบัติตามเบญจศีลจนชีวิตจะหาไม่”



    พอปฏิญาณเสร็จ หลวงพ่อก็ให้ฉันรู้อานิสงส์ของศีลว่า.......
    ศีลเป็นทางให้เกิดความสุข ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใดภพใด ศีลช่วยให้มีทรัพย์ ยิ่งไม่อดอยาก มีโภคทรัพย์ อุดมสมบูรณ์ และศีลอาจจะทำให้ถึงความดับสูญสิ้น นิพพาน
    ฉันน้อมรับโอวาทของท่าน ความเจ็บปวดต่างๆ ค่อยๆ บรรเทาลง ฉันหลับ หลับสนิท หลับอย่างไม่รู้ตัว อย่างไม่มีวันตื่น และแล้วก็มาพบพวกเราที่นี่ ณ บัดนี้แหละ”
    และนี่คือคำสารภาพของ นายบุญ “ง่อย” ที่วิญญาณกำลังจะต้องลำบากต่อไปอีกนานเท่านาน ในชาติที่เป็นมนุษย์ ครั้งสุดท้ายแกก็รับวิบากอยู่แล้ว คือ เป็นง่อย เพราะความที่แกทารุณทรมานสัตว์ แม้ในชาติก่อน ตามที่วิญญาณแกสารภาพ แกก็ทำสารพัดบาป สารพัดทรมานสัตว์ พอเกิดมาแล้ว ก็ยังมีกรรมต่อเนื่องติดมาอีก ตามที่ผมได้เรียนท่านผู้อ่านมาแล้วว่า ทั้งหมดนี้หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังนิดเดียว เฉพาะในชาตินี้ของนายบุญเท่านั้นที่ทารุณสัตว์ต่างๆ ท่านเอ่ยว่า “แม้ในชาติก่อนก็คงจะทรมาน ทารุณสัตว์ไว้แยะ อย่างแมลงสาบอย่างนี้ ลิงและสัตว์ต่างๆ”



    หลวงพ่อท่านได้อ้างในชาดก ในพระสูตรว่า.........
    “ในสมัยครั้งพุทธกาล เกิดมีพระภิกษุง่อย พิการเกิดขึ้น พระสาวกประชุมกัน ถกเถียงกันถึงเรื่องนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระภิกษุง่อยผู้นี้ จะได้เป็นง่อยแต่เพียงชาตินี้ก็หาไม่ แม้ชาติก่อนเธอก็เป็นง่อยอยู่ พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ด้วยเหตุไรพระสาวกรูปนี้จึงมีอาการเห็นปานนี้”
    พระพุทธองค์ทรงตอบว่า “เป็นผลแห่งกรรม วิบากที่ตามมา อันเนื่องจากพระภิกษุรูปนี้ได้ทรมานสัตว์ต่างๆ ไว้ในชาติปางก่อนมาก กักขัง ทรมานทารุณสัตว์ต่างๆ มาก จึงได้รับกรรมเห็นปานนี้” หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังอย่างนั้นและสันนิษฐานว่า กรรมที่ทำต่อเนื่องมาจากชาติปางก่อน เช่น ทรมานไก่ ทรมานลิง มีจิตปาณาติบาต ต่อแมลงสาบ และสัตว์ต่างๆ ในชาตินี้ด้วย มันก็หนีกรรมไม่พ้น ต้องเป็นง่อย ทนทุกข์ทรมานต่อเนื่องมาจนชาติภพนี้ ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “เราจะพ้นบาปกรรมอันเนื่องมาจากการปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทรมาน ทารุณสัตว์ต่างๆ นี้ได้อย่างไร”
    ผมเกิดความกลัวขึ้นมา เพราะเมื่อเด็กๆ วัยรุ่นๆ ผมชอบยิงนก ตกปลา ช้อนปลาในบ่อ ยุให้หมากับแมวกัดกัน แบบเด็กๆ ที่ซนๆ ท่านตอบว่า..... “เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าไปทำมันซิ อย่าไปทำอีก แผ่เมตตาให้สัตว์ร่วมโลก ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป็นสุขๆ อย่ามีเวรมีภัยต่อกันเลย ผูกไมตรีทางจิตไว้ด้วยเมตตา”
    ผมชอบคำนี้มาก คือคำว่า “ผูกไมตรีจิตไว้ด้วยเมตตา ภัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ไม่มี”



    หลวงพ่อเองไม่ธุดงค์ทุกปี ประสบกับสัตว์ร้ายนานาชนิด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะท่านผูกไมตรีทางจิตกับสรรพสัตว์ทั้งหลายถ้วนหน้านั่นเอง เมื่อมันไปแล้ว ก็แผ่ส่วนกุศล อุทิศส่วนกุศลให้เขา ขออโหสิกรรมเสีย เวรต่างๆ ก็อาจจะบรรเทาเบาบางลง อย่างน้อยก็ทุกข์ทางใจก็ลดลง ไม่พะวักพะวนถึงบาปกรรมที่ทำไว้ เพราะความประมาท ขาดความยั้งคิด ทำไปเพื่อความสนุกสนานชั่วแล่น สุขสนุกสนานบนความทุกข์ของผู้อื่น เมื่อเราคิดได้เราก็หยุด พร้อมกันก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเจือจานแก่ทุกๆ ชีวิตที่เราพบ แผ่เมตตาผูกไมตรีไว้ด้วยจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา และอโหสิ แม้มดจะกัด ผึ้งจะต่อย เราไม่ทำอันตรายแก่ชีวิตเขา ต่อไปสัตว์เหล่านี้ แม้สัตว์ใหญ่เขี้ยวงา ก็ไม่อาจจะทำอะไรเราได้
    ดูแต่ช้างนาฬาคีรี ที่ตกมัน ที่เทวทัตปล่อยมาให้ทำร้ายพระพุทธองค์ยังทรุดกายลงนั่งถวายบังคมแทบพระบาท เพราะความเมามันนั้น สยบลงได้ด้วยพระมหากรุณา พระเมตตาของพระองค์ท่าน ความเมตตาที่พระองค์ทรงมีอยู่ แม้ทุกวันนี้ก็ยังปกป้องมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา ขอแต่เพียงให้เราน้อมระลึกถึงพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ย่อมจะคลาดแคล้วอันตรายทั้งปวง โลกที่อยู่ทุกวันนี้ เพราะเมตตาค้ำจุนอยู่ ถ้าโลกไม่มีเมตตาแล้ว ทั้งคนและสัตว์ในจักรวาลนี้คงไม่มีเหลือ คงสาบสูญไปเหมือนสมัยดึกดำบรรพ์นั่น ผมกราบเรียนถามท่านอีกว่า “การที่นายบุญเป็นง่อยนั้นน่ะ เป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ หรือกรรมแต่ปางก่อน” หลวงพ่อท่านกรุณาอธิบายว่า..... “เปรียบเหมือนคนกระหายน้ำ คอยน้ำขึ้นอยู่ที่ท่า พอน้ำขึ้นก็มาตักใส่ตุ่ม ตักตุนไว้ เผื่อต่อๆ ไปกระหายน้ำก็จะได้ดื่ม ได้กิน ทีนี้พอเหนื่อยก็หยุด ตักได้แค่ไหน มันก็แค่นั้น เช่น ตักได้ ครึ่งตุ่มแล้วหยุด มันก็ได้ครึ่งตุ่ม การที่หยุดนั้นเปรียบเหมือนชีวิตที่ดับ หมดโอกาสที่จะตักตวงต่อไป พอหายเหนื่อยก็ตักใหม่อีก คือตื่นขึ้นมาเปรียบเหมือนเกิดมาอีกครั้ง น้ำก็ยังอยู่ครึ่งตุ่ม เราตักอีกไม่เท่าไหร่ก็เต็ม ได้อาบ ได้กิน ชุ่มชื่นตลอดไป ก็เหมือนกับ บุญ อันเราสะสมไว้ครึ่งตุ่มหรือเต็มตุ่ม เราก็ได้ดื่มได้กิน ผลบุญนั้นในชาติภพต่อไป
    บาปหรืออกุศลกรรม ก็เช่นกัน มันเหมือนตักอาจมหรืออุจจาระไว้ในตุ่ม พอเหนื่อยก็หยุด หายเหนื่อยก็ตักอาจมต่อ มันจะได้ประโยชน์อะไรที่ไหน ชาติก่อนทำบาปทำกรรมอยู่แล้ว ชาตินี้เกิดมายังไม่ละเว้น ทำบาปต่อไปอีก ก็จะได้แต่อาจมจนเต็มตุ่ม หาประโยชน์อะไรมิได้ ฉันใด ชาติก่อนแกคงจะทำบาปไว้แยะ พอมาชาตินี้ สันดานเดิมมันเกาะติด ก็ทำบาปต่อไปอีก ก็เหมือนตื่นขึ้นมาจากการตักอาจมแล้ว ก็มาตักอาจม คืออกุศลต่อไปอีก มันก็เป็นเช่นนี้ ส่วนแกจะรับบาป รับกรรม รับวิบาก หนักหนาปานใดนั้น จิตวิญญาณของแกเท่านั้นที่จะทราบ เราไม่อาจจะทราบได้” หน้าที่ของเรามีอย่างเดียว คือ..... “แผ่เมตตา” ไว้เท่านั้น ก็จะประสบแต่ความสุข ไม่มีใครมารังแก เบียดเบียน จิตที่เปี่ยมด้วยเมตตานั้น เป็นจิตของชนชั้นพรหม หลวงพ่อท่านกล่าวในที่สุด..... ผมก้มลงกราบ พร้อมกับแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั่วโลกทันที ขอให้สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนร่วมเกิด ร่วมทุกข์ ทุกวันนี้ จงเป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน อย่ามามัวตักอาจมใส่โอ่ง ใส่ไหอยู่เลย จงหยุดตักอาจมนั้น แล้วตักน้ำบริสุทธิ์ไว้อาบ ไว้กินตลอดทุกชาติเถิด



    ที่มาหนังสือ:[FONT=&quot]คำสารภาพของ[/FONT][FONT=&quot] “วิญญาณบาป”
    [/FONT]

    [FONT=&quot]-----------------------------------------------------[/FONT]
    http://palungjit.org/threads/ธรรมโอวาท-ของ-หลวงปู่มั่น-ภูริทัตตเถระ-เรื่อง-การพิจารณากาย.542343/
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0in 5.4pt 0in 5.4pt; mso-para-margin:0in; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2015
  2. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    สาธุคะ หลวงพ่ออ่ำ วัดวงศ์ฆ้อง ในความเมตตาต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย แรกๆอ่านก็สงสารนาย "บุญ" พออ่านกรรมต่างๆที่เค้าก่อที่ทรมานสัตว์ต่างๆ ก็รู้สึกกรรมที่เค้ารับยังน้อยไป เมื่ออ่าน และรับรู้ถึงความเมตตาของหลวงพ่อ จิตเรา "ซอพท์" ลง ยิ่งพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้า กรรมของใครของมัน ไม่ควรไปยุ่งในกรรมของใคร จิตเรายิ่งสงบลง ดูที่ตัวเราก่อนหนา รักษาศีลให้ดี เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริสงฆ์ มีเมตตา ให้อภัยกัน เราคงเป็นมนุษย์งามๆคนหนึ่งได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...