คุณ MindSoul1 กำลังไปนำเอาสภาวะของใครมาดัดแปลงหรือเปล่าครับ สภาวะด้านบน ก็บอกอยู่แล้วว่า "ประหารกิเลส"ไปเรียบร้อย ถอนขึ้นจากอุปทานเสร็จ "จบกิจ" ส่วนสภาวะด้านล่าง ย้อนกลับมาเป็นสภาวะ "โสดาบัน" พิจารณาดูครับ และจิต(สัตว์)ที่ว่า หมายถึงอะไรครับ? หมายถึง จิตที่เป็นวิญญาณ(ขันธ์) หรือ จิตที่ว่าเป็นธรรมชาติเดิม ก่อนจะไปยึดขันธ์ ทำให้ต้องเวียนว่ายอยู่ หรือ อื่นๆ ครับ เข้าใจให้ตรงกันก่อนผมจะอธิบายต่อครับ ว่าทำไมผมถึงได้จี้ไปตรง "อาการของจิตขณะเห็นธรรม"
เป็นสภาวะที่เกิดกับเราเองทั้งสิ้น ใครจะเข้าใจว่าอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของท่าน เราขอจบเรื่องนี้ไว้เท่านี้ เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทีนี้กรณีที่บอกว่า เห็นขันธ์ ๕ ดับแบบมีสติบริสุทธิ์อยู่อะไรเนี่ย ความเห็นทำนองนี้ มาจากพื้นฐานความเชื่อลึก ๆ ที่สืบทอดกันมาว่า วิญญาณเที่ยง พอความเชื่อลึก ๆ อย่างนี้มันมีอยู่ ปฏิบัติไป ๆ พอสติพอสมาธิมันเริ่มตั้งมั่นขึ้นมา เห็นภาวะการทำงานของขันธ์ ๕ ได้ชัดเจน รูปนามปรากฎตามความเป็นจริง มักจะคิดเห็นแต่เฉพาะหน้าว่า นั่นรูปนามเกิดดับให้ดูแล้ว แต่ลืมไปอย่างหนึ่งว่า ใครหนอเป็นผู้รู้ความเกิดดับเหล่านั้นอีกที ความเชื่อเรื่องวิญญาณเที่ยง ยังทำให้แยกความเป็นผู้รู้ ออกมาจากรูปนามอย่างสนิทใจ เพราะคิดว่าผู้รู้รูปนามเป็นคนละส่วนกับรูปนาม ผู้รู้นี่แหละเป็นของเที่ยง รูปนามไม่เที่ยง ผู้รู้เที่ยง สอดรับกับสัญญา ความเชื่อที่มีอยู่เดิมว่า วิญญาณเที่ยงมีอยู่นั่นเอง พอมีวิญญาณเที่ยง ก็ต้องมีภพเที่ยงเป็นที่รองรับต่อไปตามมานั่นเอง ดังนั้นถ้าจะทำลายสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดตรงนี้ ก็ต้องทำความเห็นให้ถูกตรงตั้งแต่แรกเสียก่อนว่า มนุษย์อย่างเรา ๆ นี่ไม่มีอะไรพ้นการทำงานของขันธ์ ๕ ไปได้เลย ปัญญาความรู้ทั้งหลายยกให้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยขันธ์ ๕ อาศัยโลกเขาไปเถอะ ถ้าเห็นโลกตามความเป็นจริงในความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาได้เมื่อไหร่ เห็นโลกมีความเกิดดับเป็นธรรมดาได้เมื่อไหร่ ความเห็นว่า โลกนี้ช่างตระการตาดุจราชรถก็จะเปลี่ยนไปเอง ค่อย ๆ เห็นโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น ๆ เลิกหลงโลก อยู่อย่างผู้มีสติรู้โลกตามความเป็นจริงมากขึ้นแทน ประมาท/ไม่ประมาทสติจะคอยตักเตือน หิริโอตตัปปะจะตามมา คุณธรรมทั้งหลายจะค่อย ๆ ตามมา ความรู้จักผิดชอบชั่วดีจะตามมา เห็นหนทางพ้นทุกข์แล้ว ก็มุ่งตรงต่อความหลุดพ้นพ้นทุกข์อย่างแท้จริงโดยสถานเดียวนั่นเอง ก็ลองค่อย ๆ พิจารณาดูเอา ขาดตกบกพร่องตรงไหน ช่วยได้ก็ช่วยกันไปน่ะครับ
มีครับ มีประโยชน์ต่อผู้ไม่รู้มากเลยโดยเฉพาะนักศึกษาอย่างผม..ไม่มีใครต่อว่าท่านผิดหรอกเพียงอยากรู้ให้แจ่มชัดครับ อย่าน้อยใจไปเลยครับ..
ผู้รู้จะเที่ยงได้อย่างไร. สัพเพธรรมาอนัตตา. ผู้รู้รู้ในสื่งที่เกิดดับผู้รู้ก็ดับไปกับสิ่งที่ดับไปนั้นแหล่ะ. ถ้ายังมองไม่เห็นว่าผู้รู้(วิญญานขันต์)ดับไปพร้อมกับสิ่งที่ถูกรู้ก็จะถึงธรรมได้อย่างไร
ตามตำราปกิจสมุปปบาท ตัวรู้ เกิดจาก คิดไม่ถึง คิดเกินเลย สองตัว ทำการแบบโออิชิเย็น เย็น มัยเย็นไม่ถีง จะเย็นเกิ้น ทำการบาล้าน กันทำให้เกิด คิดว่ารู้ รู้ว่าคิด แต่ตัวของมันมี กำลังไม่ปราณีตพอ มันจะมีทะยานอยากจะไม่รู้ด้วย ถ้าเราพยายามค้นทะยานอยากที่จะไม่รู้ เราจะพบธรรมชาติของตัวรู้ ทะยานอยากที่จะรู้อันนี้หาง่ายกำหนดจิตก็รู้เลยมันง่าย แต่ทะยานอยากที่จะไม่รู้ อันนี้ยาก ปรกติคนคิดว่าตัวรู้นี้แหละเป็นที่พึงอันประเสริฐ ถ้าเราเอามันไปรู้ อริยะสัจจะหนะประเสริฐ ตัวรู้จะปรกอบด้วยคิดเกินเลย กะคิดไม่ถึง เชื่อมโยงกันไว้ด้วยราคะ P(คิดเกินเลย/คิดไม่ถึง)=P(คิดไม่ถึง/คิดเกินเลย)+P(คิดเกินเลย))/P(คิดไม่ถึง) เราจะพบความน่าจะ maybe ในตัวรู้ เอาเป็ฯที่พึ่งไม่ได้นะ ตัวรู้มันคือน่าจะ maybe ไม่ชัวร์
ดูคิด ปราณีตกว่าดูรู้ วิญญาณัญจายตนะ คือคิดชนิดหนึ่ง อุเบกขาธรรมก็คือคิดชนิดหนึ่ง ถ้ามีอุเบกขาธรรมเมื่อไหร่ เชื่อดิมีอีกตัวแน่ๆ เนวสัญญานาสัญญาก็คือคิด วางเฉยก็คือคิด ถ้าการกุดด้วนไปของคิดจะมี เพราะตัวรู้หนะมันแขยงทุกข์ มันสะบัดตัวดิ้นหนีคิดเกินเลย กะคิดไม่ถึงพ้น
ผมเป็ฯฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ใช้เทกติกนี้ คือให้พระพันวะสาประหารวันทองให้ สัตว์(คิดเกินเลย)->สัตว์(คิดไม่ถึง) ฝูกโยงกันไว้ transmit ด้วยฉันทะกะราคะ เรายืมแรงศัตรูเรา ทำปฏิฆะ ตอนเราพิจารณาลมหายใจ ลดเป้าลง ศัตรูเราหรือพระพันวะสาจะปรหาร สัตว์คือนางวันทองได้แค่ที่ละหนึ่งคิด เราซึ่งถูกอวิชชาครอบงำอยู่จะรู้จะตื่นขึ้นมา เพราะ หนึ่งในคิดที่อุปปาทานไว้ จะโดนประหารหลุดไป พระนารายณ์ขว้างจักรเฉาะให้เรา แต่ถ้าเป็ฯฌานโลกุตระ จริงๆแล้วผมไปไม่ถึงหรอก อาสํยมีท่านผู้รู้แนะนำ ฌานโลกุตระให้อุทิศกุศล หนึ่งในคิด คือคิดไม่ถึง กะคิดเกินเลยจะฟุ้ง มันจะฟลุดจากกันเพราะมันฟุ้งได้แค่ที่ละตัว
นั่นแหละ คือ นิมิต นิมิตใดที่ทำให้จิตรวมเป็นอารมภ์เดียวได้ พระพุทธเจ้าให้ถือนิมิตนั้นไว้ให้มั่นคง จะนิมิตไหนๆ ก็ได้ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงนี้แหละ เพื่อจะทำภารกิจไปสู่ นิพพาน คิดว่า จะจบด้วย อภิญญา6 หรือ โลกุตตระ?
นามรูปดับสนิทไม่มีส่วนเหลือเพราะวิญญาณดับ วิญญาณดับ เพราะสังขารดับ สังขารดับ เพราะอวิชชาดับ ของคุณบิ๊กวิญญาณโผล่ ไม่สงสัยอะไรบ้างเลยเหรอ ลองพิจารณาดูดี ๆ ครับ รูปนามดับทำไม ความรู้ยังเด่นอยู่นั่น อันนี้เขาไม่เรียกว่า รูปนามดับ เพราะถ้ารูปนามดับจริง โลกก็ดับ เพราะมนุษย์เราอาศัยขันธ์ ๕ รู้โลกไง แยกรูปแยกนามผิดฝาผิดตัวรึป่าวเท่านั้นเอง ทีนี้ถ้ารู้โลกดับจริง ก็ไม่ต้องเสียเวลาอ้างคำพูดใคร เพราะตัวเองเป็นพยานให้ตัวเองอยู่แล้ว..
รูปนามดับนั้น คือรูป1นาม4เหลือตัวจิตหรือวิญญานล้วนๆตัวนี้ดับไม่ได้ครับดับก็ตาย. ตัวนี้แหละครับคือตัวรู้รู้ทุกอย่าง
กั๊กๆ เขามีแต่ ตามเห็น วิญญาณดับได้ชัดๆ วิญญาณไม่เป็นอาหารแก่ตัววิญญาณเอง จนแจ่มแจ้งใน " ปฏิสนธิวิญญาณ " เห็น รอบครอบทุกปัจจัยในการ ตั้งขึ้นของ วิญญาณ ก็จะทราบว่า ตัวนี้ดับ ก็คือ หยุดการเกิด การตาย ไม่มีเรื่องเกิด เรื่องตาย เพราะนั่นคือ สัญญาวิปลาส จิตเป็นเพียงธาตุ เกิดตามเหตุปัจจัย เท่านั้น เว้นจากปัจจัย (คือ วิญญาณอาหาร การถือมั่นว่าวิญญาณคือสิ่งเกิดตายเยี่ยงสัตว์) เสียได้ วิญญาณก็ไม่ตั้งขึ้นอีก อุปาธิ หมด หรือยังมี เหลือเท่าใด วิญญูชน ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง ผู้สำคัญว่าจิตเที่ยงอยู่ รู้เยี่ยงนี้ไม่ได้
จิตก็เกิดดับตามปรกติของกันนั้นแหละครับ. แต่ตอนที่ปรากฏการแยกรูปนามนั้นจิตจะเป็นตัวรับรู้เรื่องราวของวิมุติ จิตรับรู้ทำเสร็จกิจก็ดับตามเหตุปัจจัยล่ะครับ
คุณคร้าบ นิพพาน เป็น รูปธรรม หรือ นามธรรมคร้าบ นิพพาน คือ จิต หรือ วิญญาณ เหรอฮับ งมโข่งด้วย มิจฉาทิฏฐิ ตั้ง สิ่งหนึ่งเที่ยง แทนที่จะ ปล่อย แล้ว จะข้ามฝากได้หรือขอรับ อยาตนะ6มันมีพรั่งพร้อมในวิญญาณ6 ใช่ไหมฮับ อยาตนะ6มีในนิพพาน ไหมฮับ ดับอยาตนะ6 ไม่ได้ อย่าไปพูดบอกใครเขาว่า เป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคาลดชั้นเพราะตบหัวหมา
โอ้..ถ้าตัวกูของกูนี้ไม่ดับซะแล้ว ก็ยากที่จะเข้าใจความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงได้น่ะครับ ตายไม่ต้องกลัว ให้มันตายไปข้างนึงเลย..