น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พุทธทาสศึกษา<O:p</O:p
    http://buddhadasa.in.th/index_main.php
    <O:p</O:p
    สถิติผู้เข้าชม นับจากวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
    ทั้งหมดจำนวน 365,096 ครั้ง

    (29 ม.ค.2551)

    ..................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2008
  2. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ท่าน มหาหิน ต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือครับ ??
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    คน (ไม่ได้หมายถึงมนุษย์) ที่พูดว่า "บางส่วนของพระไตรปิฎก คือ ขยะ" (ข้อความอาจไม่ตรงเท่าไหร่ เพราะขี้เกียจขึ้นไปค้น แต่ความหมายตรงตามนี้)

    อยากถามว่า "คน" คนนี้เป็นชาวพุทธหรือไม่

    และหาก "คน" ผู้นี้เป็น "พระ" ก็งงกับสรรพนามทีใช้ ไม่รู้จะ "ผม" หรือ "อาตมา" เลือกเอาสักอย่างก็ได้ครับ หรือว่าสับสนกับ Accout ที่ใช้

    คนที่ไม่เคารพ และสงสัยในพระไตรปิฏก รวมทั้งกล่าวว่า "ถ้าพระพุทธจ้าแสดงฤทธิ์ได้จริง ป่านนี้ทั้งโลกคงมานับถือพุทธศาสนากันหมดแล้ว" ก็คือไม่เคาระพระพุทธเจ้าครับ สมควรบัญญัติศาสนาของตัวท่านขึ้นมาเองได้แล้วครับ

    ผมตอบแทนชาวพุทธเลยนะครับว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่แสดงฤทธิ์ นั่นเพราะ พระองค์สอนไว้ใน "พระไตรปิฎก" ว่า

    "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ ใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว"

    หากทุกคนนับถือศาสนาพุทธทั้งโลกจะมีประโยชน์อะไร หากชาวพุทธที่ "ไม่เคารพพระรัตนตรัย" และมี "มารศาสนา หรือ อลัชชีมากมายเหมือนในปัจจุบัน"

    ขอโม้นิดนึงนะครับ พอดีผมได้ A ตรรกศาสตร์ เลยขออธิบายว่า
    - พระ ศึกษา ธรรมะ จากพระไตรปิฏกจริงหรือเปล่าครับ
    - เราสืบทอดพระพุทธศาสนามาจากพระไตรปิฎกมากว่า 2,500 ปี จริงหรือเปล่าครับ
    - พระที่เกิดในช่วงปี 2400 - ปัจจุบัน ก็บวชเรียนเพื่อศึกษาพระไตรปิฏกจริงหรือเปล่าครับ
    - อาจารย์ของบางคนเป็น พระ ก็หมายความว่า บวชในพระพุทธศาสนา และศึกษาพระไตรปิฎกจริงหรือเปล่าครับ
    - การศึกษาพระไตรปิฏกและบอกว่า "ผิด" เพราะตนเองทดสอบแล้วทำไม่ได้ แต่พระรูปอื่นทำได้ แสดงว่า ตัวท่าน "ถูก" แต่พระรุปอื่นที่ได้ทำมากว่า 2,500 ปี ผิดเหรอครับ
    - ศิษย์บางคนศึกษาจากอาจารย์ แต่อาจตีความในสิ่งที่อาจารย์พูดในทางที่ผิด ก็เลยเชื่อในทางที่ผิด เรื่องนี้ถือว่า ศิษย์หรืออาจาย์ที่ผิดครับ
    - ศิษย์บางคนอ้างหลักกาลามสูตร 10 แต่อาจารย์สอนอะไรเชื่อ แม้คำสอนบ้างส่วนอาจจะขัด (ไม่รู้ว่า ศิษย์บอกเองหรือเปล่าว่าขัด) ก็เลยเชื่อโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณา อันนี้ถือว่าใครผิดครับ
    - ถ้าศิษย์ทำให้อาจารย์เสียชื่อเพราะตีความผิด ศิษย์จะละอายใจต่ออาจารย์หรือเปล่าครับ
    - ถ้าอาจารย์ถูก ศิษย์เชื่อ แต่ขัดกับพระไตรปิฏกก็ควร ต่อสู้เพื่อรักษาคำสอนของพระพุทธองค์ จริงไหมครับ (หมายถึงสู้ในที่แจ้งนะครับ)
    - ถ้าอาจารย์และศิษย์ไม่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ก็ไม่ควรจะนับถือศาสนาพุทธจริงไหมครับ เพราะพระรัตนตรัย คือสิ่งประเสริญสุดสำหรับชาวพุทธ
    - เมื่อท่านอ่านทุกข้อแล้ว ถ้าท่านคิดว่าตัวท่านถูกก็ควรจะ "สึก" และไปประกาศศาสนาใหม่ดีไหมครับ

    ปล. ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่ทุกศาสนาก็มีคนไม่ดี
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 2

    พระพุทธเจ้า สอนอะไร?

    <O:p</O:pในปัจจุบัน หลักธรรม หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้น ได้ถูกแต่งเติมขึ้นมาอย่างมากมาย ซึ่งมากมายเสียจนผู้ที่สนใจจะมาศึกษา เกิดความท้อแท้ที่จะศึกษา ซึ่งความจริง แล้วหลัก อันเป็นหัวใจของคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า นั้น ก็คือ เรื่องการดับทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ที่หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ อันได้แก่
    <O:p</O:p
    ๑. ทุกข์ ซึ่งก็คือเรื่อง ความทุกข์ของจิตใจมนุษย์<O:p</O:p
    ๒. สาเหตุของทุกข์ ซึ่งสรุปอยู่ที่ความยึดถือว่ามีตัวเรา-ของเรา<O:p</O:p
    ๓. ความดับลงของทุกข์ ซึ่งเป็นความสงบเย็นขณะเมื่อจิตไม่มีทุกข์(นิพพาน<O:p</O:p
    ๔. วิธีการดับทุกข์ ซึ่งสรุปอยู่ที่การทำจิตให้ว่างจากความยึดถือว่ามีตัวเรา-ของเรา

    หลักอริยสัจ ๔ นี้เป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง(ตรัสรู้) <O:p</O:p
    ซึ่งถ้าเราสามารถเข้าใจหลักอริยสัจ ๔ นี้ ได้อย่างถูกต้องแล้ว เราก็จะเข้าใจหลักคำสอนที่เหลือทั้งหมดของพระพุทธเจ้าได้เอง

    <O:p</O:pดังนั้น ก่อนอื่น เราอย่าเพิ่งไปสนใจกับคำสอน หรือเรื่องราวอื่น ๆ ว่า จะเป็นของจริง หรือปลอม หรือมีจริง หรือไม่? อย่างไร? แต่ขอให้เราสนใจศึกษาหลักอริยสัจ ๔ นี้ อย่างจริงจังก่อน เป็นอันดับแรก

    <O:p</O:pดับทุกข์ที่ไหน ? เมื่อไร?<O:p</O:p
    หลักอริยสัจ ๔ นี้แท้จริงก็คือ
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 3

    วิทยาศาสตร์ คืออะไร?

    วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่เกิดจาก การศึกษาสิ่งที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ โดยไม่เชื่อจากใคร ๆ และไม่ใช้การคาดคะเน ซึ่งวิทยาศาสตร์จะเป็นการศึกษา โดยใช้เหตุ ใช้ผล และมีการทดลองปฏิบัติ จนบังเกิดผลขึ้นมาอย่างแน่ชัดแล้ว จึงตั้งเป็นทฤษฎี หรือหลักการขึ้นมา ซึ่งมันก็ตรงกับหลักดั้งเดิม ในเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้าที่สอน ให้เราใช้เหตุผลในการศึกษา และสอนไม่ให้เชื่อจากใคร ๆ ทั้งสิ้น แม้ในพระพุทธองค์เองก็ตาม แต่ให้เชื่อจากการที่เราได้พิสูจน์ ทดลอง จนประสบผลจริง ด้วยตนเองแล้ว เท่านั้น

    <O:p</O:pดังนั้น อันดับแรกผู้ที่จะศึกษา จึงต้องเปิดใจให้กว้าง ทดลองปล่อยวางความเชื่อเก่า ๆ ที่ขัดแย้ง หรือตรงข้าม กับหลักวิทยาศาสตร์นี้ ลงก่อนชั่วคราวก่อน แล้วทำใจให้เป็นกลาง ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และตั้งใจศึกษาพิจารณาเรื่องเหล่านี้ ด้วยเหตุด้วยผล โดยไม่ลำเอียง เมื่อศึกษาจนจบแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ผู้ศึกษาจะตัดสินใจเอง ว่า ควรจะใช้แนวทางใด ในการศึกษา และปฏิบัติ เพื่อดับทุกข์

    <O:p</O:pจะเชื่อได้อย่างไร?

    พุทธศาสนา เป็นศาสนาประเภทที่สอน ให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ คือ พระพุทธเจ้าจะสอนไม่ให้เชื่อจากการฟังมา, จากเห็นเขาทำตามๆกันมา, จากคำล่ำลือ, จากตำรา, จากเหตุผลตรงๆ(ตรรกะ), จากเหตุผลแวดล้อม(ปรัชญา), จากที่มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่, จากสามัญสำนึกของเราเอง, จากบุคคลที่ดูภายนอกแล้วน่าเชื่อถือ และ แม้จากครูอาจารย์ของเราเอง

    <O:p</O:pต่อเมื่อได้รับรู้หลักการใดมา ก็ให้เอามาพิจารณาดูก่อน ถ้าเห็นว่ามีโทษ ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าไม่มีโทษ และมีประโยชน์ก็ให้เอามา ทดลอง ปฏิบัติ ดูก่อน ถ้าปฏิบัติแล้ว ทุกข์ไม่ดับลงจริง ก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกัน ต่อเมื่อทดลองปฏิบัติดูแล้ว ได้รับผลเป็นความดับลงของทุกข์จริง จึงค่อยเชื่อ และปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป

    <O:p</O:pหลักความเชื่อนี้ จะช่วยป้องกัน ไม่ให้เราเกิดความเชื่อที่งมงาย หรือผิด ที่ดับทุกข์ไม่ได้จริง ถ้าหากบังเอิญเราไปพบกับคำสอนที่ผิด และเราเชื่อมั่นในคำสอนที่ผิดนั้นเข้า ก็จะทำให้เราเสียโอกาสที่จะได้พบกับคำสอนที่ถูกต้องไปตลอดชีวิต อย่างน่าเสียดาย

    <O:p</O:pความจริงแล้ว การศึกษา และปฏิบัติ เพื่อดับทุกข์ตามหลักพุทธศาสนา นี้<O:p</O:p
    ก็เปรียบเหมือนกับ การค้นคว้าหาความจริงในเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง ของนักวิทยาศาสตร์ นั่นเอง คือ การสอนของพระพุทธองค์ นี้ ก็เป็นเพียงแค่การชี้แนะแนวทางให้เท่านั้น ไม่ได้บังคับว่า จะต้องเชื่อ ผู้ที่ศึกษาก็เพียงนำหลักการนี้ ไปทดลอง ปฏิบัติดู ถ้าได้ผลก็ให้ปฏิบัติต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ผลก็ให้ละทิ้ง

    <O:p</O:pถ้าเราศึกษา และทดลองปฏิบัติตามวิธีการ หรือแนวทางต่าง ๆ มาจนหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล ก็ให้เราเปลี่ยนมาค้นคว้า ศึกษา จากจิตใจของเราเอง ด้วยการทดลองปฏิบัติตามหลักการ ที่เราคิดค้นขึ้นมาเอง ถ้าหลักการใดใช้ไม่ได้ผล ก็ให้ทดลองใช้หลักการใหม่ เรื่อยไป จนกว่าจะค้นพบหลักการที่สามารถดับทุกข์ได้จริง ก็ให้ยึดถือหลักการนั้น มาปฏิบัติเรื่อยไป

    <O:p</O:pซึ่งนี่ คือ การปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระ โดยไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้จากพระพุทธเจ้าเองก็ตาม

    <O:p</O:p....................................................................................................
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 4

    ทำไม จึงต้องดับทุกข์?

    สาเหตุ ที่ต้องดับทุกข์ ก็เพราะว่า "ความทุกข์ คือความรู้สึกที่ทรมานจิตใจมนุษย์ทุกคน" มันเป็นความรู้สึกที่ไม่น่ายินดี ไม่มีใครอยากมีความทุกข์ ความทุกข์ จึงเป็นปัญหาใหญ่ หรือสำคัญที่สุด สำหรับมนุษย์ทุกคน ถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ โดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจเลยได้ก็นับว่า ชีวิตได้รับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับชีวิตแล้ว และ ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เพื่อสอนมนุษย์ให้รู้จักวิธีการดับทุกข์

    <O:p</O:pอะไรคือความทุกข์?
    <O:p</O:p
    จุดสำคัญจุดแรก ที่เราจะต้องทำความเข้าใจก็คือ เรื่อง
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 6

    ชาวโลกดับทุกข์กันอย่างไร?

    ตามปกติโดยทั่วไป ผู้คนที่ไม่รู้วิธีการดับทุกข์ที่ถูกต้อง เมื่อความทุกข์ที่รุนแรงเกิดขึ้น ก็ไม่รู้จะดับทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นได้อย่างไร ก็ต้องทนทุกข์ตรม หรือเศร้าโศกเสียใจ ไป จนกว่า ความทุกข์มันจะค่อย ๆ ลดลง และดับหายไปของมันเองตามธรรมชาติ

    ซึ่งก็อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่ามันจะค่อย ๆ เลือนหายไปหมดสิ้น

    <O:p</O:pส่วนบางคน ที่ทนต่อความทุกข์ที่รุนแรงมาก ๆ ไม่ได้ ก็ถึงกับเป็นบ้า หรือฆ่าตัวตายหนีความทุกข์ไปเลยก็มี

    <O:p</O:pส่วนบางคนที่เชื่อ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเชื่อเรื่องผู้วิเศษ เมื่อประสบทุกข์ก็มักจะใช้การอ้อนวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้วิเศษมาช่วยให้พ้นทุกข์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยได้ก็เพียงทำให้สบายใจขึ้นมาบ้างเท่านั้น หาได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงไม่

    <O:p</O:pโดยมาก ผู้คนที่ประสบทุกข์ที่ไม่รุนแรงมากนัก ก็มักจะใช้วิธีหนีความทุกข์ หรือกลบเกลื่อนทุกข์ ด้วยวิธีต่างๆ อย่างเช่น เมื่อเกิดความร้อนใจ, หรือกลุ้มใจ,ไม่สบายใจ,เบื่อหน่าย, เครียด,วิตกกังวล, หรือฟุ้งซ่านมากๆก็ใช้วิธีการแสวงหาความสุขที่ตนเองชอบมากลบเกลื่อน อย่างเช่นการดื่มสุรา เสพสิ่งเสพติด เสพสิ่งฟุ่มเฟือย หรือเที่ยวเตร่เฮฮา หรือแสวงหาเรื่องทางเพศ เล่นการพนัน หรือไปเสพสิ่งเริงรมย์ต่างๆที่ตนชอบ (คือเสพอบายมุข) หรือไปทำอะไรที่ผิด ๆ ที่คิดว่าจะทำให้ตนเองหายจากความทุกข์ได้ เป็นต้น

    <O:p</O:pอย่างที่ชาวโลกกำลังทำกันอยู่ เพื่อให้มีความสุข หรือความสนุกสนานเพลิดเพลินขึ้นมา จะได้ลืมความทุกข์ที่กำลังมีอยู่ ซึ่งมันก็ได้ผลเฉพาะเวลาที่กำลังมีความสุขอยู่เท่านั้น แต่พอเวลาความสุขหมดไป ความทุกข์นั้นมันก็ยังจะกลับมาอีก ก็ต้องไปเที่ยวแสวงหาความสุขใหม่ ๆ มากลบเกลื่อนต่อไปอีก อย่างไม่รู้จักจบสิ้น แล้วความสุขที่แสวงหามานั้น มันก็นำปัญหา และความทุกข์ใหม่ ๆ มาให้ผู้แสวงหา อีกอย่างไม่รู้จักจบสิ้นเหมือนกัน

    <O:p</O:pและในที่สุด หลังจากหนีความทุกข์ไปได้ไม่นาน ความทุกข์ที่รุนแรง ก็จะตามมาถึง แล้วที่นี้ก็ต้องทนทุกข์ตรม เพราะไม่รู้วิธีการดับทุกข์ที่ถูกต้อง

    <O:p</O:pส่วนคนดี ที่ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ เมื่อมีความทุกข์ ก็จะใช้การเรียน หรือทำงาน การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การทำงานอดิเรก หรือการประดิษฐ์คิดค้นต่าง ๆ หรือการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อให้ลืมความทุกข์ หรือบางคนก็ใช้การทำสมาธิ เพื่อคลายทุกข์ ซึ่งนี่เป็นวิธีทำให้ลืมความทุกข์ ที่ดี เพราะไม่มีโทษ มีแต่ประโยชน์ แต่มันก็ยังแค่เพียงทำให้ลืม ความทุกข์ ไปชั่วขณะ เฉพาะเวลาที่ทำสิ่งเหล่านี้อยู่เท่านั้น พอเวลาว่างความทุกข์มันก็กลับมาอีก จึงต้องหาสิ่งดี ๆ มาทำอยู่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าความทุกข์ นั้น จะค่อย ๆ เลือนหายไปหมดสิ้น

    <O:p</O:pแต่ความทุกข์ชนิดใหม่ ๆ มันก็จะเกิดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ ซึ่งก็ต้องทำเช่นนี้ ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าความทุกข์ที่รุนแรงจะเกิดขึ้น แล้วก็ต้องทนทุกข์ตรมอีก เพราะไม่รู้วิธีการดับทุกข์ที่ถูกต้อง

    <O:p</O:pส่วนความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นจากความต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือจากความฟุ้งซ่านรำคาญใจ หรือจากความหงุดหงิดไม่พอใจ หรือจากความเบื่อหน่ายๆ หรือจากความหดหู่ เซื่องซึม หรือจากความลังเลสงสัย เป็นต้นนี้ ผู้คนส่วนมากก็จะทนรับกันได้อยู่แล้วเป็นปรกติ เพราะไม่รู้ว่าจะดับมันได้อย่างไร เหมือนปลาที่ต้องทนอาศัยอยู่ในน้ำอุ่น ๆ ไปตลอดทั้งชีวิต จนกว่าจะถูกเอาไปต้มในน้ำร้อนในที่สุด

    <O:p</O:p....................................................................................................
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 7

    พระพุทธเจ้า สอนให้ใช้อะไรดับทุกข์?

    สิ่งที่ต้องใช้ในการดับทุกข์นี้ โดยสรุปก็มีอยู่ ๓ อย่าง คือ

    <O:p</O:p(๑.) ปัญญา คือ ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์<O:p</O:p
    โดยมีหัวใจอยู่ที่ความรู้เรื่อง
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 8

    ปัญญา คือ อะไร?

    ก่อนอื่น เราควรรู้ก่อนว่าคำว่า ปัญญา ในทางพุทธศาสนา จะหมายถึง ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ โดยหัวใจของปัญญา จะอยู่ที่ความรอบรู้ ในเรื่องความไม่มีตัวตน (อนัตตา) ซึ่งปัญญานี้จะมีอยู่ ๓ ระดับ คือ

    <O:p</O:p๑. ปัญญาขั้นได้รู้มา ซึ่งเกิดมาจากการฟังมา หรืออ่านมา ซึ่งก็ยังเป็นแค่เพียงการได้รู้มาเท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่ความรู้ของเรา

    <O:p</O:p๒. ปัญญาขั้นเข้าใจ ซึ่งเกิดมาจากการคิดพิจารณาไตร่ตรอง ด้วยเหตุ ด้วยผล จนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน ซึ่งจัดเป็นความรู้ของเราขึ้นมาบ้างแล้ว

    <O:p</O:p๓. ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง (หรือเห็นจริง) ซึ่งเกิดมาจากการลงมือปฏิบัติจริง จนแจ้งประจักษ์ ด้วยจิตของเราเองจริง ๆ แล้ว ซึ่งจัดเป็นความรู้ของเราเองแล้ว อย่างแท้จริง

    <O:p</O:pการฟัง หรืออ่านมา นั้น ก็เพียงทำให้เราได้รู้มาเท่านั้น

    <O:p</O:pต่อเมื่อ เราเอาสิ่งที่ได้รู้มานั้น มาคิดพิจารณาใคร่ครวญ ด้วยเหตุ ด้วยผล จนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว จึงจะเรียกว่าเป็นปัญญา ขั้นเข้าใจ

    <O:p</O:pและ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็นำเอาความเข้าใจนี้ มาทดลอง ปฏิบัติ จนบังเกิดผลขึ้นมาให้เรารู้สึกด้วยจิตของเราเองจริง ๆ จึงจะเรียกว่าเป็นปัญญาขั้นเห็นแจ้ง

    ซึ่งจุดนี้เอง ที่เป็นปัญญา ขั้นเห็นแจ้ง ที่เป็นปัญญาสูงสุดของพุทธศาสนา

    <O:p</O:pอะไร คือสิ่งสูงสุด ที่เราควรเคารพเชื่อฟัง?
    <O:p</O:p
    พุทธศาสนา เป็นศาสนาประเภทที่นับถือ
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 9

    กฎสูงสุด นี้ บอกความลับอะไรกับเราบ้าง?

    กฎสูงสุด นี้ ได้บอกความลับของธรรมชาติให้เราได้รู้หลายอย่าง คือ

    <O:p</O:p๑. กฎสูงสุด นี้ ได้บอกกับเราว่า
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตอนที่ 10

    หัวใจของ ปัญญา อยู่ตรงไหน?

    กฎสูงสุด นี้ ยังบอกความลับที่สำคัญให้เราได้รู้อีก ๓ อย่าง<O:p</O:p
    ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ ที่หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการ ของทุกสิ่ง อันได้แก่

    ๑. อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงแท้ถาวร<O:p</O:p
    ๒. ทุกขัง หรือ ทุกข์ คือ ความที่ต้องทน หรือ ดูแล้วน่าระอาใจ<O:p</O:p
    ๓. อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน หรือ ไม่มีตัวตน

    อนิจจัง ก็หมายถึงว่า
     
  14. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ผมก็ไม่ทราบว่า ท่านมหาหิน จะก๊อบบทความต่างๆ มาลงทำไมให้ดูลายตา นำเวปมาให้ลิ้งค์ก็จบแล้วครับ ท่านต้องการจะสื่อถึงอะไรก็แสดงความเห็นออกมาตรงๆ ไม่ง่ายกว่าหรือท่าน ???
    (ประเด็นของท่านพุทธทาส ถ้าเลี่่่ยงได้ผมก็จะพยายามเลี่ยงไม่ขอแสดงความคิดเห็นครับ)

    เวปท่าน เตชปัญโญ ภิกขุ ผมเข้าไปอ่านมาแล้วครับ
    ชอบอยู่เรื่องเดียว คือ เรื่องการทำเวปไซด์....... นอกนั้นผมขอผ่านครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2008
  15. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ผมเข้าใจว่าพี่มหาหินนำมาลงก็เพื่อให้เห็นว่าคำสอนของท่านที่อ้างว่าตนเป็นทาสพระพุทธเจ้านั้นฝังรากลึกในสังคมมากกว่าครับยังไงพี่มหาหินก็แสดงความกระจ่างด้วยครับ
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    .....................................................................................

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ manson810 [​IMG]
    ท่าน มหาหิน ต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือครับ ??

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ...................................................................................

    เตชปญฺโญ ภิกขุ
     
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    หนังสือเล่มนี้ ได้สรุปเนื้อหาสำคัญ ๆ มาจากหนังสือต่าง ๆ ของท่านอาจารย์พุทธทาส ภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทีหนึ่ง

    ..................................................................................
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    http://www.sangharaja.org/th_main.asp
    <O:p</O:p
    พระชาติภูมิ<O:p</O:p

    สมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    <O:p</O:p
    มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร<O:p</O:p
    ประสูติที่ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี<O:p</O:p
    เมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖<O:p</O:p
    เวลาประมาณ ๑๐ ทุ่ม มีเศษ<O:p</O:p
    (หรือเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ นาฬิกาเศษ แห่งวันเสาร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ตามที่นับแบบปัจจุบัน)
    <O:p</O:p
    พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พุทธศักราช ๒๔๖๕) <O:p</O:p
    พระชนนีชื่อ นางกิมน้อย คชวัตร (ถึงแก่กรรม พุทธศักราช ๒๕๐๘)

    <O:p</O:pบรรพชาอุปสมบท<O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๖๙ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม ( วัดเหนือ ) จังหวัดกาญจนบุรี พระครูอดุลยสมณกิจ ( พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์ ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจาร ( สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม ( วัดหนองบัว ) เป็นพระอาจารย์ให้สรณะ และศีล

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๔๗๖ พระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม
    เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจาร (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ)
    เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัด หรุง
    นามสกุลเซี่ยงฉี เจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อ
    วันที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ อุปสมบทแล้วทรงจำพรรษา ที่วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา

    <O:p</O:pเมื่อออกพรรษาแล้วในศกเดียวกัน ได้ทรงทำทัฬหีกรรม ( ญัตติซ้ำ ) เป็นธรรมยุต ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ( สุจิตฺโต หม่อมราชวงศ์ ชื่น นภวงศ์ ป.๗) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพเมธี ( อิสฺสรณญาโณ จู ทีปรักษพันธุ์ ป.๗) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    <O:p</O:pเมื่อออกพรรษาแล้วใศกเดียวกัน ได้ทรงทำทัฬหีกรรม (ญัตติซ้ำ) เป็นธรรมยุตที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (สุจิตฺโต หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์
    ป. ๗) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพเมธี (อิสฺสรญาโณ จู ทีปรักษพันธุ์ ป. ๗) เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    <O:p</O:pการศึกษา<O:p</O:p

    ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้น ณ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม จบชั้นประถม 5 (เทียบชั้นมัธยม 2) หลังจากทรงบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ทรงเรียนพระปริยัติธรรมและทรงสอบไล่ได้ชั้นต่าง ๆ เป็นลำดับมาในสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ดังนี้

    พุทธศักราช ๒๔๗๒ ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรี<O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๗๓ ทรงสอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม ๓ ประโยค
    พุทธศักราช ๒๔๗๕ ทรงสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๔ ประโยค
    พุทธศักราช ๒๔๗๖ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค <O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๗๗ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๖ ประโยค <O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค <O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค <O:p</O:p
    พุทธศักราช ๒๔๘๔ ทรงสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค<O:p</O:p

    ...................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2008
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ปริญญาดุษฎีบัณฑิต

    พ.ศ.2529<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยรามคำแหง
    ถวายปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    <O:p</O:pพ.ศ.2532<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยมหิดล
    ถวายปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    <O:p</O:pพ.ศ.2533<O:p</O:p
    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์ไทย
    ถวายปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    <O:p</O:pพ.ศ.2537<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา

    <O:p</O:pพ.ศ.2538<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยนเรศวร
    ถวายปริญญาการศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารการศึกษา

    <O:p</O:pพ.ศ.2539<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
    ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    <O:p</O:pพ.ศ.2541<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาภาษาไทย

    <O:p</O:pพ.ศ.2543<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    <O:p</O:pพ.ศ.2545<O:p</O:p
    มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
    ถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

    ..................................................................................
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    สมณศักดิ์

    พุทธศักราช ๒๔๙๐
    เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระโสภนคณาภรณ์

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๔๙๕
    เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชนิทนามเดิม

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๔๙๘
    เป็น พระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๔๙๙
    เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๕๐๔
    เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระศาสนโสสภณ

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๕๑๕
    เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร

    <O:p</O:pพุทธศักราช ๒๕๓๒
    ได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นดำรงตำแหน่ง<O:p</O:p
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    <O:p</O:p..................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...