Solar Minimum โลกเย็นลง !??

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย zipper, 14 มกราคม 2008.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขออัพข้อมูลจากที่คุณกาลามะชนเขียนไว้ต่อล่ะกัน
    <hr>
    เรื่องนี้ถือว่าใหม่มากๆ ยังอยู่แค่ในระดับการสังเกตุการณ์ ยังเป็นข้อมูลดิบ ยังไม่มีการรับรอง
    แต่ก็ไม่เสียหายถ้าเราจะสอดรู้สอดเห็น

    เรื่องของ solar maximum เรารู้มาเยอะ เพราะนั่งตากแดดเฝ้าดู modern maximum มาพอสมควรแล้ว
    แต่เรื่องราวเกี่ยวกับ solar minimum ส่วนใหญ่ยังเป็นระดับทฤษฎี
    เพราะเหตุการณ์มันเก่าแก่จนเป็นตำนาน หลักฐานต่างๆก็เป็นการวัดทางอ้อม ไม่แน่นอนนัก
    มนุษย์ยังไม่เคยพบกับ solar minimum ของจริงมาก่อน ครั้งนี้จะได้เห็นเป็นครั้งแรก
    เป็นโอกาสที่นักวิทยาศาสตร์จะได้ค้นหาความรู้และพิสูจน์ทฤษฎี

    เท่าที่ดูเขาตื่นเต้นกันพอสมควร ต่างคนต่างคาดการณ์ไปต่างๆนาๆ
    บางคนคาดว่าความหนาวเย็นเริ่มเกิดแล้ว ส่วนใหญ่บอกว่าอีกสิบปีข้างหน้า
    ส่วนพวกที่ยังเงียบๆอยู่อาจคิดว่าจะไม่เกิดก็ได้

    พอถึงตอนนั้นจะหนาวเย็นนานเท่าไร ส่วนใหญ่ไม่ทราบ เพราะเดาไม่ถูกว่าดวงอาทิตย์จะเป็นอย่างไรต่อไป
    แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าคล้าย Dalton minimum ก็คือประมาณยี่สิบสามสิบปี แต่ก็มีบางคนบอกว่าจะนานห้าหกสิบปี
    มีแม้แต่ี่ที่บอกว่าความหนาวจะอยู่ตลอดไป เป็นการสิ้นสุดยุค Holocene เริ่มยุคน้ำแข็งใหม่ ก็ยังมี

    แล้วจะหนาวขนาดไหน บางคนคาดว่าจะหนาวที่สุดในรอบร้อยปี คือประมาณเท่าตอนต้นศตวรรษที่ 20
    แต่ส่วนใหญ่คาดว่าจะหนาวเท่า Dalton minimum ที่สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
    แต่ก็มีไม่น้อยที่คาดว่าจะหนาวเท่ากับ Maunder minimum ซึ่งเป็นระดับหายนะของประเทศในแถบใกล้ขั้วโลก



    Solar minimum ทำให้โลกหนาวได้อย่างไร

    ถ้ามองดู parameter ต่างๆ อาจจะคิดไม่ออก ชวนให้สรุปว่าไม่น่าจะมีผลอะไร
    แต่ถ้านึกถึึงสิ่งที่เป็นต้นเหตุ คือสายพานขนส่งความร้อนที่อ่อนกำลัง ก็น่าเชื่อได้ว่าจะต้องมีผลกระทบกับโลกแน่

    อาจเป็นเพราะเรายังไม่เคยเห็นของจริง อาจจะมี factor บางอย่างซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเราไม่รู้

    มีทฤษฎีหลายอย่างที่พยายามจะอธิบาย เช่นใน The Global Warming Swindle
    บอกว่าอนุภาคจากดวงอาทิตย์มีส่วนผลักดันรังสีคอสมิกออกไป ทำให้การเกิดเมฆในระดับสูงลดน้อยลง
    แต่ในช่วง solar minimum ระดับอนุภาคจะลดลง ทำให้เมฆมีเพิ่มขึ้น ช่วยกรองแสง ทำให้โลกเย็นลง

    นอกจากทฤษฎีการเกิดเมฆระดับสูงแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดมาก่อน ที่อาจจะเกี่ยวกับ solar minimum เกิดขึ้นในตอนนี้
    นั่นคือปริมาณเมฆเรืองแสง (noctilucent) ที่อยู่ในระดับสูงลิบถึง 75-85 กิโลเมตร และพบได้ยาก กำลังมีเพิ่มขึ้นทุกที



    เมฆ noctilucent อาจจะเกิดจากฝุ่นละอองจากอวกาศ แต่ก็พบร่องรอยของน้ำแข็งด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
    เพราะเชื่อกันว่าไอน้ำไม่น่าจะสามารถขึ้นไปถึงระดับความสูง 75-85 กิโลเมตรได้ จึงเป็นได้ว่าเป็นไอน้ำที่มาจากอวกาศ
    หรือมิฉะนั้นก็เกิดจากอะตอม hydrogen ที่มาจากอวกาศ ทำปฏิกริยากับ oxygen ในบรรยากาศ เกิดเป็นไอน้ำที่ระดับสูง

    ตามปกติเมฆชนิดนี้หาได้ยาก อาจจะเป็นเพราะีลมสุริยะช่วยเป่าให้เมฆนี้กระจายหายไป
    แต่พอลมสุริยะอ่อนกำลังลงในช่วง solar minimum เมฆชนิดนี้ก็เลยปรากฏให้เห็นมากขึ้น
    และกลายเป็นเหมือนม่านกรองแสงอาทิตย์ที่บรรยากาศชั้นสูง ทำให้โลกเย็นลง

    ปล. ทุกอย่างยังเป็นแค่ทฤษฎีทั้งนั้น ยังไม่มีอะไรแน่นอน ต้องรอให้เกิด solar minimum ขึ้นก่อนถึงจะรู้แน่ชัด



    มาทำ link ให้คุณอากิระ
    http://wattsupwiththat.wordpress.com/2008/02/28/sun-blank-again/

    ตาม link นั้นเชื่อว่า cycle 23 ขณะนี้เริ่มจริงๆมา 13 ปีแล้ว และขณะนี้ยังไม่จบ
    การที่ยังคงอยู่น่าจะรบกวน cycle ต่อไปที่ขั้วแม่เหล็กกลับทิศกัน

    ขอเพิ่มข้อมูลให้ว่า cycle ที่ 5 ที่นำหน้า Dalton minimum ยาว 15 ปี

    ผมเห็นด้วยกับคนใน link ที่บอกว่า เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจ


    ปล. เพิ่ม Link จากเวบ The Next Ice Age Now เพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr.Theodor Landscheidt
    ผู้ก่อตั้ง Schroeter Institute for Research in Cycles of Solar Activity, Germany
    Dr. Landscheidt ผู้ซึ่งเสียชีวิตในปี 2004 ได้พยากรณ์ไวประมาณหน่งปีก่อนที่จะถึงแก่กรรมว่า
    ดวงอาทิตย์จะทำให้เกิด little ice age ระดับ Maunder minimum ในปี 2030

    http://www.iceagenow.com/New Little Ice Age.htm
    <hr>
    อยากให้เข้าใจตามนี้กันครับ
    เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ และก็ยังอยู่ในช่วงสังเกตุการณ์ และก็ได้แต่คาดการณ์กันไปว่าอนาคตจะเป็นยังไงกันแน่ จะเย็นแค่ไหนก็ไม่รู้ และถ้าเย็นจะเย็นยาวนานแค่ไหน ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน แต่ปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์เป็นอยู่ตอนนี้ ก็น่าสนใจเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2008
  2. golf11

    golf11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +171
    โลกจะกลับไปอยู่ยุคน้ำแข็ง

    สมมุติเฉยๆนะ
    นกบินกันมั่วมีอาการตื่นตกใจ เครื่องบินตกเพราะคลื่นสนามแม่เหล็ก รถยนต์ก็มีปัญหา เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ก็มีปัญหา เกิดพายุหมุน เกิดฟ้าผ่ามากมาย โคจรการหมุนในกาแลกซี่เปลี่ยนไป ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการโคจรของดาวต่างๆเกิดสภาวะแปรปวน
    อุกาบาตมากมายที่อยู่ระหว่างดาวอังคารเกิดเปลี่ยนทิศทาง มีอุกาบาตเข้ามาใกล้โลกนับหลายร้อยหลายล้านชิ้น

    สมมุติว่าเกิดนะ อันนี้แค่ลองคิดดู สภาวะภายนอกโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะโลกมีส่วนในการเปลี่ยนแปลง
     
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    เอาข้อความจากคุณกาลามะชนมาโพสต่อ
    <hr>
    วันนี้ฝากข้อมูลล่าสุดของดวงอาทิตย์ จาก 06 Dec 2007 - 29 Feb 2008g
    รู้สึกว่าจะยังเป็นขาลง แต่ใกล้ติดฟลอร์แล้ว..
    ยังไม่มีสัญญาณ rebound แต่นักวิทยาศาสตร์่คาดว่าน่าจะเป็นเดือนนี้

    [​IMG]



    คำพูดนั้นผมอ่านมาจากไมเคิล ไครสตัน จาก State of fear
    เป็นการพูดแบบสั้นๆ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อธิบายให้ชัดคือ

    IPCC บอกว่า greenhouse มีอิทธิพลมาก..ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลนิดเดียว

    ฝ่ายค้านบอกว่า greenhouse มีอิทธิพลนิดเดียว(ไม่ใช่ไม่มี).. แต่ดวงอาทิตย์มีอิทธิพลมาก

    ตอนนี้เรากำลังได้โอกาสทดสอบทฤษฎี

    เราอาจจะกำลังเข้าสู่ย่างก้าวแรกๆของ new little ice age
    parameter ต่างๆของดวงอาทิตย์เพิ่งจะลดลงนิดๆหน่อยๆ
    ถ้าแบบจำลองของ IPCC ถูก ก็ไม่น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรกับดินฟ้าอากาศ
    แต่ฤดูหนาวนี้หนาวสะท้านกันไปครึ่งโลก ผมจึงเห็นว่า IPCC ผิด



    ดวงอาทิตย์ทำอะไรจึงทำให้หนาวผิดปกติ.. มีหลายสาเหตุ

    1. ช่วงเปลี่ยนคาบจาก 23 ไป 24 ครั้งนี้ solar activity ลดต่ำผิดปกติเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนคาบที่ผ่านมา
    แต่ก็ไม่ได้ลดต่ำมากมายอะไร ถ้า solar forcing มีพลังน้อยตามแบบจำลอง IPCC ก็ไม่น่าจะหนาวนัก
    แต่ตอนนี้หนาวมากจนเกือบพลิกไปเป็น global cooling.. แบบจำลองก็จะควรถูกตั้งคำถาม

    2. ช่วงเปลี่ยนคาบยืดยาวผิดปกติไปเกือบ 1 ปี ทำให้ดวงอาทิตย์คงอยู่ในระดับต่ำนานมากขึ้น

    ตรงนี้ต้องอธิบายยาว ตามที่ได้คุยกันไว้ในกระทู้ก่อน ผมได้เล่าว่าโลกมีความเฉื่อย
    กราฟอุณหถูมิเฉลี่ยของโลกจะเห็นการลดต่ำหลังการเกิดการเปลี่ยนคาบประมาณสองปีเศษ
    ชาวโลกร้อนตีความว่าส่วนต่างนั้นคืออิทธิพลของพลังงานดวงอาทิตย์ที่แปรผันประมาณ 1.6 watt/m2
    และคิดคำนวณตามวิธีของเขา ได้ solar forcing แค่ 0.3 watt/m2

    ผมเชื่อว่าสมมติฐานของชาวโลกร้อนไม่ถูกต้อง เพราะระบบของโลกใหญ่มาก ทำให้มีความเฉื่อย
    แต่ดวงอาทิตย์ผันแปรเร็วมากเมื่อเทียบกับความเร็วในการตอบสนองของทุกระบบในโลก
    การลดพลังงานลง 1.6 watt/m2 เกิดอยู่ประเดี๋ยวเดียว โลกยังคายความร้อนไม่ทันเสร็จ
    ยังไม่ทันจะเข้าสู่สมดุลใหม่ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มร้อนขึ้นอีกแล้ว

    รูปการผันแปรของ solar irradiance

    [​IMG]



    อุปมา - สมมติว่ามีอ่างบรรจุน้ำใบใหญ่ ตั้งอยู่บนเตาไฟฟ้าที่สามารถให้ความร้อนได้ 2 step

    ถ้าเปิดไฟที่ step 1 จะทำให้น้ำในอ่างมีอุณหภูมิคงที่ ที่ 70 องศา
    ถ้าเปิดไฟที่ step 2 จะทำให้น้ำในอ่างมีอุณหภูมิคงที่ ที่ 80 องศา

    เนื่องจากอ่างน้ำค่อนข้างใหญ่ การปรับเปลี่ยนระดับไฟของเตาไฟฟ้า
    ไม่ว่าเพิ่มหรือลด ต้องใช้เวลา 10 นาทีอุณหภูมิของน้ำจึงจะคงที่

    สมมติว่ามีเด็กซนคอย เปิด-ปิด สวิทซ์สลับไปมาระหว่าง step 1 กับ 2 ทุกๆห้านาที เป็นประจำ
    อุณหภูมิของน้ำไม่มีเวลาพอที่จะปรับตัวเข้าสู่สมดุลได้ทัน จะชิ่งไปมาที่ประมาณ 73-77 องศา
    ถ้าเราไม่เข้าใจว่าระบบมีความเฉื่อย ก็อาจคิดไปว่าอุณหภูมิสมดุลที่ step 1 = 73, ที่ step 2 = 77

    วันหนึ่งในขณะที่เตากำลังอยู่ที่ step 1 เด็กเกิดเผลอ ลืมมากดเปลี่ยนสวิทซ์ตามเวลา
    ทำให้ช่วงของ step 1 ครั้งนั้นทอดเวลายาวออกไป อุณหถูมิน้ำก็เลยลดต่ำกว่าที่เคย

    ดังนั้นช่วงเปลี่ยนคาบ(ดวงอาทิตย์มี activity ต่ำ) ที่ยืดยาวผิดปกติ จึงทำให้โลกเย็นกว่าปกติได้

    และที่ชาวโลกร้อนคิดว่าดวงอาทิตย์มีอิทธิพลน้อย ก็อาจเป็นเพราะไม่เข้าใจในความเฉื่อยของระบบ



    อนึ่ง อยากให้ลองดูกราฟในรูปที่แล้ว ให้สังเกตการเปลี่ยนคาบในปี 1997 จะเห็นว่าดวงอาทิตย์เย็นลงไม่มาก
    นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบโดยรวม คายความร้อนออกได้ไม่มากเท่ากับช่วงเปลี่ยนคาบครั้งก่อนๆ
    พอถึงช่วง 2005-2006 (ซึ่งเกิดตามหลัง peak 2002) ความร้อนที่ตกค้าง จึงทำให้ร้อนมากผิดปกติ

    ปล. จะเกิดอะไรขึ้นถ้า solar irradiance ลงไปอยู่ที่ 1365 watt/m2 แล้วคงที่อยู่อย่างนั้นนานๆ



    กราฟข้างล่างนี้ ดัดแปลงมาจากกราฟข้อมูลของ HadCRUT
    กราฟจริงต้นฉบับ เป็นกราฟค่าเฉลี่ยอุณหภูมิรายปี พลอตไว้ถึงปี 2007
    ซึ่งจะพบของจริงได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Global_warming

    ในเดือนมกราคม สภาวะโลกร้อนตามข้อมูลของ HadCRUT (ความเห็นที่ 4) อยู่ที่ 0.037 C

    สมมตินะครับ.. สมมติว่าค่าเฉลี่ยทั้งปี ของปี 2008 อยู่ที่ประมาณนี้ ไม่ลดลงไปอีก
    พอพลอตเพิ่มลงในกราฟค่าเฉลี่ยทั้งปี ต่อเนื่องจากปีก่อนๆ แล้วได้กราฟออกมาหน้าตาแบบนี้
    .. คิดว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง จะสงสัยกันไหม

    [​IMG]



    ผมคาดว่าคงไม่มีใครสงสัยในประเด็นของการค้นพบของ NASA
    กระทู้นี้น่าจะทำให้ท่านตระหนักถึงอิทธิพลของดวงอาทิตย์ว่ามีมากมายเพียงใด
    ชาวโลกร้อนควรจะถาม IPCC ว่าแบบจำลองถูกต้องแล้วหรือ
    ท่านให้พลัง greenhouse gas ไว้มากมาย แต่ให้พลังดวงอาทิตย์ไว้นิดเดียว
    (ดูกันเอาเองครับว่า IPCC คิดอย่างไร)

    [​IMG]



    ถ้าดวงอาทิตย์ควรต้องมี radiative forcing สูงกว่านี้ ก็ต้องไปลด forcing ของตัวอื่นลง
    (ถ้าไม่ลดตัวอื่นลง ผลรวมจะเกิน และทำให้การอุ่นขึ้นที่ผ่านมาไม่สอดคล้องกับแบบจำลอง)
    และนี่คือสาเหตุที่ผมตั้งกระทู้ก่อนหน้าเกี่ยวกับ greenhouse effect
    http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X6327353/X6327353.html
    เพราะคิดว่าตัวที่น่าจะถูกลด forcing ลงก็คือ CO2 เนื่องจากมีประสิทธิภาพไม่เต็มร้อย
    เพราะในความเป็นจริง infrared ช่วง 15 micron ในธรรมชาติมีเหลือให้ดูดซับน้อยมาก
    (เรื่องของ spectrum นี้อาจจะเข้าใจได้ยากสักหน่อย)

    [​IMG]



    บทสรุปของกระทู้นี้

    ถ้าท่านยังเชื่อมั่นใน IPCC อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
    ก็เพราะดวงอาทิตย์มีอิทธิพลเพียงนิดเดียว ไม่ทำให้โลกเย็นลงได้กี่มากน้อย

    ส่วนท่านที่คิดว่าดวงอาทิตย์มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมีนัยสำคัญ
    ผมก็แค่ต้องการบอกข่าวให้ทราบโดยไม่ชี้นำฟันธงว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
    เพราะเห็นในเวบต่างประเทศเริ่มมีการกระพือข่าว global cooling อย่างน่ากลัว
    ดูแล้วก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนที่ชาวโลกร้อนโฆษณาชวนเชื่อเรื่องโลกร้อน

    ผมอยากจะชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง fact และ prediction อย่างชัดๆ
    ไว้เป็นเกราะป้องกันให้กับความคิด เมื่อกระแสความเชื่อย้อนกลับ

    ส่วนที่เป็น fact คือ NASA พบว่า sun conveyor belt ลดความเร็วลง
    เหลือเท่ากับช่วง 1900s ซึ่งเชื่อได้ว่าจะทำให้เกิด solar minimum ในอนาคต
    แต่ยังบอกไม่ได้แน่นอนว่าจะเกิดเมื่อไร และมีระดับความรุนแรงเท่าใด

    Fact อีกข้อคือ ในอดีตโลกจะหนาวผิดปกติทุกครั้งที่เกิด solar minimum
    แม้จะยังอธิบายความสัมพันธ์ไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็เป็นเพราะเรายังไม่รู้
    การที่ยังอธิบายไม่ได้ ไม่ได้ทำ fact กลายเป็น false

    จาก fact สองส่วนข้างบนทำให้สรุปว่าจะเกิด solar minimum ในเร็วๆนี้
    และเกิดช่วงเวลาที่หนาวเย็นผิดปกติพร้อมกับ solar minimum

    ส่วนที่เป็น prediction ก็คือเวลาที่จะเกิด solar minimum
    ความยาวนาน ระดับของความหนาวเย็นที่จะเกิดกับโลก
    รวมทั้งผลกระทบต่อธรรมชาติและมนุษย์

    จากนี้ผมจะนำข้อมูลที่อาจจะมีประโยชน์ในการ prediction มาเล่า
    แต่ขอผลัดไว้วันหลัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2016
  4. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ในตอนต้นกระทู้ที่บอกว่าได้มีการค้นพบจุดดับจุดแรกของ solar cycle 24 เมื่อต้นเดือนมกราคม แต่ปรากฏว่าในอีกประมาณ 3 วันให้หลัง จุดดับนั้นก็หายไป ก็เป็นอันว่า solar cycle 24 ยังไม่เริ่ม เรายังคงอยู่ใน solar cycle 23

    นักวิทยาศาสตร์ก็ทำนายว่ามันคงเริ่มในเดือนนี้แหล่ะ แต่มายัง ณ วันนี้ก็ยังไม่เห็นจุดดับเกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์เลย แต่นี่ก็พึ่งจะต้นเดือนเองยังมีเวลาอีกนาน

    [​IMG]

    ข้อมูลจาก http://solarscience.auditblogs.com/category/solar-cycle-24/ , http://wattsupwiththat.wordpress.com/2008/02/28/sun-blank-again/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • latest.gif
      latest.gif
      ขนาดไฟล์:
      147.7 KB
      เปิดดู:
      759
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2016
  5. nussuw

    nussuw Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +52
    ปัจจุบันนี้เป็นไงบ้างน้อ จะเข้ายุคนำ้แข็งน้อยหรือยัง ใกล้ 2015 แล้ว:cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...