อยากเห็นกายทิพย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 21 พฤศจิกายน 2014.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ธรรมะเทศนา
    โดย
    หลวงปู่แบน ธนากโร
    วัดดอยธรรมเจดีย์
    ตำบล ตองโขบ
    อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร

    อยากเห็นพวกเทพ พวกกายทิพย์กันไหมล่ะ มีนะ
    นักปฏิบัติชอบ อยากเห็นพวกกายทิพย์ อยากเห็นพวกเทพ
    อยากเห็นพวกเทวดา อยากเกี่ยวข้องกับเทวดา
    อยากสอนเทวดา ไม่ยากดอก

    เห็นกายของเราที่มันหยาบๆนี่ ให้มันชัดเสียก่อน
    เรื่องกายทิพย์มันเป็นเรื่องทีหลัง

    กายของเราหยาบๆ ตาบอดคลำ ก็ยังคลำได้
    ใจของเราก็ยังไม่เห็น
    ยังจะอวดเก่ง อยากไปเห็นกายทิพย์ อยากไปเห็นเร๊อะ เทวดา
    มันเป็นเรืองที่นั่ง น่าขบขัน ผมของเรามีกี่เส้น
    มันยากยังกะตาบอด เอามือคลำก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ว่าผมมีกี่เส้น

    ขน มันก็เป็นตัวเป็นตน จนกระทั่งเรียกว่ากัน ว่าเป็นขน
    เอาใจดู ขน ขนไม่เห็นส่ำ
    เล็บก็เหมือนกัน
    ฟันก็เหมือนกัน
    หนังก็เหมือนกัน

    เห็นอย่างที่ชาวโลกเค้าเห็น นก หนู ปู ปีก มันก็เห็น
    เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เห็นหนัง
    เห็นแล้วเกิดความยินดี ความยินร้าย
    หมู หมา มันก็เห็น
    เห็นอย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็น เห็นตามสมมุติ
    เห็นตามภาษาของโลก
    ไม่เห็นอย่างภาษาของธรรมะ

    เห็นอย่างภาษาของธรรมะ
    เห็นแล้วจะไม่เกิด ความยินดี ในสิ่งที่เห็นนั้น
    จะไม่เกิดความยินร้าย ในสิ่งที่เห็นนั้น

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ผมจะแต่งสีสรร วรรณะ ทรวดทรงยังไงก็ชั่ง
    ก็เอาของสกปรกมาแต่ง น้ำออง น้ำอบ น้ำหอม ไปย้อมไปทา
    ก็ไปย้อมไปทาของสกปรก
    น้ำอบมันจะหอมซักขนาดไหน
    ประเดี๋ยวประด๋าว กลิ่นมันก็เปลี่ยนแปลงไป
    ผม มันก็ยังเป็นผมเหมือนเดิม จะย้อมมันเป็นสีดำ
    จะย้อมมันเป้นสีอะไรก็ชั่ง มันก็ย้อมของปฏิกูล เ
    อาของปฏิกูลมาย้อม มันไม่ได้หอม
    และมันไม่ได้เป็นอย่างสิ่งที่ย้อมนั่น

    ดูกายของเราให้มันชัด เห็นชัดตามความเป็นจริง
    ในกายทุกส่วน ในกายทุกส่วน
    ไม่จำเป็นจะต้องเห็น ชัดไปจนทุกส่วน
    เห็นส่วนใด ส่วนหนึ่ง ให้เห็นชัดลงไป
    แล้วมันจะชัดทุกส่วน
    เพราะส่วนไหนก็เป็นกายเหมือนกัน

    ส่วนไหนก็เป็นของเกิดมาแก่ มาตายเหมือนกัน
    ส่วนไหนก็เป็นของเกิดของตาย

    ยังว่าเห็นชัดลงไปแล้ว ส่วนใดส่วนหนึ่ง ชัดหมดในกาย
    ชัดหมด กายทั่วโลกธาตุ
    เพราะกายที่ไหน กายที่ไหนนี่ มันก็เหมือนกะกายแห่งนี้
    คือเกิดมาตาย
    กายที่เกิดมันก็อาศัยดิน อาศัยน้ำ อาศัยลม อาศัยไฟ อาศัยโลก
    อาศัยของที่มีอยู่ในโลก
    ท่านจึงเรียกว่า สังขาร การรวมตัว
    รวมดิน รวมน้ำ รวมลม รวมไฟ รวมกันเข้า รูปร่างเป็นยังงั้น

    รูปร่างเป็นอย่างไงอย่างไง นั่นแหล่ะกรรมมันไป
    กรรมสั้น กรรมแต่ง แต่งรูปร่าง
    อย่างเป็นคน โลกเขาก็สมมุติว่าเป็นคน

    แต่งรูปร่าง มีขนมากๆ มีขาสี่ขา มีหาง
    เขาก็เรียกว่าเป็นหมู เป็นหมาไป เป็นเพราะสมมุติ
    แต่ความจริงก็คือสังขาร กองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ มากองรวมกัน

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 พฤศจิกายน 2014
  3. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    ข้อแสดงความคิดเห็นนี้ เป็นเพียงอธิบายให้ได้รู้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ว่ากันขอรับ

    กายทิพย์ กับ กายปกติ ก็คือ กายอันเดียวกัน แต่ถ้าฝึกตนหรือปฏิบัติธรรมถึงขั้นๆหนึ่ง ก็จะสามารถแยกกายออกจากกันได้ หมายความว่า สามารถทำให้ร่างกายมีหลายๆร่างกายได้ เท่านี้นะขอรับ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    อย่างสมมุติว่า เป็นอะไรก็ช่าง มันไม่เป็นอย่างสมมุติ
    ของเกิดมาตาย จะสมมุติว่าเป็นยังไง เขาก็ตาย
    ของเกิดมาแก่ มาเจ็บ จะสมมุติว่าเป็นอะไร เขาก็แก่ เขาก็เจ็บ
    อย่างตัวร่างกายนี้ไม่เป็นอะไรซักอย่าง จะสมมุติหรือไม่สมมุติ
    สมมุติว่าเป็นอะไร หรือไม่สมมุติว่าเป็นอะไร เขาก็เป็นของเกิดมาตาย

    สังขารทั้งหลายนี่ไม่เที่ยง
    สังขารในเรามันไม่เที่ยง สังขารทั่วโลกธาตุก็เหมือนกัน
    เพราะมันเหมือนกัน

    อาศัย กองดิน กองลม กองน้ำ กองไฟ รวมกันขึ้นเหมือนกัน
    จะมีใจครอง หรือ ไม่มีใจครอง เหมือนกันหมด
    สังขารทั้งหลาย มีใจครอง ไม่มีใจครอง
    สังขารทั้งหลาย รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
    สังขารทั้งหลาย จะเป็นสังขารส่วนธาตุ
    หยาบ หมายถึง กองดิน กองลม กองน้ำ กองไฟ รวมกันไป

    จะเป็นสังขารส่วนละเอียด คือความเกิดขึ้นของความคิด
    เกิดขึ้นของความคิด จะคิดเรื่องอะไร อะไร ก็ช่าง
    อันนั้น ก็เรียกว่าสังขาร

    สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะเป็นรูปธรรม จะเป็นนามธรรม
    เรียก ว่า สังขารทั้งนั้น
    สังขารในเรา สังขารทั่วโลกธาตุ
    สังขารทั้งหลาย เกิดแล้วดับไป เป็นอนัตตา
    สังขารทั้งหลาย เกิดขึ้นมาแล้วดับไป มัน ไม่เที่ยง
    สังขารทั้งหลาย เกิดมา แล้วดับไป มันเป็นทุกข์

    คำว่า ไม่เที่ยง คำว่าเป็นทุกข์ คำว่าไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ดับไป
    อันนั้น เป็นคำพูด
    พูดมาจากไหน พูดมาจาก ความจริง
    เกิดขึ้น เกิดมาจริงๆ
    ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงจริงๆ
    นี่ แก่ ก็แก่จริงๆ เจ็บก็เจ็บจริงๆ ตายก็ตายจริงๆ

    แต่
    ความจริง ความ แก่
    ความจริง ความ เจ็บ
    ความจริง ความ ตาย มันเป็นธรรมชาติ

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 พฤศจิกายน 2014
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    [​IMG]


    (k)
     
  6. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ต้นไม่มันเกิดมา มันก็แก่ มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น
    ต้นไม้ มันเกิดมามันตาย มันก็เป็นธรรมชาติ
    เราสมมุติธรรมชาติ ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น
    ว่า เป็นต้นไม้ ว่าเป็นคน เป็นสัตว์
    สมมุติธรรมชาติของต้นไม้ที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่บนแปลงไปตามธรรมชาติ
    เรียกว่า การแก่ สมมุติ นี่

    ความไม่เป็นปกติ ว่าความเจ็บ ความไข้ ความอาพาท
    สมมุติ ความตายตัว ความตาย ว่าเป็น ความตาย
    ความจริง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
    มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
    แก่ ก็เป็นคำสมมุติกัน
    เจ็บก็เป็นคำสมมุติกัน
    ตายก็เป็นคำสมุมติกัน
    แม้ความเกิดก็เป็นคำ ว่า สมมุติกัน
    สิ่งที่เกิดจริงๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึก ไม่ได้รู้เห็นอะไร
    ต้นไม้มันเกิด มันก็ไม่รู้ว่ามันเกิด

    ฟันของเราเกิด ฟันรู้ว่าฟันเกิดมั๊ย เกิดมาทีแรกไม่มีฟันแล้วฟันเกิดทีหลัง ฟันรู้ว่ามันเกิดมั๊ย
    ผม ขน เราจะถอนเราจะโกน นี่ แล้วทีนี้มันยาวมา แล้วมันรู้ว่ามันยาวมั๊ย
    เล็บก็เหมือนกัน เดี๋ยวเราตัดเดี๋ยวขูด เดี๋ยวตัดเดี๋ยวขูด
    ที่มันยาวมันหนาออกมา มันรู้ว่ามันยาวมั๊ย
    หนังก็เหมือนกัน มันยืด มันยืด มันรู้ว่ามันโตขึ้นมั๊ย
    มันเหี่ยว มันเหี่ยว มันรู้ว่ามันเหี่ยวมั๊ย ถามมันดู ถามมันดู

    ถามแล้วมันจะบอกว่า ถามแล้ว ใครจะเป็นคนตอบ
    หนังมันตอบไม่ได้ เรานี่แหล่ะเป็นผู้ตอบ
    เราคือใคร คือใจของเราจะตอบ ใจของเราเป็นผู้ถาม ใจของเราเป็นผู้ตอบ
    ใจของเราศึกษาชัดแล้ว จึงตอบมาตามที่เห็นชัดนั้น

    ในเรื่องในลักษณะนี้ เรียกว่าเป็นการศึกษา
    ภาวนา คือทำให้เกิด การที่จะเกิดความรู้ ความแจ้ง ความชัดขึ้นมา
    จะต้องอาศัยการศึกษาทั้งนั้น

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    ภาวนาธรรมะหัวตัว ในเมื่อธรรมหัวตอ หัวตอมันจะรู้เรื่องอะไร
    มันไม่รู้ จนกระทั่งมันเป็นหัวตอ

    ภาวนาอยากตั้งใจรวม ภาวนา อยากจะให้ใจสงบ
    ถ้าหากว่ายังอยากให้รวมอยากให้สงบอยู่
    ควมอยากยังมีอยู่ในใจตราบใด
    ความอยากอันนี้นะ มันจะทำให้ความสงบไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น

    ละความอยากทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มันมีอยู่ในใจ
    ละได้แล้ว ความสงบมันเกิดขึ้น
    ในขณะที่ละความอยากได้นั้น ในเมื่ออยากเห็นเทวดานี่

    เทวดาเป็นกายทิพย์ เป็นของกายละเอียด
    ให้ดูกายหยาบๆ นี่ให้มันเห็นชัดตามความเป็นจริงเสียก่อน

    เห็นกายหยายชัดตามความเป็นจริงแล้ว
    เรื่องของกายละเอียดไม่ต้องปราถนา
    ถ้าหากว่า ตาของเรามี ที่จะเห็นได้ มันจะเห็นเอง

    แม้แต่จะอยากได้มรรคผล อยากถึงพระนิพพาน
    ก็ให้ตัดความอยากนั้นเสีย
    ถ้าหากว่ามีความอยากอยู่

    มันอดที่จะไปโมเมไม่ได้ โมเมเป็นอย่างนั้น โมเมเป็นอย่างนี้
    โมเมเป็น อะไร ต่อมิอะไร
    ในที่สุดไม่ได้เรื่องอะไร เรียกว่า

    ความอยาก มันเป็นไฟ
    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
    เรื่องของความอยาก
    เรื่องของตัณหาทั้งหมด เหมือนกับไฟ เผาหมด

    ของแห้งก็เผา ของสดก็เผา
    น้ำ ไฟมันก็ยังเผา

    มันเผายังไง เผาจนกระทั่งเดือด เผาจนกระทั่งแห้ง
    อย่างว่า ไฟมันเผาไม่เลือก
    ตัณหามันก็เผาไม่เลือกเหมือนกัน

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 พฤศจิกายน 2014
  8. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อนุโมทนาบุญกับท่านปราบฯ ที่ได้ลงแก่นๆให้ได้อ่านกันบ้าง เว็บพลังจิตของเราจะได้ชื่อว่าเป็นเว็บเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    เผาจนกระทั่ง ศีล ตัณหามันก็เผาจนกระทั่งศีลหมด
    เผาสมาธิ ตัณหามันก็เผาจนกระทั่งสมาธิไม่มีตกค้าง
    เผาปัญญา เผาจนกระทั่ง ปัญญา เคยสว่าง เคยใส เคยแจ้ง มองเข้าไปมันมืดไปหมด

    ความอยาก มันเผาธรรมะ
    เผาจิตเผาใจ เผามรรค ผล นิพพาน
    ความอยากตัวนั้นเผา

    ละความอยากเสียให้หมด ใจเป็น ศีล
    ละความอยากเสีย ใจเป็น สมาธิ
    ละความอยากเสีย ใจเป็น ปัญญา
    ละความอยากเสีย ใจเป็น มรรคผล

    ที่ว่าความอยากอันนี้ เป็นตัวอันตราย
    อยากได้สำเร็จมรรคผล อยากได้เห็นเทพ อยากเห็นเทวดา

    อยากอะไรก็คือ ตัวอยากนั้นล่ะ คือตัวอันตราย
    มีแต่ที่จะกดเจ้าของให้ต่ำลงไป ให้มืดหม่นลงไปอย่างเดียว

    ตราบใดที่ยังละความอยาก ในจิต ในใจ ไม่ได้
    ความสว่าง กระจ่างแจ้ง ไม่ต้องไปปราถนา เพราะปราถนา มันก็ไม่เห็น

    ผมก็ไม่สนใจจะดู ขนก็ไม่สนใจจะดู เล็บ ฟัน หนัง ก็ไม่สนใจจะดู
    กองเกิด กองแก่ กองตาย กองอริยะสัจจะธรรม
    กองอริยะสัจจะธรรมก็ไม่สนใจจะดู

    นี่ อยากให้ใจเคลิ้ม อยากให้ใจเคลิ้มๆ จะได้เห็นเทพ เห็นเทวดา
    นี่ กิเลส มันฉลาดถึงขนาดนี้

    มันกล่อมคนโง่ จนกระทั่งอยู่ในกำมือ
    มันกล่อมคนโง่ จนกระทั่งอยู่ในกำมือของมันได้

    กิเลสมันไม่มันไม่ใช่เหตุมันไม่ใช่โง่นะ
    บางทีมันกล่อมจนกระทั่งพระกรรมฐาน กล่อมจนกระทั่งอยู่ในกำมือ


    อย่าไปปราถนาอะไร
    คุณงามความดี คุณธรรม มรรค ผล นิพพาน

    ไม่ใช่อยู่ที่อื่น

    ไม่ใช่อยู่ที่วัด ไม่ใช่อยู่ที่วัดใด
    ไม่ใช่อยู่ในประเทศใดๆ
    ไม่ใช่อยู่ในประเทศไทย
    ไม่ใช่อยู่ในภาคอิสาน
    ไม่ใช่อยู่ในภาคเหนือ

    และ ไม่ใช่อยู่ในประเทศอินเดีย ศรีลังกาที่ไหนดอก
    อยู่ในกองเกิด กองแก่ กองตาย กองนี้
    อยู่ในกอง อริยะสัจจะธรรม กองนี้

    ใครต้องการถึงมรรค ถึงผล
    ให้เอาใจ สัมผัส สัมพันธ์ อยู่กับกองอริยะผล กองนี้
    กองมรรค กองผล กองพระนิพพาน มีโอกาสที่จะเจอได้
    นี่เพราะอยู่ในกองอริยะสัจจะธรรมกองนี้เอง

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤศจิกายน 2014
  10. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    เราจะพิจารณาความจริง กันต่อไป
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    จึงว่า กิเลสนี่มันฉลาดจริงๆ มันจูงจมูก มันจูงจมูก จูงเหมือนจูงควาย

    มันโง่มันก็โง่เหมือนควายนั่นนะ จูงไปไหนก็ป๊าย จูงไปไหนก็ป๊าบ จูงไปไหนก็ไป
    นี่ ไปแสงวหา อันนั้นดี อันนั้นดี อันนั้นดี๊
    นี่ กิเลสมันโกหกหลอกลวงถึงขนาดนั้น
    มันจะโกหกหลอหลวง มันก็โกหกหลอกลวงได้เฉพาะคนโง่ เนี๊ยะ

    ควาย ถ้าหากว่า ยังไม่เอาเชือกมาร้อยจมูกเนี๊ยะ จูงไม่ได้น๊า
    ควายที่เอาเชือกร้อยจมูก ก็จูงไป๊
    พระกรรมฐานถูกกิเลสจูง มันก็เหมือนกับควายที่ได้เอาเชือกร้อยจมูกเท่านั้น นี่เรื่องอะไร๊

    กรรมฐานทั้งนั้นล๊ะ กรรมฐานไม่ใช่อะไร
    โยมก็กรรมฐาน
    โยมก็มีผม
    โยมก็มีขน
    โยมก็มีเล็บ
    โยมก็มีฟัน
    โยมก็มีหนัง
    สรุปแล้ว พระกรรมฐานทั้งนั้น

    พระกรรมฐานไม่ใช่ห่มผ้าดำด๊ำ

    นี่ ไปบิณฑบาตรตามตลาด นี่
    พระห่มผ้าดำด๊ำแบก สะพายกลดแบก
    ตะพายบาตร แบกกลดไปตามสถานีรถ
    สถานีรถยนต์ สถานีรถไฟ สถานีดอนเมือง สถานีทางอากาสยานนู้น
    พระกรรมฐานมันไม่ใช่อย่างนั้นน๊า

    กรรมฐานเหมือนกันหมด
    ใครไม่มีผมมีมั๊ย
    ใครไม่มีขนมีมั๊ย
    ใครไม่มีเล็บมีมั๊ย
    ใครไม่มีฟันมีมั๊ย
    ใครไม่มีหนังมีมั๊ย

    นี่ กรรมฐานคืออะไร เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ
    ใครไม่มีเกศา
    ใครไม่มีโลมา
    ใครไม่มี นขา
    ใครไม่มีตะโจ ตะโจหนัง

    มังสังเนื้อ ใครไม่มีเนื้อ นี่

    อัฐฐี กระดูก ใครไม่มีกระดูก มั๊ยล่ะ เรียกพระกรรมฐานทั้งนั้นล่ะ

    อย่าให้กิเลสมันจูง กิเลสมันจูง มันจูงควายอย่างนั้นล่ะ เห็นมั๊ยล่ะ

    ไอ้ควายที่มันไม่มีเชือกร้อยจูงจมูกมันจูงไม่ได้น๊ะ
    ที่จูงได้ก็หมายเป็นควายที่เอาเชือกร้อยจูงได้ก็จูงป๊าย

    จูงไปภาคเหนือ
    จูงไปภาคใต้
    จูงไปภาคกลาง
    จูงไปจนกระทั่งประเทศนอก
    จูงไปจนกระทั่งประเทศศรีลังกา อินเดียนู้น

    คิดแล้วก็เป็นเรื่องน่าคิด คิดแล้วก็เป็นเรื่องน่าสลดสังเวช

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ธันวาคม 2014
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    คิดตามประสาคน คิดตามประสาคนไม่มีบุญไม่มีวาสนา
    บุญวาสนาไปต่างประเทศกะเค้าไม่มี
    บุญวาสนาที่จะไปกราบ
    สถานที่ประสูติ
    สถานที่ตรัสรู้
    สถานที่ปรินิพพาน มันไม่มี

    มันก็คิดตามประสาเล่า สถานที่ประสูติ ของพระพุทธเจ้า
    สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    สถานที่นิพพานของพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าเกิด ก็คือพระพุทธเจ้า ตรัสรู้
    กิเลสดับเมื่อไร พระพุทธเจ้าเกิดเมื่อนั้น

    เราๆนี่ก็เหมือนกัน อริยะสัจจะธรรมนี่ ให้มันแจ้งประจักษ์ลงไป
    ไม่มีอะไรที่จะดับกิเลสได้ มีแต่อริยะสัจจะธรรมเท่านั้น

    พุทโธเบิกบานขึ้นเต็มที่ ในเมื่อกิเลสดับไปแล้วจะไปหาที่ไหน สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
    นี่พระพุทธเจ้าเกิด เกิดที่ไหน ก็เกิดที่ใจ ในขณะที่กิเลสมันเดับ
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ไหน ตรัสรู้เมื่อกิเลสมันดับไปนั้น
    พระพุทธเจ้านิพพาน ก็หมายกิเลสดับไปขณะใด ก็ขณะนั้นล่ะเรียกว่า นิพพานแล้ว
    แล้วสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน อยู่ที่ไหน

    อยู่ในเมืองอินเดียนั้นเหรอ นี่แหล่ะ กิเลส

    ถ้าหากว่าเมืองอินเดีย มันเป็นเมืองมรรคเมืองผล
    แขกมันก็ไม่เป็นแขกใช่ไหมล่ะ

    แขกมันก็เป็นพระอรหันต์กันหมด แขกมันก็เป็นเทวดากันหมด

    พูดตามภาษาเรา บ้าๆ บอๆ คิดตามประสาของคนฟุ้งซ่าน

    ใครอยากได้ยินได้ฟังก็มา คนไหนไม่อยากได้ยินได้ฟัง อย่ามาใกล้
    เราไม่ปราถนา เราไม่ปราถนา

    คนฟุ้งซ่านจะปราถนาให้คนมาได้ยินได้ฟังที่ไหน
    โอปนยิโก โอปนยิโก
    โอปนยิโก สวดกัน จนกระทั่งคอ คอจะพัง
    มันแตกมันก็พังทีเน้อ
    มันตายมันก็พังนั่นแหล่ะ
    มันใกล้จะตายด้วยกันทุกคน มันยังหายใจอยู่เท่านั้นเอง
    ไม่หายใจมันพลาดพรั้งกันไปหมดแล้ว

    โอปนยิโป ให้น้อมมันเข้ามา น้อมเข้ามา
    ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้นั้น เป็นความสัตย์ ความจริงทั้งนั้น

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2014
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    มีแต่ส่งไป ส่งไป ส่งไป ส่งไป มันจะไปเห็นอะไร มีแต่กิเลสมันจูงไป
    น้อมเข้ามามันก็ไม่เข้า น้อมเข้ามามันก็ไม่เข้า มันจะเข้ายังไง
    กิเลสมันดึงไป กิเลสบังคับเอาไว้
    ข้างในมันก็คับ ข้างนอกมันก็ลากไป แล้วมันจะเข้ามาได้อย่างไร
    ข้างในมันก็ดันออกไป ข้างนอกมันก็จูงออกไป
    ดันออกไปไหน ดันออกไปหาอาหารมาให้มัน

    อะไร อะไร อะไรที่เค้าว่ามันดี มันก็อยากได้สัมผัส
    นั่นแหล่ะ ออกไปหาให้มัน ออกไปหาอาหาร

    โอ้ๆ คิดแล้วก็เป็นเรื่องน่า สลดสังเวช
    จึงว่า
    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด และเป็นผู้ที่ เป็นไปเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่ง

    ในเมื่อผู้ใดเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม เป็นประโยชน์ แก่โลกอย่างยิ่ง

    ในเมื่อท่านผู้ใดเข้าถึงพระธรรม พระสงฆ์เป็นใคร เป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่ง

    ในเมื่อท่านผู้ใดเข้าถึงพระสงฆ์
    เข้าถึงพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงพระสงฆ์ นั่นเข้าถึง
    เข้าถึง พระศาสนา

    เข้าถึงพระศาสนาแล้ว กิเลสมันเข้าไปใกล้ได้มั๊ย ไม่ได้
    พุทธานุภาเวนะ
    ธัมมานุภาเวนะ
    สังฆานุภาเวนะ
    อานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    กำจัด กิเลส ตัณหา ออกจากจิตจากใจได้หม๊ด
    แล้วกิเลสตัณหาภายนอกมันจะเข้ามาได้ยังไง

    แม้แต่กิเลสตัณหาภายใน มันก็ยังขับไล่ มันก็ยังกำจัดออกได้
    ข้าศึกที่อยู่ภายใน มันก็ยังกำจัดออกให้หมด ให้สิ้นได้

    แล้วข้าศึกที่อยู่ภายนอกมันจะกล้าเข้ามาหรือ

    เรียกว่า
    พุทธานุภาเวนะ อำนาจ ของพระพุทธเจ้า
    ธัมมานุภาเวนะ อานุภาพของพระธรรม
    สังฆานุภาเวนะ อานุภาพของพระสงฆ์

    ไม่มีอะไรที่จะมาเสมอเหมือน อะไรที่จะมีอานุภาพ
    เดชานุภาพซักขนาดไหน เพียงไรก็ช่าง
    จะกำจัด จะขับไล่ กิเลส ข้าศึก ที่มันฝักลึกอยู่ในจิตในใจ ให้มันหนีไป ไม่มี
    มีแต่
    พระพุทธเจ้า
    มีแต่ พระธรรม พระสงฆ์
    และ มีแต่ อริยะสัจจธรรม เท่านี้
    เป็นหลักการที่จะเดินเข้าไปถึง คำว่า
    พระพุทธเจ้า
    คำว่าธรรมะ
    คำว่าพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้านั้น

    ให้มันพากันฟังให้มันชัด

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2014
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    หูมีใช่ไหมล่ะเดี๋ยวนี้ หูมึงกะหูอะไร หูกะทะนี่ ตากะมีเหมือนตาบอด หูมีเหมือนหูหนวก
    เดี๋ยวนี้ ตาบอดหูหนวกมีเยอะ พระกรรมฐานห่มผ้าดำๆ
    มันเป็นตาน่าโมโหจริงๆนะเดี๋ยวนี้
    บวชเป็นพระกรรมฐานทั้งที

    โลก เค้ายกมือสาธุการ เป็นครูเป็นอาจารย์
    ยังโง่กว่ากิเลส อันนี้มันใช้ได้ที่ไหน ตายซะยังดีกว่า อยู่ทำไม
    ตายไปแล้ว มันแล้วไปเลย มันไม่เป็นอีกนะ อับอายขายขี้หน้า
    มันไม่เป็นเยี่ยงอย่าง มันไม่เป็นเยี่ยงอย่าง มันไม่เป็นตัวอย่าง
    ทีเป็นไป ทางหายนะในพระพุทธศาสนา

    คำพูดอย่างนี้ ใครจะว่า ทิฐิ ใครจะว่ามีกิเลส ว่าไปเลย เราพอแล้ว
    พอในการที่จะให้คนมาใกล้ พอในการที่จะอยากให้คนมาได้ยินได้ฟัง

    เดี๋ยวนี้กลัว
    กลัว กลัวคนเข้ามาเกี่ยวข้อง กลัวความเจริญ
    มีแต่จิตจะหนี มีแต่จิตจะหนี
    ใจมันเป็นอย่างนั้น
    จะว่าเป็นกิเลสก็ใช่ ท่านว่า วิภวะตัณหาเหรอ ไม่อยากให้มันเป็น

    ใครจะว่ายังไงก็เถอะ

    อันนี้มันเป็นเรื่องของเรา ความจริง
    เอาความจริงมาพูด ไม่ได้เสียหายอะไร
    เราไม่ได้พูดมาอวด
    ไม่ได้พูดเพื่ออะไร
    โน๊น มองไปนู้น เสียง ตึงๆ ตังๆ ตึงๆ ตังๆ นั่น
    ใจมันมืด ใจมันบอด มีแต่คลำหา มีแค่คลำหา
    จะมูกมันยังบอดอยู่
    ของเหม็นของหอมมันก็ไม่รู้ คำว่ากองขี้มันก็ยังไม่รู้นี้
    คนจมูกบอดมันจะไปรู้อะไร ตามันยังบอดอีก หูมันยังหนวกอีกนั่นน่ะ
    คลำกองอุจจาระมันก็ยัง ห๊ะ เหมือนกับขนมอะไรนะ ขนมเปียกปูน


    สังขาร สังขารทั้งหลายทั้งหลาย
    สิ่งที่สัมผัส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนั่นเป็นสังขาร
    เรียกว่าสังขารทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วดับไป

    สังขารที่เป็นส่วนนนาม
    ความไหวตัว ความไหวตัว การไหวตัวของจิต นั่นคือสังขารก่อตัว

    สังขารที่ ก่อตัวขึ้นทั้งหมด อันนั้นก็ เป็นของที่ไม่เที่ยง
    อันนั้นก็ เป็นของที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ดับไป

    ให้มันเห็นชัดๆ เห็นชัดลงไป มันจะเกิดอย่างไร
    มันจะเกิดอย่างไร มันก็เรื่องของสังขารเกิดทั้งนั้น
    ถ้าหากว่าไม่รู้มันนี่ ไม่เห็นมันนี่ ไม่รู้ตัวมัน ไม่เห็นตัวมัน
    สังขารตัวนั้นแหล่ะ มันเป็นตัวอันตราย

    มันนึกยังไง ใจของเรานี่ มันย่อม มันจะรับรู้ หรือ มันจะสัมผัส
    ในเมื่อมันรับรู้มันสัมผัส ใจของเรานี่แหล่ะ มันจะเป็นไปตามที่มันคิดมันตรงนั้น

    ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต คำว่าจิตตัวนี้ คือจิตตะสังขาร
    การกระเพื่อมของจิต การไหวตัวของจิต ตัวนั้น คือตัวสังขาร

    ให้รู้ชัดเห็นชัด ให้รู้ชัดเห็นชัดขณะใดขณะนึง
    ความปรุงความแต่งนั้น จะดับทันที

    ความปรุงความแต่งในจิตมันดับ แล้วมันไอ้สิ่ง ที่จะเกิดขึ้นให้ใจของเราได้สัมผัส
    เกิดความยินดีได้ มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง
    เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของมีอยู่ทั้งนั้น

    ใจของเราอยู่กะใจ เราจะไม่เห็นได้อย่างไร ใจ
    ใจของเราอยู่กะใจ
    ใจเคลื่อนไหว เป็นยังไง เราจะไม่เห็นได้เหรอ เราก็ต้องเห็น ใช่มั๊ย
    นี่ใจมันไม่อยู่กะใจนี่
    ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต่างประเทศนู้น สหรัฐนู้น ไหนก็ไม่รู้
    อินเดียนู้น ศรีลังกานู้น
    คำหัวของเจ้าของกรรมฐานมันไม่สน
    มรรคผลนิพพาน อยู่ที่ไหน มันไม่อยู่ในกองอริยะสัจจธรรม นี่เหรอ
    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ธันวาคม 2014
  15. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    อะไรมันจะเป็นได้ ธรรมที่เรียกว่า ขัดเกลากิเลส มันมีแต่อริยะสัจจธรรมเท่านั้น
    ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ ไม่เห็นว่า อะไรสถานที่ไหน
    จะเป็นสถานที่ทำให้กิเลสมันสึกมันหลอ
    มีแต่กิเลสมันจะเพิ่มขึ้น ของมันได้รับประทานอาหาร ที่โอชารส คือสิ่งที่มันต้องการ
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ พระพุทธเจ้า เทศนา มีแต่ยังเข้าหาสัจจะธรรมของจริง
    ยังเข้าหา อริยะสัจจะธรรม เพราะมีอยู่เท่านี้ จะเป็นธรรมเครื่อง ทำลายข้าศึก คือ กิเลสได้
    นอกจากอันนี้ไม่มี

    เพราะสัตว์โลก ทั้งหมดที่มันหลงๆ มันก็หลงกองอริยะสัจจะธรรมนี้
    หลงอริยะสัจจะธรรม ไม่ใช่หลงอันอื่น
    หลงกองเกิด หลงกองแก่ หลงกองตาย
    หลงกะตัณหา กามะตัณหา ภวตัณหา วิภวะตัณหา
    เป็นตัวเป็นตน

    หลงว่าเป็นตัวเป็นตน หลงตัวสังขาร ที่เกิดขึ้นมา มีความต้องการ
    มีความปราถนาว่าเป็นตัวเป็นตน มันหลงอะไร หลงอริยะสัจจะธรรมเท่านั้น
    มีแต่ธรรมอริยะสัจจะธรรมเท่านั้นจะทำลายความหลงได้

    ในเมื่อความจริงมันเป็นอย่างนี้น่ะแล้วจะไปลูบคลำอะไรกัน
    ธรรมมะของพระพุทธเจ้า แทนองค์พระพุทธเจ้า สอนแจ้งประจักษ์อย่างนี้

    เราอย่าไปฟังแต่กิเลสเรา มันก็มีแต่จะมืดจะบอด เพิ่มขึ้น มากขึ้นไปทุกวันทั้งนั้น
    มีบุญอะไรขึ้นมานี่ เข้ามาบนในวัด บนอะไรก็ช่าง ต้องมีหัวหมอ
    คือ กิเลสตัวใหญ่ ตัวหมอใหญ่นี่
    มองหาช่องทางที่จะได้ผลประโยชน์ เอ้าแลกจากงานบุญนี่ ได้เท่าไหร่ นั่น
    ได้เท่าไหร่ การกุศลกลายเป็นธุรกิจ กลายเป็นธุรกิจ กลายเป็นขายบุญ
    นี่
    มันเป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวช

    (อ่านต่อตอนต่อไป)
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    (ต่อจากตอนที่แล้ว)

    เครื่องขยายนี่ ไม่รู้มันกี่เครื่อง สนั่นหวั่นไหวไปหมด
    เอ่ออันนี้ก็ยังค่อยยังชั่ว ในเมื่อมีไว้เพื่ออรรถ เพื่อธรรม

    ตรงนั้นก็จอหนังตั้งไว้ ตรงนั้นก็โรงลิเกโรงละคร ตรงนั้นก็ยัง โรงมวย

    ตรงนั้นก็ยังโรงอะไร ดงไอ่เทคๆ
    อะไรเขาอ่ะ เราก็เรียกกะเค้าไม่ค่อยจะเป็น เสียงสนั่นหวั่นไหวไปหมด
    ใครก็อยากแข่งขัน ดึงคนมาเอาเสียงดังๆ นั่นดึง รวม สิ่งเหล่านี้รวมอยู่ในวัด

    นี่หรือการทำให้ศาสนาเจริญเหมือนกัน จึงมีความเห็น บางสิ่ง บางอย่าง
    ที่เรียกว่าไม่ถูกกับพระพุทธเจ้าท่านวางไว้ เป็นคำขวัญ

    เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ลูกหา พระเทวทัต รู้สึกว่า ในความรู้สึกของเรา
    บางทีประกวดนางงามประกวดเทพี ประกวดในวัดก็มี
    ประกวดนางงามประกวดเทพี
    ก็รู้อยู่นี่ การนุ่งการห่มมันเป็นยังไง เอาไปประกวดในวัด นั่น
    เพื่อต้องการให้คนเข้าวัดเข้าไปเที่ยวในวัด แล้วก็ยังมี บางที ยังมีการเก็บค่าดูอีก
    เอาเงินบำรุงวัด แน่ะ เอาเงินอย่างมานี้บำรุง นะ ถึงจะได้เงินก็จริง

    เอาเงินมา อย่างนี้มา มาบำรุงวัด วัดนั้นก็ไม่เป็นมงคลดอก
    เงินเหล่านี้ บางทีเป็นอันตรายแก่ผู้ได้ซ่ำ เทวดาสาปแช่ง
    จัดตัวเป็นมิจฉาชีพเลยทีเดียว ไม่เป็นธรรมในการแสวงหา

    ต้องคิด ต้องอ่านอยู่ซ่ำ

    เรื่องเหล่านี้มันผ่านมาในความรู้สึก เพราะตาเรามี เพราะหูเรามี
    มองไปในไหน เราก็มองอะไรมี อะไรสัมผัสตาเราก็เห็น อะไรมาสัมผัสหูเราก็รู้


    จบไฟล์นี้เพียงเท่านี้

    ยินดีกับผู้ได้อ่านได้ฟังและน้อมไปฏิบัติตามทุกท่าน
     
  17. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เป็นยังไงน้อ.. . กายทิพย์
     
  18. รามเมืองลพ

    รามเมืองลพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +99
    อนุโมทนา กับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. นราสภา

    นราสภา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,961
    ค่าพลัง:
    +356
    จารย์ จารย์ เอาหอกข้างเเคร่ ปักลงตรง กายทิพย์

    เเล้ว กายหยาบ มันจะเจ็บไหมครับ

    :p
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    กายทิพย์ก็มี กายพวกเทวดา มาร พรหม เป็นต้น
    บางทีชาวบ้าน บ้านๆ ก็เรียก คนที่วิญญาณออกจากร่าง ว่ากายทิพย์เป็นต้น


    ส่วนหอกข้างโซฟา ถ้าคนมีวิชาทำเป็น กายหยาบก็จะออกอาการ
    พอกายทิพย์เข้าร่างก็จะโอดครวน

    ส่วนพวกกายทิพย์อื่นๆ อันมี พวก เทวดา เป็นต้น
    คนมีวิชา มีอิทธิฤทธิ์ มีบุญฤทธิ์ ก็สามารถ ไว่ว่าน ได้เหมือนกัน
    ข้อนี้ก็ หายาก ที่จะมีผู้ทำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...