ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การที่ "สามารถ ดับ ขาดจากกัน หรือ ย้ายออก เมื่อไหร่ก็ได้ " นั้นล้วนมาจากพื้นฐานของ "วสี 5 จากกายเวทนา และการทำ ปัฏฐาน ของสภาวะรู้ เป็น สภาวะรู้" มาก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะทำให้ การฝึก สติ ในระดัะบที่ 7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" เนิ่นนานเกินไป และหากไม่สามารถ หลุดออกพ้นออก มาจากตนได้ ก็จะต้องไปฝึกกันต่อในชั้น อวิหา จนถึง อกนิฏ กันอีกยาวนาน จนกว่าจะ "เป็น" สภาวะรู้ได้อย่างแน่นอนแล้วเท่านั้น นะครับ
     
  2. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ตอนนี้ได้คำตอบแล้วค่ะว่าอาการตรงกับแบบที่เท่าไหร่ ช่วงหลังๆมานี้ สังเกตุ จิตใจร่มเย็นมาก แบบว่าไม่ว่าจะมีอะไร จิตใจก็ไม่สะทกสะท้านสะเทือน อิอิ
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    มีเรื่องเล่าสู่กันฟังเฉยๆ

    เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ก๋งของลูกสาวป่่วยหนัก นอนนิ่งไม่รู้สึกตัว เขารักก๋งมาก เราก็พูดพร้อมแทรกธรรมะให้ลูกสาวได้เข้าใจถึงกฎของธรรมชาติว่า ก๋งไม่ได้ตายหรอก แค่ถึงเวลาที่จะต้องละทิ้งกายเนื้อที่เคยอาศัยอยู่ในขณะนี้ แล้วย้ายไปอยู่ภพภูมิอื่น ถ้าอยากติดต่อกับก๋งก็ต้องฝึกต้องปฏิบัติให้จนมีีความสามารถ ลูกบอกร่างกายก๋งไม่ตอบสนองอะไรแล้ว เราก็เตือนลูกให้ระวังเรื่องการพูดคุย แม้ร่างกายจะไม่ตอบสนองอะไร แต่ก๋งก็ยังสามารถได้ยิน ไม่ให้พูดอาลัยอาวรต่อกันที่เป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมอง ลูกก็โอเค เมื่ออาทิตย์ก่อนก็โทรมาบอกอาการอีก เราก็บอก ก๋งยังไม่อยากไป คงยังไม่ถึงเวลาไป ยังห่วงอาม่า ให้บอกอาม่าบอกก๋งด้วยว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาจริงๆก็คงต้องไป น่าจะเป็นหลังวันแม่ พอเย็นวันที่ 13 ลูกติดต่อมาบอกว่าก๋งไปสวรรค์แล้ว

    ก่อนหน้านั้น ช่วงที่นั่งเงียบๆอยู่หน้าบ้าน (ตอนที่ก๋งนอนอยู่ รพ.) อยู่ๆใบหน้าก๋งก็แวบขึ้นมาให้เราเห็น เราก็รู้แล้วว่าก๋งมาหา ก็เลยบอกไปว่า อดีตที่แล้วๆมาหนูไม่เคยมีอะไรค้างคาใจเลยนะ อโหสิกรรมให้ซึ่งกันและกัน ขอให้ก๋งไปสู่ภพภูมิที่ดีภพภูมิที่สูงๆ

    เมื่อวานเปิดธรรมะฟัง พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อฯตอนหนึ่งท่านพูดว่า กายนี้ไม่มีอะไร มันเป็นแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมตัวกันจึงเป็นกาย พอได้ยินประโยคนี้เราก็หยุดกึ๊กเลย อึ้ง อ่าว นี่มันใช่เลยหนิ เห็นเองเลยทีนี้ (เพราะเคยพิจารณาอยู่เงียบๆตอนที่ลูกบอกอาการก๋ง ขณะที่ธาตุทั้ง 4 เริ่มดับไปทีละธาตุ ) ช่วงที่ขณะกำลังนิ่งอยู่ สังเกตุมีคล้ายๆอากาศผุดขึ้นจากลิ้นปี่ เคลื่อนจากลิ้นปี่ผ่านคอหอยขึ้นไปที่หัวแล้วดันออกทางใบหน้า น้ำตานี่ไหลพรากเลย มันร้องไห้ออกมาจากลึกๆข้างใน ร้องไห้เพราะเห็นความจริง “ เรานี่ก็หลงเข้าใจมาตั้งนานว่าร่างกายนี้เป็นตัวตน ความจริงคือร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตน ที่มันเกิดขึ้นก็เพราะธาตุทั้ง4มารวมตัวกัน” พิมพ์ตรงนี้แล้วทำให้น้ำตาคลออีก แต่ก่อนยังไม่ฝึกสติ ได้ยินบ่อยมากเกี่ยวกับธาตุดินน้ำลมไฟนี่ ฟังแล้วก็รู้ รู้แล้วก็แค่รู้ มันไม่เข้าไปลึกๆถึงในจิตในใจหรอก แค่ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา เพราะมันไม่มีปัญญา มันปึกคัก เฮ่อๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ OK หลับแบบที่ 5 อิอิ จริง ๆ แล้วก็ไม่เคยตั้งใจว่า การหลับจะมีกี่แบบอะไรเลย แต่พอ map จิต วินิจฉัยลงไปในรายละเอียดแล้ว มันก็โผล่ออกมา 5 แบบเอง

    +++ ถูกแล้ว เป็นลักษณะที่จิตอื่น ติดต่อมา แต่ให้สังเกตุนิดหนึ่งว่า "ในขณะที่กายจิตปรากฏนั้น มีร่างมาแสดงแค่ไหน ก็ให้รู้ว่า มีสติประกอบกายจิต อยู่แค่นั้น"
    +++ หากต้องการให้ ก๋ง ไปในที่ดีกว่านี้ ก็ให้ "นึกภาพ ก๋ง แบบเต็มตัว" พอกายจิตของ ก๋ง ปรากฏแล้ว "ให้ออกมาเป็น สภาวะรู้ แต่ปล่อยให้ตัวดู ยังมีอยู่" แล้วให้ใช้ "ตัวพูดมาก" บอกกับ ก๋ง ให้รีบอนุโมทนา (กับการแสดง สภาวะรู้) เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วง 3-7 วันอยู่ ก็จะช่วยส่งให้ไปดีได้ และตอนนี้ยังอยู่ในช่วง "อสัญกรรม ส่งผลก่อน" ให้ลองทำดูนะ

    +++ การ "เห็น" จาก การเดินจิต เป็น "โอปานะยิโก" ย่อมเกิด "ปัจจัตตัง เวทิตัปโป วิญญูฮีติ" ซึ่งย่อมมีความแตกต่างไปจาก "การสมมุติให้จิตดู" (การเห็นจากความคิด) เป็นธรรมดา

    +++ ถูก คล้าย "ก้อน" อากาศ (ลูกโป่งฟองสบู่) แต่หากดูดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่า "มันเป็น ก้อนกสิณ ก้อนหนึ่ง" (แปลกแต่จริง ตามธรรมชาติ เชื่อหรือไม่ มันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ดี นั่นแหละ) ตรงนี้แหละ คือ "จิตผุด" นั่นเอง

    +++ เป็นมันผุด มันผ่าน แล้ว มันดันออกทางใบหน้า ส่วนเราก็เป็นเพียงแค่ "พยานในปรากฏการณ์นี้" เฉย ๆ เท่านั้น "แม่น บ่"

    +++ จริง ๆ แล้ว ตรงนี้ "เป็นมันร้อง หรือ เป็นเราร้อง" กันแน่
    +++ และ "ระบบ" ในการ ร้อง ตรงนี้ "มีการทำงาน" แบบนี้

    +++ มีการ ส่งคลื่นพลังของความสั่นสะเทีอน แบบต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งขาดตอน เรียกมันว่า "คลื่นร้องไห้" ไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน จุดกำเหนิดของคลื่นนี้ อยู่ในบริเวณ "ลิ้นปี่" (จักระตัวที่ 3)
    +++ มันส่งคลื่นพลังงานแบบต่อเนื่อง มาจนถึง "ตัวดู" (จักระตัวที่ 6) จากนั้น "ตัวดูก็เลย รับช่วงต่อ" แล้วทำการ "Energize" ส่งออกทางใบหน้า จากนั้น "ตัวพูดมาก" (จักระตัวที่ 5) ก็เลย ประสานงาน การร้องไห้ ออกมา

    +++ หากตรงนี้ เราเป็นเพียงแค่ "สักขีพยาน" ในการทำงานของขันธ์ โดยที่เราไม่ได้เข้าไป "แทรกแซง" อะไรกับมัน โดยปล่อยให้มันเป็น อย่างที่มันเป็น
    +++ เราก็จะเริ่มเข้าใจ ในกระบวนการของ "ทุกข์ และ การยึดทุกข์" ได้ไม่ยาก รวมทั้งเข้าใจใน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของ "หลวงตามหาบัว ร้องไห้" ได้อีกด้วย

    +++ คลื่นพลังงานที่ส่งออกมาจาก ลิ้นปี่ เป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่เด่นชัด ในยามที่มัน "ชำแรก" ขึ้นมาเป็นช่องทาง จะมีลักษณะเหมือน "รอยร้าว" ประการหนึ่ง ชำแรกเป็นโพลงขึ้นมา คล้ายก้อน แมกม่า ยามผ่านหน้าอก จะเกิดอาการ ร้อนผ่าว (จักระตัวที่ 4) ก่อนที่จะเกิดอาการ "ดันทุรัง" กับคอหอย (จักระตัวที่ 5) แล้ว ระเบิดทะลุทะลวงขึ้นไป แบบปล่องลาวา ตอนนี้ในบริเวณ โพลงจมูก จะเกิดอาการ "แสบร้อน" ขึ้นมาก่อน (น้ำมูก จะโดนรบกวนก่อน) จากนั้นจึงผ่านไปถึง "Chamber" ของตัวดู แล้วจึงเกิดอาการ "แผ่ซ่านของรังสีความร้อน" เปล่งปะทุไปหมดทั้ง กระโหลกศีรษะ เป็นอาการแบบ "ซ่านร้าวละเอียด" และเกิดแรงดันออกมาในจุดที่ง่ายที่สุด นั่นคือ ทางเดินของ ตัวดู นั่นแหละจึงทำให้ น้ำตาเริ่มไหลออกมา จากนั้น "ตัวพูดมาก ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย" ก็เข้ามาทำหน้าที่ "เป็นล่าม" แปลอาการออกมาเป็น "ร้องไห้" นั่นเอง

    +++ ขันธ์ กับ ทุกข์ เป็นของคู่กัน หากเราตามมันทันก็จะรู้ได้ว่า แผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด มันมาได้ยังไง อิอิ (อาการมันเป็นแบบเดียวกันนั่นแหละ)(ให้รู้ไว้เฉย ๆ แต่ห้ามฝึก ลอง map จิตดูก็รู้เอง)

    +++ นั่นแหละธรรมชาติ ของการศึกษาแบบทางโลก คือ "สมมุติให้จิตมันดู" (คิดเองเออเอง) มันก็ได้แค่ อือ ๆ ออ ๆ ห่อหมก ไปวัน ๆ แล้วก็เอา ไอ้ อือ ๆ ออ ๆ เก็บไว้เถียงกับคนอื่น ทะเลาะกันแบบ ห่อหมก ของใครอร่อยกว่ากัน เท่านั้นเอง เสียเวลาไป ชาติต่อชาติ แท้ ๆ

    +++ ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตาม หากไม่ "นำตนลงไปในอาการ" (ปัฏฐาน หรือ โอปานะยิโก) แล้ว จะเข้าใจอะไรจริง ๆ (ปัจจัตตัง เวทิตัปโป วิญญูฮีติ) ไม่ได้เลย นะครับ
     
  5. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ประโยคนี้สำคัญ เป็น checklist ในผลการปฎิบัติได้
    "+++ หากตรงนี้ เราเป็นเพียงแค่ "สักขีพยาน" ในการทำงานของขันธ์ โดยที่เราไม่ได้เข้าไป "แทรกแซง" อะไรกับมัน โดยปล่อยให้มันเป็น อย่างที่มันเป็น
    +++ เราก็จะเริ่มเข้าใจ ในกระบวนการของ "ทุกข์ และ การยึดทุกข์" ได้ไม่ยาก รวมทั้งเข้าใจใน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของ "หลวงตามหาบัว ร้องไห้" ได้อีกด้วย"

    อีกหนึ่งอาการที่ช่วงนี้เป็นบ่อย เวลาที่ต้องเป็นสักขีพยานในการทำงานของขันธ์ มันจะเอ๊ะว่า ส่วนของขันธ์มีกระบวนการทำงานของมันไป แต่พอมาเช็คกลับมากที่เรา ปรากฎว่าเราว่างอยู่นี่นะ มันจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ ถึงการทำงานของขันธ์ที่แยกจากเราที่รู้อยู่

    การฝึกในช่วงแรก ๆ ด้วยความเคยชินมันจะอดที่จะเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ เพราะยังรู้สึกว่ามันเป็นเราอยู่ แต่พอเริ่ม"รู้ตัวดู" ก็จะแยกได้แล้ว ฐานที่มั่นคงจะทำให้เราสามารถปล่อยให้ขันธ์ทำงานได้โดยที่ไม่เข้าไปแทรกแซงได้ และความจริงก็ปรากฎ
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ มันเป็นเช่นนั้นแล... มันมีอยู่ทั้งคู่ มันก็ทำงานได้ตามปกติ เราก็รู้ของเราไปตามปกติ อือ... ไม่เห็นมันเป็นอะไร แล้วก็ ไม่เห็นเรามีอะไร

    +++ ก็เห็นมีก็แต่เพียง "ตัวดู" ตัวเดียวเท่านั้นแหละ ที่มันเป็นทั้ง "ผู้สร้าง" "ผู้รักษา" "ผู้เบื่อหน่าย" "ผู้เมตตา" "ผู้ทารุณ" "ผู้นึกว่ารู้" "ผู้ไม่เคยรู้ตน" "ผู้หิวกระหาย" "ผู้อิ่มบุญ" "ผู้เป็นพระ" "ผู้เป็นมาร" "ผู้กล้าหาญ" "ผู้ท้อแท้" "ผู้วิเศษ" "จอมอภิญญา" "เจ้าแห่งปาฏิหารย์" "ผู้ที่เป็นได้ทุกอย่าง" พอพ้นตัวนี้ได้ "เรื่องก็หมดไปเอง"

    +++ มีคำพูดอยู่คำหนึ่งว่า "กิเลส คือ สิ่งที่บดบังจิต" ดังนั้น "หากจิตคือ สภาวะรู้" เจ้า "กิเลส ก็คือ สภาวะดู" นั่นเอง

    +++ ยังมีคำพูด อีกว่า "จิตแท้นั้น ปราศจากสิ่งเศร้าหมอง" แต่ "ความเศร้าหมอง เป็น สภาวะที่จรเข้ามาเข้าบดบังชั่วคราว" นั่นแหละ

    +++ ทั้งหมดนี้ก็คือ "ตัวดู และ กำเหนิดของมัน" เท่านั้น ที่เข้ามาบดบัง "สภาวะรู้" นั่นเอง

    +++ เมื่อเรารู้ว่า "ตัวเรา คือ สภาวะอะไรที่แท้จริงแล้ว" ทุกอย่างมันก็ "ถึงบางอ้อ" เพียงแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมาก นะครับ
     
  7. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ค่ะ แบบ 5 สาเหตุมาจากประโยคนี้ค่ะ

    +++ มันเป็นอย่างนั้นเอง อย่าว่าแต่คนเลย สรรพสัตว์ทั้งมวล "อยู่ด้วยความปรุงแต่งทั้งสิ้น ตลอดกาลนาน" ยามใดที่ความปรุงแต่งตรงกัน ก็ชอบพอกันเป็นพวกเดียวกัน และ ยามใดที่ความปรุงแต่งขัดกัน ก็เป็นศัตรูกัน จองเวรกัน ต่างฝ่ายต่างก็ "รักและหวงแหน ความปรุงแต่ง ที่ตนสร้างมันขึ้นมา (อัตตาสูง) โดยไม่รู้ตัวทั้งสิ้น" ทั้งหมดนี้ "เป็นธรรมดาของสัตว์โลก ที่ต้องเป็นไปตามกรรม (ความปรุงแต่ง) นั่นเอง" นอกจากจะหวงแหน ความปรุงแต่งที่ตนสมมุติขึ้นมาแล้ว ก็มักจะหลงยึดเอาเองว่า ความปรุงแต่งที่ตนตั้งขึ้นเองนั้น เป็นความถูกต้องเสมอ นะครับ

    ตอนนี้อ่านแล้วเราก็ เออน๊อ ใช่เลย แต่ละคนอยู่ด้วยความปรุงแต่งทั้งสิ้น คนนี้ก็ว่าตัวเองปรุงอร่อย คนนั้นก็ว่าตัวเองปรุงอร่อยกว่า อีกคนก็คิดว่าตัวเองปรุงอร่อยในสามโลก อีกคนก็คิดว่าตัวเองปรุงสุดยอดแบบแซปเว่อร์ ล้วนหาสาระไม่ได้


    และประโยคนี้ค่ะ

    +++ ถูกแล้ว พระอุปัชฌาย์ ของผมเคยเปรย ๆ กับผมไว้ว่า "เมื่อถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นอะไรหรอก" ทุกอย่างเป็นเรื่องของ "ความหลง" ทั้งสิ้น

    “ ทุกอย่างเป็นเรื่องของ "ความหลง" ทั้งสิ้น “

    ตอนนั้น ขณะที่อ่านประโยคนี้ มันนิ่ง น้ำตาไหล มันเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลง มันย้อนเห็นตั้งแต่ตอนมาเกิดโน้นเลย มาแต่ตัวเปล่าๆ แก้ผ้าเปลือยกายร้องไห้มา พอเริ่มเติบโตก็เริ่มเรียนรู้สิ่งสมมุติ สะสมโลภะ โทสะ โมหะ เสพสนองกิเลส ตัณหา ราคะ นี่ก็อยากได้ นั่นก็อยากมี นี่ของกู นั่นของกู สุดท้ายเวลาตาย ร่างกายไม่ฝังก็เผา ได้มันมาเมื่อถึงเวลาก็ต้องทิ้งมันไป ของทุกอย่างที่มีที่หามาได้ ทั้งหมดต้องทิ้งไว้บนโลกนี้ เมื่อจิตมันรู้มันเห็น สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างเป็นเรื่องของ”ความหลง”ทั้งสิ้น มันก็เลยหลุดพ้นจากตรงนี้ได้ จิตใจมันเลยร่มเย็นมากน่ะค่ะ

    อาการมันจะเหมือนเราอยู่อีกระดับหนึ่ง ที่รู้เห็นความเคลื่อนไหวความเป็นไปของสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นอะไร ล้วนอยู่กับความปรุงแต่ง ซึ่งเป็นเรื่องของความหลง ทั้งหมดจึงไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ จึงกลายเป็น สภาวะรู้ ที่หมดความหมายมั่นต่อสรรพสิ่ง

    แต่สังเกตุช่วงนี้เหมือนมันจะเป็นสลับกันตามแต่จะอยู่น่ะค่ะ ระหว่างสภาวะรู้อยู่ข้างนอก กับอยู่กับสภาวะรู้เป็นไส้เทียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สภาวะรู้ เป็นส่วนที่หนึ่ง สภาวะตนกับกองขันธ์ทั้งหมด เป็นส่วนที่สอง และ สภาวะภพภูมิโลกภายนอกรวมทั้งขันธ์คนอื่น เป็นส่วนที่สาม (สังคมโลกและภพภูมิ)

    +++ ในฐานะที่ฝึกกันมา จนรู้จักทั้ง 3 ส่วนนี้ดีแล้ว ต่อไปนี้จะให้ "ทำการบ้าน" (เฉพาะผู้ที่ "เป็น" สภาวะรู้แล้วเท่านั้น ผู้ที่ยังไม่เป็น ห้ามทำ) ดังนี้

    ข้อที่ 1. สภาวะใด คือ "ผู้ท่องเที่ยว"
    ข้อที่ 2. สภาวะใด คือ "ผู้สิงสถิตย์"
    ข้อที่ 3. สภาวะใด คือ "สัจจะธรรม"

    +++ วิธีทำง่าย ๆ คือ "ถ้าสมมุติให้จิตมันดู จะผิดทันที" วิธทำการบ้านคือ "ทำโอปานะยิโก" เท่านั้น
    +++ คำตอบ "ให้ตอบ ตาม Factor ที่เกิดขึ้น" แบบ 1 ต่อ 1 คือ "มุม ต่อ มุม" หรือ "สภาวะ ต่อ สภาวะ"

    +++ ให้ทำดังนี้

    1. ในขณะที่เป็น "สภาวะรู้" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร
    2. ในขณะที่เป็น "สภาวะดู" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร (จิตของผู้ที่ฝึก เฉพาะ สมถะสมาธิ)
    3. ในขณะที่เป็น "สภาวะหลง" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร (จิตของคนทั่วไป ที่ไม่ได้ฝึก)

    +++ การบ้านง่าย ๆ ทั้ง 3 ข้อนี้ ให้ทำอย่างละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วจะรู้ได้เองว่า "ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เป็น อนันตนัย" เพราะมันเป็นการรวมการฝึก แบบรวบยอด ที่ไม่มีการสอน หรือแม้กระทั่งการกล่าวถึงจากที่ใดมาก่อน มันเป็นการฝึกของ "โลกุตตระ โลกียะ และ กฏแห่งกรรม (บ่อเกิดของ วิชชา 3 อภิญญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ) ที่รวบภพภูมิไว้ทั้งหมด"

    +++ จะเกิดการรวบยอด แบบคร่าว ๆ คือ "เห็นขันธ์ สร้างขันธ์ ฝึกขันธ์ ใชัขันธ์" "วสี 5 อยู่-ย้าย" "มหาสติปัฏฐาน 4" "มหาปัฏฐานสูตร" "มิติ และ กาลเวลา" "ภพภูมิ" "พลังงาน" "การสร้าง การอยู่ และ การทำลาย ขันธ์" (คำพูดของศาสนาโบราณ นอกศาสนาพุทธ ใช้ภาษาที่บรรยายถึง สภาวะนี้ว่า "พระผู้เป็นเจ้า" สำหรับผม เคยใช้ภาษา Playing God มาบรรยายถึง สภาวะนี้มาแล้ว)

    +++ ดังนั้นให้ฝึกให้ดี และ ละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ หากติดการใช้ภาษาตรงไหน ก็ให้บอกแต่เฉพาะ "อาการ" ของมันมาเท่านั้น โดยเรียงลำดับ "ก่อน-หลัง" ของสภาวะที่เกิดขึ้น เท่านั้น

    +++ ตอนนี้้ให้เพิ่ม เป็น "รู้ + ดู + หลง" ทั้ง 3 สถานะ และ จะใช้ "อะไรคลุมอะไร หรือ อะไรเป็นใส้เทียน" ก็ได้ แต่ให้ "ตระหนักใน สถานะทั้ง 3 ให้ดี" แล้วจะเข้าถึง "อจินไตย" ไปได้เรื่อย ๆ เพราะตอนนี้ กิจตน ไม่มีปัญหา กิจท่าน ก็เป็นไปตามโอกาสอำนวย ส่วนเวลาว่างที่มีอยู่ก็ ให้ศึกษา "อจินไตย" ไปเรื่อย ๆ จาก 3 สถานะนี้ เท่านั้น นะครับ
     
  9. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    ส่งการบ้าน รู้+ดู+หลง
    1. ทำ "สภาวะรู้" ตอนอยู่บนรถไฟฟ้า ให้คลุมขบวนที่นั่งอยู่ รู้อยู่ในขบวนรถ => ผู้ท่องเที่ยว
    2. เสร็จแล้วลองดูโฆษณา ส่งออกตัวดู แล้วปล่อยให้รู้ถูกบดบังครึ่งหนึ่ง => ผู้สิงสถิตย์
    3. กลายเป็น"หลง" ในระหว่างที่เป็นหลง มันจะวนเวียนอยู่ในวังวนความคิดจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง คือมันไม่ได้อยู่กับหนังใน TV ละ มันเป็นหนังในตัวดู =>อันนี้เมิลงงละ ว่ามันเป็นสภาวะใด เพราะเห็นมันเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย ๆ เหมือนมันเที่ยวไปในความคิดที่ผิดต่อกัน ในระหว่างที่หลงมันเที่ยวไปในความคิด ตัวดูก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ (เปลวเทียนไหวเปลี่ยนไป) หรือนี่ืสัจจธรรมของอาการหลง
    4.ชักปวดหัวเลยย้ายกลับมาอยู่รู้ต่อ
     
  10. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    มีเรื่องเล่าสนุกๆค่ะ

    เมื่อช่วงบ่าย ขณะนี่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านน่ะค่ะ มีฝูงนกประมาณ 100 กว่า บินจากระเบียงบ้าน มาเกาะบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆหน้าบ้าน แล้วพากันร้องประสานเสียงไม่หยุด สมาชิกที่บ้านบ่นเล่นๆว่าทีมเธอ(หมายถึงฝูงนก)ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดเลย ขณะนั้นเราก็นั่งเงียบๆฟังเสียงนกอยู่พอดี พอสมาชิกที่บ้านพูดขึ้นมาอีกว่า เธอช่วยบอกให้ทีมเธอเงียบๆหน่อยซิ พูดแค่นั้น สังเกตุขันธ์บริวาร กระจายขันธ์ ในปัจจุบันขณะ แล้วส่งไปที่เสียงนกแต่ละตัวทันที แค่วาระจิตเดียว นกทุกตัวเงียบกริ๊บ นานประมาณ 3-5 วินาทีได้ สมาชิกที่บ้านอุทาน เอ๊ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมเงียบพร้อมกันหมดเลย เราก็หัวเราะกรั๊กๆ หลังจากนั้นนกทั้งหมดก็เริ่มร้องประสานเสียงเจี๊ยวจ๊าวพร้อมกันเหมือนเดิม เอ้อ เป็นอะไรที่สนุกมาก นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกค่ะ อิอิ

    วันก่อนซื้อทรายมากองไว้หลังบ้าน เห็นนกทั้งฝูงพากันมานอนกลิ้งเกลือกเล่นอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน บางตัวก็นอนสไลด์จากกองทรายข้างบนไหลลงมาข้างล่าง เหมือนเด็กเล่นสไลด์เดอร์เลย เราก็ยืนมองดูทางหน้าต่าง เอ้อ ดูแล้วก็พลอยทำให้เกิดรอยยิ้มไปด้วย
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ยังให้ทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ให้ทำสลับกันไปมาทั้ง 3 สภาวะ
    +++ ในข้อที่ 3 ในขณะที่กลายเป็น "หลง" นั้น ถูกต้องทุกอย่าง ตามที่รายงานมา สัจจธรรม ของ "การหลง" นั้น เป็นอยู่อย่างนั้น "ชั่วกาลนาน"

    +++ คงเคย "ดูหนัง" เกี่ยวกับ "นักพจญเพลิง" ที่เข้าไปช่วยชีวิตผู้ที่ติดอยู่ในกองเพลิงนะ นักผจญเพลิง "ต้อง เข้า-ออก กองเพลิง เพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น"

    1. ต้องเข้าไปในกองเพลิง แล้วตามหา "ผู้ติดกองเพลิง ข้างในกองเพลิง"
    2. ระหว่างค้นหา ต้องเดิน "จากกองเพลิง สู่ กองเพลิง" จนกว่าจะเจอ
    3. ความชำนาญในการค้นหา จนเป็น "สัญชาติญาน" สามารถระบุเจาะจงได้ว่า ผู้ติดเพลิงอยู่ที่ไหน
    4. เข้าถึง ผู้ติดกองเพลิง แล้ว "รู้สภาพ" หนักเบาของผู้ที่ติดในกองเพลิง
    5. รู้วิธีที่จะ "นำตัวออกมาจากกองเพลิง" ให้พ้นภัย
    6. รู้วิธีปฐมพยาบาล และแก้อาการป่วยของผู้ได้รับพิษจากกองเพลิง

    +++ การที่ผมให้ฝึกทั้ง 3 สภาวะนี้ ก็ให้ใช้ "นักผจญเพลิง" เข้ามาเปรียบเทียบดู ก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก
    +++ นักผจญเพลิง มีความชำนาญกับกองเพลิง จนสามารถช่วยผู้ที่ติดอยู่ในกองเพลิงได้
    +++ นัก กรรม-ฐาน ก็ควรมีความชำนาญใน "กองเพลิงแห่งโมหะ" ได้
    +++ สามารถ "เข้า-ออก" จากกองโมหะ โดยไม่มี "การติดเชื้อไฟแห่งโมหะได้เลย"
    +++ สามารถนำผู้ป่วย "ที่ยังไม่สิ้นชีวิต" ออกจากกองไฟโมหะได้ (ส่วนผู้ที่ไม่มีทางเอาออกได้ ก็ต้องปล่อยไว้ แล้วเลือกเฉพาะผู้ที่ช่วยได้เท่านั้น ออกไป)

    +++ ระหว่างการเดิน "จากกองเพลิง สู่ กองเพลิง" ตรงนี้ เมิล เดินผ่านมาบ้างแล้ว (รายงานในข้อ 3 ของเมิล) นั้น ยิ่งชำนาญมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถช่วยผู้อื่นได้เร็วเท่านั้น และการ map จิต จะมีความเที่ยงตรงที่ชัดเจนตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น และอีกหลาย ๆ อย่างตามมา และ ตรงนี้เป็น "พุทธกิจ" ประการหนึ่งของผู้ที่เคย "ปรารถนาพุทธภูมิ" และ "ลาได้สำเร็จ" แล้ว

    +++ ดังนั้นให้ฝึกซ้อมตรงนี้ให้ชำนาญไว้ก่อน นะครับ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การสื่อสารแบบที่เดียวทั้งกลุ่มแบบนี้ ในครั้งพุทธกาล เคยเกิดขึ้นในครั้งที่ "พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งเหล่าสาวก" ประจัญหน้ากันกับ พญานันโทปนันทนาคราช แล้ว "พระพุทธองค์กับสาวกทั้งหมด" สื่อสารกันไปมาอย่างรวดเร็ว แบบ "สื่อสารทีเดียวทั้งกลุ่ม" แต่ละองค์ก็ล้วนทำแบบนี้ทั้งสิ้น

    +++ ในครั้งพุทธกาล การสื่อสารแบบนี้ "ถือเป็นเรื่องธรรมดา" แต่ในปัจจุบันนี้ คงเหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นพระด้วยแล้ว ยิ่งเล่าให้ใครฟังไม่ได้เลย

    +++ ตอนนี้คงรู้ชัดเจนแล้วนะว่า "พระพุทธองค์กับสาวกทั้งหมด" คุยกัน "ด้วยวิธีไหน" ถ้าอ่านในพระไตรปิฏกก็คงจะ "รำคาญเป็นอย่างยิ่ง ว่า ทำไมคุยกันเชื่องช้า น่ารำคาญอย่างยิ่ง" เพราะเหมือนกับการ "คุยกันแบบไม่รู้กาละเทศะ" เอาซะเลย

    +++ จริง ๆ แล้ว "จิตสื่อสาร" นั้น รวดเร็วกว่า "วจีจิตสังขาร" มากมาย และ "ขันธ์บริวาร" ทั้งหมดในขณะนั้น ทำหน้าที่แบบ "เจโตปริยะญาณ ทีเดียวทั้งกลุ่ม" ซึ่งถ้าไม่ได้ฝึก "การสร้างขันธ์" มาก่อน ก็จะทำไม่ได้เลย

    +++ เคยเห็นอยู่เหมือนกัน ดู ๆ แล้วก็เพลินดี และมันเป็น "ความสำราญ" ที่แผ่ออกมาจาก จิตของนก ที่กำลังเล่นอยู่ นั่นเอง
     
  13. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ช่วงนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ ท่ากราบพระทำได้แล้ว แต่จะพยายามทำให้ชำนาญค่ะ สังเกตุว่าเวลาหลับมือจะขยับเลื่อนเอง ตัวแข็ง แขน ขา กระตุก หลวงพ่อเทศน์เรื่องกิเลสขันธมาร บอกให้สู้กับมันอย่าไปกลัวมัน มันกลัวเราได้ดี ให้ใช้ปัญญา บอกสอนคนอื่นได้แต่ตัวเองโดนมันกินเรียบ ตายเป็นตายไปกลัวอะไร ความกลัวผีเกาะกุมจิตใจค่ะ แหะๆ เช่น ฝันว่าเจ้าที่แถวบ้านมาเกาะรั้วบ้านเรียก สะดุ้งตื่นแล้วยังได้ยินซ้ำกว่าจะหลับอีกเกือบเช้า รู้สึกว่าเค้ามาเรียกเฉยๆคล้ายๆเราติดต่อเค้าได้ (หลวงพ่อคงอยากพูดว่าปึกหลายก็ตายซะ 5555) สองเดือนที่ผ่านมาไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเลย ช่วงนี้เลยเริ่มปรับใหม่บังคับตัวเองนั่งทุกวัน เมื่อคืนนั่งประมาณเกือบตีสองพอนั่งลงเท่านั้นแหละเกิดอาการหัวหมุนอย่างรุนแรงตัวสั่นๆเหมือนจะถูกดึงไปข้างบนกลัวมากเลยท่องชินบัณชรสักพักท่องเสร็จอาการก็ค่อยๆสงบลงสมาธินิ่งมาก คืนก่อนหลับอยู่แล้วสะดุ้งตื่นเหมือนมีพลังงานชาร์ตมาที่มือและแขนด้านขวาแรงมากค่ะ (จริงๆที่ถามเพราะกลัวค่ะ สองคนรอบตัวที่ปฏิบัติธรรมเค้าโดนมิจฉาทิฐิเล่นงานอยู่ค่ะ ขนาดพระยังไม่เว้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 สิงหาคม 2014
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้สังเกตุ "อาการก่อนกระตุก" ให้ดีและละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ว่า "มีอาการ เสียวและชา ซ่าน ที่บริเวณที่จะกระตุก หรือไม่" หลังจากนั้น จิตจึงมีการสั่งงาน แค่ 1 วาระจิตเท่านั้น แล้วผลลัพธ์ คือ "ร่างบริเวณตรงนั้น กระตุก ทันที" ให้สังเกตุตรงนี้ "ให้ชัดเจนที่สุด เท่าที่จะทำได้" หากรู้แน่ชัดว่า "ใช่" เมื่อไร ก็ให้ลอง "เดินจิต ซ้ำรอยเดิม" คือ ทำให้เกิดอาการ "เสียวชา และ ซ่าน" เลียนแบบอาการ ก่อนกระตุก แล้ว "กำหนดจิต ให้มันกระตุก" ให้ "ทดสอบสักหลาย ๆ ครั้ง" จนสิ้นสงสัยว่า "จิตมันมีวิธี สั่งร่าง ได้อย่างไร" ตรงนี้ "เป็นของเล่น" ที่สำคัญในอนาคตตัวหนึ่งทีเดียว หากเกิดการ "ละวางปล่อยวาง" ในขณะนี้ ก็ถือได้เลยว่า "ไม่มีวาสนา ในทางนี้" แน่นอน

    +++ ถอดกายเวทนาได้เมื่อไร "ผีโดนเราหลอกแน่" เพราะเราจะกลายเป็น "ผีในผี" ที่ "เราเห็นผี แต่ ผีไม่เห็นเรา" ดังนั้น "เราหลอกมันได้สบายมาก"

    +++ จริง ๆ แล้ว หาก "อยู่-ย้าย" เป็น ก็ควร "ย้ายเข้าไปอยู่" ในอาการหมุน ๆ นั้นเลย โดยทำให้ "เราเป็นหมุน หรือ หมุนคือเรา" ก็ได้ หากทำได้แนบสนิทเมื่อไร "กายเวทนา จะสามารถแยกออกจากกายเนื้อ ได้ทันที" แล้วก็จะเข้าสู่การฝึกในภาคของ "การถอดกาย" โดยตรง (มโนมยิทธิเต็มกำลัง ต้องเป็น ตนเองถอดออกมาจากตนเอง เท่านั้น)

    +++ มิจฉาทิฐิจิตนั้น จะกลัว ผู้ที่ถอด "กายเวทนา" ออกมาจนถึงที่สุด ถึงแม้ว่าจะ "ไม่ถอดก็ตาม" ให้เพียงแค่ "เร่ง" กายเวทนาให้ครองอยู่เต็มร่าง ประมาณ 80-100% เท่านั้น มิจฉาทิฐิจิต ก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว และ หากมีโอกาส "หนี" ได้ก็จะหนีทันที และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาก "เร่ง" ได้จนถึง "จิตคำราม" เมื่อไร อาการแบบ "ราชสีห์ตะครุบเหยื่อ" จะเกิดในจิตเรา และ มีโอกาส "พุ่งวาบ เข้าใส่เหยื่อ" ด้วยอาการของ "ตัวดูทำ Teleportation" ทันที อาการนี้ คือ "อาการแห่ง ความมั่นใจถึงขีดสุด" จาก "กายเวทนา ที่เปลี่ยนมาเป็น สัมปชัญญะกาย โดยทันที" และพลังงานที่โดน "สัมปชัญญะกาย" ลากมาด้วยนั้น คือ พลังของ "สังฆาตนรก" ที่จะถาโถมเข้าใส่ มิจฉาทิฐิจิต แบบตรง ๆ ตัวทีเดียว (เรื่องของ "จิตกลัวสติ" และผีเล่นงานพระตอนบ่าย 4 โมงนั้น เคยโพสท์ไว้ในกระทู้ "หูดับ" และพลังของ "สังฆาตนรก" นั้น ค้นพบโดยบังเอิญ) หากเคยเข้าไปอ่านในกระทู้ "หูดับ" แล้วก็จะเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น นะครับ
     
  15. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    การได้ยินคลื่นเสียงนี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นหูเราที่ได้ยินใช่หรือเปล่าคะ เพราะว่าบางที
    ได้ยินมาจากทางด้านซ้าย บางทีทางด้านขวา บางทีก็ได้ยินมาจากในหัวของเราเอง
    มันมีความหมายอะไรไหมคะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ

    +++ อวิชชา คือ ความก่อสภาพ เริ่มสภาพ เป็น ธาตุเริ่มแรก ของ สังคตธรรม
    +++ สังขารา คือ สภาวะของธาตุเริ่มแรก ปริวัติ เคลื่อนไหว กลายเป็น ตาน้ำวน เป็น ขุมพลังจิต

    +++ วิญญานัง ฝ่ายนาม คือ ตัวขุมพลัง (ธรรมานุปัสสนา) ที่หล่อหลอมรวมตัวกัน เป็นเนื้อแห่งพลังธาตุ และแบ่งเป็นสภาวะที่รู้จักกัน 4 ประเภท คือ อากาศ (สภาพว่าง) วิญญาณ (สภาพรู้) อากิญจะ (สภาพไม่มี) และ เนวสัญญา (สภาพไม่รับ) และยังมีได้อีกหลายสภาพ เช่น สภาพตื่น สภาพเข้มแข็ง สภาพพลังงาน สภาพเปล่งรังสี ทั้งหมดคือ "อรูปฌาน" ด้วยตัวมันเอง

    +++ วิญญานัง ฝ่ายรูป (จิตตานุปัสสนา) คือ "ตาน้ำวน ที่กำเนิดมาจาก ตัวน้ำวน" ของฝ่ายนาม อยู่ ณ ใจกลางของ ตัวน้ำวน ประกอบไปด้วย แสงสี (รังสี) แสงสว่าง (อาโลกะ) และ รูป (ภาพ นิ่ง-เคลื่อนที่) ต่าง ๆ รวมทั้ง คลื่นเสียงทั้งหมด ด้วย ทั้งหมดคือ "รูปฌาน" อันแฝงตัวอยู่ด้วยกันกับ "อรูปฌาน" นั่นเอง

    +++ ในยามที่ผมกล่าวถึง "ตัวดู" เมื่อไร ก็ให้รู้ไว้เลยว่า มันคือ "วิญญานัง" ของ ปฏิจจะสมุปบาท ซึ่งมีทั้ง "นามะ-รูปัง" ฝ่ายนาม และ ฝ่ายรูป และยามที่ "ตัวดู ทำ Teleportation" แบบตรง ๆ โดยไม่ต้องอาศัยประตูทางออกอื่น ตรงนั้นเป็น "รูปาวจร" แต่ถ้าออกไปทางใดทางหนึ่งของ 6 ช่องทาง (สฬายตนัง) เมื่อไร เมื่อนั้นเป็น "กามาวจร"

    +++ จริง ๆ แล้ว เป็น "ตัวดู" ได้ยินทั้้งหมด

    +++ ตรงนั้น "ตัวดู" ออกไปทางใดทางหนึ่งของ 6 ช่องทาง (สฬายตนัง) ตรงนี้ ตัวดู ตกลงสู่ "กามาวจร" (ตกจาก ฌาน)(กาเมสุมิจฉาจารา)

    +++ ตรงนี้ "ตัวดู" ไม่ได้ส่งออก และ ไม่เป็น สฬายตนัง ตรงนี้ ตัวดู เป็น "รูปาวจร" (อยู่ใน ฌาน)(พรหมะจริยา)

    +++ มันมีความหมายว่า ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะนั้น ๆ "ตัวดู" ตกอยู่ใน "ภพ-ภูมิ" อะไรมากกว่า

    +++ เรื่องของ "ศีล สมาธิ และ การปฏิบัติ" อยู่ตรงนี้

    +++ หาก "ตัวดู" ใช้ 6 ช่องทาง ยามนั้น เป็น "กามาวจร" (ภาษา ภพภูมิ) ใช้ตัวคุมของศีล 5 คือ "อยู่" ในกายานุปัสสนา ก็จะได้ "อุปจาระสมาธิ" อาจได้ "ตา-หู ทิพย์-ถั่ว" ขึ้นกับสภาพ "ความหลง VS สติ"
    +++ หาก "ตัวดู" ตั้งมั่นด้วยตนเอง ยามนั้น เป็น "รูปาวจร" (ภาษา ภพภูมิ) ใช้ตัวคุมของศีล 8++ คือ "อยู่" ในเวทนานุปัสสนา ก็จะได้ "ฌาน" และเป็น "กายในกาย" ลูกเดียว

    +++ อาการของ "ปัญญา" อยู่ตรงนี้

    +++ หาก "ตัวดู ถูกรู้" ยามนั้นย่อม "พ้นจากภพภูมิ" ทั้งหมด ในขณะที่ "ตัวดู หลุดออก พ้นออก" ยามนั้นเป็น "วิมุติญาณทัศนะ" (เห็นตัวดู) ของ ปัญญาญาณ
    +++ ยามใดที่ "เป็นสภาวะรู้" (อยู่กับรู้)(ญาณทัศนะวิสุทธิ) ย่อมเห็น กระบวนการตั้งแต่ ธาตุแรกเริ่ม จนกระทั่ง "เห็น" ปฏิจจะสมุปบาท ทั้งหมดทั้งวงจร

    +++ อาการของ "วิชชา" อยู่ตรงนี้

    +++ จากการ "เป็น สภาวะรู้" ย่อมเห็นและเข้าใจการทำงานของ ปฏิจจะสมุปบาท จึงสามารถ "ทำตัวดู" ให้ เข้า-ออก ตรงไหนก็ได้ของ ปฏิจจะสมุปบาท ที่เรียกว่า "มหาปัฏฐาน" (เหตุปัจจโย)(ไส้เทียน เปลวเทียน พลังเทียน แสงเทียน ต่าง ๆ) รวมทั้งการ เห็นและเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่าง กายกับภพภูมิ รวมทั้ง เหตุ ของมันทั้งหมดด้วย (เห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ ใช้ขันธ์)

    +++ อาการของ "วิมุติ" อยู่ตรงนี้

    +++ หาก "ตัวดู ไม่รู้และเข้าใจ" ในปรากฏการณ์ของสภาวะธรรมใดแล้ว "มันย่อม หวลกลับมาสู่อาการนั้น ๆ อีก ไม่เร็วก็ช้า" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่ "ตัวดู ยังไม่ ถูกรู้" ตรงนี้เรียกว่า "ยามใด ไม่รู้แจ้ง ยามนั้น ไม่ยอมพ้น" (ตรงนี้ "ให้สังเกตุอย่างละเอียด" และตรงนี้จะรู้ชัดแจ้งถึงคำว่า "สรรพสัตว์ ย่อมติดอยู่ใน ทุกข์")
    +++ ยกเว้นเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ "ตัวดู รู้แจ้ง ในการกำเนิดของตัวมันเอง" แล้วจึง "เบื่อและสลายตัวไป" กลายเป็น "สภาวะรู้อันบริสุทธิ" เท่านั้น หาก "ขันธ์" ยังมีอยู่ก็จะเรียกว่าเป็น สอุปาฯ และมักจะอยู่ในฐานะของ "ผู้สร้างขันธ์ ใช้ขันธ์" แต่ไม่ตกเป็น "ทาสของขันธ์" เท่านั้นเอง

    +++ สำหรับผู้ที่ฝึกอยู่ใน "สติระดับที่ 9" การชี้แจงแค่ "เสียงเรื่องเดียว" ย่อมไม่พอเพียง ดังนั้นจึงใช้ "การชี้แจงทั้งระบบ" (แบบคร่าว ๆ เท่านั้น) เพื่อความ "แตกฉาน" ไปเรื่อย ๆ นะครับ
     
  17. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ สภาวะรู้ เป็นส่วนที่หนึ่ง สภาวะตนกับกองขันธ์ทั้งหมด เป็นส่วนที่สอง และ สภาวะภพภูมิโลกภายนอกรวมทั้งขันธ์คนอื่น เป็นส่วนที่สาม (สังคมโลกและภพภูมิ)

    +++ ในฐานะที่ฝึกกันมา จนรู้จักทั้ง 3 ส่วนนี้ดีแล้ว ต่อไปนี้จะให้ "ทำการบ้าน" (เฉพาะผู้ที่ "เป็น" สภาวะรู้แล้วเท่านั้น ผู้ที่ยังไม่เป็น ห้ามทำ) ดังนี้

    ข้อที่ 1. สภาวะใด คือ "ผู้ท่องเที่ยว"
    ข้อที่ 2. สภาวะใด คือ "ผู้สิงสถิตย์"
    ข้อที่ 3. สภาวะใด คือ "สัจจะธรรม"

    +++ วิธีทำง่าย ๆ คือ "ถ้าสมมุติให้จิตมันดู จะผิดทันที" วิธทำการบ้านคือ "ทำโอปานะยิโก" เท่านั้น
    +++ คำตอบ "ให้ตอบ ตาม Factor ที่เกิดขึ้น" แบบ 1 ต่อ 1 คือ "มุม ต่อ มุม" หรือ "สภาวะ ต่อ สภาวะ"

    +++ ให้ทำดังนี้

    1. ในขณะที่เป็น "สภาวะรู้" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร


    เล่าสู่กันฟังค่ะ


    เมื่อวานออกไปร้านนวด เจอคนทางบ้านเดียวกันด้วย และหมอนวดแผนโบราณอีก 4 คน ไม่มีใครนวดจับเส้นเป็นก็เลยนั่งคุยกันเรื่องจิปาถะ ขณะที่นั่งคุย สภาวะรู้ เป็นส่วนที่หนึ่ง สภาวะตนกับกองขันธ์ทั้งหมด เป็นส่วนที่สอง

    ขณะที่เรานั่งฟังแต่ละคนคุยกัน ขันธ์บริวาร ณ ปัจจุบันขณะ จะแมบจิตไปพร้อมกับอาการข้างในของแต่ละคน บางคนพูดอย่างหนึ่ง แต่ข้างในเขามีอาการอีกอย่าง เหมือนพูดตามความคิด ไม่ได้พูดตามความรู้สึก บางคนพูดตามความรู้สึก บางคนพูดตามความคิดและความรู้สึก คือ คิดถึงความหลังจนฟุ้งซ่านแล้วเกิดความรู้สึกโศกเศร้า พอใครถามอะไรเรา เราก็พูดตามอาการข้างในที่เขาเป็น แต่สังเกตุอีกคน เธอพูดเรียบๆเหมือนไม่มีอะไร แต่ดูอาการและสีหน้าเธอแล้ว เหมือนเธอกำลังรู้สึกกลัวใครอยู่น่ะค่ะ ก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสบตา รุกรี้รุกรนยังไงไม่รู้ เราก็แอบชำเรืองมองดูหน้าเธอ สังเกตุมันเหมือนมีจิตอื่นแฝงอยู่น่ะค่ะ เป็นคนแก่ เห็นชัดเลยว่าไม่ใช่หน้าเดิมของเธอที่เราเคยเห็นน่ะค่ะ ทั้งๆที่เธออายุประมาณ 24-25 ปี ส่วนอีกคน เธอพูดอะไรถามอะไร เราก็เงียบ ได้แต่ยิ้มตอบ แต่สังเกตุมันเหมือนมีอะไรที่อยู่ในตัวเธอปิดบัง พอสักพัก เธอเล่าให้ฟังว่า มีครูบาอาจารย์ฝังตะกรุดให้ไว้บริเวณใต้แขนเธอ เพื่อปิดทวารกันคนทำของใส่

    พอสักพัก มีท่านมหา(เคยบวช 28 พรรษา) เข้ามาแจม ก็ทักทายกัน คึว่าสิกลับบ้านแล้วจะไม่กลับมาอีก ท่านก็ตอบไม่มาแล้ว เราก็ถาม จะกลับไปบวชอีกติ่ ท่านก็ตอบ ยังอีกนาน ประมาณอีก 10 ปีนู้นแหล่ะ อีกคนสนิทกับท่านมหาบอกเราช่วงที่ท่านมหาสร้างวัดสร้างโบถเสร็จแล้ว ขณะที่นอนหลับอยู่ เหมือนมีคนมาปลุกแล้วบอกว่า มารับท่านมหา จะพาไปแล้วนะ ท่านมหากลัว ยังไม่อยากไป เลยสึกออกมาหากรรม จะได้มีกรรมและอยู่ใช้กรรมต่อ เราก็ อ่าว มันแม่นบ่หล่ะ คึบ่เคยได้ยินแบบนี้ พอคุยถึงตรงนี้ มืดตึ๊บเลยค่ะ ไปต่อไม่ถูก

    สรุปแล้ว ยังมองไม่เห็นใครที่เราพอจะช่วยเขาได้เลย ดูแต่ละคน มีที่ไปของใครของมัน อิอิ



    +++ 2. ในขณะที่เป็น "สภาวะดู" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร (จิตของผู้ที่ฝึก เฉพาะ สมถะสมาธิ)

    อยู่กับสมาธิ อยู่กับความสงบ เห็นอะไรหรือได้ยินอะไรจะไม่ค่อยสนใจ ถ้าทำอะไรอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด สมาธิจะแน่วแน่อยู่กับสิ่งนั้นสิ่งเดียว


    +++ 3. ในขณะที่เป็น "สภาวะหลง" คำตอบในข้อที่ 1-3 คืออะไร (จิตของคนทั่วไป ที่ไม่ได้ฝึก)

    จิตส่งออก ยึดติด ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน คิดวกไปวนมาอยู่กับเรื่องเดิมๆ เป็นทุกข์ หาทางออกไม่ได้

    ปล. ฝึกกลับไปกลับมาก็หลงเหมือนกันเพราะแปลออกมาเป็นภาษาไม่ถูกค่ะ บางครั้งการฝึกดูจะง่ายและเป็นไปอย่างราบรื่น แต่พอบอกว่าให้รายงาน สะดุดเลย เพราะการรายงานเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าการฝึก
     
  18. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    กลัวผีเหมือนกันเหรอคะ ฝึกๆไปค่ะ เดี๋ยวก็หายกลัวไปเอง ตัวเราเมื่อครั้งก่อนจะฝึกสติ เรื่องกลัวผีคงได้ถ้วยรางวัลแชมป์เปี้ยน ได้ยินเสียงอะไรดังก๊อกๆแก๊กๆ ก็คิดแต่ว่าเป็น ผี ที่บ้านเปิดไฟทุกดวงสว่างยิ่งกว่าร้านอาหารอีก ยิ่งเมื่อครั้งที่โดนมิจฉาทิฐิเล่นงาน คืนวันพระนี่มาเต็มบ้านเลย พระภูมิเจ้าที่คงต้านไม่อยู่ ถ้าตอนนั้นพระภูมิเจ้าที่สามารถตะโกนบอกเราได้ ท่านคงจะตะโกนบอกว่า โกยเถอะโยม พวกมันมาแล้ว โต๋ไผ๋โต๋มั้นเด้อ แต่หลังจากเริ่มฝึกสติแล้ว เป็นคนละคนเลยค่ะ

    พอลองมองย้อนกลับไป นั่งหัวเราะตัวเองน่ะสิ เออ เรานี่ก็บ้าไม่เข้าเรื่อง
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คำตอบของ 3 สภาวะ เป็นดังนี้

    ในขณะที่เป็น "สภาวะรู้"

    ข้อที่ 1. สภาวะใด คือ "ผู้ท่องเที่ยว" (ขันธ์)
    ข้อที่ 2. สภาวะใด คือ "ผู้สิงสถิตย์" (ตัวดู)
    ข้อที่ 3. สภาวะใด คือ "สัจจะธรรม" (สรรพสิ่ง)

    ในขณะที่เป็น "สภาวะดู"

    ข้อที่ 1. สภาวะใด คือ "ผู้ท่องเที่ยว" (ตน)
    ข้อที่ 2. สภาวะใด คือ "ผู้สิงสถิตย์" (ตน)
    ข้อที่ 3. สภาวะใด คือ "สัจจะธรรม" (รูป-นาม กาย)

    ในขณะที่เป็น "สภาวะหลง"

    ข้อที่ 1. สภาวะใด คือ "ผู้ท่องเที่ยว" (กายจิต)
    ข้อที่ 2. สภาวะใด คือ "ผู้สิงสถิตย์" (ตน)
    ข้อที่ 3. สภาวะใด คือ "สัจจะธรรม" (ไม่ปรากฏ)

    +++ แปลกดี ร้านนวดแผนโบราณ แต่ ไม่มีใครนวดจับเส้นเป็น


    +++ การ แมป เป็นไปอย่าง อัตโนมัติ ที่ไร้เจตนา ใช่หรือไม่ และ ขันธ์ทั้งหลายมีสภาพคล้าย ๆ กับ ของสาธารณะสำหรับเรา ใช่หรือไม่

    +++ นั่นแหละ ผลลัพธ์จากการ "ใช้ขันธ์"

    +++ มันมาถึง "เอ้อ ... มันเป็นอย่างนั้นเอง" เลยไม่จำเป็นต้องพูด

    +++ ถูกแล้ว การฝึก ง่ายที่สุด รองลงมาคือ การรายงานที่ใช้ภาษาที่ตรงกับอาการ และที่ยากที่สุดคือ การสอนผู้อื่นให้เกิดผลในทางธรรม
    +++ แต่ทั้้งหมดขึ้นอยู่กับ "การใช้ภาษาที่ตรงตามอาการ" เท่านั้น
    +++ โดยการเดินจิตเข้าสู่อาการ แล้วถอนออกมา และให้ตัวพูดมากมันทำการแปลสัก 2-3 แบบ ไม่นานก็จะทำได้เอง และอาจได้ ของเล่น ที่เป็นองค์ประกอบติดมือมาด้วย นะครับ
     
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    1. ในขณะที่เป็น "สภาวะรู้" ขันธ์กับตัวดู ต่างกันยังไงคะ? เมิลเข้าใจว่า ตัวดู=ขันธ์ ?
    2. กายจิตกับกายเวทนาคุยกันได้ด้วยเหรอคะ
    3. เมื่อคืนฝึกสภาวะรู้ในฝันอีกแล้ว เหมือนกับว่าพอจะฝัน มันไม่ยอมให้ฝันนะคะ ย้ายออกจากที่กำลังจะฝันมาเป็นรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...