ฝึกมโนมยิทธิและกราบคุณป้านิภา คงสุข จุฬามณี กาญจนบุรี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย แพน119, 18 มีนาคม 2013.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    เอาที่หลวงพ่อเคยสอนมานะครับ หลวงพ่อบอกว่า " อุปาทานหมายถึงสิ่งที่เราคิดไว้ก่อน เห็นไว้ก่อน เวลาทำสมาธิสิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้น ตัวที่จิตยึดอยู่ ถ้าอารมณ์เป็นสมาธิจริงๆ จิตจับภาพพระเป็นปรกติแต่บางขณะจิตหายแว๊บลงไป สิ่งอื่นสะดุดขึ้นมาปรากฏในขณะจิตเป็นสมาธิ นั่นเป็นของแท้....."

    ลองพิจารณาเปรียบเทีียบกับอารมณ์จิตคุณแพน119 ดูครับ
     
  2. แพน119

    แพน119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +10,122
    ขอบคุณคุณWannachaiมากๆคะ
     
  3. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ลิ้งเสียแล้วคับ อยากอ่าน มีอันใหม่มั้ยคับ
     
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]


    ป้านิภา คงสุข ได้มรณภาพลงแล้วเมื่อวันที่ 16/8/57 ณ โรงพยาบาลค่ายสุรสีห์ จ. กาญจนบุรี

    วันนี้ 17/8/57 เวลา 9:00 น. พี่เล็กจะนำร่างท่านมาตั้งที่วัดรางขาม จะทำพิธีรดน้ำศพเวลา 4 โมงเย็นเป็นต้นไป พี่เล็กว่าศพของป้าจะเผาในวันพฤหัสที่ 21 นี้ครับ

    วัดรางขาม จะอยู่เยื้องๆกับทางเข้าสำนักจุฬามณี จ. กาญจนบุรี


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2016
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    19825_10151319220503526_2108528663_n.jpg


    อาลัยท่านพ่อ

    นิภา คงสุข




    ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็เพื่อให้ญาติธรรมทั้งหลาย ได้รู้ว่า ท่านพ่อของเรา ได้ให้ชีวิตใหม่บนหนทางเก่าๆ ที่เราได้เวียนว่ายตายเกิดกันมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตที่ผ่านมาก็หมุนวนเวียน เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หมุนเวียนไปตามกฎแห่งกรรม อย่างเช่นเราดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ หมุนไปตามประสบการณ์ ในลักษณะที่แตกต่างกัน



    ไม่ว่าใครชีวิตใดในโลกนี้ ต้องเผชิญและต้องได้ผ่านอุปสรรคด้วยประการต่างๆ กัน ทุกข์สุข – สุขทุกข์ แตกต่างกันไป เรารู้ว่าท่านพ่อของเรามีทุกขเวทนาเพียงใด ท่านต้องทนต่อการขนลูกหลานเหลน ให้หลุดพ้นทุกข์จากการเวียนว่าตายเกิด ชั่วชีวิตขององค์ท่าน


    ท่านชี้แนะชีวิตใหม่ให้แก่ข้าพเจ้า


    เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องท่านพ่อครั้งแรกจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ก็อยากพบท่านจึงอธิษฐาน เพราะตอนนั้นท่านไม่ได้บอกที่อยู่ รู้แต่ว่าศิษย์หลวงปู่ปานเท่านั้น จึงต้องอาศัยอธิษฐาน เมื่ออธิษฐานแค่ ๑ อาทิตย์ ก็เห็นผล และได้พบท่าน เมื่อพบท่านแล้วทุกอย่างยิ่งกว่าในหนังสือหลายสิบเท่า


    วันนั้นเมื่อข้าพเจ้ามาพบท่านพ่อ ท่านพักอยู่กุฏิริมน้ำ จำได้ พ.ศ.๒๕๑๖ ท่านเร่งน้ำเกลือโดยองค์เอง คือให้เร็วช้า นอนรับแขกขณะให้น้ำเกลือด้วย ข้าพเจ้าไปกัน ๓ คน กับพระอีก ๒ องค์ พอกราบท่านๆ ก็พูดว่า เอ้า จะพาพระมาฝากหรือ ข้าพเจ้าและพระสะดุ้งกัน พระก็มีนายตำรวจ คือท่านอุกฤษฎ์ คำเฉย ท่านลาบวช ตอนนั้นท่านเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยสามพราน ปัจจุบันท่านเป็นสารวัตรใหญ่


    ส่วนอีกองค์คือท่านอัมพร ท่านพ่อท่านพูดว่า มีมาขออยู่มากมาย ฉันไม่รับเพราะรู้ว่าไม่เอาจริง ไม่อดทน จากนั้นท่านก็พูดว่า เอ้า หลวงพ่อรับไว้ ไปลาอุปัชฌาย์เจ้าอาวาสก่อน


    แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า เอ้า ไหนๆ มาก็พักเสียที่วัดนี่ก็แล้วกัน


    ข้าพเจ้าก็รีบตอบว่า ลูกได้มากราบหลวงพ่อแล้วลูกกลับทัน จะกลับวันนี้เลย


    ท่านก็พูดอีกว่า ก็เห็นเตรียมผ้าผ่อนใส่รถมาแล้วไม่ใช่รึ


    ข้าพเจ้าต้องตะลึงและน้ำตาคลอ เพราะท่านรู้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าดีใจจนปวดใจ ที่พูดว่าปวดใจมันเป็นความรู้สึกของอารมณ์ตอนนั้น ที่พบพระรู้จริงๆ วันนี้เอง เพราะข้าพเจ้าโตมาก็เห็นพระเหมือนเป็นเพื่อนเล่น ชอบล้อเลียนพระหรือสั่งพระให้ต้อนรับเวลาจะไปวัด เพราะข้าพเจ้ามีญาติเป็นพระมาก


    แม้ปัจจุบันก็ยังหลงเหลืออยู่ คือท่านเจ้าคุณเกตุ วัดเกาะหลักประจวบฯ และหลวงพ่อแก้ว วัดนาห้อย ปราณบุรีฯ จึงคุ้นเคยกับพระมาก ก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาจนอายุตั้ง ๓๐ กว่าจึงพบพระอย่างหลวงพ่อของเรา การเรียกท่านพ่อก็ขอยืนยันอย่างเคยเขียนผ่านๆ มา เพราะหลวงพ่อนั้นมีมาก พระแก่ไม่ปฏิบัติกินๆ นอนๆ เขาเรียกกันว่าหลวงพ่อ จึงขอเรียกท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร คือพระราชพรหมยานว่าท่านพ่อ เพราะท่านไม่เหมือนใคร และใครก็ไม่เหมือนท่าน


    เพราะอะไรจึงปฏิเสธ เรื่องจะนอนวัดทั้งๆ ที่เตรียมมาจะนอน ก็เพราะเกิดมาจนอายุป่านนี้ไม่เคยนอนวัด เพราะแม่จะสอนว่า ไปทำบุญที่วัดกลับมาก่อน เข้าบ้านต้องอาบน้ำสระผมให้สะอาด เพราะที่วัดมีแต่ของไม่ดี มีแต่เสนียดกลัวจะติดมา เมื่อพูดแล้วก็ลาท่านพ่อ แต่ไปไหนรู้มั้ยคะ ไปมโนรมย์ ไปหาโรงแรมพักแล้วค่อยมานั่งกรรมฐานตอนค่ำตามที่ท่านพ่อชวน แต่เจ้ากรรมโรงแรมในมโนรมย์ไม่มี ก็วิ่งรถกลับวัดหวังว่ามาลาท่านพ่อกลับเพราะไม่มีที่พัก



    ตอนนั้นท่านพ่อยังรับน้ำเกลืออยู่ พอเข้ามากราบท่านพ่อก็พูดทันทีว่า พักเสียที่วัดนี่แหละ สะอาดกว่าโรงแรมอีก โรงแรมไม่มีหรอกมโนรมย์ พร้อมกับพูดกับท่านอาทรว่า เอ้าอาทรไปเปิดห้องพักให้สองห้องไป ข้าพเจ้าต้องน้ำตาไหล และต้องหุบปาก (พูดแบบหนังจีน) จำต้องพักเพราะท่านรู้และดักได้หมด พร้อมกับน้ำตาไหล


    ตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านอาทรอีกเลย ยังนึกถึงพระคุณอยู่เสมอจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ทราบข่าวว่าเป็นนายทหาร ถ้าท่านอ่านหนังสือนี้ก็ขอปวารณาตัวว่ามีอะไรที่จะใช้ก็ยินดี แต่ก็คงเพียงหนูช่วยราชสีห์เท่านั้น ขอขอบพระคุณท่านอาทรไว้ ณ ที่นี้ด้วย



    คืนนั้นก็ได้นั่งกรรมฐาน พอนั่งข้าพเจ้าไม่ได้หลับตาหรอก ข้าพเจ้านั่งมองพระแก่ๆ บนธรรมาสน์ คิดในใจว่า เอ หลวงพ่อไปไหนยังไม่เห็นออกมา มีแต่พระแก่ๆ ดำๆ ผอมๆ เพราะไม่เหมือนที่เห็นตอนบ่าย ท่านยังหนุ่มไม่แก่อย่างนี้ ก็นั่งมอง แอบมองคนนั้นทีคนนี้ที เพราะทุกคนนั่งหลับตาเฉยเงียบ


    แต่ขณะนั่งคิดมองเพลินๆ ก็เห็นภาพงูตัวหนึ่งมาขอบใจเราที่รถไม่ได้เหยียบเขาตายตอนไปกินข้าว แปลกมากเพราะตอนนั้นยังไม่มีมโนมยิทธิ ทั้งๆ ที่นั่งลืมตาอยู่พอเพลินๆ เท่านั้น สมาธิก็ยังไม่รู้ เลยนั่งเล่นเพื่อจะรอหลวงพ่อท่านออกมาเท่านั้น ข้าพเจ้าเชื่อเมื่อท่านพ่ออธิบายเรื่องมโนมยิทธิว่า เพียงสมาธิเล็กน้อยเท่านั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้มา


    พระจุฬามณี พ.ศ.๒๕๑๘


    เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน ก็ขยันขันแข็งนั่งสมาธิ พอจิตสงบก็เห็นพระราชินี มานั่งข้างๆ ข้าพเจ้าแล้วตรัสว่า เธออยากรู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ก็ขึ้นไปพระจุฬามณีซิ ถึงจะรู้


    จากนั้นก็นอนคิดๆ ไม่หลับ นึกดีใจในนิมิต พอเช้าก็ไปถามคุณพ่อของคุณชอ คุณเชิญ ซึ่งเป็นทนายความอุตรดิตถ์ ว่าพระจุฬามณีนั้นพระอะไร พร้อมกับเล่านิมิต (ขณะนั่ง) ให้ฟัง

    ท่านก็พูดว่าพระจุฬามณีคือ พระเจดียสถานที่เก็บพระเมาลีของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจ ท่านก็อธิบายว่า คนตายที่เขาเอาดอกไม้ธูปเทียนใส่มือไปเพื่อไปไหว้พระจุฬามณี


    ข้าพเจ้าไม่รู้จัก รู้จักแต่พระห้ามญาติ พระนาคปรก พระอุ้มบาตร เมื่อไม่เข้าใจก็ไปประจวบฯ ถามพระครูเกตุ (ตอนนี้เป็นเจ้าคุณ) ซึ่งเป็นญาติ ท่านก็พูดอย่างนี้อีก ก็กลับอุตรดิตถ์ แล้วเขียนจดหมายถึงท่านพ่อของเรา เขียนแล้วฉีก ฉีกแล้วเขียน หมดสมุดหลายเล่มเกือบตะกร้า เพราะคำพูดไม่เหมาะสมกับความเคารพท่าน จึงถามท่านอัมพรว่าจดหมายถึงหลวงพ่อควรขึ้นต้นอย่างไรให้สูงๆ เหมาะสม ท่านก็บอกว่า ขึ้นต้นด้วยคำว่า นมัสการหลวงพ่อด้วยเบญจางคประดิษฐ์


    อ้อ เข้าท่า ก็เขียนมาหาท่าน ท่านก็ตอบจดหมายดังจดหมายที่แนบมา ต่อมาท่านพ่อของเราก็นำขึ้นพระจุฬามณี โดยสมาทานตั้งนะโม ๓ จบ แล้วกล่าวว่า พุทธัง เมนาถัง เมนาโถ กัมมัฏฐานะฯ เพื่อไปพระจุฬามณีเท่านั้นนั่นแหละ จึงรู้แน่ชัดว่า พระจุฬามณีมีจริง ท่านพ่อเราท่านคุมพระกรรมฐานเอง เมื่อทุกคนนั่งเสร็จแล้วจะต้องนำเงินค่าครูใส่ขันคนละ ๓ บาท ไปถวายท่านพ่อ



    แต่พอถึงข้าพเจ้าท่านพ่อจะพูดว่า เอ้า นิภา ลานทองมีทองเป็นแท่งๆ รวย ต้องขึ้นครู ๓ ตำลึง ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่เข้าใจความหมาย ตอนนั้นข้าพเจ้าคณะใหญ่ มีมหาทองปอนด์ วัดหาดเสี้ยว เป็นผู้นำขบวน ท่านมหาทองปอนด์ท่านก็พูดว่า โยม ต้องไปต้องขึ้นครูนะ หลวงพ่อสั่งขึ้นเท่าอาตมา ๑๒ บาท (๔ สลึง เป็น ๑ บาท ๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง) ๓ ตำลึง เท่ากับ ๑๒ บาท


    จึงร้องว่า อ๋อ และท่านพ่อก็ให้เป็นครูสอนตามบ้านนอก เพราะสู้เขาได้สบายมาก ก็เลยต้องเป็นครูบ้านนอกเสียหลายปี พอเข้าเมืองสายลมได้ ๓ เดือน ท่านพ่อก็มรณภาพ ก็เลยต้องเป็นภูธร – นครบาล ๒ ประเภท เลยกลายเป็นคนอยากดัง ก็อย่าหวังสงบ


    เหตุเกิดที่ดอยตุง จ.เชียงราย


    เมื่อบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุง ขณะเดินทางอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีชิ้นส่วนกลับมาได้ ก็คือขึ้นพระธาตุดอยตุงครั้งแรกในชีวิต ท่านพ่อจะไปบวงสรวงที่พระธาตุดอยตุง มหาทองปอนด์ก็นำคณะติดตาม ๒ คันรถบัส แต่ก่อนจะไปเรานัดกันว่าตี ๔ เคลื่อนขบวน พอถึงวันจะไป แม่ข้าพเจ้าเกิดเป็นไข้จับสั่นอย่างกะทันหัน ข้าพเจ้าก็ลังเลหงุดหงิด


    ทางนี้ก็แม่บังเกิดเกล้ากำลังป่วย ทางโน้นก็มหากุศล เพราะท่านพ่อซึ่งเป็นพระอรหันต์ของข้าพเจ้า แม่ท่านไข้แรงมากสั่น คน ๓ คนขึ้นทับยังเอาไม่อยู่ นอนคราง เราก็คิดไป ดูไป ตั้งแต่ ๑๑ โมงจนถึงตี ๓ ครึ่ง ยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้า นั่งทับแม่ไปคิดไป ฟังนาฬิกาตีบอกเวลาและอธิษฐานไป พอมองนาฬิกาอีก ๑๐ นาทีก็จะตี ๔ คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าแม่จะตาย ถึงเราอยู่ก็ต้องตาย เราก็ช่วยอะไรไม่ได้


    ก็ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า (ไม่ใช่พับใส่กระเป๋า) เมื่อเสร็จแล้วก็เอาเงินให้น้องชาย ๕๐๐ บาท เอาแม่ไปส่งคลินิกตอนเช้า แล้วกระซิบแม่ว่า หนูไปกับหลวงพ่อ แม่โมทนาเอานะ แม่จะได้หาย ได้บุญ หนูให้เงินน้องไว้แล้ว ให้พาแม่ไปหาหมอ ท่านก็ยกมือโมทนา ข้าพเจ้าก็ได้ไป


    พอวันรุ่งขึ้นบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ ข้าพเจ้าขอเห็นท้าวพังคราช นึกว่าเป็นพญานาค ที่ไหนได้เป็นคนจนๆ นุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อไม่ใส่ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ประวัติ ฟังชื่อเหมือนนิยายพญานาค เพราะข้าพเจ้าจบ ป.๔ พอขึ้นดอยตุง โอ้โฮ มาราธอน มีรถเกรดนำรถคันหนึ่ง (หมายถึงสองแถวนั่งได้เพียง ๔ คน) ฝุ่นตลบอบอวล ต้องเอาผ้าพันคอมาพับสามเหลี่ยมแล้วผูกหน้าผากรอบหัว ปล่อยชายลงมาที่จมูกเหมือนช้างกันฝุ่นเข้าจมูก


    พอขึ้นไปถึงก็บวงสรวง ข้าพเจ้าก็เห็นอากาศเทวดา ร่ายรำทำเพลงเบาๆ เย็นๆ ไพเราะที่สุด นั่งฟังเพลิน วันนั้นคิดว่าอย่างน้อยๆ ฌาน ๔ แน่ แต่ยังไม่เอกัคคตา สุขเหลือคำบรรยาย พอบวงสรวงเสร็จ ท่านพ่อให้ไปพบกันที่ร้านกุ้งเต้นตอนค่ำ บนเวทีมวยเพื่อสอบอารมณ์ ข้าพเจ้าจะไปฟังท่านพ่อสอบ แต่ไม่ขอเข้าสอบ เพราะไม่แน่ใจในตัวเอง


    พอค่ำไปตามนัด แต่ข้าพเจ้าเลือกที่นั่งสุดเลยท้ายเพื่อน เพราะกลัวท่านพ่อถามสอบอารมณ์ แต่ข้าพเจ้าจัดสังฆทานให้กับจ่าตำรวจ เพราะจ่าตำรวจคนนั้นไปติดม่านห้องพักท่าน ตอนกลับถูกรถสิบล้ออัดตายทั้งพ่อแม่ลูก ชื่อนก เมื่อจัดทำก็มีพวกเราๆ ช่วยกันได้เงินเยอะและกราบเรียนถวายท่านพ่อ พอถวายเสร็จท่านพ่อก็พูดว่าเขาได้เป็นเทวดาทั้ง ๓ คน เขามีพลังช่วยเราได้นะ ถ้าขอให้ช่วย


    แต่ท่านพ่อก็สอบอารมณ์ต่อไป ท่านเรียกผู้หญิงคนหนึ่งว่า เอ้า ว่าไง หมอเห็นอะไรบ้าง หมอก็เล่าเรื่องเด็กร้องไห้ คือหลวงพ่อตอนเป็นลูกท้าวพังคราชถูกขอมไล่ และเล่าว่าเห็นท้าวพังคราชเหมือนข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้านึกในใจ (นึกในใจนะ) อยู่หลังสุดนึกในใจว่า หมอคนนี้เก่งกล้าตอบ ถ้าเป็นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคงไม่กล้าตอบ เพราะข้าพเจ้าไม่แน่ใจ


    พอนึกเสร็จ ทันใดนั้นท่านพ่อพูดออกมาเลยว่า เวลาถามสอบอารมณ์นั่งรู้แล้วเห็นแล้ว พอถามไม่ตอบเพราะไม่แน่ใจ ก็ออกไปจากที่นี่ ต่อไปก็อย่ามาเป็นลูกศิษย์ลูกหากันเลย ไอ้ที่นั่งเห็นนั่นแหละของจริง ถ้าไม่แน่ใจก็กลับไปเสียเถอะ เชื่อมั้ยว่าข้าพเจ้านั่งน้ำตาไหล เพราะปีติในท่านพ่อของเรา พร้อมกับคิดในใจอีกว่า เออ ต่อไปเห็นอะไรจะพูดให้หมดคอยดู ต่อมาจะเห็นอะไรก็ถามท่านพ่อตลอด ท่านก็สงเคราะห์ตลอด


    จนมอบวิชาหมอดูให้ต่อหน้าที่ท่านรับแขก และพอฟังท่านพ่อพูดเรื่อยๆ เราไปกัน ๑๓ คน เพื่อนชวนให้กลับที่พัก อ้างว่าเหนื่อย ข้าพเจ้าไม่ยอมกลับเพราะข้าพเจ้าไม่เคยกลับก่อนท่าน พอบรรยายเสร็จข้าพเจ้าต้องกลับหลังท่านพ่อขึ้นทุกครั้ง แม้ตั้งใจไปไหนรีบร้อนเพียงใดก็ต้องรอจนท่านพ่อขึ้นก่อน พอเพื่อนๆ เดินเรียงคิวกันออกมาผ่านท่านพ่อ ๑๒ คน ท่านพ่อก็พูดว่า พวกนี้มันไม่ได้อะไรหร๊อก ไม่มีความอดทนแม้จะฟังธรรม


    ข้าพเจ้าใจหายแทนเพื่อน เพราะท่านพ่อพูดอีกว่า แค่จะมาบางคนพ่อแม่ป่วยก็ยังตัดใจมาข้าพเจ้าสะดุ้ง น้ำตาร่วงอีก นี่เป็นเราอีกแล้ว พร้อมกับดีใจที่เราตัดสินใจถูกที่ไม่ตามเพื่อนๆ แต่ใจหายแทนพวกเขา เพราะเราถือว่าท่านพ่อของเรามีวาจาสิทธิ์ ถ้าพูดแล้วต้องเป็นไปตามนั้น และข้าพเจ้าก็เฝ้าดูคนพวกนี้ตลอดมา ก็เป็นจริง พวกเขาเหล่านี้ตามล่าแต่พระหันไปหันมา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เข้ามาหาท่านพ่อ จนท่านมรณภาพ น่าเสียใจชั่วชีวิต (ถ้าเป็นข้าพเจ้า)

    นี่แหละที่เป็นจุดเด่นของท่านพ่อที่เรียกว่า ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ให้กับลูกๆ ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถจะรู้เห็นได้ หรือขลาดเกินในคำว่าอวดอุตริมนุสธรรม ถ้ารู้จริงอย่างท่านพ่อของเรา เจตนาที่จะแนะแนวหรือยืนยันการหลุดพ้น เพื่อความเชื่อมั่นแห่งจิตของเราว่า กรรมนั้นมีจริง เราได้รู้ได้เห็นโลกวิญญาณนั้นยังมีอยู่ อย่างนี้จะเรียกว่า อุตริได้อย่างไร เห็นผิดก็ผิดหมด จงเห็นถูกไว้บ้าง


    เมื่อท่านไม่กล้ายืนยัน มัวแต่กลัวอวดอุตริอยู่ แล้วเหตุผลมรรคผลนั้นจะเอาอะไรมายืนยัน ก็มีส่วนอยู่บ้างที่เรียกทำงมงาย เพราะทำไปก็ซื่อบื้อไม่รู้อะไร ข้าพเจ้าก็ได้วิชาท่านพ่อนี้แหละถึงได้มีชีวิตใหม่ ที่พูดนี้ก็เพราะข้าพเจ้าได้ยินมากับหูว่าท่านพ่อของเราสอนผิด สอนให้รู้เห็น อาจารย์ของเขาว่าไม่ดี และอาจารย์ของเขาอยู่ป่านนี้ไม่สร้างอะไร ทำสายตรง ใครองค์ไหนเป็นครูบาอาจารย์ของคนๆ นั้นก็พลอยซวยไปด้วย สอนศิษย์เลวอย่างนี้ ทำให้ครูบาอาจารย์เสียชื่อเสียง


    ไหนว่าสวรรค์นรกรู้เห็นไม่ดี แล้วยังกล่าวเพ่งโทษผู้อื่นอีก แค่บารมีสร้างมาไม่เท่ากัน ยังรู้ไม่ได้แล้วจะไปรู้อย่างอื่นได้อย่างไร เตรียมตัวลงนรกได้เลยจ๊ะ และถ้าจะกลับตัวก็ยังไม่สาย ญาณดำญาณเลย มิจฉาญาณอย่าเอามาใช้ จงเปลี่ยนเป็นสัมมาญาณ ถ้าอยากรู้มาถามได้ อุบายแก้ความเลวไม่หวงและยินดี ถ้าอาจารย์ของท่านสอนท่านไม่เข้าใจ ป้านิภาแก้ให้ได้ อย่าปล่อยให้จิตฟุ้งซ่าน จงมองจงเพ่งไปในทางที่ดี คือละความชั่ว กระทำความดี ทำจิตให้ผ่องแผ้ว


    อย่าทำตัวเป็นมงคลตื่นข่าว ใครว่าอะไรดี ดีด้วย เลว เลวด้วย ไม่ใคร่ครวญพิจารณาให้ดี จิตใจไม่ตั้งมั่น ต่อให้ทำนั่งหลับตาอีก ๑,๐๐๐ กัปก็อย่าหวังหลุดพ้นเลย และจงละอคติ ๔ คงรู้ว่าอะไร


    ท่านพ่อสั่งไว้


    เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ท่านพ่อเคยพูดว่า ถ้าหลวงพ่อจะตาย ฟ้าจะไม่เปิด พระอรหันต์สิ้นฝนจะตก ๗ วัน ๑๕ วัน ตอนได้รับข่าวว่าท่านทวารเปิดมีเลือดไหลออกมาก็รีบถามลูกว่า ฟ้ามืดมากี่วันแล้ว ลูกก็พูดว่า ๒ – ๓ วันมานี่ไม่เห็นพระอาทิตย์ กว่าจะเห็นก็ ๑๐ โมงเช้า แต่เห็นได้แป๊บเดียวก็มืดอีก ข้าพเจ้าก็แน่ใจว่าครั้งนี้ท่านพ่อทิ้งขันธ์ ๕ แน่ๆ ที่มั่นใจก็เพราะท่านเคยพูดไว้ คนอื่นจะจำได้หรือไม่ แต่ป้านิภาจำได้เสมอ แม้เรื่องที่ท่านพ่อกล่าวไว้ถึง ๒๐ ปี ก็ยังจำไว้ได้



    และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ นี้ ข้าพเจ้าเตรียมจะเข้าพรรษาที่เมืองกาญจน์ แต่ยังเลือกวัดอยู่ เพราะตั้งใจจะทำนิโรธสมาบัติหนีคน เบื่อคน แอบกระซิบคุณชอ คุณเชิญ ทั้งสองคนก็พูดว่า เฮ้ย ถามหลวงพ่อก่อนนะ ข้าพเจ้าก็พูดว่าไม่ถามหรอก ถ้าถามท่านพ่อก็ต้องห้าม ไม่ถามดีกว่า เพราะถ้าทำได้ อยู่ได้ไม่เกิน ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน และอยู่ทำบุญกับเราก็จะได้ผลคล่องตัว หรือร่ำรวยในวันนั้น


    พอถึงเวลาก่อนเข้าพรรษา ๑๕ วัน ข้าพเจ้าก็ไปวัดท่าซุง พอเดินเข้าไปถวายสังฆทาน ท่านพ่อก็พูดว่า เอ้า ภา ไปอยุ่วัดท่ามะขามเมืองกาญจน์นะ เข้าพรรษาที่นั่น ช่วยๆ กันไปก่อน ข้าพเจ้าก็ยิ้มรับว่าเจ้าค่ะ ก็ให้บอลลูนไปเคลียร์พื้นที่ ติดต่อท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิรังสี วัดท่ามะขาม ท่านก็ดีมาก และลูกศิษย์ที่เมืองกาญจน์ก็เป็นพวกที่น่ารักมากทุกคน ต่างเห็นว่าห้องน้ำห้องส้วมไม่สมบูรณ์ อุตส่าห์ลงทุนทำให้ใหม่


    เมื่อรับปากท่านพ่อแล้วกลับมานั่งที่รับแขก ท่านพ่อก็พูดว่า ภาเอ้ย ไม่ต้องทำนิโรธสมาบัติหรอกนะ อยู่ช่วยๆ กันไปก่อน นิโรธพระอรหันต์ท่านเข้าพักเท่านั้น ทำสมาบัติเฉยๆ ก็พอ ช่วยๆ พวกเมืองกาญจน์ก่อน คนแถวๆ นั้นศรัทธาดี


    ถ้าข้าพเจ้าเป็นพวกเมืองกาญจน์หรือใกล้เคียงข้าพเจ้าคงดีใจ และสนองความดีของท่านพ่ออย่างถวายหัวเชียว นี่แหละข้าพเจ้าเป็นงงว่าท่านพ่อของเราท่านช่างรู้ระดับจิตอย่างยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มปากว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในโลกของข้าพเจ้า


    พอข้าพเจ้าไปเมืองกาญจน์ ก่อนจะเข้าพรรษา ๓ วัน ข้าพเจ้าก็ยังโอ้เอ้อยู่บ้านบอลลูน เพราะคนนั้นเลี้ยงคนนี้เลี้ยงก็เลยยังไม่เข้าวัด จนเหลืออีก ๒ วันจะเข้าพรรษา ขณะปฏิบัติอยู่ตี ๓ กว่าๆ ท่านก็ไปหา นิมิตเห็นท่านไปยืน และถามว่า ภายังไม่ไปอยู่วัดอีกหรือ พรุ่งนี้เข้าวัดนะ ศึกหนักนะวัดนี้ จะพบพระกินไก่ดิบๆ กระหัง


    ข้าพเจ้ารีบถอนกรรมฐาน นอนคิดถึงท่านพ่อ ข้าพเจ้าก็รีบเข้าวัดในวันนั้นเลย บวชเนกขัมมะในโบสถ์ต่อจากบวชพระ ๓ องค์ ก็บวชข้าพเจ้าต่อเลย ศึกหนักจริงๆ มีปัญหาเสมอ แต่อาศัยความอดทนจิตใจตั้งมั่นไม่ท้อถอย ก็สอนกรรมฐานทุกคืน และเข้าออกสมาบัติอยู่เสมอ ตี ๓ เช้าดูหมอ ค่ำนั่งเสร็จสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ที่น่าแปลกคือ พระธาตุเสด็จทุกคืนมีหลายสี ถามคุณหมอนพพร คุณหมอเตือนใจดูได้ มีพยาน



    ๑ เดือนผ่านไป มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าจะออกจากกุฏิไปเข้าห้องน้ำ ก็เห็นดวงไฟเหมือนไฟฉายวนไปวนมาอยู่ตรงกองขยะ ข้าพเจ้าตกใจกลัว เพราะข้าพเจ้าจะไม่ลืมคำท่านพ่อ พอเห็นก็รู้ว่านั่นคือกระหังแน่ๆ ปิดประตูดึงกลอนเท่าไรก็ไม่เข้า รับว่ากลัว กลัวเพราะขาดสติ พอได้สติก็ไปหยิบมีดหมอมาถือไว้ ค่อยดึงประตูใส่กลอน ก็ใส่ได้ตามปกติ นี่คือขาดสติ นี่แหละที่เรียกว่ากลัวจนขาดสติ ก็ไม่มีอะไร แต่จะมีผีวิญญาณมากที่นั่น เขาจะมาขอบ่อยๆ มากด้วย


    พอออกพรรษาก็มีพระรูปหนึ่งมานั่งปรึกษา ยังหนุ่มอยู่ ขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้า ท่านว่าท่านไม่รู้เป็นอะไรชอบกินขอบดิบๆ คาวๆ ท่านเคยไปหลังร้านก๋วยเตี๋ยวเพื่อเข้าห้องน้ำ พอเห็นเลือดไก่อยู่ในกะละมัง ท่านรีบเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวดิบๆ คลุกแล้วนั่งกิน มีคนเห็น ท่านอายแต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร เคยไปให้พระแก้มาหลายแห่งที่ว่าเก่งๆ ก็ไม่หาย โยมช่วยแก้ให้ด้วยเถิด


    พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็กำหนดหลวงปู่ปาน หลวงพ่อของเรา และพระพุทธองค์ แล้วถามท่านว่าท่านเคยกินไก่สดๆ ไหม ท่านบอกว่าเคยเห็นเด็กหิ้วไก่มา ขอซื้อเด็ก พอยังไม่ทันเข้ากุฏิก็ฉีกกินทันที พอถามพระพุทธองค์ ท่านบอกให้แก้ด้วยการทำน้ำมนต์ สวดนะโมตัสสะถอยหลังแล้วจะหาย ก็เลยบอกท่านไป ให้ไปทำเองหรือหาพระเก่งๆ ปฏิบัติทำให้ก็ได้ ท่านก็ทำตาม จากนั้นก็ยังไม่เจอกันเลย



    นี่ก็ได้พบอย่างนิมิตที่ท่านพ่อบอก และท่านพ่อท่านสงเคราะห์ ท่านคงสงสารข้าพเจ้าที่จะต้องผจญภัยรอบด้าน ท่านบอกว่า ถ้าไปสอนให้เปิดเทปสมาทานพระกรรมฐาน ท่านก็จะไปคุ้มครอง เทปสมาทานนั้นเปรียบเสมือนสายสิญจน์ ศึกหนักหรือเบาก็คิดเอาเอง และยังมีอีกมากมาย ถ้ามีเงินก็อาจเขียนประวัติประสบการณ์เป็นเล่ม เพื่อจำหน่ายถวายเงินเข้าวัดท่าซุง ไม่หักค่าใช้จ่าย ใครจะร่วมก็เชิญ แต่ข้าพเจ้าต้องขออนุญาตทางวัดและให้ท่านเซ็นเซอร์ก่อนนะ


    และใครๆ ก็ถามว่า หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วใครจะแทนได้ เรื่องนี้ไม่ต้องวิตก เพราะท่านพ่อดูไว้แล้ว เตรียมพร้อมไว้แล้ว แม้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านยังมาบอกข้าพเจ้าที่วัดท่ามะขามว่า เราอยู่ได้อีกปีเดียวเท่านั้นนะ แต่ตอนนั้นข้าพเจ้านึกว่าท่านพ่อพยากรณ์ บอกให้ข้าพเจ้าเตรียมตัวตาย แหม เที่ยวบอกใครๆ ว่าข้าพเจ้าอยู่ได้อีกปีเดียวเท่านั้น


    ลูกศิษย์ลูกหาตกใจ บางคนถึงกับบอกว่าหนูไม่ยอม หนูจะขอพระพุทธองค์ไว้ก่อน ท่านพระยายมด้วย ข้าพเจ้าแปลความหมายผิด คิดว่าตัวเองเก่ง เที่ยวบอกใครๆ อย่างภาคภูมิว่าจะถึงนิพพานอีกปีเดียว ยังบันทึกไว้เลย ที่ไหนได้พอถึงวันนี้จึงรู้ว่าท่านพูดถึงท่านเอง และท่านยังสั่งว่า อย่าร้องไห้นะภา ข้าพเจ้ายังถามท่านว่าไม่ร้องไห้ทำอย่างไร ท่านก็พูดว่า ก็หยุดปรุงแต่งซิ พอลองทำก็ได้ผล


    ขอบอกทุกคนในที่นี้ว่า ท่านพ่อของเรายังเมตตาเราอยู่ ท่านไม่ได้จากเราไปไหน จะยิ่งศักดิ์สิทธิ์กว่ากายเนื้ออีก เพราะท่านอยู่เบื้องบนท่านจะทำอะไรๆ ก็ได้ยิ่งกว่าเก่า เพราะหมดโลกะวัชชะ ไม่มีใครปรับท่านได้ อุปมาอุปมัยเมื่อสมัยท่านพ่อกับหลวงปู่ปาน สิ้นหลวงปู่ปานท่านพ่อก็ยังทำอะไรๆ ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่า คลื่นใหม่ย่อมแรงกว่าเก่าเพราะมีคลื่นเก่าหนุนเป็น ๓ ชื่อ คนก็เกิดพลัง ๓ เท่า


    และพระวัดท่านพ่อก็รู้ๆ อยู่ ปฏิบัติตามท่านพ่ออย่างเคร่งครัด แผ่นดินไม่สิ้นคนดี พระทุกๆ องค์มีหน้าที่เหนื่อยยากกันมา ไม่ใช่เช้าเอนเพลนอน เย็นพักผ่อน กลางคืนกินมาม่า อย่างบางแห่งที่พบมาได้ยินมา วัดท่าซุงเราไม่มี และท่านพ่อของเราย่อมรู้รอบว่าองค์ไหนควรแก่หน้าที่ใด ไว้ใจเถิด ถ้าเรารักเคารพท่านพ่อ เราก็ต้องเชื่อถือท่านพ่อ ท่านมีวาจาสิทธิ์ ท่านพูดไว้อย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องห่วงวัด



    อย่างน้อยก็ยังมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นองค์ประธานอยู่ สบายใจได้ พวกเราก็ปฏิบัติกันไปอย่างปกติ ยิ่งทำให้ยิ่งดี เพราะพวกเรายังมีพ่ออยู่เบื้องบนคอยเราอยู่ ข้าพเจ้าเคยพูดอยู่เสมอเมื่อบรรยายธรรม ถ้าเรามัวล่าช้ากันอยู่ เมื่อพระท่านเป็นพระอรหันต์ท่านก็ทิ้งเราไป เหงามั้ย ยิ่งนานวันยิ่งคิดถึง แต่อุ่นใจที่รู้ว่าพ่อเรายังดูพวกเราอยู่


    ใช้มโนมยิทธิดูซิจ๊ะ ขึ้นไปกราบท่านทุกๆวันแล้วจะสมหวังทุกประการ



    วิชาท่านพ่อฤาษีทำประโยชน์แก่นักเรียนและวัด


    ข้าพเจ้านิภา คงสุข ได้รับวิชาจากท่านพ่อฤาษี หรือพระราชพรหมยาน วิชาขององค์ท่านได้ทำประโยชน์มากมาย เช่น ตามโรงเรียน ตามวัด ที่มีนักบวช ก็มากมายที่แอนตี้ อ้อ ลืมไปพูดไทยๆ ต่อต้าน และยังมีอีกหลายพวกที่ต่อต้าน อย่างว่าแหละถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็คิดว่า ทำตัวให้เขาอิจฉา ดีกว่าให้เขาสงสาร


    มาพูดถึงปาฏิหาริย์ เมื่อข้าพเจ้าไปอินเดียเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เมื่อท่านพ่อมรณภาพได้ ๗ วันก็พบบอลลูนที่หน้าศาลา ๑๒ ไร่ บอลลูนก็ถามข้าพเจ้า หนูได้ข่าวว่าป้าจะไปอินเดียหรือ หลวงพ่อเคยสั่งไม่ให้เราไปอินเดียนะ ข้าพเจ้าก็ตอบบอลลูนว่าตอนนั้น พ.ศ.๒๕๓๔ ท่านห้ามเราก็งดไม่ไป นี่ พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็มรณภาพไปแล้ว คำสั่งก็ตามท่านไปแล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง


    พอวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ออกเดินทางไปนั่งรอเครื่องอยู่ พนักงานก็ประกาศว่า เครื่องบินลำที่เราจะไปต้องช้าหน่อย เพราะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชท่านเสด็จกลับจากต่างประเทศ จึงยังใช้สนามบินไม่ได้ ให้นั่งพักก่อน ก็รอไปอีกเพราะเครื่องนี้ต้องไปลงเชียงใหม่ รอสนามบินดอนเมืองว่า พอเย็นเครื่องมาแต่กัปตันพนักงานต้องพัก บินไม่ได้ เราก็เลยต้องพักที่โรงแรมเวลคัมที่กรุงเทพฯ ๑ คืน ค่าโรงแรมอาหารเป็นหน้าที่ของสายการบิน



    อ้อพูดถึงเรื่องเครื่องขัดข้องเรื่องหนึ่ง พอเรื่อง ๒ ไปถึงที่อินเดีย เมืองกัลกัตตาจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เกิดความยุ่งยากอีก แขกไม่ให้เข้า เพราะพาสปอร์ตไม่ได้ปั๊มไม่ได้แสตมป์ ๑๒ คน ทั้งพระและฆราวาสจึงต้องพูดจาอยู่นาน จึงพอให้ผ่านได้ พอขึ้นรถยนต์จะไปนาลันทา เครื่องยนต์ก็ไม่ติดอีก ต้องดับเครื่อง


    ตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงท่านพ่อมาก และขึ้นไปนมัสการขอขมา และมากระซิบท่านพระวิสุทธิรังสี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีว่า ท่านจุดธูปบอกหลวงพ่อฤาษีหน่อยซี เพราะท่านห้ามโยมมาอินเดียท่านก็รู้ ท่านพระวิสุทธิรังสีบอกว่า จุดธูปบอกแล้ว ท่านจุดธูปจริงๆ และนั่งสมาธิ


    ข้าพเจ้าทำสมาธิ มีคุณน้อยผู้เคารพท่านพ่อเรามา เขาก็ได้มโนมยิทธิ นำมีดหมอติดตัวไปด้วยก็นั่งสมาธิ ขอท่านพ่อเรา เพราะดึกแล้วเพียง ๑๕ นาที แขกก็ปล่อยให้ไปได้ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า ท่านพ่อยังอยู่คุ้มครองพวกเราอยู่ คำสั่งก็ยังเป็นคำสั่ง ข้าพเจ้าเป็นคนเลวรั้นมานาน ต่อนี้ไปจะไม่กล้าอีก จำทุกถ้อยคำของท่านจนตายนั่นแหละ


    โอโฮยังไม่ได้เข้าเรื่องประโยชน์ของมโนมยิทธิ วิชาของท่านพ่อเราเลย ว่ามีประโยชน์สำหรับโรงเรียน วัด สำนักมากมาย เป็นวิชาทำคนให้เป็นพระ ข้าพเจ้าได้ไปสอนอบรมวิชาทำสมาธิตามโรงเรียน เช่น โรงเรียนชายอุตรดิตถ์ โรงเรียนเทคโนอุตรดิตถ์ วัดหมอนไม้ ทั้งนายทหารนายสิบจ่า จังหวัดกาญจนบุรี โรงเรียนเทศบาล ๒ โรงเรียนวัดท่าล้อ โรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง บ้านโป่ง จ.ราชบุรี สำนักปฏิบัติธรรมคุณนิกร ตรีเนตร


    ที่น่าสรรเสริญการต้อนรับหรือการยอมรับวิชาสมาธิก็คือ โรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง ทั้งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และคณะครูท่านอาจารย์ดีมาก ท่านรู้คุณค่าของคำว่าสมาธิเป็นวิชาของโลก ได้เชิญข้าพเจ้าสงเคราะห์นักเรียนถึง ๑๐ เสาร์ๆ ละ ๕๐ – ๔๘ คน เห็นมั้ยคะน่าสรรเสริญ แม้จะเป็นวันหยุดก็ยังเจียดเวลานำเด็กๆ มาเข้าฝึกสมาธิ จึงกราบท่านด้วยความเคารพ และยังให้กำลังใจแก่ผู้สอน ทำเกียรติบัตรดังได้แนบมานี้เพื่อเป็นเกียรติท่านพ่อของเรา ผู้ฝึกสอนข้าพเจ้าให้เป็นประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


    บางแห่งบางที่อาจารย์และครูก็บ่นให้ฟังว่าผู้อำนวยการไม่ส่งเสริมก็มี แต่ช่างเถอะเราไปสอนเราก็สละเวลาอันมีค่า ไปเป็นวิทยากรไม่ได้รับเป็นเงิน เราภูมิใจในความมีค่าของเราและคณะท่านพ่อ (ไม่ใช่ความมีราคา) อ้อ ยังเคยไปบรรยายอีกคณะหนึ่ง เทคโนอยุธยา เชิญโดยอาจารย์อรุณี ส่วนมากเราจะไปเพื่อครูอาจารย์ เพราะท่านเหล่านี้ใกล้ชิดเด็ก รักเด็ก อยากให้เด็กมีคุณธรรม อยากให้เด็กได้รับวิชาของโลก (เป็นอย่างไรถ้าไม่เข้าใจมาถามได้)


    คนจะเป็นใหญ่ระดับไหน ถ้าไม่รู้จักคำว่าสมาธิหรืออริยสัจ ๔ คนจบ ป.๔ เช่นเราที่ถือคำพระพุทธวัจนะ ก็ถือว่าเขาคนนั้นเป็นผู้มีปัญญาทราม เราก็ไม่สนใจจะต้องรู้จัก รู้จักแต่ครูอาจารย์ที่เชิญมาเพื่อนเด็กในวันนี้ เขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบวินัยธรรมนูญชีวิตเท่านั้นเป็นพอ เพราะผู้สอนก็ไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้สอนเช่นข้าพเจ้ามีแต่ให้ ไม่หวังรับ


    บางโรงเรียนผู้อำนวยการไม่เคยให้แม้เกียรติแถมยังแอนตี้ ผ.อ.แปลว่า ผัวอ้อนมั้ง เพราะพวกนี้คิดว่าการทำสมาธิเป็นของงมงาย สู้ไปนั่งตามร้านอาหารดีกว่า จึงแปลว่า (ผัวอ้อน) ถ้าเกิดไปกระทบใครเข้าก็ถือว่าวัวสันหลังหวะ เอาละเปลืองกระดาษเปล่าๆ สำหรับคนจำพวกนี้ปุถุชน จึงขอชมโรงเรียนรัตนราษฎรบำรุง บ้านโป่งอีกครั้ง และขอแนบตัวอย่างโรงเรียนที่ดีมีคุณธรรม มีระเบียบวินัยมาให้เป็นตัวอย่าง ว่าการทำดีมีน้ำใจเขาทำกันอย่างนี้ค่ะ


    ท่านพ่อห่วงใยในลูกหลานต่างแดน



    ก่อนท่านจะมรณภาพ ๗ เดือน ท่านพบหน้าข้าพเจ้าทีไร ท่านก็พูดทุกครั้งที่พบกัน อ้าว ภายังไม่ไปอเมริกาอีกหรือ ข้าพเจ้าก็พูดว่า “ก็ท่านพ่อพูดกับลูกว่า ภาเอ้ย ไปช่วยสงเคราะห์พวกลูกหลานทางอเมริกาฯ นะ หลวงพ่อคงไม่ได้ไปอีก ถ้ามีอะไรยุ่งๆ ก็ให้หนีไปที่วอชิงตัน นี่แหละทำให้ลูกไม่อยากไป เพราะลูกไม่เป็นหนังสืออังกฤษ”


    ท่านก็หัวเราะชอบใจแล้วพูดอีกว่า ไปเถอะไม่เป็นไร เปิดเทปสมาทานหลวงพ่อจะไปคุ้มครองเอง เปิดเสียงหลวงพ่อ จำไว้นะคะท่านที่อยู่ต่างแดน และเมื่อท่านมรณภาพ ก็มีลูกต่างแดน คือคุณลือชา ประทุมพันธ์ อยู่ ๑๗๓๑ – ๑๗๓๓ WILSON BOULEVARD ARLINGTON, VIRGINIA ๒๒๐๙ โทรศัพท์ (๐๗๓) ๕๒๗๕๗๗๒ – ๕๒๗๕๗๗๔ ท่านก็มางานศพครบรอบ ๗ วันท่านพ่อของเรา


    ท่านลือชาก็ได้มาเชิญข้าพเจ้าไปช่วยทางโน้น โดยเขียนจดหมายมาขอจากท่านพ่อแล้ว และท่านก็อนุญาต และฝากลูกหลานของท่านพ่อต่างแดน และท่านได้สั่งคุณลือชา ประทุมพันธ์ ให้สร้างสำนักตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๓๕ คุณลือชาก็ทำตามสั่ง ตอนนี้คุณลือชาได้ขอให้ข้าพเจ้าไปสร้างความศรัทธาก่อน ๖ เดือน หรือ ๑ ปี


    ต่อไปก็จะนิมนต์พระวัดท่าซุงครั้งละ ๒ องค์ ข้าพเจ้าก็คงจะต้องไปตามท่านพ่อสั่ง แม้ท่านมรณภาพไปแล้ว คำสั่งของท่านก็ยังคงเที่ยงอยู่ ดังพุทธวัจนะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพเจ้าจะไปเดือนมีนาคม หรืออาจไปกลางเดือนกุมภาพันธ์ เพราะข้าพเจ้านัดว่า ๑๐๐ วันท่านพ่อแล้วจึงจะไป ข้าพเจ้าไปอยู่ตามที่อยู่ด้านบนที่เขียนมา คงจะอยู่ครั้งละ ๖ เดือน จะกลับมาครั้งหนึ่ง คงคิดถึงลูกหลานทั้งอดีตและปัจจุบันทุกๆ คนที่ข้าพเจ้าต้องจากไป และลูกหลานท่านพ่อในชิคาโก นิวยอร์ค แอลเอฯ ที่เคยมาพบท่านพ่อ มีอะไรจะใช้ก็ถามได้ตามเลขที่บอกมา

    ห้องสมุดนวราชบพิตร
    ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน
    ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    วัดท่าซุง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

    ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๐

    ลูกสาวผู้โชคดี



    ปกติจดหมายที่มาหาฉัน ต้องนอนค้างนานจึงจะได้รับคำตอบ เพราะปกติไม่ใคร่อยู่ ต้องเดินทางออกเยี่ยมชาวป่าชาวเขาเป็นปกติ วันนี้พอดีอยู่และจดหมายมาถึงพอดี จึงรีบตอบให้ทราบ


    (๑) เรื่องมุสาวาท เท่าที่ปฏิบัติถูกต้องแล้ว เพราะมุสาวาทถ้าจะขาด ต้องเป็นวาจาที่ทำลายประโยชน์เขา สำหรับเรื่องที่รับฟังมาแล้วเป็นเรื่องร้าย แต่แก้ให้เป็นเรื่องดี อย่างนี้ไม่เรียกมุสาวาท เป็นเมตตากับกรุณา ควรทำต่อไป

    (๒) เรื่องการค้า เกี่ยวกับเจ้าหนี้ที่มีการผัดผ่อนให้รอเวลา เป็นเรื่องปกติ เพราะเราไม่มีเจตนาฏกง เพียงหาทางผ่อนปรนให้มีเวลาหามาสมทบให้พอแก่การชำระหนี้ ทั้งนี้การชำระหนี้มิใช่ว่ามีเท่าไรชำระหมด จำต้องมีไว้กินไว้ใช้บ้าง การแจ้งว่าวันนี้ขายไม่ใคร่ดี เป็นทางออกที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่ทำให้ศีลขาด

    (๓) เรื่องการค้าราคาของกับการต่อรอง สมมุติว่าเราซื้อมาราคา ๒ บาท แต่ท้องตลาดขาย ๔ บาท เราจะขายตามนั้น ถ้าเขาขอลด เราก็ไม่บอกเขาว่าซื้อมาราคา ๓.๙๐ บาท เพียงบอกว่าราคาต้นทุนแพง จำต้องขายเท่านี้ ถ้าเขาพอใจเขาซื้อไปด้วยความเต็มใจของเขา อย่างนี้ไม่เรียกว่ามุสา

    (๔) เรื่องความฝันนั้น รู้สึกว่าดีมาก คือ (๑) ฝันเห็นพระบรมราชินี ถือว่าเป็นมงคลใหญ่

    (๕) เรื่องในฝันท่านบอกนั้นไม่เป็นไร ใจจะได้มั่นคง ตรงที่ท่านบอกว่า เพื่อความแน่ใจ ขอให้ไปถามพระจุฬามณี อันนี้ดีมาก เพราะตามคติในพระพุทธศาสนา ถือว่าลูกมีบุญญาธิการที่จะมีโอกาสไปพบพระจุฬามณีได้ ขอให้พยายามรักษากำลังใจให้เป็นกุศลไว้ ผลนี่จะมีแก่ลูกแน่

    ขอลูกจงมีความสุขสมหวัง และเจ้าถึงพระจุฬามณีได้ตามที่นิมิตไปโดยเร็วเถิด

    จากพ่อ

    (พระมหาวีระ ถาวโร)


    วัดท่าซุง อ.มโนมย์ จ.ชัยนาท (โทร. ๕๑๑๓๙๑ อุทัยธานี)

    ๑ สิงหาคม ๒๕๒๐

    ลูกรัก

    จดหมายของลูกลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ รับตอบช้ามากไปหน่อย ทั้งนี้พ่อไม่มีเวลาอยู่วัด ด้วยต้องออกไปเยี่ยมทางในป่า เพิ่งกลับมาก่อนหน้าวันอาสาฬหบูชาเพียง ๑ วัน เมื่อเสร็จงานเข้าพรรษาจึงรื้อจดหมายออกตรวจ พบของลูกเข้าจึงรีบตอบมาด่วน เรื่องทั้งหมดที่แจ้งมาล้วนเป็นเรื่องของธรรมปีติ

    เมื่อธรรมปีติเข้าทรงใจของคนใด คนนั้นท่านเรียกว่า “ผู้เข้าถึงธรรม” ฉะนั้นขอลูกจงรักษาธรรมปิตินี้ไว้ให้มั่นคง อย่าหลงอารมณ์ของโลก ด้วยโลกไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ วัตถุ หรืออารมณ์ มันไม่มีอะไรยั่งยืน ล้วนเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหมด ไปยึดถือเข้าจะทำให้ใจว้าวุ่น มีอารมณ์เหมือนคนบ้า กายแก่ได้มีความเข้าใจว่าไม่แก่ ตายได้ก็เข้าใจว่าไม่ตาย เมื่อมันแก่และจะตายจริงๆ เข้า ก็เกิดความกลัดกลุ้ม ขอลูกจงพายเรือตามน้ำ คืออย่าฝืนกฎธรรมดาเท่านี้พอแล้ว แล้วลูกจะเข้าถึงความสุขที่ลูกคาดไม่ถึง

    จากพ่อ

    (พระมหาวีระ ถาวโร)

    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 4 หน้า 139 - 150)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...